การล่มสลายของ Crypto จะเกิดอะไรขึ้นถ้า bitcoin มูลค่าลดลงเหลือศูนย์?

การขยายตัวล่าสุดของจักรวาล crypto เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ ในปีที่แล้วมีประมาณ 6,000 สกุลเงินที่ได้เข้าจดทะเบียนบน CoinMarketCap แต่ในทุกวันนี้มีมากกว่า 11,145 สกุลเงินที่มีการจดทะเบียน  โดยมูลค่าตลาดรวมพุ่งขึ้นจาก 330 พันล้านดอลลาร์เป็น 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ GDP ของแคนาดาโดยประมาณ โดยมีกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 100 ล้านใบเพิ่มขึ้นประมาณสามเท่าเมื่อเทียบกับปี 2018

ผู้ที่เข้ามาลงทุนในตลาดอันหอมหวนนี้ก็มีความซับซ้อนมากขึ้นเช่นกัน โดยมีส่วนของสถาบันคิดเป็น 63% ของการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพียงแค่ 10% ในช่วงปี 2017  

Skybridge กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ดำเนินการโดย Anthony Scaramucci เป็นตัวอย่างที่ดี กองทุนที่มีความหลากหลายมูลค่ากว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์เริ่มลงทุนใน crypto ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2020

ในเดือนมกราคม 2021 ได้เปิดตัวกองทุน bitcoin มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ มีการเปิดรับลูกค้า 26,000 รายซึ่งมีตั้งแต่บุคคลร่ำรวยไปจนถึงกองทุนความมั่งคั่งต่าง ๆ โดยถือสกุลเงินหลักอย่าง Bitcoin คิดเป็น 9% ของมูลค่าทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดิม 5% และตอนนี้กองทุนเฉพาะดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 700 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่เกิดขึ้นกลับมีความผันผวนสูงที่มาก ๆ โดยส่วนใหญ่ใช้ความปั่นป่วนที่เป็นตัวกำหนดลักษณะของตลาดคริปโต Bitcoin ลดลงจาก 64,000 ดอลลาร์ในเดือนเมษายนเป็น 30,000 ดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม และพุ่งกลับไปที่ 67,000 ในเดือนพฤศจิกายน และราคาเพิ่งตกลงมาอีกรอบในไม่กี่วันที่ผ่านมาที่ราคา 48,000 ดอลลาร์

กลุ่มสถาบันคิดเป็น 63% ของมูลค่าการซื้่อขายทั้งหมด (CR:The Economist)
กลุ่มสถาบันคิดเป็น 63% ของมูลค่าการซื้่อขายทั้งหมด (CR:The Economist)

ความน่าสนใจจากบทความของ The Economist ที่เกิดคำถามว่าผลกระทบจะเลวร้ายเพียงใด หากลองจินตนาการว่าราคาของ bitcoin ตกลงไปจนเหลือศูนย์

ถ้า bitcoin มูลค่าลดลงเหลือศูนย์?

ต้องบอกว่ามันมีปัจจัยที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวทางเทคนิค หรือการแฮ็กครั้งใหญ่ของแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนชั้นนำ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมานับต่อนับแล้วในอดีตอย่างการล่มสลายของ Mt.gox หรืออาจจะมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การปราบปรามโดยหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ของรัฐที่เข้มงวดมากขึ้น

Mohamed El-Erian ผู้จัดการสินทรัพย์ จาก Allianz กล่าวว่ามีนักลงทุน crypto อยู่สามประเภท: “ผู้มีความรู้พื้นฐาน” ซึ่งเชื่อว่า bitcoin จะเข้ามาแทนที่สกุลเงินที่รัฐบาลออกให้ในวันหนึ่ง “นักวางกลยุทธ์” ซึ่งคิดว่าค่าของมันจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีผู้คนเข้ามาลงทุนมากขึ้น และ “นักเก็งกำไร” ที่ต้องการเล่นเพื่อการพนัน 

ซึ่งหาก bitcoin ล่มสลายจริง ๆ คนกลุ่มแรกคงไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเทขายหมดน้อยที่สุด ส่วนกลุ่มที่สามที่เป็นนักเก็งกำไรจะหนีไปเมื่อเห็นสัญญาณปัญหาเพียงครั้งแรก  ส่วนคนกลุ่มที่สองจะถูกเกลี้ยกล่อมให้อยู่ต่อ แต่สุดท้ายก็คงอยู่ไม่ไหวอยู่ดีหากราคาตกลงไปที่ศูนย์

