Geek Story EP110 : John Paul DeJoria จากยาจกคนไร้บ้าน สู่เส้นทางมหาเศรษฐีหมื่นล้าน

John Paul DeJoria จากคนไร้บ้านแสนอาภัพ ได้เปลี่ยนเงินทุนเพียง 700 เหรียญ ให้กลายเป็นบริษัท John Mitchell Systems ซึ่งเป็นบริษัทดูแลเส้นผมที่สามารถทำกำไรมากที่สุดในโลก สร้างความมั่งคั่งให้เขากลายเป็นเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินกว่า สามหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2XgRu7a

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/EE4QQP1XkoE

Cyberwar ตอนที่ 11 : Freedom Is a Light

ต้องบอกว่าจากเรื่องราวทั้งหมดสถานการณ์ในอเมริกาถูกสร้างขึ้นจากความไม่รู้ ความกลัวชาวต่างชาติ และการโฆษณาชวนเชื่อที่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียอย่างแท้จริง

ก่อนหน้านี้ภายใต้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่มีมารยาท อ่อนโยน และมีความสง่างามในเวทีโลก และกำลังทำให้อเมริกาก้าวไปสู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

แคมเปญโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียที่นำพาความเพ้อฝันเหล่านี้ไปสู่อินเทอร์เน็ต เหล่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่สนับสนุนทรัมป์เชื่อว่าการโฆษณาชวนเชื่อทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง ซึ่งมันได้กลายเป็นการล้างสมองครั้งยิ่งใหญ่ระดับโลกจากรัสเซีย

ชาวอเมริกัน รวมถึงชาวยุโรป ทุกคนที่ยึดมั่นในคำมั่นสัญญาเรื่องเสรีภาพและประชาธิปไตย จะต้องปกป้องคุณค่าเหล่านี้อย่างแรงกล้ามากขึ้น

ปี 2016 เป็นปีทองของรัสเซีย ในการโจมตีด้วยสงครามไซเบอร์ที่จู่โจมโลกเราแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และมอนเตเนโกร เกือบที่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมอสโกในเวลาเดียวกัน

ถ้าแผนของรัสเซียสำเร็จ ภายในเดือนมกราคมปี 2018 สหภาพยุโรปและนาโต อาจจะต้องล่มสลายหากทั้งทรัมป์และ มารีน เลอ แปน ชนะ มอนเตเนโกรจะตกอยู่ภายใต้รัฐประหารนองเลือดและรัสเซียจะได้ฐานทัพเรือในเอเดรียลิก กลุ่มฝ่ายขวาจัดทั่วยุโรปจะขึ้นครองอำนาจ ตามที่ คอนสแตนติน ไลคอฟ ประกาศว่า “มันจะเป็นระเบียบโลกใหม่”

และต้องบอกว่าสถานการณ์ในช่วงปี 2016 อเมริกา และ ยุโรป กำลังตกอยู่ในอันตรายร่วมกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน ที่ต้องยืนหยัดต่อสู้ และ ตอบโต้ การคุกคามที่ร้ายแรงต่อเสรีภาพและประชาธิปไตยอย่างที่เราได้เห็นในช่วงการเลือกตั้งปี 2016

แต่ด้วความสำนึกของพลเมืองฝรั่งเศสซึ่งเป็นชาติที่ช่วยอเมริกาไว้ โดยการเลือกตั้งที่ เอ็มมานูเอล มาครง สามารถเอาชนะ มารีน เลอ แปน ไปได้สำเร็จ ได้ทำให้แผนการดังกล่าวของรัสเซียต้องสะดุดลง

และในท้ายที่สุด จากผลการเลือกตั้งในปี 2020 ที่ ทรัมป์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และ โจ ไบเด้น ได้ขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา มันก็ได้สะท้อนให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วนั้น ประชาชนชาวอเมริกันทุกคนก็พร้อมที่จะปกป้องประชาธิปไตย และกอบกู้ประเทศจากการโจมตีครั้งร้ายแรงที่สุดได้สำเร็จนั่นเองครับผม

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Cyberwar จาก Blog Series ชุดนี้

ต้องบอกว่า แม้เรื่องราวทั้งหมดที่อ้างอิงจาก Blog Series ชุดนี้นั้นจะมาจากข้อมูลของฝั่งอเมริกาแทบจะทั้งสิ้น ทำให้เราก็ต้องมีการชั่งน้ำหนักในเรื่องข้อมูล ที่อาจจะมีการใส่ร้ายประเทศอย่างรัสเซียไปบ้างในบางแง่มุม

แต่ด้วยหลักฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะ จากการสอบสวนของ Robert Mueller ที่ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ไปในช่วงก่อนหน้านี้นั้น

หลักฐานต่าง ๆ มันก็แสดงให้เห็นการเชื่อมโยงเรื่องราวต่าง ๆ ของอำนาจจากรัสเซีย ที่ใช้สงครามข้อมูล เพื่อบิดเบือนเรื่องราวต่าง ๆ และสร้างการโฆษณาชวนเชื่อ ให้กับชาวอเมริกัน และสุดท้าย ผลลัพธ์ที่ได้ มันก็จริงตามที่พวกเขาต้องการนั่นคือการยกเลิกการคว่ำบาตรจากอดีตประธานาธิบดีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากขึ้นครองตำแหน่งได้เพียงไม่นาน

