ประวัติ Ethereum ตอนที่ 13 : The Infinite Machine

เมื่อถึงสิ้นปี 2017 crypto กำลังจะได้รับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นข่าวดีที่สุด อย่างน้อยก็จากมุมมองของนักลงทุน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม CME Group ซึ่งดำเนินการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ประกาศแผนที่จะเสนอ bitcoin futures ภายในสิ้นปี เช่นเดียวกับ Cboe ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนออปชั่นที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ

หลังจากการประกาศของ CME นั่นหมายความว่าเหล่านักลงทุนใน Wall Street สามารถสัมผัสกับ bitcoin ได้อย่างง่ายดายเหมือนกับที่พวกเขาซื้อขายอนุพันธ์ที่เชื่อมโยงกับราคาทองคำหรือน้ำมัน พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัลใด ๆ เนื่องจากสัญญาเป็นเงินสด ไม่ใช่การส่งมอบจริง

แน่นอนว่าในไม่ช้าโอกาสของ Ethereum ก็จะมาถึงเช่นกัน นักลงทุนสถาบันกำลังเข้ามาร่วมวง เงินจำนวนมากจะไหลเข้าสู่วงการ crypto และราคาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าผู้ที่ซื้อสกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญมีวิวัฒนาการมาจากกลุ่มผู้นิยมอนาธิปไตยและแฮ็กเกอร์ที่ซื้อ crypto เพื่อประท้วงต่อต้านสถาบันการเงิน แต่ตอนนี้พวกเขาต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ปล่อยให้เหล่าสถาบันผู้หิวเงินโดดเข้ามาร่วมวง

จำนวนกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เน้นสกุลเงินดิจิทัลและกองทุนร่วมลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2017 กองทุนมากกว่า 200 แห่งถูกสร้างขึ้นในปีนั้น ซึ่งมากกว่าจำนวนเงินทุนที่เปิดตัวในปี 2016 ถึงกว่า 4 เท่า พวกเขาเสนอทุกอย่างตั้งแต่การลงทุนใน 10 อันดับแรกของ crypto ไปจนถึงซื้อขายอัลกอริธึมที่มีความซับซ้อน

Vitalik เริ่มมุ่งเน้นไปที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและเริ่มสนับสนุนชุมชน Ethereum ที่เกิดขึ้นใหม่ในภาคตะวันออกของโลก เขาได้ก่อตั้ง Ethereum Asia Pacific Ltd. ซึ่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ซึ่งจะเน้นที่การวิจัยเป็นหลัก บริษัท startup ด้าน crypto ที่เขาสนิทด้วยนั้นก็ตั้งอยู่ในภูมิภาคเหล่านี้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น OmiseGo ในประเทศไทยและ Kyber Network ในสิงคโปร์

ราคาของ ether เงินที่ได้จากการทำ ICO จำนวนธุรกรรมต่อวินาที แทบทุกตัวแปร ชี้ไปที่การเติบโตแบบทวีคูณ ในงาน Devcon3 มีการรวมพลของเหล่า Ethereans อีกครั้ง ในงานเต็มไปด้วยเหล่านักพัฒนา Ethereum ในเสื้อยืดหลากสี ที่คาดผมยูนิคอร์นหรือแม้แต่พรีเซ็นเตอร์ที่สวมชุดไดโนเสาร์บนเวที

สมาชิก Ethereum คนแรก ๆ หลายคน รวมถึงกลุ่ม co-founder 8 คนแรกก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานบนโปรโตคอล Ethereum อีกต่อไป พวกเขาได้มุ่งความสนใจไปที่โครงการของตนเอง

Joe Lubin โฟกัสอยู่กับ ConsenSys , Gavin Wood ได้เปิดบริษัท Parity Technology ของตนเอง (ต่อมาภายหลังก่อตั้ง Polkadot) , Jeff Wilcke เริ่มถอยตัวออกไปและใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากยิ่งขึ้น , Charles Hoskinson กำลังพัฒนา blockchain ของตัวเองที่ชื่อ Cardano ในขณะที่ Anthony กำลังมุ่งเน้นไปที่กระเป๋าเงินดิจิทัล Jaxx ของเขา

Gavin Wood กับ Polkadot โครงการใหม่ของเขา (CR:Crypto Economy)
Gavin Wood กับ Polkadot โครงการใหม่ของเขา (CR:Crypto Economy)