สิ่งที่จะส่งผลต่อไปคือ นักขุด Bitcoin ผู้ตรวจสอบการทำธุรกรรมเพื่อแลกกับโอกาสในการได้รับเหรียญใหม่ จะมีแรงจูงใจน้อยลงที่จะดำเนินการต่อไป ทำให้กระบวนการตรวจสอบและอุปทานของ Bitcoin หยุดชะงักลง นักลงทุนอาจจะทิ้ง cryptocurrencies อื่น ๆ ด้วย ความโกรธเคือง

ผลที่ได้คือการทำลายความมั่งคั่งของกลุ่มคนจำนวนมาก นักลงทุนที่ถือ bitcoin เป็นเวลานานกว่าหนึ่งปีโดยซื้อมันในราคาที่ต่ำจะขาดทุนน้อยกว่า แม้จะได้กำไรมหาศาล แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง

การสูญเสียที่ใหญ่ที่สุดจะตกอยู่กับผู้ที่ซื้อน้อยกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ราคาเฉลี่ย 37,000 ดอลลาร์ ซึ่งจะรวมถึงสถาบันส่วนใหญ่ที่เข้ามาเดิมพันกับ crypto รวมถึงกองทุนป้องกันความเสี่ยง กองทุนมหาวิทยาลัย กองทุนรวม และกองทุนของบริษัทบางแห่งที่เข้ามาร่วมด้วย

มูลค่ารวมที่สูญหายไปจะมากกว่ามูลค่าตลาดของสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด และจะกวาดล้างการลงทุนภาคเอกชนในบริษัท crypto เช่นแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน (มูลค่า 37 พันล้านดอลลาร์) รวมถึงมูลค่าของบริษัท crypto ที่จดทะเบียน (มูลค่าประมาณ 90,000 ล้านดอลลาร์) 

บริษัทชำระเงินเช่น PayPal, Revolut และ Visa จะสูญเสียธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้การประเมินมูลค่าของบริษัทพวกเขาแย่ลง บริษัทต่างๆ ที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของ crypto เช่น Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิป ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยรวมแล้ว อาจสร้างความสูญเสีย 2 ล้านล้านดอลลาร์ จากคลื่นกระแทกแรกนี้

Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิป ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกันจากเหมืองขุด crypto (CR:Data Center Knowledge)
Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิป ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกันจากเหมืองขุด crypto (CR:Data Center Knowledge)

หลังจากนั้นจะลุกลามแพร่กระจายผ่านหลายช่องทางไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ ทั้งคริปโตและกระแสหลัก ช่องทางหนึ่งคือกลุ่มที่ใช้เลเวอเรจ ซึ่ง 90% ของเงินที่ลงทุนใน bitcoin ทั้งหมดนั้นถูกใช้ไปกับอนุพันธ์

โดยส่วนใหญ่มีการซื้อขายในแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้รับการควบคุม เช่น FTX และ Binance ซึ่งลูกค้ามีการกู้ยืมเงินมาเพื่อทำการเดิมพันที่ใหญ่ขึ้น การแกว่งตัวของราคาเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เกิดการเรียกมาร์จิ้นขนาดใหญ่ 

ความเร่งรีบเพื่อตอบสนองความต้องการมาร์จิ้นในสกุลเงินดิจิทัล อาจบังคับให้กลุ่มนักพนันต้องทิ้งสินทรัพย์ทั่วไปเพื่อเพิ่มเงินสด เนื่องจากการถือครอง crypto ของพวกเขาจะไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ซึ่งอาจมีการเทขายออก ซึ่งขอบเขตของเลเวอเรจในระบบนั้นยากต่อการวัดความเสียหายได้อย่างชัดเจน 

ผลกระทบต่อมาคือ “stablecoins” ที่ขับเคลื่อนการซื้อขาย crypto เนื่องจากการแลกเปลี่ยนดอลลาร์สำหรับ bitcoin นั้นช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ค้าที่ต้องการรับผลกำไรและนำเงินกลับมาลงทุนใหม่มักจะทำธุรกรรมในสกุลเงินที่มีเสถียรภาพ ซึ่งผูกติดอยู่กับดอลลาร์หรือยูโร เหรียญดังกล่าว ซึ่งใหญ่ที่สุดคือ Tether และ USD coin มีมูลค่ารวมกันถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในแพลตฟอร์ม crypto บางแพลตฟอร์มถือเป็นวิธีหลักในการใช้แลกเปลี่ยน

ซึ่งการออกเหรียญสำรอง Stablecoins ต้องมีสินทรัพย์มา backup เหมือนกับกองทุนตลาดเงิน แต่พวกเขาไม่ได้ถือไว้เป็นเงินสดเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างเช่น Tether กล่าวว่า 50% ของสินทรัพย์ของบริษัทถูกเก็บไว้ในเงินสด 12% ในสินเชื่อที่มีหลักประกัน และ 10% ในพันธบัตรองค์กร กองทุน และโลหะมีค่าต่างๆ

