ประวัติ Ethereum ตอนที่ 4 : Decentralized Autonomous Organisation (DAO)

หลังจากท่องโลกเป็นเวลาประมาณ 6 เดือน ทัวร์รอบโลกของ Vitalik ก็จบลงที่เมืองซานฟรานซิสโก เขาพยายามปรับแต่งแนวคิดของ Blockchain ใหม่ ที่จะทำให้มันกลายเป็นแพลตฟอร์มเปิด แบบกระจายอำนาจ และ ปกป้องการเซ็นเซอร์เท่าที่จะจินตนาการได้ เขาได้เดินทางไปยังอพาร์ตเมนต์สตูดิโอของ Ripple CTO อย่าง Stefan Thomas ทางใต้ของ Market Street

เขาเปิดแล็ปท็อปและเริ่มพิมพ์ “The Ultimate Smart Contract และ Decentralized Application Platform”

เขาต้องการชื่อให้กับมัน ดังนั้นเขาจึงได้หาแรงบันดาลใจจากนิยายวิทยาศาสตร์ เขาเลื่อนดู wikipedia เมื่อเขาเห็นคำว่า “Ether” ซึ่งเขาจำได้จากหนังสือวิทยาศาสตร์ตอนยังเป็นเด็ก

Ether เป็นแนวคิดที่หักล้างว่ามีวัสดุที่ละเอียดอ่อนมาก ซึ่งเติมพื้นที่และนำคลื่นแสงในลักษณะเดียวกับวัตถุทางกายภาพนำคลื่นเสียง ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่เขาคิดเกี่ยวกับคำว่า “Ethereum”

Vitalik ต้องการให้แพลตฟอร์มของเขาเป็นสื่อกลางและมองไม่เห็นสำหรับทุกการใช้งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยุคกลางคิดว่า Ether เป็นสิ่งดังกล่าว และนอกจากนั้น มันเป็นคำที่ดูดีมาก ๆ ในสายตาของ Vitalik

Ether ชื่อสุด Cool ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ (CR:Technohoop)
Ether ชื่อสุด Cool ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ (CR:Technohoop)

ช่วงสองสัปดาห์ในปลายเดือนพฤศจิการยน เขาทำงานอย่างหนักกับเอกสาร Whte Paper ของ Ethereum ซึ่งบางครั้งก็ทำจากสตูดิโอของ Stefan บางครั้งก็จากสำนักงานของ Ripple

Stefan เองกำลังทำงานเพื่อสร้างเลเยอร์ Smart Contract สำหรับ Ripple (ซึ่งเขายังไม่ได้เปิดตัว) และรู้สึกตื่นเต้นที่จะแบ่งปันความคืบหน้าของเขากับ Vitalik และได้ยินเกี่ยวกับประสบการณ์ของ Vitalik ในการทำงานกับโปรเจกต์ Mastercoin และ Colored Coins แต่ Stefan รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ Vitalik แทบจะไม่พูดอะไรเลย และเก็บตัวเป็นส่วนใหญ่

Vitalik ใช้พลังทั้งหมดของเขา รวมรวมความคิดที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ก่อตัวขึ้นในสมองของเขาในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา หลังการทัวร์ครั้งใหญ่รอบโลกของเขา นับตั้งแต่ที่เขาทำงานกับกลุ่ม hacker ใน Calafou ไปจนถึงการทำงานของเขากับทีม Bitcoin 2.0 ซึ่งได้ทำให้ความคิดของเขาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

“ปรัชญาการออกแบบของโปรโตคอล Ethereum นั้นตรงกันข้ามกับ cryptocurrencies อื่น ๆ ในปัจจุบันหลายๆ ด้าน” เขาเขียนในย่อหน้าปิด Ethereum ไม่ได้เป็นเพียงโครงการ Bitcoin อีกโครงการหนึ่ง แต่เป็นโครงการ cryptocurrency ที่ทะเยอทะยานที่สุดนับตั้งแต่การถือกำเนิดของ Bitcoin

