ประวัติ Ethereum ตอนที่ 9 : Stable or Unstable?

Ming Chan รีบไปที่ MIT Media Lab เพื่อเข้าประชุมและเห็นว่ามีที่ว่างที่โต๊ะด้านหลัง ซึ่งถัดจากโต๊ะว่างนั้นมีชายหนุ่มกำลังพิมพ์โน็ตบุ๊คอยู่ Ming อยู่ในรอบสุดท้ายของการสัมภาษณ์งานระดับผู้อำนวยการในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง MIT

ในช่วงพัก เธอได้แนะนำตัวเองกับผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ เธอ เขาคือ Gavin Wood ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ซึ่งเขาได้แสดงตัวอย่าง Ethereum dapp ให้เธอดู หลังจากนั้น เธอก็หยิบ iPad ออกมาและแสดงแอป iOS ที่เธอและเพื่อนร่วมงานออกแบบให้ Gavin ดู

Gavin ชื่นชอบการออกแบบ front-end บนแอปของเธอ และแสดงความคิดเห็นว่าเป็นสิ่งที่ Ethereum จะต้องให้ความสำคัญมากขึ้นอย่างแน่นอน แม้ว่า Ming เองไม่ได้สนใจที่จะเป็นนักออกแบบแอป แต่เธอก็มองว่ายังมีโอกาสอื่นใดสำหรับเธอในโครงการเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและน่าตื่นเต้นอย่าง Ethereum อีกหรือไม่

สิ่งที่ Ethereum ต้องการมากที่สุดคือ ผู้จัดการฝ่ายบริหาร สถานการณ์ ของ Ethereum อยู่ในช่วงระส่ำระส่าย Charles และ Amir ก็จากไปแล้ว และ Mihai ก็ออกไปตั้งบริษัทของตัวเองชื่อ Akasha ส่วน Joe Lubin ยุ่งอยู่กับการบริหาร ConsenSys และ Anthony Di Iorio กำลังสร้าง Jaxx กระเป๋าเงินดิจิทัล คนที่มีบทบาทสำคัญในมูลนิธิ Ethereum ตอนนี้เหลือแค่เพียง Vitalik , Gavin และ Jeffrey เพียงเท่านั้น

แต่มีความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่าง Gavin และ Jeffrey ซึ่งต่างก็สร้างการใช้งาน client ของ Ethereum ที่ทั้งคู่กำลังแข่งขันกันอยู่ นั่นทำให้การสื่อสารของทั้งคู่เริ่มมีปัญหา และที่สำคัญทีมงานของพวกเขาทั้งคู่ก็ต้องต่อสู้กันเพื่อเป็นที่หนึ่ง

ปัญหาการทะเลาะกันนั้นตอกย้ำ Vitalik อีกครั้ง เขาพยายามเป็นผู้นำในการหาข้อยุติ และรับฟังความคิดเห็นของทุกคน ซึ่งมันเหนื่อยสำหรับเขาเช่นเดียวกัน เขาสนใจที่จะทำงานด้านเทคนิคกับโครงการ Ethereum มากกว่าการต้องมาบริหารจัดการผู้คนซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ถนัดเป็นอย่างยิ่ง

และสถานการณ์ความตึงเครียดที่เริ่มเดือดพล่านอีกครั้ง ใบสมัครของ Ming สำหรับกรรมการบริหารก็เข้ามา หลังจากขั้นตอนการสมัครกว่า 6 เดือน ซึ่งรวมถึงการสัมภาษณ์หลายครั้ง ในสายตา Vitalik เธอโดดเด่นกว่าใคร เขาสนับสนุนให้เธอได้รับการว่าจ้าง และสมาชิกในคณะกรรมการก็ยอมรับคำแนะนำของ Vitalik

Ming รับข้อเสนอในการร่วมงานกับ Ethereum ในเดือนมีนาคม 2015 แต่เนื่องจากกฎข้อบังคับของสวิตเซอร์แลนด์ ต้องรอจนถึงเดือนกรกฎาคม หลังจากมีการเปิดตัว Ethereum เพื่อเริ่มงานอย่างเป็นทางการ