Mihai Alisie กำลังทำงานบนเครือข่ายสังคมแบบกระจายอำนาจที่เรียกว่า Akasha , Amir Chetrit ยังคงยินดีที่ช่วยเก็บรายละเอียดงานของ Ethereum แม้แทบไม่มีใครจำได้ว่าเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ในขณะที่เขาอยู่ในงานประชุมครั้งนี้ มีเพียงคนเดียวที่ทำงานกับ Ethereum ตลอดมานับตั้งแต่การเปิดตัวที่ไมอามีก็คือ Vitalik

ในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมราคาของ Bitcoin พุ่งทะลุ 13,000 ดอลลาร์ , 14,000 ดอลลาร์ , 15,000 ดอลลาร์ และ 16,000 ดอลลาร์ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน

เมื่อถึงช่วงสิ้นปี 2017 ราคา ether ก็พุ่งไปที่ประมาณ 750 ดอลลาร์ และพุ่งขึ้นมากกว่า 900 ดอลลาร์ ในวันที่ 2 มกราคม และพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทะลุ 1,000 ดอลลาร์ในอีกสองวันต่อมา และแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1,400 ดอลลาร์ในวันที่ 12 มกราคม สกุลเงินดิจิทัลพุ่งขึ้นมากกว่า 70% ในเกือบสองสัปดาห์ ซึ่งหนึ่งปีก่อนหน้ามีการซื้อขายกันที่ต่ำกว่า 10 ดอลลาร์เพียงเท่านั้น

Ethereum ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่โดดเด่นสำหรับ startup ในการระดมทุนผ่าน crypto ด้วยการระดมทุน ICO มากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ มีแอปพลิเคชันถูกสร้างขึ้นบน Ethereum เพิ่มมากขึ้นเป็นดอกเห็ด มีนักพัฒนาจำนวนมากเข้ามาร่วมวง ทั้ง องค์กรขนาดใหญ่ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และหน่วยงานภาครัฐก็เข้ามาร่วมทดสอบเครือข่ายแห่งนี้

อีกเทรนด์ใหญ่สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นใน Ethereum ในปี 2018 เป็นเวลา 5 ปีหลังจาก Alvaro Yermak พนักงานธนาคารชาวอาร์เจนติน่า ซื้อ bitcoin เหรียญแรกของเขา เขาแต่งงานและจะไปพักผ่อนกับภรรยาและลูกในเมือง Natal ซึ่งเป็นเมืองชายหาดของประเทศบราซิล พวกเขาเก็บเงินเป็นเดือน ๆ สำหรับทริปการเดินทางครั้งนั้น

แต่ในปี 2018 ค่าเงินเปโซร่วงลงอย่างรุนแรง และอัตราเงินเฟ้อก็พุ่งขึ้นถึง 50% เงินเดือนไม่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ผู้คนต่างประสบปัญหาทางด้านการเงิน การปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกู้ยืมระยะยาวเช่นการจำนองบ้าน กลายเป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

ดังนั้นเมื่อ Alvaro ตรวจสอบที่กระเป๋าเงินดิจิทัล Ripio ของเขา (ซึ่งเขาซื้อและเก็บ bitcoin ไว้) จากล็อบบี้โรงแรมในบราซิล เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นปุ่ม “เงินกู้” ใหม่ปรากฎขึ้นในแอป

Alvaro ได้ทดสอบการยืมเงิน 4,500 เปโซ หรือมากกว่า 100 ดอลลาร์เล็กน้อยในตอนนั้น เพื่อทดสอบว่ามันทำงานอย่างไร แอปได้ตรวจสอบบัญชีเขาด้วยสำเนาบัตรประจำตัวและสลิปการชำระเงินเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สองวันต่อมาเขามีเงินเข้ามา 4,500 เปโซในกระเป๋าเงินดิจิทัลของเขา ซึ่งเขาต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ย 6% ณ สิ้นเดือน

เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า เขาสามารถรับเงินกู้ได้เมื่อเขาไปเที่ยวพักผ่อน โดยที่ยังมีเม็ดทรายอยู่ระหว่างนิ้วเท้าของเขา โดยไม่ต้องไปนั่งที่ธนาคารและเซ็นชื่อบนเส้นประขณะพูดคุยกับผู้จัดการบัญชีที่แสนน่าเบื่อ มันใช้เพียงไม่กี่คลิก และที่สำคัญที่สุด ดอกเบี้ยก็ต่ำกว่าธนาคารแบบดั้งเดิมมาก