การล่มสลายของ crypto อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในวงกว้าง โดยขอบเขตของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยังไม่ชัดเจน: มีองค์กรจำนวนมากที่เข้ามาเกี่ยวพันกับการลงทุนใน cryptocurrencies แต่ต้องบอกว่ามีเพียงไม่กี่แห่งที่มีส่วนแบ่งความมั่งคั่งมหาศาลจากพวกมัน

ดังนั้นการสูญเสียจะแพร่กระจายเป็นวงกว้างมาก ๆ  แต่ส่วนของภาคธนาคารเองนั้นมีภูมิคุ้มกันค่อนข้างสูง และส่วนใหญ่จะไม่รีบเร่งที่จะถือ bitcoin ในงบดุลของพวกเขา

แต่กรณีที่แย่กว่านั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทำให้นักลงทุนต้องเสี่ยงมากขึ้น การล่มสลายของ crypto อาจทำให้เกิดสินทรัพย์แปลกใหม่อื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างราคา bitcoin กับหุ้น meme และแม้แต่หุ้นขนาดใหญ่ก็เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักพนันนำกำไรที่ได้จากหุ้นที่ล้าสมัยไปลงทุนใน crypto นั่นเอง

ซึ่งหากราคาของ bitcoin ตกไปจนถึงศูนย์จริง ๆ  ในสถานการณ์แบบสุดโต่ง มันชี้ให้เห็นว่าเลเวอเรจ, stablecoins และความเชื่อมั่นเป็น key หลักที่จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างที่ขอบเขตกว้างใหญ่มาก ๆ  และที่สำคัญตอนนี้สกุลเงินดิจิทัลก็มีความเกี่ยวข้องกับการเงินแบบเดิม ๆ มากยิ่งขึ้น  ตัวอย่างเช่น Goldman Sachs วางแผนที่จะเปิดตัวกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโต Visa ได้เปิดตัวบัตรเดบิตที่จ่ายรางวัลลูกค้าเป็น bitcoin 

Visa ได้เปิดตัวบัตรเดบิตที่จ่ายรางวัลลูกค้าเป็น bitcoin  (CR:Coindesk)
Visa ได้เปิดตัวบัตรเดบิตที่จ่ายรางวัลลูกค้าเป็น bitcoin  (CR:Coindesk)

ซึ่งในขณะที่ crypto กำลังขยายตัว ศักยภาพและพลังของ crypto หากมันล่มสลายขึ้นมาจริง ๆ ก็จะทำให้ตลาดหยุดชะงักในวงกว้างได้เช่นเดียวกันนั่นเองครับผม

บทสรุป

ต้องบอกว่าเป็นการจำลองสถานการณ์ที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับบทความจาก The Economist ซึ่งลองจินตนาการถึงมุมมองที่เลวร้ายสุด ๆ เมื่อ bitcoin มูลค่าลดลงเหลือศูนย์

มันฉายภาพให้เห็นภาพใหญ่ของสิ่งที่พัวพันกับการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้ ที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างมากกว่าที่หลาย ๆ คนคิด ซึ่งมันคงเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นจริง แต่จะเห็นได้ว่าตอนนี้โลกการเงินมันได้หลอมรวมกันและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ซึ่งมันคงเป็นเรื่องยากที่จะปล่อยให้เกิดการล่มสลายของ Crypto อย่างแน่นอน

แต่ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่งก็ต้องบอกว่า cryptocurrencies เองก็ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกขีดเขียนมาด้วยการเขียนโปรแกรม ซึ่งถือเป็นทั้งจุดแข็งและความเสี่ยงด้วยเช่นกัน ในวันนี้อาจจะเป็นวันที่รุ่งเรืองของเทคโนโลยีนี้

แต่ใครจะรู้อนาคต เพราะเทคโนโลยีขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมากจนเราแทบตามไม่ทัน ซึ่งในอนาคต blockchain หรือ วิธีการแก้ปัญหา double spending ที่ cryptocurrencies ทำได้สำเร็จนั้น สุดท้ายก็อาจจะถูก disrupt โดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหมือนที่โลกการเงินแบบเก่า ๆ กำลังจะถูก disrupt ในตอนนี้ก็เป็นได้เช่นกันครับผม

References :
https://econ.st/3lBKhrz
https://www.europeanbusinessreview.com/what-would-happen-if-bitcoins-value-suddenly-went-to-zero/
https://www.quora.com/What-would-happen-if-the-price-of-Bitcoin-went-down-to-zero
https://medium.com/geekculture/why-bitcoin-is-going-to-zero-85f74436e8bd