Ming Chan ที่มารับงานสุดโหดในการจัดระเบียบองค์กรของ Ethereum (CR:Twitter)
Ming Chan ที่มารับงานสุดโหดในการจัดระเบียบองค์กรของ Ethereum (CR:Twitter)

Ming รู้ทันทีว่าเป็นงานที่หนักหนาสาหัส เธอต้องดำดิ่งสู่โครงการที่มีความซับซ้อน เธอรู้สึกว่าทุกคนมีวิสัยทัศน์เฉพาะของตนเองเกี่ยวกับมูลนิธิ Ethereum โครงการกำลังเติบโต มูลนิธิกำลังจ้างผู้รับเหมาในโครงการต่าง ๆ ประมาณ 20 รายและมีเงินทุนอยู่ในสกุลเงินดิจิทัลมูลค่าหลายล้านเหรียญ

เมื่อถึงเดือนกรกฎาคม เธอมาที่สำนักงานที่เมือง Zug เพื่อเริ่มทำงานทันที เธอขอดูเอกสารโดยคาดว่าจะพบระบบไฟล์ที่มีการจัดระเบียบไว้อย่างดี แต่เธอกลับพบกองเอกสารทางการเงิน เอกสารทางกฎหมาย และภาษี ซึ่งถูกยัดเข้าไปในตู้ครัวและซ้อนในกล่องหลวม ๆ ในห้องอาหารขนาดใหญ่ที่เคยใช้เป็นพื้นที่ทำงาน ข้อมูลบางส่วนยังถูกเก็บไว้ในฮาร์ดไดรฟ์ USB และ แล็ปท็อป และที่สำคัญบางส่วนก็อยู่ในหัวของ Vitalik เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เธอคิดว่าสิ่งแรกที่ควรทำก็คือ การจัดความสำคัญของเอกสารทั้งหมด เธอพยายามทำความเข้าใจบัญชีและนิติบุคคลต่างๆ พนักงาน การจัดการด้านภาษีและกระแสเงินสด แต่ก่อนที่จะทำเสร็จ ต้องคิดหาวิธีลดรายจ่ายเสียก่อน มูลนิธิ Ethereum ตกอยู่ในอันตรายจากการที่กองทุนใช้เงินแทบจะหมดเกลี้ยงเพียงไม่กี่เดือนหลังจากเครือข่ายเปิดตัว

ราคาของ Bitcoin ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงการขายของ Ethereum จากกว่า 600 ดอลลาร์ในช่วงเริ่มต้นของการระดมทุนในวันที่ 22 กรกฎาคม 2014 เป็น 500 ดอลลาร์เมื่อสิ้นสุดการระดมทุนใน 42 วันต่อมา ปัญหาคือเงินทั้งหมดที่ได้รับจากการขายนั้นเป็น Bitcoin ทำให้เงินที่ได้รับลดลงไปมาก

Bitcoin ลดลงต่ำกว่า 200 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2015 นั่นหมายความว่า Bitcoin มูลค่า 18 ล้านดอลลาร์ ที่ Ethereum ระดมทุนนั้นมีมูลค่าเหลือประมาณครึ่งนึงเมื่อแพลตฟอร์มเปิดตัวออกมาจริง ๆ

Ether ก็ราคาตกเช่นกัน มีการซื้อขายกันที่ราคาต่ำกว่า 3 ดอลลาร์ ซึ่งหลังจากอยู่ในตลาดแลกเปลี่ยนได้ไม่นานหลังจากการเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม ราคาก็ลดลงอย่างรวดเร็วไปถึงประมาณ 70 เซนต์ ภายในช่วงสิ้นเดือนกันยายน

มูลนิธิ Ethereum ใช้เงินประมาณ 410,000 ฟรังก์สวิสต่อเดือน แต่ Ming เห็นว่ามีการใช้เงินจริง ๆ มากถึง 700,000 ฟรังก์สวิสในหนึ่งเดือน เป้าหมายของ Ming คือลดรายจ่ายให้เหลือ 340,000 ฟรังก์สวิสต่อเดือนตั้งแต่เดือนตุลาคม และลดให้เหลือ 200,000 ฟรังก์สวิสในระยะยาว