ไม่กี่วันหลังจากเขากลับบ้าน เขายื่นขอกู้ครั้งที่สองเป็นเงิน 75,000 เปโซ และเงินก็เข้าบัญชีอีกครั้งภายในสองวัน เขาใช้มันเพื่อลงทุนตามปรกติทันที เขาซื้อ bitcoin เพิ่ม แม้ตลาด cryptocurrency จะร่วงลง 6% ในเดือนกันยายน แต่ Alvaro ไม่ได้กังวล เพราะเงินเปโซยังอ่อนค่าลง 8% ในช่วงเวลาเดียวกัน

สิ่งที่ Alvaro ไม่รู้คืออีกด้านหนึ่งของเงินกู้ของเขาไม่ใช่ Ripio ให้ยืมเงินเขา เป็นโทเค็นของ Ripio Credit Network หรือที่เรียกว่า RCN และแปลงจาก RCN เป็นเปโซ ซึ่งผู้ให้กู้จะได้รับเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยคืนในรูปแบบ ether

เงินกู้เหล่านี้เป็น smart contract ที่ดำเนินการแลกเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ ซึ่งโทเค็นดิจิทัลและเครือข่ายที่ใช้ ethereum ช่วยให้พนักงงานในจังหวัดที่ห่างไกลของอาร์เจนตินาสามารถยืมเงินจากนักลงทุนที่ไม่ระบุชื่อซึ่งอาจอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก ซึ่งไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

เป็นการปฏิวัติระบบทางการเงิน ที่มีคนกลางเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเงินกู้จากธนาคารทั่วไป ดังนั้น Alvaro จึงสามารถได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่าได้ และเครือข่ายทั่วโลกทำให้เขาสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ให้กู้ที่มีศักยภาพมากขึ้น และนักลงทุนอีกด้านหนึ่งก็ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน

ปรากฎการณ์ใหม่บน Ethereum เกิดขึ้นและเหมือนกับ ICO และ NFT ก่อนหน้านี้ มันเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของนวัตกรรมในพื้นที่ blockchain และ Ripio กำลังสร้างระบบการเงินใหม่ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาเลิกใช้วิธีการธนาคารแบบเดิม ๆ ที่บริษัททางการเงินควบคุมข้อมูลของผู้ใช้ แต่บริการทั้งหมดของ Ripio ถูกสร้างขึ้นบน Ethereum blockchain

เนื่องจากแอปเหล่านี้ทำงานบน blockchain Ethereum สาธารณะ หมายความว่าการระดมเงินทุนมีความโปร่งใส และทุกคนสามารถเข้าไปดูโอเพ่นซอร์สโค้ดและตรวจสอบมันได้ พวกเขาสามารถแยกโปรเจ็กต์และแก้ไขได้ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวรู้จักกันในชื่อ “decentralized finance” หรือ DeFi และ “open finance”

ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การระดมทุนแบบ ICO เท่านั้น มันเกี่ยวกับระบบการเงินทั้งหมด โครงการเหล่านี้ใช้ประโยชน์จาก Ethereum โดยสำรวจวิธีการสร้างแง่มุมที่ซับซ้อนมากขึ้นของโลกการเงิน เช่น สินเชื่อและอนุพันธ์ในรูปแบบกระจายอำนาจ วิสัยทัศน์ “Web 3” ที่ Ethereum จะเป็นคอมพิวเตอร์โลก ซึ่งแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดกำลังก้าวหน้าในภาคการเงินที่สำคัญมาก ๆ

MakerDAO ที่เป็นกระดูกสันหลังของระบบนิเวศทางการเงินที่เกิดขึ้นใหม่นี้ เนื่องจากสินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ใช้เป็นหลักประกันในการสำรองเงินกู้ถูกฝากไว้ในแพลตฟอร์ม ผู้ใช้สามารถล็อค ether บน MakerDAO ได้และได้รับ Dai เป็นการตอบแทน ซึ่งเป็นเหรียญ Stablecoin ที่เชื่อมโยงกับราคาของเงินดอลลาร์

แพลตฟอร์มเริ่มกลายเป็นเหมือนธนาคารกลางของระบบนิเวศ แทนที่จะถูกควบคุมโดยกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์เก่า ๆ หัวโบราณกลุ่มเล็ก ๆ เหมือนกับหน่วยงานธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศ ผู้ใช้ทุกแห่งสามารถออก Dai เพื่อต่อต้าน ether และโหวตอัตราดอกเบี้ยที่ควบคุมราคาของ Dai เพื่อให้ยังคงอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ได้

