Geek Story EP112 : Onitsuka Tiger กับไอเดียรองเท้าเปลี่ยนโลกที่มาจากหนวดปลาหมึก

ขณะเพลิดเพลินกับสลัดปลาหมึก Kihachiro Onitsuka ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของพื้น Outsole จากหนวดปลาหมึกที่ติดอยู่ก้นชามของสลัดที่เขากำลังทาน มันเหมือนเป็นสูตรลับเฉพาะที่นำมาสู่พื้นรองเท้าอันเป็นเอกลักษณ์ด้วย Pattern ลายวงกลมคล้ายหนวดปลาหมึกนั่นเอง

Onitsuka ตระหนักว่ากลไกการดูดแบบเดียวกันและการออกแบบที่เว้านั้น สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของนักบาสเกตบอลที่ต้องการหยุดและเปลี่ยนทิศทางได้ทันที ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก 

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3sFkCAE

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/nxj7VFdSjlU

เกรียนคีย์บอร์ดหลบไป เมื่อ IBM กำลังสร้าง AI ใหม่ที่จะมาโต้เถียงบนโลกโซเชียลมีเดีย

ต้องบอกว่าตอนนี้ ในเครือข่ายโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง facebook กลายเป็นแหล่ง toxic ที่เต็มไปด้วยการสาดเสียเทเสีย fake news และการโต้เถียงกันแบบไร้ตรรกะ รวมถึงเกรียนคีย์บอร์ดจำนวนมากมายที่เกิดขึ้น

Project AI ใหม่ของ IBM ที่มีชื่อว่า Debater เป็นอัลกอริธึม AI อันทรงพลังที่ออกแบบมาเพื่อท้าทายจิตใจมนุษย์ ที่มีทักษะสูงในการพูดคุยและการโต้เถียงที่แข็งแกร่งกว่าที่เคยมีมา

ลองจินตนาการ โพสต์ เรื่องการเมือง ที่มีการเถียงกันแบบไม่รู้จบบนเครือข่าย facebook แล้วต้องมาเจอการโต้เถียงจาก AI ที่ไม่มีวันยอมแพ้มนุษย์ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องน่าสนุกอย่างยิ่ง

ระบบการโต้เถียงอัตโนมัติดังกล่าวนี้ จะนำข้อความโต้แย้งในเรื่องราวต่าง ๆ โดยวิเคราะห์จากเนื้อหาของบทความ และจากข่าว 400 ล้านบทความ นั่นจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจของเรื่องความคิดเห็นบนโลกออนไลน์

ที่สำคัญก็คือ Project Debater ดังกล่าวนี้ จะเป็นการต่อสู้แบบไม่มีที่สิ้นสุด เรียกได้ว่า เถียงกันแบบไม่จบไม่สิ้น ในเรื่องราวต่าง ๆ โดยที่อาศัยอัลกอริธึม ที่วิเคราะห์ผ่านเนื้อหา และ สร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างดีเยี่ยม

ในการโต้วาทีกับ Harish Natarajan แชมป์การโต้วาที ซึ่ง Project Debater เองนั้นสามารถสร้างการโต้แย้งในหัวข้อที่ซับซ้อน เช่น ควรให้เงินอุดหนุนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนสำหรับครอบครัว และนำเสนอกรณีเพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้งได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ

พวกมันสามารถเขียนข้อความ เปิดการโต้แย้ง และสรุปเพื่อปิดหัวข้อในการโต้เถียงได้ประมาณ 100 หัวข้อ

“ห้องปฏิบัติการมากกว่า 50 แห่งทั่วโลก กำลังแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ รวมถึงทีมงานของบริษัทซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ทุกแห่ง” Chris Reed นักวิจัยจาก University of Dundee กล่าว

เรียกได้ว่ากลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมโลกเราในยุคปัจจุบันไปแล้ว สำหรับการโต้เถียงบนโลกออนไลน์ที่ มีแต่ความ Toxic ที่เกิดขึ้น แต่ในอนาคตคุณอาจจะเจอคู่ขัดแย้งที่เป็นหุ่นยนต์ ที่ต่อสู้ โต้แย้งคุณได้แบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย จนกว่าพวกมันจะเอาชนะคุณได้สำเร็จนั่นเองครับผม

References : https://www.sciencealert.com/this-new-ai-exists-for-the-sole-purpose-of-arguing-with-humans
https://www.nature.com/articles/d41586-021-00539-5
https://www.research.ibm.com/artificial-intelligence/project-debater/
https://www.smartbusinessdaily.com/social-media-toxic-true/