เมื่อเขาทำเสร็จ เขาได้ทบทวน Paper จำนวน 12 หน้าอีกครั้ง และร่างอีเมลสำหรับกลุ่มคนที่เขาคิดว่าอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะให้คำติชมอย่างรอบคอบ

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2013 เวลา 10:49 น. และหัวข้อคือ “แนะนำ Ethereum : แพลตฟอร์ม Smart Contract / แพลตฟอร์ม DAC ทั่วไป”

เฮ้ ทุกคน

ผมอยากจะแนะนำร่างแรกของ White Paper สำหรับโครงการที่ผมทำอย่างเงียบ ๆ ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โครงการนี้เรียกว่า Ethereum; แนวคิดคือเพื่อทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มการคำนวณเอนกประสงค์สำหรับ Smart Contract และองค์กรอิสระใด ๆ ที่กระจายอำนาจ และเพื่อสรุปการทำงานของ Namecoin , Mastercoin , Colored Cons และโครงการอื่นๆ ที่ผมเรียกว่า “Cryptocurrency 2.0” นี่คือเอกสารนี้:

http://vbuterin.com/ethereum.html

โดยพื้นฐานแล้ว Ethereum จะทำให้สัญญาทางการเงินและตัวแทนทั้งหมดกลายเป็นนิติบุคคลที่เรียกว่า “สัญญา (contract)” ซึ่งสามารถรับและส่งธุรกรรมได้โดยอัตโนมัติ และมีโค้ดสคริปต์ภายในเป็นภาษาแอสเซมบลีที่รันทุกครั้งที่ได้รับธุรกรรม สกุลเงินย่อย (Sub-currencies) , คำสั่งแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ (decentralized exchange orders) , การลงทะเบียนแบบ Namecoin,สัญญาทางการเงิน (financial contracts) และทรัพย์สินอัจฉริยะ (smart property) ทั้งหมดจะถูกนำไปใช้อย่างง่ายดายโดยใช้โครงการนี้

และนี่เป็นเพียงร่างแรกของโครงการเท่านั้น ในรูปแบบ Paper ที่ผมส่งไปยังคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ได้รับการคัดเลือก (ประมาณ 13 คน) ผมขอแนะนำให้ทุกคนอ่าน และแสดงความคิดเห็นเข้ามา และผมจะอัปเดตเอกสารและส่งไปยังกลุ่มคนที่มากขึ้น (และในรอบที่ 3 ให้ประกาศต่อสาธารณะ) หากใครประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ โปรดส่งอีเมลแสดงความสนใจของคุณมาที่ผม

ด้วยความนับถือ,Vitalik

Vitalik ต้องการสร้างแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี blockchain ที่สนับสนุน Bitcoin แต่มีความแตกต่างที่สำคัญมากกับสกุลเงินดิจิทัลแบบดั้งเดิม เขาคาดหวังว่าจะได้รับคำวิจารณ์กลับมาจาก paper ของเขาที่ส่งไป และอธิบายเหตุผลว่าทำไมมันจะไม่ได้ผล

แต่นั่นไม่เคยเกิดขึ้น เพราะ อีเมล ฉบับนี้ถูกส่งต่อไปเป็นทอด ๆ ดังนั้นสิ่งที่เขาได้รับกลับมาเป็นกระแสตอบรับจากผู้คนที่รู้สึกตื่นเต้นกับโครงการและต้องการเข้าร่วมงานกับเขาอย่างล้นหลามในต้นเดือนธันวาคม