และไม่ใช่แค่แพล็ตฟอร์ม startup เกิดใหม่เพียงเท่านั้น บริษัทใหญ่ ๆ กำลังสร้างเครือข่ายแบบกระจายอำนาจมากกว่าที่เคย เพียงแค่สองปีหลังจากที่ Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan ระบุว่า Bitcoin เป็น การฉ้อโกง

Jamie Dimon ที่เคยกล่าวถึง bitcoin ว่าเป็นเรื่องฉ้อโกง (CR:CNBC)
Jamie Dimon ที่เคยกล่าวถึง bitcoin ว่าเป็นเรื่องฉ้อโกง (CR:CNBC)

ธนาคารสหรัฐฯ ได้เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองที่สร้างขึ้นบน Quorum ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่มุ่งเน้นไปที่องค์กรของ Ethereum ทั้ง Microsoft และ Amazon ใช้ Ethereum สำหรับแพลตฟอร์ม blockchain-as-a-service บริษัทบัญชียักษ์ใหญ่อย่าง EY ได้สร้างเครื่องมือเพื่อให้บริษัทต่าง ๆ สามารถ สร้าง แลกเปลี่ยน และทำลายโทเค็นบน Ethereum ได้ ในโครงการที่เรียกว่า Nightfall

คุณค่าของเงินที่ไม่สามารถตรวจสอบได้สำหรับ crypto ยังคงอยู่ มันได้เริ่มมีความตระหนักมากขึ้นว่า Facebook และ Google ที่ยิ่งใหญ่มานานแล้ว ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นประตูหลักสู่อินเทอร์เน็ต

บริษัทของพวกเขาเหล่านี้สามารถทำสิ่งที่เลวร้ายได้อย่างมาก เป็นเวลานานเกินไปแล้วที่ผู้ใช้ละเลยที่จะตั้งคำถามว่าพวกเขาทำอะไรไปบ้างที่ให้เราใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้กันแบบฟรีๆ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอื้อฉาว Cambridge Analytica ซึ่งเปิดเผยว่าบริษัทที่ปรึกษาได้ใช้ข้อมูล Facebook ของผู้คนหลายล้านคนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขาเพื่อโน้มน้าวกิจกรรมทางการเมืองรวมถึง Brexit และการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา

ผู้คนต่างมอบรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตของพวกเขา รวมถึงตำแหน่ง GPS แชทส่วนตัว และบันทึกการสนทนาที่แอบแฝง บริษัทเหล่านี้ได้กำไรจากข้อมูลเหล่านี้ เทคโนโลยี blockchain นำเสนอทางเลือกให้กับอนาคตที่มืดมน ซึ่งผู้คนจะควบคุมไม่ใช่แค่เงินของพวกเขา แต่รวมถึงข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาด้วย

ผ่านมาถึงช่วงกลางปี 2019 เป็นเวลาของสัปดาห์ blockchain ในเมืองนิวยอร์ก ถึงตอนนี้สถิติต่าง ๆ ของ Ethereum นั้นดีกว่าที่เคย เครือข่ายมีปริมาณธรุกรรมที่สูงกว่า Bitcoin และมีนักพัฒนามากกว่า bitcoin ถึง 4 เท่า ตามรายงานของ Electric Capital

ในตอนท้ายของสัปดาห์ blockchain ที่นิวยอร์ก ในพื้นที่ coworking space ขนาดใหญ่ในบรู๊คลิน เหล่าสาวก Ethereans รวมตัวกันอีกครั้งเพื่องาน hackathon ผู้คนแน่นขนัดที่โต๊ะในงานเพื่อติดตั้งแล็ปท็อป มีแฮ็กเกอร์ นักวิจัย โปรแกรมเมอร์ ประมาณ 400 คนกำลังสร้าง Ethereum dapps ด้วยแนวคิดใหม่ ๆ กันอยู่ ซึ่งบางที CryptoKittes ใหม่อาจจะถูกสร้างขึ้นในสุดสัปดาห์นั้น

มูลนิธิ Web 3 ของ Gavin Wood ได้ดำเนินการขายโทเค็น DOT ครั้งที่สองโดยมีมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ และพร้อมที่จะเปิดตัวเครือข่าย Polkadot ในช่วงปีใหม่ที่จะถึง Joe Lubin ระดมเงินทุนให้กับ ConsenSys ได้ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ และกำลังดำเนินงานในฐานะโรงงาน startup Ethereum แบบเต็มรูปแบบ

