ประวัติ Ethereum ตอนที่ 8 : The Insider

“นี่ไม่ใช่โอกาสการลงทุนสำหรับคุณจริง ๆ” นั่นคือคำแนะนำของ Ken Seiff เกี่ยวกับ Ethereum ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 Ken ก็เหมือนคนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ Ethereum แต่ Ashley Tyson เพื่อนของเขาได้ส่งอีเมลถึงเขาในหัวข้อ “Bitcoin and Things” ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ Ethereum ปรากฏอยู่

“พวกเขากำลังจะทำ IPO ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” Ashley กล่าวกับ Ken “มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดในชุมชม Bitcoin”

Ashley ซึ่งเคยร่วมงานกับ Amir ได้เสนอที่จะแนะนำ Ken ให้รู้จักกับเหล่าผู้ก่อตั้ง Ethereum ในการประชุมในเดือนมีนาคมที่จะจัดขึ้นที่เมืองออสติน ประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่นั่น Ken ได้เจอกับ Gavin และ Vitalik แต่ต้องบอกว่า Ken เคยชินกับการพบปะสังสรรค์กับผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยีและคนฉลาดระดับท็อปใน Silicon Valley เขาเคยก่อตั้งบริษัทค้าปลีกออนไลน์และรอดจากยุคฟองสบู่ดอทคอม และทำงานให้คำปรึกษาสำหรับแผนกต่าง ๆ ของ Amazon , Google และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อีกมากมาย

แต่ต้องบอกว่าหลังจากที่เขาได้คุยกับทั้ง Gavin และ Vitalik มันต่างกันมาก คำตอบของพวกเขาหลังจากที่ Ken ถามเกี่ยวกับโครงการ Ethereum นั้นมีความลึกซึ้ง และ ทะเยอทะยานมากกว่าหลาย ๆ คนที่เขาได้เคยคลุกคลีมา

Ken กลับมาที่นิวยอร์ก พร้อมซื้อ Bitcoin มาจำนวนหนึ่ง Ken เริ่มเข้าใจดีว่า Bitcoin นั้นเป็นทั้งสกุลเงินดิจิทัลและมี blockchain เป็นพื้นฐาน แต่ Ethereum นั้นแตกต่าง มันไม่ใช่แอปพลิเคชั่น เหมือนที่มีอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตทั่วไป แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นโปรโตคอลพื้นฐานสำหรับหลายโครงการ เช่น อินเทอร์เน็ต นั่นทำให้เขาเชื่อว่าหาก Ethereum ประสบความสำเร็จจริง ๆ มันจะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา

ซึ่งเฉกเช่นเดียวกับ Ken ผู้คนจำนวนมากรู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับ Ethereum ภายในเดือนมิถุนายน 2014 ก่อนที่พวกเขาจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีการพบปะกับสาวก Ethereum ในเมืองต่าง ๆ 49 เมือง ตั้งแต่โตรอนโต ไปจนถึงแฟรงเฟิร์ต ฮ่องกง และบัวโนสไอเรส

เป็นการรวมกลุ่มเล็ก ๆ ของคน 20-30 คน ที่มีการรวมตัวกันในบาร์หรือโคเวิร์คกิ้งสเปซเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาจะสามารถสร้างขึ้นในแพลตฟอร์ม blockchain ใหม่นี้ และเพื่อฟังข้อคิดเห็นจากสมาชิกชาว Ethereum ทั่วโลก รวมถึงการอธิบายรายละเอียดของโครงการเพิ่มเติม

การขายต่อสาธารณชนเป็นจุดสนใจใหญ่ที่สุดของทีม Ethereum ด้วยคำถามทางกฏหมายและการตัดสินใจที่จะเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ในที่สุดพวกเขาก็พร้อม ในเดือนกรกฎาคม 2014 พวกเขาได้ก่อตั้งบริษัทจำกัดในสวิตเซอร์แลนด์ หรือ Gmbh ชื่อ EthSuisse และสร้างมูลนิธิ Ethereum ซึ่งบริษัทจะถูกยุบทันทีหลังการขาย จากนั้นมูลนิธิจะจัดการกองทุนต่อไปเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มและโครงสร้างพื้นฐนาน โค้ดทั้งหมดจะเป็นโอเพ่นซอร์สและฟรี

ในที่สุดการขายก็เริ่มต้นในวันที่ 22 กรกฎาคม 2014 เวลาเที่ยงคืนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เว็บไซต์ที่พวกเขารวบรวมเพื่อขายมีตัวนับจำนวน Ether ที่ขายแบบเรียลไทม์ และทีมงานก็เฝ้าดูด้วยความโล่งอก เมื่อตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ มีการขาย Ether มากกว่า 7 ล้าน Ether หรือประมาณ 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 12 ชั่วโมงแรก