วิสัยทัศน์ของ Vitalik นั้นใหญ่เกินกว่าจะจำกัดด้วย chain อื่น ๆ เขากำลังคิดที่่จะสร้างฐานรากสำหรับทุกสิ่ง คอมพิวเตอร์ที่สามารถอาศัยอยู่ในทุกโหนดของเครือข่ายทั่วโลกขนาดมหึมาได้พร้อม ๆ กัน ซึ่งสามารถประมวลผลสิ่งที่คุณโยนเข้าไป โดยไม่ต้องหยุดทำงานหรือถูกรบกวน ดังนั้นนักพัฒนาสามารถสร้างสิ่งที่พวกเขาฝันถึงได้ และไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาได้ มันจะกลายเป็นเครื่องจักรที่ทำงานแบบไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง

Vitalik เรียก ETH ว่า ‘crypto-fuel’ มันเป็นก๊าซที่หล่อเลี้ยงเครือข่าย Ethereum

Ethereum ใช้แนวคิดคล้าย ๆ กับ Bitcoin ซึ่งหมายความว่าผู้ขุดจะได้รับ Ether เป็นรางวัลสำหรับการตรวจสอบธุรกรรม ผู้ขุดจะตัดสินใจว่าพวกเขาเต็มใจที่จะดำเนินการธุรกรรมตามค่าธรรมเนียมที่เสนอหรือไม่

เหตุผลในการแยกก๊าซและ Ether คือ เพื่อให้ต้นทุนในการคำนวณยังมีเสถียรภาพแม้ว่าราคาของสกุลเงินดิจิทัลจะผันผวนตามอุปสงค์และอุปทานในตลาด ตัวอย่างเช่น ธุรกรรมที่มีค่าใช้จ่าย 100 ก๊าซ จะมีค่าใช้จ่าย 100 ก๊าซเสมอ แต่จำนวน Ether ที่ผู้ส่งจะต้องจ่ายให้กับนักขุด จะขึ้นอยู่กับราคาตลาดของ Ether

ความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่งระหว่าง Ethereum และ Bitcoin คือ วิธีการบันทึก ซึ่ง Bitcoin ใช้โมเดล Unspent Transaction Output หรือ UTXO ยอดคงเหลือในบัญชี Bitcoin แต่ละบัญชีประกอบด้วยเหรียญที่ยังไม่ได้ใช้ที่เหลือจากธุรกรรมอื่น ยอดคงเหลือหนึ่งรายการมักจะมี UTXO จำนวนมาก

ซึ่งมันคล้าย ๆ กับกระเป๋าเงินจริง ๆ ของเรา ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วยธนบัตรและเหรียญหลายสกุล ซึ่งในการซื้อบางอย่างด้วย Bitcoin อาจต้องใช้ UTXO ร่วมกัน เช่นเดียวกับที่เราใช้ธนบัตร 10 ดอลลาร์ 5 ดอลลาร์ เพื่อซื้อบางอย่างที่มีมูลค่า 12 ดอลลาร์ จะมี 3 ดอลลาร์ที่เหลือจากธุรกรรมนั้นที่จะกลายเป็น UTXO ใหม่

แต่ Ethereum จะใช้โมเดลบัญชี/ยอดคงเหลือ ซึ่งติดตามยอดรวมหรือ “สถานะ” ของแต่ละบัญชี หากโมเดลของ UTXO ของ Bitcoin คล้ายกับธนบัตรและเหรียญ โมเดลของ Ethereum ก็เหมือนบัญชีเช็ค ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมจำนวนเงินที่สามารถถอนออกได้อย่างละเอียด และทำให้โปรแกรมที่ซับซ้อนมากขึ้นง่ายต่อการใช้งาน

ข้อแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งกับ Bitcoin คือสิ่งที่ Vitalik เรียกว่า “first-class citizen” ของ Ethereum ซึ่งจะทำให้แอปพลิเคชันที่รันด้วยโค้ดดำเนินการเองได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่จำเป็นต้องมีใครมาทริกเกอร์มัน ซึ่งหากจุดประสงค์ของเทคโนโลยี blockchain คือเพื่อกำจัดคนกลาง แนวคิดนี้ก็ฝังแน่นอยู่ที่แกนกลางของ Ethereum นั่นเอง