Charles Hoskinson พยายามสร้าง Cardano เพื่อให้ทุกบรรทัดของโค้ดปลอดภัยจากเหล่าแฮ็กเกอร์ เขายังสนุกกับความมั่งคั่งที่เกิดจากสกุลเงิน crypto ของเขา ด้วย Lambo คันใหม่ล่าสุดและฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีม้าและแพะ ใกล้ Boulder รัฐโคโลราโด

Anthony Di Iorio ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Decentral ที่สร้างกระเป๋าเงินดิจิทัล Jaxx โดยเลื่อนไปรับตำแหน่งประธานของบริษัท เขาได้เปลี่ยนโฟกัสไปที่อุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามด้วยการให้คำปรึกษาของเขาเอง เขายังได้จ่ายเงิน 28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก crypto เพื่อซื้อเพนต์เฮาส์ขนาด 16,000 ตารางฟุตบนชั้น 50 ของ St. Regis ในโตรอนโต

ย้อนกลับไปที่งาน hackathon ใน บรู๊คลิน เพื่อนทางอินเทอร์เน็ตได้กลายมาเป็นเพื่อนในชีวิตจริง เหล่าแฮ็กเกอร์ผู้นิยมอนาธิปไตยทั้งหลาย ผ่านร้อนผ่านหนาวมากมายกับ Ethereum ทั้งการดิ่งลึกลงไปสู่ความล้มเหลวของตลาด แต่ตอนนี้พวกเขากำลังพุ่งทะยานขึ้นมาจากเถ้าถ่าน

ศักยภาพของ Ethereum มันไม่มีวันสิ้นสุด งาน hackathon ครั้งนี้มันก็เหมือนใน ทุก ๆ ครั้งที่พวกเขาเหล่านี้มารวมตัวกัน และมันได้เกิดกลุ่ม hackathon เหล่านี้ขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในบรู๊คลิน มันยังคงเกิดขึ้นในโกดังร้าง coworking space อพาร์ตเมนต์ที่แออัดยัดเยียด และศูนย์กลางการแฮ็กชั่วคราวที่เกิดขึ้นทั่วโลก

Vitalik มาถึง นิวยอร์ก hackathon กับเพื่อนสองคนที่หายตัวไปในงานอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เขาเดินไปที่แผงขายกาแฟเพียงลำพัง และต้องชงชาให้กับตัวเอง

ใช่! เขายังควบคุมมูลนิธิ แต่เขาลดบทบาทลงไปมากแล้ว เพื่อป้องกันมันจากความโกลาหลที่อาจจะเกิดขึ้นเหมือนในยุคก่อน และเป็นวิธีที่ปกป้องความฝันของเครื่องจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุดจากมือสกปรกของกลุ่มคนโลภที่จะเข้ามาหาประโยชน์

และแน่นอนว่าเขายังได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางในฐานะผู้สร้าง Ethereum แม้ว่าเขาจะพยายามลดอิทธิพลของตัวเองจากชุมชนลง ในการตัดสินใจประเด็นที่สำคัญ เช่น การตัดสินใจทางเทคนิคเกี่ยวกับโปรโตคอลของ Ethereum

ตอนนี้ Vitalik ได้กลายเป็นเพียงแค่หนึ่งเสียงในกลุ่มนักพัฒนาหลัก และนักวิจัยอื่น ๆ ที่มาจากทั่วโลก เขาเป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้นิยมอนาธิปไตย crypto ในอุดมคติ เป็นอีกคนที่สวมเสื้อยืดตลก ๆ ที่มียูนิคอร์นและสายรุ้งอยู่บนเสื้อ คนส่วนใหญ่ที่รายล้อมรอบตัวเขาในตอนนี้ยุ่งอยู่กับการแฮ็ก และคนอื่น ๆ ต่างหมกมุุ่นอยู่กับการสนทนาที่น่าตื่นเต้นกับโครงการใหม่ ๆ โอกาสใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมาย

เขาทำได้แค่เพียงมองไปรอบ ๆ และเข้าไปร่วมกับกลุ่มเล็ก ๆ เหมือนที่คนอื่นๆ ทำ เพราะตอนนี้เขาได้กลายเป็นเพียงแค่ Ethereans อีกหนึ่งคน ที่เฝ้ามองเห็นอนาคตที่ไม่มีวันสิ้นสุดของเครื่องจักรอันทรงพลังอย่างเครือข่ายของ Ethereum นั่นเองครับผม