Kim Beom-soo กับการนำพา Kakao Talk หาญกล้าท้าชนยักษ์ใหญ่ Chaebols

Kim Beom-soo จากผู้เล่นโนเนมในวงการเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ ได้เริ่มต้น Kakao ในปี 2010 เขาเริ่มต้นจากการเป็นอดีตพนักงานของ Samsung และ ได้มีโอกาสในการสร้าง Hangame หนึ่งในซอฟต์แวร์ที่โด่งดังของเกาหลีใต้ ต่อมา Hangame ได้เข้าควบรวมกับกิจการของ NHN (Naver)

Kim เกิดในย่านที่ยากจนที่สุดของกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ พ่อแม่ของเขาเป็นยากจน พ่อของเขาเป็นคนงานในโรงงานผลิตปากกา แม่ของเขาเป็นผู้ช่วยทำความสะอาดในโรงแรม

Kim ซึ่งมีพี่น้อง 4 คน โดยพ่อแม่ของเขาได้พาลูก ๆ รวมถึงคุณยายของ Kim เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหนึ่งห้องนอนที่ต้องยัดทุกคนไว้ในห้องเดียวกัน

พวกเขาพึ่งพารายได้เพียงเล็กน้อยจากพ่อและแม่ของ Kim เท่านั้น เพื่อใช้ในการซื้ออาหาร และ เสื้อผ้า และเพื่อเอาชีวิตให้รอดในเมืองหลวงของประเทศอย่างกรุงโซล

Kim จึงต้องทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก เพื่อที่จะสร้างตัวให้รอดพ้นความยากจนนี้ให้ได้ ด้วยความเป็นคนหัวดี ในปี 1986 Kim ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล และจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมด้านวิศวกรรมอุตสาหการ

ในที่สุดหลังจากเรียนจบ เขาก็ได้งานที่ดี เขาประสบความสำเร็จในการเข้าสู่แผนกบริการไอทีของ Samsung Group เพื่อพัฒนาบริการสื่อสารออนไลน์

ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่แผนกบริการไอทีของ Samsung Group
ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่แผนกบริการไอทีของ Samsung Group

ต้องบอกว่า Samsung คือเบอร์หนึ่งของเกาหลี ที่ชาวเกาหลีทุกคนหลีกหนีไม่พ้น Kim ได้เปลี่ยนตัวเองจากลูกของครอบครัวที่ยากจนมาเป็นพันกงาน R&D ของกลุ่มบริษัทอันดับหนึ่งของเกาหลีใต้ได้สำเร็จ

ในปี 1997 Kim ซึ่งทำงานล่วงเวลาที่ Samsung อย่างบ้าคลั่งเป็นเวลากว่า 5 ปี และแทนที่เขาจะใช้เงินที่เก็บมาในการจ่ายดาวน์เพื่อซื้อบ้านเหมือนคนอื่น ๆ เขาได้ใช้เงินออมของเขา และ ยืมเงินจากเพื่อน ๆ รวม 184,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเปิดร้านอินเทอร์เน็ตและใช้ความเชี่ยวชาญของเขาในการพัฒนาเกมออนไลน์ Hangame

นั่นคือยุคที่อินเทอร์เน็ตกำลังรุ่งเรืองแบบสุดขีด Kim จับสัญญาณนี้ได้อย่างชัดเจน เขาพัฒนาเกมและให้ผู้เล่นได้เล่นกันแบบฟรี ๆ

ในเวลาเพียงแค่ 3 เดือน จำนวนผู้เล่นพุ่งขึ้นเกิน 1 ล้านคน และกลายเป็น 10 ล้านคนในเวลาเพียงไม่ถึงปีครึ่ง ชาวเกาหลีใต้เกือบหนึ่งในห้าเป็นผู้เล่นในเกมของเขา

การลงทุนครั้งแรกของเขาประสบความสำเร็จในปี 2001 Kim ได้ทำการรวมบริษัทของเขาเข้ากับเว็บไซต์ค้นหา Naver ซึ่งก่อตั้งโดย Lee Hae-jin อดีตเพื่อนร่วมงานของ Samsung เพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NHN (Naver)

ต้องบอกว่า NHN นั้นเป็นที่รู้จักในนาม “Google แห่งเกาหลี” และอยู่ในอันดับ 5 ของอันดับเครื่องมือการค้นหาทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทที่สามารถท้าทายยักษ์ใหญ่จากซิลิกอน วัลเลย์ อย่าง Google ได้เพียงแค่ไม่กี่แห่งในโลก