Ming ได้ยกเลิกสัญญาในบ้านหลังใหญ่ที่เมือง Zug และทำการเช่าพื้้นที่สำนักงานขนาดเล็กเกือบจะในทันที เธอยังเริ่มกระบวนการเลิกกิจการและลดจำนวนนิติบุคคลทั้งหมดภายใต้มูลนิธิ Ethereum ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้โผล่ขึ้นมาทุกที่ที่มีนักพัฒนา ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและทำให้เอกสารดูสับสน การตัดรายจ่ายที่สำคัญที่สุดคือ ยกเลิกสำนักงานสื่อสารในลอนดอน

แน่นอนว่าการตัดสินใจที่ยากลำบากเช่นนี้ เป็นการสร้างศัตรูโดยธรรมชาติ แต่วิธีที่ Ming ทำก็เพื่อ Ethereum ในระยะยาว เธอมีส่วนร่วมในทุกด้านของมูลนิธิ จนถึงรายละเอียดปลีกย่อย ตั้งแต่การเงิน ไปจนถึงมารยาทในห้องสนทนา และเธอมักจะดึงผู้คนเข้าสู่การสนทนาทางโทรศัพ์ที่เข้มข้นเป็นเวลาหลายชั่วโมงเสมอ

Taylor Gerring ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่อยู่ที่ Zug และเป็นผู้นำในการสร้างเว็บไซต์ crowdsale เริ่มเบื่อหน่ายกับความจุกจิกของ Ming และทำให้ความสัมพันธ์ของทั่งคู่แย่ลง Taylor พบว่ามันเริ่มมีเรื่องยุ่งยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการทำงานกับ Ming นั่นทำให้ในช่วงท้ายของปี 2015 Taylor ไมได้รับการต่อสัญญาทำให้ทำงานกับโครงการ Ethereum อีกต่อไป

Ming ได้เจาะลึกเข้าไปในไฟล์เอกสารต่าง ๆ ของ Ethereum ในปี 2015 และ 2016 เธอเริ่มพบว่ามีเอกสารและข้อมูลที่ไม่ตรงกันมากมาย เงินหายไปหลายแสนดอลลาร์ ซึ่งเธอได้เข้ามาจัดการเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อดึงเงินที่สูญหายเหล่านั้นกลับมาได้ รวมถึงมีการกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงเอกสารเหล่านี้

ต้องบอกว่าเป็นงานที่น่าเบื่อ เครียด และวุ่นวายที่สุดในชีวิต Ming เธอได้นำทนายความ ผู้ตรวจสอบบัญชี และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเข้ามาช่วยเธอในการจัดการกับความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และสิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางในท้ายที่สุด

Gavin ก็เริ่มหงุดหงิดและมีปัญหากับ Ming หลังจากที่มูลนิธิพยายามลดการเบิกจ่ายให้กับ EthDev ซึ่งเขาเป็นผู้นำทีม ความตึงเครียดเริ่มเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ Gavin สร้างบริษัทจำกัดในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบริษัทที่แสวงหาผลกำไรที่ชื่อ EthCore ซึ่งเขาจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Ethereum รุ่นต่อไป

แต่ทันทีที่ EthCore ่ก่อตั้งขึ้น Ming มองว่ามันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ควรได้รับทุนจากมูลนิธิอีกต่อไป ซึ่ง Ming แนะนำให้ Gavin เริ่มต้นสร้างบริษัทใหม่ที่แสวงหาผลกำไรที่แยกจากมูลนิธิ ซึ่ง Gavin พยายามให้ Vitalik เข้ามาช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ Vitalik เองก็ได้มอบอำนาจให้ Ming มาจัดการมูลนิธิแทบจะทั้งหมดแล้ว เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว

ต้องบอกว่าสถานการณ์ในตอนนั้น เงินทุนก็เริ่มร่อยหรอลงไปทุกที ความเป็นผู้นำของ Vitalik ก็อยู่ในช่วงที่สับสนวุ่นวาย แต่ก็มีข่าวดีกับโครงการ Ethereum เมื่อผู้คนเริ่มสร้างแอปพลิเคชันของตนเองบนแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ Vitalik ฝันไว้

Joey Krung เป็นชาวอิลลินอยส์ เรียนรู้วิธีการเขียนโค้ดบน Apple II ที่พ่อซื้อให้บน eBay ตอนอายุได้ 10 ขวบ จากนั้นเขาได้เริ่มหันมาสนใจ Bitcoin โดยเริ่มขุด Bitcoin ซึ่งเขามองว่าเป็นวิธีการสร้างรายได้ฟรีโดยใช้คอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว เขาย้ายไปแคลิฟอร์เนียตอนใต้เพื่อศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ Pomona College ในปี 2013 แต่ลาออกในอีกหนึ่งปีต่อมาเพื่อสร้างธุรกิจที่เกี่ยวกับ Bitcoin

Jack Peterson ผู้ซึ่งกำลังทำงานเกี่ยวกับ startup blockchain ของตนเอง และ Joey ได้พบ Jack ในกลุ่มแชทออนไลน์ พวกเขาตัดสินใจที่สร้างโครงการที่มีชื่อว่า Augur ด้วยกัน มันจะเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชั่นแบบกระจายอำนาจแอปแรกที่สร้างขึ้นบน Ethereum หรือที่เรียกว่า dapps

Augur ที่เป็น dapps แรก ๆ บนเครือข่าย Ethereum (CR:cryptocurrency-th.com)
Augur ที่เป็น dapps แรก ๆ บนเครือข่าย Ethereum (CR:cryptocurrency-th.com)

พวกเขาได้เปิดตัวเวอร์ชั่นทดสอบในปี 2015 ซึ่ง Augur จะทำงานร่วมกับโทเค็นที่เรียกว่า Reputation หรือ REP ผู้ใช้สามารถวางเดิมพันเหตุการณ์ในอนาคตได้ ตัวอย่างเช่น Donald Trump จะชนะการเลือกตั้งในปี 2020 หรือไม่? และรับปันผลเป็นหุ้นแบบ cryptocurrency โดยขึ้นอยู่กับผลลัพธ์

และเพื่อให้ระบบกระจายอำนาจแบบเต็มที่ ผลลัพธ์ที่ถูกต้องจำเป็นต้องกำหนดโดยฉันทามติ และนั่นคือที่มาของโทเค็น REP โดยผู้ถือจะเดิมพัน REP ของตนกับผลลัพธ์ ผู้ที่เดิมพันโทเค็น REP และทายผลได้ถูกต้อง จะได้รับโทเค็นคืนพร้อมค่าธรรมเนียมส่วนหนึ่งที่ผู้ใช้จ่ายเพื่อเข้าร่วมกระบวนการดังกล่าว การซื้อขายและการจ่ายเงินทั้งหมดเกิดขึ้นผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ของ Ethereum

วันที่ 17 สิงหาคม สองสัปดาห์หลังจากเครือข่าย Ethereum เปิดตัว Augur เริ่มต้นการระดมทุนจาก Ethereum ครั้งแรก มันกินเวลา 45 วัน และพวกเขาขายโทเค็น REP 11 ล้านโทเค็นในสัดส่วน 60% เป็นเงินราว ๆ 5.4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารหรือกองทุนใด ๆ เลย

Joey , Jack และนักพัฒนาคนอื่น ๆ เก็บเงินไว้ 20% มันแสดงให้โลกได้เห็นว่าวิธีการใหม่ในการระดมทุนโปรโตคอลโอเพ่นซอร์สนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จอีกครั้ง