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Vitalik Buterin และ Ethereum จาก Blog Series ชุดนี้

ต้องบอกว่ามีหลากหลายเรื่องราวที่น่าสนใจจากชายที่ชื่อ Vitalik Buterin จากเด็กที่วัยยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ ที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาก ๆ ในอนาคตของวงการ crypto และ blockchain

เขามีหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ที่กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านที่เรารู้จักกันดีอย่าง Mark Zuckerberg การเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่จากเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นมา

การลงทุนลงแรง ทำมันด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า เปลี่ยนแนวคิดจากเอกสาร White Paper ไม่กี่แผ่น ทำให้มันกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมใหม่จริง ๆ ได้สำเร็จ และตัดสินใจครั้งสำคัญในการลาออกจากการเรียนในมหาวิทยาลัยกลางคัน เมื่อเขาได้พบเจอเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น

การต้องตัดสินใจหลาย ๆ อย่าง ที่มีน้อยครั้งที่คนวัยอย่างเขา ต้องมาตัดสินใจเรื่องใหญ่ ๆ เช่นนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตคนมากมายที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน

เหล่าแฮ็กเกอร์ นักวิจัย ที่เข้ามาร่วมกับ Vitalik ตั้งแต่แรกพวกเขาทิ้งทุกอย่าง บางคนจากบ้านมาจากแดนไกล ใช้เงินเก็บทั้งชีวิตของพวกเขา เพื่อเป้าหมายที่พวกเขามีร่วมกันกับ Vitalik ในการเปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหม่นี้

เรื่องราวของ Bitcoin อาจจะเป็นเรื่องราวโลกการเงินที่มีการกระจายอำนาจที่เป็นโลกในอุดมคติ ที่แน่นอนว่าหลายคนอาจจะเข้าใจมันยากกว่า เพราะต้องอาศัยความรู้ทั้งทางด้านคอมพิวเตอร์ และ เศรษฐศาสตร์ รวมถึงเรื่องอุดมการณ์อนาธิปไตยอันแรงกล้า

แต่โลกของ Ethereum มันแตกต่างไป มันได้เปิดโลกของเทคโนโลยีนี้ให้กับคนทั่วไป มันทำให้เรามองเห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้น จากแอปพลิเคชัน บริการต่างๆ ที่เผยแพร่ออกมามากมายจากเทคโนโลยีนี้

นั่นทำให้ สถาบันการเงิน องค์กรธุรกิจ หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชนต่าง ๆ เริ่มเข้ามาสนใจเพิ่มมากขึ้น จากการเกิดขึ้นของ Ethereum ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น NFT,DeFi , GameFi … และแน่นอนว่าจะตามมาอีกมากมายในอนาคต

สิ่งที่เหล่าแฮ็กเกอร์เหล่านี้กำลังทำ พวกเขากำลังสร้างทางเลือกใหม่ให้กับโลกของเรา ซึ่งเดิมกระจุกตัวอยู่ในมือของหน่วยงานที่มีอำนาจเพียงไม่กี่แห่ง พวกเขา เหล่าแฮ็กเกอร์ นักวิจัย ต่าง ๆ ในชุมชน Ethereum จากทั่วโลก พยายามที่จะนำอำนาจนั้นไปอยู่ในมือของปัจเจกบุคคลมากขึ้น

มันทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น สิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของมันจริง ๆ ตั้งแต่ทรัพย์สินไปจนถึงข้อมูล และมีอิสระที่มากขึ้นในการใช้สิ่งเหล่านี้ในวิธีที่พวกเขาเลือกเอง ไม่ต้องมีใครมาคอยควบคุมชักใยอีกต่อไป

แน่นอนว่าเรื่องราวจาก blog series ชุดนี้มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลกเราในวงการเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้หลากหลายแง่มุมจากเทคโนโลยีนี้

ซึ่งไม่ว่าในอดีตจะมีใครกล่าวหาว่าร้ายกับมันยังไง ทั้งแชร์ลูกโซ่ scam ทั้งเรื่องหลอกลวง แต่สุดท้ายมันก็จะยังคงอยู่ต่อไป แพร่หลายมากยิ่งขึ้น และจะมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ กับโลกของเราในอนาคต ที่ตัวคุณเองไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้อย่างแน่นอนครับผม

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