ในช่วงเริ่มต้นของการขายใน 14 วันแรก ราคาถูกกำหนดไว้คงที่ โดย 1 bitcoin = 2,000 ether เมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 14 วัน จำนวนจะลดลงและจะมีราคาสุดท้ายที่ 1 bitcoin = 1,337 ether ซึ่งหมายความว่า 1 ether มีมูลค่า 0.0007479 bitcoin หรือราว ๆ 30 เซ็นต์ ที่ราคา bitcoin ในเดือนกันยายน 2014

ผู้ซื้อสามารถซื้อ ether ได้เท่าไหร่ก็ได้ที่ตัวเองต้องการ เมื่อนักลงทุนส่ง bitcoin ของพวกเขาไปยังที่อยู่ของกระเป๋าเงิน EthSuisse พวกเขาจะไม่ได้รับ ether ในทันที พวกเขาจะได้รับกระเป๋าเงิน Ethereum และรหัสผ่านที่อนุญาตให้เข้าถึง ether เมื่อแพลตฟอร์มเปิดตัว ซึ่งจะเป็นวิธีลดการเก็งกำไรจากการขาย และให้โทเค็นถูกซื้อขายได้เพียงครัั้งเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้จริง

ซึ่ง ทีม Ethereum จะสร้าง ether ตามจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นในการขายเมื่อมีการขุดบล็อกแรกในบล็อกเชน Ethereum จริง ๆ โดยจะมี ether กลุ่มที่สองที่จะออกให้กับผู้ร่วมก่อตั้งและสมาชิกในทีมรุ่นแรก ๆ ซึ่งจะคิดเป็น 9.9% ของจำนวนเงินที่ระดมได้ และกลุ่มที่สามของ ether จะถูกสร้างขึ้นสำหรับมูลนิธิ Ethereum

โดยการออกสกุลเงินดิจิทัลประเภทนี้เรียกว่า “premine” เนื่องจากเหรียญจะถูกสร้างขึ้นก่อนที่เครือข่ายจะสร้างโทเค็นด้วยตัวเอง เช่นเดียวกันที่ Bitcoin ที่ให้รางวัลแก่ผู้ขุด

แนวคิดนี้กลายเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง เนื่องจากมีบางคนที่โต้แย้งว่า Satoshi Nakamoto ได้ให้โอกาสแก่ทุกคนที่สนใจพร้อม ๆ กันในการรับ Bitcoin เมื่อเครือข่ายเปิดตัว ซึ่งอุปทานของเหรียญทั้งหมดจะถูกสร้างขึ้นโดยนักขุด

ส่วน Ethereum และ โครงการอื่น ๆ ที่มีการขุดเหรียญของพวกเขา ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเนื่องจากมีการควบคุมอุปทานของสกุลเงินดิจิทัล จากหมู่คนวงใน ซึ่งมันไม่ใช่แนวคิดแบบกระจายอำนาจ คนวงในเหล่านี้สามารถจัดการราคาหรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจต่าง ๆ แต่ที่ Ethereum ทำแบบนี้ก็เพื่อให้แนวคิดของพวกเขาสามารถดำเนินการได้ถูกต้องตามกฏหมาย

ในขณะที่คำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 7 ของการขายต่อสาธารณชน ตรงกับวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม Ken ตัดสินใจที่จะกระโดดเข้าร่วมวงด้วย

Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 580 ดอลลาร์ในวันนั้น ทำให้ราคา 1 ether อยู่ที่ประมาณ 0.29 ดอลลาร์ Ken มองว่า Ethereum ยังอยู่ในเฟสเริ่มต้น นั่นหมายความว่า ether มีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก แต่ก็มีโอกาสจะล้มเหลวเช่นเดียวกัน แต่ Ken มองว่า Ethereum มีความสามารถในการสนับสนุนแอปพลิเคชั่นบล็อกเชนทุกประเภท และยังมีศักยภาพที่จะยิ่งใหญ่กว่า Bitcoin ในอนาคต เขาจึงเดิมพันไปเต็ม max สูงสุดที่ซื้อได้ราว ๆ 500,000 bitcoin

Ken Seiff ที่เลือกเดิมพันกับ Ethereum (CR:Twitter)
Ken Seiff ที่เลือกเดิมพันกับ Ethereum (CR:Twitter)