Naver ทีเอาชนะ Google ในเกาหลีใต้ได้สำเร็จ (CR:The Straits Times)
Naver ทีเอาชนะ Google ในเกาหลีใต้ได้สำเร็จ (CR:The Straits Times)

แต่ Kim ก็ได้ขายหุ้นของเขาใน HNN ในอีกสองปีต่อมา และย้ายไปที่สหรัฐอเมริกา และเริ่มมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ

จนกระทั่งการถือกำเนิดขึ้นของ Whatsapp ในปี 2009 เขาได้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ทันที เขากลับมาที่เกาหลีใต้ และเลียนแบบ WhatsApp เพื่อสร้าง Kakao Talk ที่คล้ายกันออกมาแทบจะทันที

และนั่นก็ทำให้ชีวิตของ Kim เปลี่ยนไปตลอดการ Kakao Talk กลายเป็นแอปพลิเคชั่น Messenger ที่ดังแบบฉุดไม่อยู่ในเกาหลีใต้ เริ่มต้นจากจำนวนผู้ใช้ 5 ล้านคน ในเดือนธันวาคมปี 2010 ก่อนพุ่งสู่จำนวน 70 ล้านคน ในอีกแค่เพียงสองปีถัดมา

ถึงวันนี้ต้องบอกว่า กว่า 87% ของชาวเกาหลีใต้ ใช้ Kakao Talk อย่างจริงจัง และมีการส่งข้อความผ่านแพล็ตฟอร์ม Kakao Talk มากกว่า 11,000 ล้านข้อความในทุก ๆ วัน

การควบรวมกับ Daum

ในปี 2014 Kakao ได้ก้าวมาสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ โดยได้เข้ารวบรวมกิจการกับ Daum Communications เพื่อก่อตั้ง Daum Kakao (ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kakao Corporation)

ต้องบอกว่า Daum นั้นมีประวัติอันยาวนานในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นเว็บพอร์ทัลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาหลีใต้

โดยในปี 2014 บริษัทได้ให้บริการบนเว็บไซต์มากกว่า 200 บริการ ซึ่งรวมถึง การค้นหา แผนที่ ข่าวสาร วีดีโอ และซอฟต์แวร์ร้านอินเทอร์เน็ต

หลังการควบรวม Kim ก็ยังกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Kako-Daum โดยถือหุ้น 40% ของบริษัท ที่มูลค่าประมาณ 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

วัฒนธรรมที่มีความเป็นเอกลักษณ์

Kakao Talk นั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเกาหลีใต้ว่ามีวัฒนธรรมที่แปลกแหวกแนว บริษัทเกาหลีส่วนใหญ่จะมีวัฒนธรรมที่เคร่งครัด โดยเฉพาะการเคารพระบบอาวุโส ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ให้เกียรติผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก

Kakao คิดต่างออกไปสิ้นเชิง โดยมีการกำหนดให้พนักงานใช้ชื่อภาษาอังกฤษแทน เพื่อเป็นการลดอุปสรรคในเรื่องลำดับชั้นของพนักงานออกไป

ต้องบอกว่า key หลักเรื่องวัฒนธรรมองค์กรของ Kakao ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จของวัฒนธรรมแบบเปิดที่ทำให้ Kakao นั้นสามารถตามเทรนด์หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งวัฒนธรรมดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นความนิยมในหมู่วัยรุ่นที่ถือว่า Kakao นั้นทันสมัย เมื่อเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่เกาหลีส่วนใหญ่ที่ดูมีวัฒนธรรมองค์กรที่ล้าหลัง

นั่นเองที่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่จำนวนมากให้เข้ามาทำงานกับบริษัท เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพของบริการ และผลักดันวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

Kakao ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ (CR:The Korea Times)
Kakao ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ (CR:The Korea Times)

อนาคตของ Kakao จะเป็นอย่างไร?