ซึ่งส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้มารวมกันเพื่อสร้างเลเยอร์พื้นฐาน : blockchain ที่มีภาษาการเขียนโปรแกรมที่สมบูรณ์ในตัว ทำให้ทุกคนสามารถเขียน Smart Contract และ แอปพลิเคชั่นที่กระจายอำนาจได้

มันเปิดโอกาสให้สร้างแอปพลิเคชั่นมากมายบน Ethereum เช่น สกุลเงินดิจิทัล สัญญาป้องกันความเสี่ยง การประกันพืชผลราคาเกษตร ระบบชื่อโดเมน บริษัทที่ผู้ถือหุ้นตัดสินใจว่าจะย้ายกองทุนไปที่ไหน องค์ประชุมของนักลงทุน และอาจเป็นรากฐานสำหรับเครือข่ายสังคมออนไลน์

Vitalik ต้องการสร้างแพลตฟอร์มซึ่งธุรกรรมทุกอย่างสามารถทำงานได้แบบ P2P ไม่สามารถแฮ็กได้ และไม่ถูกเซ็นเซอร์ เขากำลังวาดภาพคอมพิวเตอร์โลกที่จะใช้พลังงานจากบริษัทและรัฐบาลต่าง ๆ ทำให้โลกมีประสิทธิภาพและยุติธรรมมากขึ้น ความเป็นไปได้จะไม่มีที่สิ้นสุด

ในตอนท้ายของ White Paper ความตื่นเต้นของ Vitalik นั้นชัดเจน

“ด้วยเหตุนี้ เรามีโปรโตคอลการเข้ารหัสลับที่มีฐานรหัสขนาดเล็กมาก และยังสามารถทำอะไรก็ได้ที่สกุลเงินดิจิทัลจะสามารถทำได้” เอกสารสรุปปิดท้าย

เมื่อ Anthony Di Iorio (ผู้จัด meetup ชาว Bitcoiner ที่ Pauper’s Pub ในโตรอนโต) ได้เห็น White Paper ของ Ethereum เขาก็รู้สึกได้เช่นกันว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แม้ว่าทักษะทางเทคนิคของเขาจะไม่ซับซ้อนพอที่จะเข้าใจในรายละเอียดเชิงลึก เขาจึงได้ส่งต่อไปยัง Charles Hoskinson ผู้ซึ่งผลิตโปรแกรมการศึกษาสำหรับ Bitcoin Alliance of Canada

Charles Hoskinson ผู้ที่แจ้งเกิดในวงการผ่านการให้ความรู้ใน Udemy (CR:Coingape)
Charles Hoskinson ผู้ที่แจ้งเกิดในวงการผ่านการให้ความรู้ใน Udemy (CR:Coingape)

โดย Charles เริ่มมาสนใจ Bitcoin หลังจากที่เขาสังเกตเห็นว่า Bitcoin ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าสนใจ ซึ่งเขาได้เข้าไปอ่านข้อมูลของ Bitcoin ที่เว็บไซต์ Slashdot และมองว่ามันเป็นความคิดที่น่าสนใจ แต่ความผันผวนของมันจะไม่ทำให้มันกลายเป็นวิธีการแลกเปลี่ยนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

Charles ได้ตัดสินใจที่จะเรียนรู้ทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับ Bitcoin และทำเป็นสื่อการสอนให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ เขาได้อ่านหน้า wikipedia ของ Bitcoin ทุกหน้าอย่างเป็นระบบ อ่านซอร์สโค้ด และพูดคุยกับนักพัฒนาหลักของ Bitcoin

เขาได้รวมรวมความรู้ทั้งหมดสร้างเป็น Powerpoint และสร้างวีดีโอเพื่อบรรยาย หลังจากผ่านไป 1 เดือน เขาได้เปิด class เรียนประมาณ 10 คลาส ใช้เวลาระหว่าง 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง และเปิดให้เรียนฟรีบน Udemy ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ หลักสูตรนี้เรียกว่า “Bitcoin or How I Learned to Stop Worrying and Love Crypto.”