บทสรุปสุดท้ายของการเปิดขายต่อสาธารณชน มีผู้ซื้อ ether ไปราว 60 ล้านเหรียญ ที่ประมาณ 30 เซ็นต์ต่อเหรียญ ระดมทุนได้ทั้งสิ้น 18.3 ล้านเหรียญสหรัฐ มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ของ Ethereum ซึ่งกลายเป็นโครงการคราวด์ฟันด์ดิ้งที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต

ทีมงานที่เหลือที่อยู่ที่เมือง Zug ต่างตกแต่งบ้านด้วยแบนเนอร์สีสันสดใส และถือโอกาสเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ มีหน้าจอแสดงจำนวนการ ether และ bitcoin ที่ไหลเข้ามาในระบบ และสัญญาณจะเด้งเตือนมีคำสั่งซื้อใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยVitalik ได้ออกแบบทั้งระบบสำหรับการคำนวณการจัดสรรตามวันที่ที่เหล่าทีมงานเข้ามาร่วมโครงการ และจำนวนชั่วโมงที่พวกเขามีสวนร่วมในโครงการ ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่นักวิจารณ์ในฟอรัม BitcoinTalk และที่อื่น ๆ ไม่ได้ยินดีไปกับความสำเร็จของ Ethereum เนื่องจากมองว่า Ethereum กำลังถูกควบคุมโดยมูลนิธิ และทีมงาน Ethereum มันไม่ใช่ระบบกระจายอำนาจที่แท้จริงเหมือน Bitcoin

Preston Byrne ทนายความที่มุ่งเน้นไปที่บริษัทในระยะเริ่มต้นและธุรกิจในสกุลเงินดิจิทัล เผยแพร่บล็อกโพสต์เมื่อเดือนเมษายน ปี 2018 โดยระบุว่า

“Ether ส่วนใหญ่ขายในโทเค็นก่อนการขายจริงในปี 2014 เพื่อแลกกับ Bitcoin ซึ่งอาจถูกแจกจ่ายให้กับบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก่อน”

เขาได้วิเคราะห์ถึงการเคลื่อนไหวของ bitcoin ที่ไหลผ่านระบบ ที่ไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนถูกออกแบบมาโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คล้ายลักษณะการทำงานของบอท

Preston Byrne ที่ออกมาตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการระดมทุนของ Ethereum (CR:Coindesk)
Preston Byrne ที่ออกมาตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการระดมทุนของ Ethereum (CR:Coindesk)

รายงานจาก Chainanalysis ได้ยืนยันข้อสองสัยโดยพบกว่าการกระจายของ Ether นั้นมีคน 376 คนที่ถือครอง Ether กว่า 33% ของประมาณการไหลเวียนของ Ether ทั้งหมด

รวมถึงนักวิจัยสกุลเงินดิจิทัลนิรนามสคนหนึ่งที่ใช้ชื่อออนไลน์ Hasu ได้ทำการวิเคราะห์การขายเพิ่มเติมจากโพสต์ของ Byrne เขาพบว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นสองครั้งในระหว่างการขาย ครั้งแรกคือตอนเริ่มต้นเปิดขายสู่สาธารณชน และอีกครั้งเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 42 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ปรกติ และไม่มีคำอธิบายจากทีมงาน Ethereum

ขณะที่ Vitalik ออกมาปฏิเสธในเรื่องดังกล่าว เขาไม่มีส่วนร่วมในการยักย้ายถ่ายเทใด ๆ และไม่มีส่วนร่วมกับปฏิบัติการใด ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอาจจะมีทีมงานของเขาทำแบบนั้นหรือไม่ เขาแทบไม่มีเงินเพียงพอที่จะลงทุน เนื่องจากเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสร้าง Ethereum

ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องผิดปรกติมาก ๆ ที่กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ไม่มีแผนธุรกิจและแทบจะไม่มีผลิตภัณฑ์ใด ๆ แทบไม่ต้องพูดถึงรายได้ สามารถหาเงินหลายล้านดอลลาร์จากผู้คนหลายพันคนจากทั่วทุกมุมโลก

ก่อนหน้านี้ใครก็ตามที่ต้องการซื้อหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Facebook หรือ Google จะต้องมีบัญชีธนาคารในสหรัฐอเมริกา และยิ่งจะซับซ้อนขึ้นไปอีกสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนใน startup ในเฟสแรก ๆ แต่ตอนนี้ใครก็สามารถลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งได้ แค่มีเพียงอินเทอร์เน็ตและ bitcoin อย่างน้อย 0.01 bitcoin เพียงเท่านั้น

–> อ่านตอนที่ 9 : Stable or Unstable?

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