Augur ยังเป็นบริการแรก ๆ ที่สร้างเหรียญ REP โดยใช้มาตรฐาน ERC20 ซึ่งเกือบจะมีความหมายเหมือนกับการขายโทเค็น Ethereum แนวคิดนี้เสนอโดย Vitalik ในเดือนมิถุนายน 2015 เขาเรียกแนวคิดนี้ว่า “Standardized Contract APIs”

Rune Christensen นักเรียนชาวเดนมาร์กที่เคยสอนภาษาอังกฤษและดำเนินธุรกิจจัดหางานในประเทศจีน ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เริ่มสร้าง โครงการใน Ethereum เขาสร้างกำไรได้มากมายจากการลงทุน Bitcoin ในปี 2013 และสูญเสียทุกอย่างเมื่อเกิดการ Crash ในอีกหนึ่งปีต่อมา

ความผันผวนที่บีบคั้นหัวใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขานึกถึง Stablecoin ซึ่งเป็นอดีตบริษัทของ Charles Hoskinson ที่ทำร่วมกับ Dan Larimer ที่มีชื่อว่า Bitshares

ชุมชน Ethereum ที่กำลังเติบโต แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ตรงกันข้าม การเมืองภายในมูลนิธิที่ดูคลุมเครือ คนส่วนใหญ่ชอบ Ethereum เพราะความโดดเด่นของตัว Vitalik มากกว่า

เสื้อยืดที่ประดับประดาไปด้วยแมวและยูนิคอร์นของ Vitalik มันเป็นเอกลักษณ์ของ Ethereum ทั้งสัตว์ที่น่ารัก สัตว์ในตำนาน และมีมอินเทอร์เน็ต เพื่อแบ่งแย่งระหว่างสองวัฒนธรรมที่แตกต่าง Bitcoiners มักเป็นพวกเสรีนิยมที่กินเนื้อและไม่ยอมใครง่าย ๆ ส่วนชาว Ethereans ก็เอนเอียงไปทางเสรีนิยมและทานมังสวิรัติ

Rune ตัดสินใจกลับบ้านเกิดที่โคเปนเฮเกน เขาตัดสินใจที่จะเริ่มสร้างเหรียญที่มีเสถียรภาพบน Ethereum เขาไม่รู้วิธีเขียนโค้ด แต่เรียนรู้ด้วยตนเองภายในสองสัปดาห์ และสามารถทำให้มันทำงานได้ จากนั้นเขาประกาศในโพสต์ Reddit เมื่อเดือนมีนาคม 2015

“ขอแนะนำ eDollar (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Dai) เหรียญ stablecoin ขั้นสูงสุดที่สร้างขึ้นบน Ethereum” เขาเขียน “ในฐานะที่เป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับ cryptocurrencies ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ฉันดีใจที่พบว่า แม้ฉันจะมีทักษะในการเขียนโปรแกรมเพียงเล็กน้อย แต่การพัฒนา Ethereum นั้นง่ายมากจนฉันสามารถคิดทำในสิ่งที่ฉันเชื่อได้ และใกล้เคียงกับการออกแบบที่สมบูรณ์แบบสำหรับสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ”

จุดประสงค์ของสกุลเงินดิจิทัลที่มีความเสถียรของ Rune คือ การที่ผู้คนสามารถโต้ตอบกับแอปพลิเคชั่น Ethereum โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความผันผวนที่บ้าคลั่งของ Ether ซึ่งจะถูกผูกไว้กับค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่า 1 eDollar จะมีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

โดยความแตกต่างจาก BitShares ก็คือ แทนที่จะมีสินทรัพย์เพียงตัวเดียวเป็นหลักประกัน แต่ eDollar จะใช้ cryptocurrency หลายสกุลบน blockchain Ethereum เพื่อให้มีการกระจายอำนาจและมีเสถียรภาพมากขึ้น

ซึ่งระบบดังกล่าวได้รับการจัดการโดย Decentralized Autonomous Organisation หรือ DAO ซึ่ง ไม่ต้องการกฏระเบียบ ไม่มีการควบคุม เป็นรูปแบบองค์กรที่ไร้คนกลางจริง ๆ