และ Charles ก็เริ่มได้รับการยอมรับในชุมชน Bitcoin มีนักเรียนหลายคนที่ติดตามเขามาจากหลักสูตรออนไลน์ หนึ่งในนั้นคือ Li Xiaolai ครูสอนภาษาอังกฤษชาวจีน ซึ่งได้รับหุ้นจากบริษัทที่เขาทำงานอยู่เมื่อบริษัททำ IPO จากนั้น Li ได้ลงทุนใน Bitcoin หลายพันเหรียญด้วยต้นทุนราคาที่น้อยกว่า 1 ดอลลาร์ ภายในปี 2013 เขาได้กลายเป็นมหาเศรษฐีและได้เปิดกองทุนสกุลเงินดิจิทัล

อยู่มาวันหนึ่ง Charles ได้รับข้อความจาก Li ว่า “เฮ้ ผมชอบการสอนของคุณ ผมจะลงทุน 500,000 ดอลลาร์ เพื่อให้คุณเริ่มโครงการ crypto ใหม่”

นั่นเองที่เป็นทุนก้อนแรกที่ Charles ใช้สร้างโครงการใหม่ที่ชื่อว่า Invictus และสร้างกระทู้บน BitcoinTalk โดยประกาศว่า

“เป็นที่ชัดเจนว่าการแลกเปลี่ยน P2P จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเพื่อให้แน่ใจว่า cryptocurrencies ทั้งหมดจะอยู่รอดในระยะยาว ดูเหมือนว่าจะมีนวัตกรรมมากมายและแนวทางต่าง ๆ ในการสร้างการแลกเปลี่ยนแบบ P2P ผมต้องคนมาร่วมงานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้”

คนแรกที่ตอบกลับมาทันทีคือคนที่ใช้ชื่อนามแฝงว่า “bytemaster” ตอบกลับมาแค่เพียงสองคำ “I’m in!” และชายผู้นั้นคือ Dan Larimer

Charles ได้ติดต่อ Dan และพบว่า Dan ก็ได้ทำบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอยู่แล้ว เพียงแค่หกวันก่อนหน้าก่อนที่ Charles จะโพสต์ Dan มีโพสต์บน BitcoinTalk ในหัวข้อ “การแลกเปลี่ยน Fiat/Bitcoin โดยไม่ต้องฝาก Fiat”

“ผมมีทุนจากผู้ชายชาวจีน อยากร่วมมือกันไหม” Charles กล่าวกับ Dan “ผมสามารถเป็น CEO และคุณสามารถเป็น CTO ได้” ซึ่ง Dan ตกลงในทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็บินไปที่เวอร์จิเนียเพื่อจัดตั้งบริษัท

พวกเขาได้ก่อตั้ง Invictus Innovations ในรัฐเวอร์จิเนียเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม โดยมี Li เป็นผู้อำนวยการและผู้ลงทุนหลัก เงินทุนจะถูกใช้เพื่อทำการวิจัยและเผยแพร่งานวิจัยของโครงการ Invictus

และงานวิจัยที่โดดเด่นที่สุดที่ตีพิมพ์อยู่ในบทความบน LetsTalkBitcoin.com โดย Dan และทีม คือการนำเสนอแนวคิดของ Distributed Autonomous Company ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Decentralized Autonomous Organisation หรือ DAO ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะเปลี่ยน Ethereum ให้กลายเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่