ต้องบอกว่า Kakao นั้นประสบความสำเร็จในการเป็นเสาหลักด้านเทคโนโลยีของสังคมเกาหลีใต้ในปัจจุบัน ชาวเกาหลีใช้ Kakao เพื่อทำทุกอย่างตั้งแต่การสนทนา เรียกแท็กซี่ ค้นหาแผนที่ หรือเรื่องธุรกรรมทางด้านการเงิน

และด้วยนวัตกรรมใหม่ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้ Kakao นั้นเติบโตในเกาหลีใต้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มเข้าไปรุกในพื้นที่ของธุรกิจมากยิ่งขึ้น

และเมื่อเร็ว ๆ นี้ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของเกาหลีใต้ถูกเปลี่ยนมือจากทายาทของ Samsung อย่าง Lee Jae-yong ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 12.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายมาเป็น Kim Boem-soo ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Kim ในวัย 55 ปี เป็นเจ้าของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่เริ่มต้นด้วยตัวเองทั้งหมด สามารถแซงหน้ากลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในรายชื่อผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศที่ถูกปกครองโดยกลุ่มเศรษฐีเก่ามานานแสนนานได้สำเร็จ

ต้องถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวแรงบันดาลใจชั้นยอดเลยทีเดียวสำหรับเรื่องราวของ Kim Beom-soo

มันเป็นเรื่องราวของชายคนนึง ที่ไม่มีต้นทุนสูงมากนัก แต่เขาเพียงแค่ต้องอาศัยการศึกษาร่ำเรียนอย่างหนัก ผลักดันตัวเองให้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยดี ๆ อย่างมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล

การพลิกตัวเองจากคนชายขอบ เข้าสู่การทำงานในองค์กรยักษ์อย่าง Samsung เพื่อรับเงินก้อนแรกและประสบการณ์ชีวิต รวมถึง connection และค่อย ๆ คิดทีละขั้นละตอนเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้น

แน่นอนว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จแต่ละคนนั้น มีปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่สำหรับคนธรรมดาอย่าง Kim Boem-soo รากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดและสำคัญที่สุดอันดับแรก นั่นก็คือ เรื่องของการศึกษานั่นเองครับผม

References : https://min.news/en/economy/cdfbde246306daac1c0b2472a42225ad.html
https://charactermedia.com/how-kakaotalk-founder-became-skoreas-rarest-billionaire/
https://en.wikipedia.org/wiki/Kim_Beom-soo_(businessman)
https://ceoworld.biz/2020/05/23/kakaos-brian-kim-kim-beom-su-is-1-2-billion-richer-thanks-to-social-distancing/
https://jwwnz.medium.com/kakao-the-story-of-koreas-software-innovator-4f0b537c0413

Geek Monday EP99 : การฟื้นตัวของร้านค้าปลีก วิธีที่ผู้ค้าปลีกในอเมริกาปรับตัวเข้ากับผลกระทบจาก Amazon

หลังจากหายนะจากการระบาดใหญ่ ผู้บริโภคของอเมริกากลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อต้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากวัคซีน ซึ่งทำให้อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายของผู้บริโภคกำลังกลับมาเป็นปรกติมากขึ้นหลังจากอยู่ในภาวะหดตัวมาเป็นเวลา 18 เดือน

แม้ความปกติจะเริ่มต้นขึ้น แต่มันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่ารูปแบบการใช้จ่ายได้เปลี่ยนไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ การยกระดับอีคอมเมิร์ซ  อุตสาหกรรมที่ควรจะถูกทำลายโดย Amazon ได้กลับมาแล้ว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/388Meo4

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/xD6LyKivZ9Q

References : https://www.economist.com

Movie Review : Beckett ปลายทางมรณะ หนังทริลเลอร์ระทึกขวัญใหม่ จาก จอห์น เดวิด วอชิงตัน

เป็นอีกหนึ่งในหนังในลิสต์ที่ผมไม่พลาดเป็นอย่างยิ่ง กับผลงานใหม่ของ จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นักแสดงนำจากเรื่อง Tenet อีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่น่าจับตามอง และที่สำคัญเขาเป็นลูกชายของ เดนเซล วอชิงตัน

สำหรับ Beckett รอบนี้มาในแพล็ตฟอร์มของ Netflix ไม่ได้เข้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งหลาย ๆ ท่านน่าจะได้รับชมกันไปแล้ว และเป็นหนังทริลเลอร์ระทึกขวัญเรื่องใหม่ ที่น่าจับตามองเลยทีเดียว

เรื่องย่อ Beckett ปลายทางมรณะ เป็นเรื่องราวของเบ็คเก็ต นักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน ที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศกรีซ กับแฟนสาว เอพริล (รับบทโดย อลิเซีย วิแคนเดอร์) เป็นการเที่ยวแบบไม่วางแผนล่วงหน้า

พวกเขาตัดสินใจออกจากเมืองเอเธนส์เพื่อไปเที่ยวที่ทางเหนือของกรีซ เพราะว่าได้รับการเตือนจากทางโรงแรมในเอเธนส์ ว่าจะมีการประท้วงด้านหน้าโรงแรม ระหว่างการเดินทางบนถนนที่วิ่งไปตามภูเขา เอพริลเผลอหลับไปทิ้งเบ็คเก็ตให้ขับรถอยู่คนเดียว