และด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นบน Ethereum นี้เองที่ผลักดันให้ราคา Ether พุ่งสูงขึ้น จนกลับมาแตะที่ราคา 1 ดอลลาร์ ในเดือนมกราคม 2016 และ ทะลุ 5 ดอลลาร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ และไต่ขึ้นเหนือ 10 ดอลลาร์ ในเดือนมีนาคม ซึ่งการกระโดดของราคา หมายถึงทุกคนต่างเชื่อมั่นใน Ethereum มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ต่อมาโครงการที่เรียกว่า DigixDAO ระดมทุนได้ 5.5 ล้านดอลลาร์ในหนึ่งวัน ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็น DAO แรกที่ทำการขายโทเค็น ซึ่งมีการอ้างอิงโทเค็นผ่านทองคำ โดยหนึ่งโทเค็นมีค่าเท่ากับทองคำ 1 กรัม

Augur, Digix เป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในชุมชน Ethereum ที่กำลังเติบโต รวมถึงโครงการต่าง ๆ อีกมากมายที่ทำให้ชุมชน Ethereum เริ่มมองเห็นศักยภาพของมันในอนาคตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น EthereumWallet.com และ MyEtherWallet ที่เป็นกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลสำหรับการจัดเก็บ และแลกเปลี่ยน Ether , Mist ที่เป็นเบราว์เซอร์ออนไลน์ หรือ Metamask ที่เป็นกระเป๋าเงินบนเบราว์เซอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นอินเทอร์เฟซ และวิธีการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นที่กระจายอำนาจอื่น ๆ

เมื่อสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เริ่มเกิดขึ้น JR Willett ผู้สร้างการระดมเงินดิจิทัลครั้งแรกกับ Mastercoin เล่าถึงสิ่งที่ Bitcoin และ นักพัฒนาหลักอย่าง Gavin Andresen ได้กล่าวเกี่ยวกับ Ethereum ตอนเริ่มต้น

“ฉันสงสัยว่าพวกเขากำลังพยายามทำสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป ซึ่งความซับซ้อนคือศัตรูของความปลอดภัย”

แต่เมื่อ JR ได้เห็นความคืบหน้าในปี 2015 และ 2016 JR เริ่มรู้สึกเสียใจที่ไม่ยอมให้ Vitalik สร้างแนวคิดเกี่ยวกับ Mastercoin ให้ดีที่สุด เขาประเมิน Vitalik ต่ำเกินไป เพราะตอนนี้ Mastercoin มันไร้ความหมายไปแล้ว เพราะโลกนี้ได้มี Ethereum ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาแล้วนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 10 : Crypto Emergency

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Geek Book EP8 : The Lost Skill ทักษะที่หายไป สู่ แปดสิ่งที่คนเก่งมาก ๆ มีร่วมกัน

ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในศตวรรษนี้คือ “การเปลี่ยนแปลง” การฝึกฝนและเพิ่มพูนทักษะใหม่ ๆ มากมาย โดยหวังจะใช้เป็นอาวุธเพื่อต่อสู้กับทุกความเปลี่ยนแปลง แต่นั่นก็ทำให้เรามองข้าม หรือกระทั่งหลงลืมทักษะสำคัญที่สุดของศตวรรษนี้ไปเช่นกัน นั่นคือที่มาของ “The Lost Skill ทักษะที่หายไปในศตวรรษที่ 21”

 “แปดสิ่งที่คนเก่งมาก ๆ มีร่วมกัน” เล่มนี้ ประกอบไปด้วย 64 บทความ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากการเขียนมากกว่า 400 บทความ แต่ละบทเป็นบทสรุปรวบรัดเกี่ยวกับวิธีก้าวหน้าทางการงาน ทางลัดในการดูแลลูกค้ากับลูกน้อง และการพัฒนาจิตใจให้เติบโตขึ้นยิ่งขึ้น เน้นเผยวิธีการที่ง่ายแต่ได้ผลเพื่อเอาไปใช้ได้จริง ๆ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3oT8qfi

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3DSrnD5

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3IPDlB5

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/321BMyW

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/GCBwTTUfXsw