DAO เป็นแนวคิดแปลกใหม่ในการสร้างองค์กรที่ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งกฏของธุรกิจจะกำหนดไว้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์และดำเนินการโดยมีส่วนร่วมของมนุษย์น้อยที่สุด เนื่องจากองค์กรจะถูกสร้างขึ้นบน blockchain สาธารณะ เช่น Ethereum ซึ่งการตัดสินใจและการไหลของเงินทุนจะโปร่งใสอย่างสมบูรณ์

มันสามารถทำหน้าที่บางอย่างโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับที่ธนาคารทำ ตัวอย่างเช่น การเก็บเอกสารส่วนตัวสำหรับการเปิดบัญชีของลูกค้า การโอนเครดิตระหว่างบัญชีเมื่อได้รับ “เช็ค” ที่ลงนามอย่างถูกต้อง

ในไม่ช้าโปรเจค Invictus ก็มีความทะเยอทะยานมากกว่าการสร้างการแลกเปลี่ยนแบบ P2P พวกเขายังต้องการสร้างสกุลเงินดิจิทัลเพื่อพิสูจน์การทำงาน ระบบการจัดการข้อมูลแบบกระจายศูนย์ และแพลตฟอร์มการส่งข้อความที่เข้ารหัส

แนวคิดคือการสร้างระบบนิเวศที่ผู้ใช้สามารถสื่อสารและทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือไว้วางใจบุคคลที่สาม พวกเขาเรียกโครงการนี้ว่า Bitshares และได้นำเสนอวิสัยทัศน์ของพวกเขาในการประชุม Bitcoin ที่แอตแลนตาในเดือนตุลาคม

นั่นทำให้ Charles และ Dan เริ่มมีปัญหากัน แผนใหญ่ของพวกเขาคือต้องการเงินทุนเพิ่มเติม และ Dan ก็พยายามหาเงินด้วยการระดมทุนจากการทำ ICO แบบเดียวกับ Mastercoin แต่ Charles คิดว่ามันเสี่ยงเกินไป ซึ่งสุดท้าย Charles ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

Charles กลับไปที่โคโลราโด โดยรู้สึกพ่ายแพ้หลังจากการพยายามเริ่มต้นธุรกิจครั้งแรก และในขณะที่เขาตัดสินใจว่ากำลังจะทำอะไรต่อไป Anthony ได้บอกให้ Charles โทรคุยกับ Vitalik , Mihai Alisie และ Amir Chetrit ที่เข้าร่วมโครงการ Ethereum หลังจากได้รับ White Paper จาก Vitalik

โดยไทม์ไลน์คร่าว ๆ ที่จะเกิดขึ้น คือ Vitalik จะเปิดตัว Ethereum ที่งาน North American Bitcoin Conference ที่ไมอามีในปลายเดือนมกราคม

ซึ่งช่วงแรกมีเพียง 5 คนเท่านั้น คือ Vitalik , Mihai , Amir , Charles และ Anthony ที่คุยมีการพูดคุยเกี่ยวกับ Ethereum กันเป็นประจำ ในไม่ช้าคนอื่น ๆ อีกหลายคนก็ได้เข้ามาร่วมกลุ่ม Skype

Anthony ต้องการให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องพบปะกันที่ไมอามีระหว่างการประชุม เพื่อให้เป็นการคัดเลือกทีมงานที่เหมาะสม และสามารถสร้างบริษัทร่วมกันได้ โดยเขาได้เช่าบ้านผ่าน Airbnb ขนาดใหญ่เพื่อรองรับผู้เข้าร่วมที่สนใจทั้งหมด และยังซื้อตั๋วเครื่องบินให้กับนักพัฒนาที่มีนามแฝงว่า “Gavofyork” ซึ่งทำงานอยู่เงียบ ๆ เกี่ยวกับการนำ Ethereum ไปใช้ในลอนดอน

ตอนนี้ ทีมงานของ Ethereum ได้ดรีมทีม ที่พร้อมจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อที่ไมอามี และ นักพัฒนาปริศนาที่มีนามว่า “Govofyork” จะเป็นใคร โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : The Miami House

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