ด้วยความอ่อนล้าจึงทำให้เขาเผลอหลับใน รถจึงหล่นถนนลงไปชนบ้างร้าง หลังฟื้นจากอุบัติเหตุเขาเห็นบางสิ่งบางอย่างในบ้าน เหมือนจะเป็นผู้หญิงและเด็ก

แต่เขาไม่รู้ว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากฟื้นจากอุบัติเหตุ เขาพบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลและทราบว่าแฟนสาวเสียชีวิตแล้ว เขากลับไปยังบ้านร้าง

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเขาถูกตามไล่ล่าจากตำรวจที่ทำคดี ทำให้เขาต้องหนีตายหลายต่อหลายครั้ง เป้าหมายของการหนีคือไปขอความช่วยเหลือจากสถานฑูตอเมริกันในเอเธนส์

พล็อตเรื่องดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากมาย พระเอกอย่างเบ็คเก็ต ก็หนีตายกันอย่างเดียวทั้งเรื่อง ผ่านเรื่องราวที่ผูกปมซ่อนเงื่อนไว้ เรียกได้ว่า จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นั้นแบกหนังเรื่องนี้ไว้แทบจะคนเดียวทั้งเรื่อง เพราะเป็นการโซโล่เดี่ยวลุยแหลกจากเขาแทบจะทั้งเรื่อง

สิ่งที่น่าชมเชย ก็ต้องบอกว่า ผลงานการแสดงของ จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นั่นแหละที่ต้องรับบทหนักทั้งเรื่อง เป็นการรีดศักยภาพที่สูงสุดของเขาออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้ เป็นการพิสูจน์คุณภาพว่า เขาก็มีดีไม่แพ้พ่อของเขาอย่าง เดนเซล วอชิงตัน แต่อย่างใด

งานแสดงของ จอห์น นั้นยกระดับขึ้นมาอีกขั้น เป็นอีกหนึ่งดาราที่น่าจับตามองมาก ๆ เรื่องนี้เรียกได้ว่า มีทุกสไตล์การแสดง ทั้งแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญ บทดราม่าเรียกน้ำตา ที่เขาสื่อสารมันออกมาได้ดีมาก

เอาจริง ๆ หนังมันดู Real ดูสมจริง เหมือนเรากำลังลุยพร้อมกับพระเอก ฝ่าด่านบอสต่าง ๆ แก้ไขปริศนาระหว่างทาง ผมมองว่ามันคล้าย ๆ เกม ที่พาเราเข้าไปเหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่เราแค่ไม่สามารถบังคับตัวละครได้เท่านั้นเอง

อุปสรรคอย่างนึงของหนังเรื่องนี้ คือเรื่องของภาษา แน่นอนว่า เบ็คเก็ตเอง เป็นนักท่องเที่ยว ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น การติดต่อสื่อสารกับคนในพื้นที่ ก็เป็นเรื่องยาก

ส่วนแก่นหลักของเรื่องต้องบอกว่า ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว มีการผสมผสานเรื่องการเมืองเข้ากับเรื่องราวของความรัก ลองจินตนาการว่าเราเข้าไปอยู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนในหนังเรื่องนี้ เราจะรู้สึกอย่างไร

แต่สิ่งที่ขัดใจมาก ๆ ของหนังเรื่องนี้ ก็คือ เสียงประกอบ ที่แทบจะไม่มีเลย มันทำให้หนังขาดเสน่ห์ไปมาก ๆ เสียดายตรงจุดนี้ การขาดเสียงประกอบที่ดี ทำให้หนังมันดูน่าเบื่อในบางช่วงอย่างชัดเจน

โดยรวมถือเป็นหนังที่ชวนลุ้นละทึกได้ตลอดเวลา แม้มันจะไม่ค่อยสุดก็ตาม ปมของเรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อน คิดว่าหลาย ๆ คนน่าจะพอเดาตอนจบได้ไม่ยากนัก

แต่ก็ต้องบอกว่ามันไม่ได้เป็นหนังที่แย่ ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้สำหรับในแพล็ตฟอร์มอย่าง Netflix ที่ถือว่าได้ดูพัฒนาการของนักแสดงคุณภาพอย่าง จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน ที่จะกลายเป็นนักแสดงที่น่าจับตามองในอนาคตอย่างแน่นอนครับผม