เรื่องของ Propaganda หรือการโฆษณาชวนเชื่อนั้น ต้องบอกว่า มีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคสงครามโลก หรือ สงครามเย็น เพราะเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจเหล่านี้

แต่ตอนนี้ โลกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็คือ การเกิดขึ้นของ Social Media ต่าง ๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และแน่นอนว่าสื่อใหม่เหล่านี้ ได้สร้างพลัง และอิทธิพลอย่างสูงต่อความเป็นไปของโลกเรา

ถึงขนาดที่ว่า ประเทศยักษ์ใหญ่ ที่มีอำนาจสูงสุดอย่าง สหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้นำโลก ยังโดนสงครามข้อมูลเหล่านี้ เปลี่ยนแปลงสังคม สร้างความเกลียดชัง และความแตกแยกของประชาชนชาวอเมริกันอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

เราได้เห็นภาพในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตยแบบสุดขั้วอย่างสหรัฐอเมริกา การบุกรุกรัฐสภาสหรัฐของผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้

และสิ่งเหล่านี้มันกำลังเกิดขึ้น ทั่วโลก ไล่มาตั้งแต่อาหรับสปริง การปฏิวัติในยูเครน จนมาถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุดอย่างการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของอเมริกา หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดความแตกแยกในประเทศไทยเราเองก็ตามที

สื่อยุคใหม่ รูปแบบการ Propaganda แบบใหม่ ที่ดูมีความซับซ้อน และใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ผ่านเหล่าแฮ็กเกอร์ยอดอัจฉริยะ และแน่นอนว่า เมื่อทั่วโลกต่างเห็นรัสเซียทำสำเร็จมาแล้ว แน่นอนว่า การใช้กลยุทธ์รูปแบบดังกล่าวนั้นจะเกิดขึ้นกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้น เราจะอยู่ในโลกที่ เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งโดยเฉพาะยิ่งในสื่อใหม่ ๆ อย่าง Social Media ที่กลายเป็นสื่อหลักไปเสียแล้วในตอนนี้นั้น มันก็เริ่มทำให้มนุษย์เราแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ได้ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เรื่องไหนคือเรื่องจริง หรือ เรื่องที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา หรือการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อจุดมุ่งหมายในเรื่องต่าง ๆ

เพราะสุดท้ายแล้วนั้น ข้อมูลที่เราได้รับมาผ่านสื่อใหม่ ๆ นั้น มันไม่สามารถแยกแยะได้อีกต่อไปว่าสิ่งใดคือเรื่องจริง เราต่างเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง ทั้งที่สิ่งที่เราได้เห็นได้เสพกัน ถูกสร้างสรรค์โดยเทคโนโลยีล้ำ ๆ ทั้งรูปแบบ งานเขียน รูปภาพ หรือ แม้กระทั่ง VDO ที่ตอนนี้มันสามารถที่จะปรุงแต่งอะไรกับมันก็ได้ และสร้างมันให้กลายเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือได้โดยที่เราแทบจะไม่ทันได้รู้ตัว นั่นเองครับผม

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Cyberwar ตอนที่ 10 : A Treasonous Aspect

ต้องบอกว่าความน่าสนใจของเรื่องราวทั้งหมด เมื่อมีการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรอง และคณะของ Robert Mueller สรุปว่า โดนัลด์ ทรัมป์นั้น เป็นความฝันอันสูงสุดที่จะสามารถทำตามความปรารถนาของเครมลิน

ต้องบอกว่าเรื่องราวทุกอย่างได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้การก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์นั้น เป็นประโยชน์สูงสุดต่อรัสเซีย

ไม่ใช่เพียงแค่ทัศนคติส่วนตัวของทรัมป์ที่มีต่อปูตินเท่านั้น ความผูกพันกับเครือข่ายอนุรักษ์นิยมในยุโรป ทำให้ทรัมป์ ได้กลายมาเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจของรัสเซียอย่างแท้จริง

และคำฟ้องของ Mueller เกี่ยวกับเรื่องราวการจารกรรมครั้งใหญ่ครั้งนี้ ด้วยคำพูดและการกระทำของทรัมป์ทำให้นักวิเคราะห์ข่าวกรองมีความมั่นใจสูงมากว่าทรัมป์มีส่วนร่วมในแผนครั้งนี้ ซึ่งในทางกฏหมาย ถือว่าเขาได้ทรยศต่อคำสาบานที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญ นั่นคือแปลว่าเขาเป็นคนทรยศ

นับตั้งแต่ปูตินขึ้นเป็นผู้นำของสหพันธรัฐรัสเซีย นโยบายการจัดการกับการรับรู้เป็นองค์ประกอบสำคัญของสงครามจิตวิทยาในการเตรียมการด้านข่าวกรองของรัสเซียในสงครามข้อมูลรูปแบบใหม่

สิ่งที่ทำให้ปูตินตัดสินใจดำเนินนโยบายดังกล่าว ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สภาพแวดล้อมทางการเมืองของอเมริกา

โดยเฉพาะระดับความรุนแรงของการต่อต้านประธานาธิบดี เช่น ในยุคของ จอร์จ ดับเบิลยู บุช และ บารัค โอบามา

โดยรวมแล้วจอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นประธานาธิบดีที่แข็งแกร่ง ซึ่งเขาได้ถูกรายล้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติ แม้ว่าบุชจะมองเห็นธาตุแท้ของปูติน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่ไม่ดีนักในการพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ต่อ รัสเซีย

ส่วนประธานาธิบดี บารัค โอบามา และ ฮิลลารี คลินตัน ที่พยายามรีเซ็ตความสัมพันธ์ที่ยากลำบากกับรัสเซีย หลังจากที่มีการแทรกแซงในจอร์เจีย และ เอสโตเนีย ทำให้พวกเขาเป็นตัวเลือกที่แย่กว่า

บารัค โอบามา และ ฮิลลารี คลินตัน ที่ความสัมพันธ์กับรัสเซียแย่หนัก (CR:USnews.com)
บารัค โอบามา และ ฮิลลารี คลินตัน ที่ความสัมพันธ์กับรัสเซียแย่หนัก (CR:USnews.com)

แต่ทรัมป์ เป็นสิ่งที่องค์ประกอบต่าง ๆ ที่รัสเซียต้องการนั้นมีอยู่ในตัวเขาแทบจะทั้งสิ้น หลงตัวเอง หัวโบราณ มีความโลภ และ ขาดหลักศีลธรรม ทุกสิ่งมีอยู่ในตัวทรัมป์

ในอดีตทรัมป์ เป็นที่รู้จักในฐานะนักธุรกิจที่ทำทุกวิถีทางเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เขาพร้อมที่จะทำข้อตกลงไม่ว่าจะเป็นสิ่งเลวร้ายมากแค่ไหน

แต่หลายครั้งทรัมป์ก็พิสูจน์ให้เห็นเช่นกันว่า เขาเป็นนักธุรกิจที่น่าสงสารมากแค่ไหน เขาล้มเหลวในทุกกิจการที่เขามีส่วนร่วม หากเขาไม่ได้รับมรดกจากพ่อของเขากว่า 200 ล้านเหรียญ เขาจะกลายเป็นคนขี้โม้ที่สิ้นเนื้อประดาตัวไปนานแล้ว

สองวันหลังจากการเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์ คอนแสตนติน ไรคอฟ อดีตสมาชิกสภาดูมาในพรรคสหรัสเซีย มีการกล่าวถึงเหตุใดรัสเซียจึงเลือกทรัมป์

ไรคอฟ นั้นรู้จักกันดีในฐานะเจ้าพ่อด้านสื่อของวลาดิเมียร์ ปูติน เขาเป็นคนคุมสื่อไซเบอร์ของ Channel One ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรทัศน์หลักของรัสเซีย และเป็นช่องแรกที่ได้รับอนุญาตให้ออกอากาศในสหพันธรัฐรัสเซียหลังการล่มสลายของโซเวียต

ในคืนหลังการเลือกตั้งของประธานาธิบดีโอบามาสมัยที่สองในปี 2012 โดนัลด์ ทรัมป์ได้ทวีตว่าเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับผลที่ประธานาธิบดีแอฟริกันอเมริกันได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกครั้ง และด้วยความโกรธและหงุดหงิดเขาทวีตว่า “เราควรจะเดินขบวนที่วอชิงตัน!”

ไม่กี่นาทีหลังจากทวีตของทรัมป์ ไรคอฟ อ้างว่าเขาส่งข้อความส่วนตัวโดยตรง (DM) ไปยังทรัมป์เพื่อเสนอความช่วยเหลือจากรัสเซียเพื่อช่วยให้เขาเป็นประธานาธิบดี ทรัมป์ตอบกลับด้วยรูปถ่าย DM ที่เป็นรูปที่เขากำลังยกนิ้วให้

ในปี 2016 ไรคอฟ เขียนโพสต์บน Facebook เป็นภาษารัสเซีย “ถึงเวลาแล้วสำหรับเรื่องราวดี ๆ โดนัลด์ ทรัมป์ และผม ได้ตัดสินใจที่จะปลดปล่อยอเมริกา และทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”

ช่วงเวลาที่ใช้ในการวางแผนของไรคอฟ ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 2012 ถึง วันที่ 8 พฤศจิกายน ปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของโอบามา

พวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปี กับอีก 2 วัน ในการล้างสมอง เปิดสงครามการรับรู้ข้อมูลของประชาชนชาวอเมริกัน และนำไปสู่ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ จากนั้นก็ได้เริ่มสร้างสหภาพทางการเมืองระหว่าง สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย (และรัฐอื่น ๆ ) และสร้างระเบียบโลกใหม่

ซึ่งจากข้อมูลของ ไรคอฟ ที่เปิดเผยออกมาในภายหลัง โปรแกรมบอท ไฮแจ็คโซเชียลมีเดีย ใช้เวลาหนึ่งปีในการเขียนโค้ดในช่วงระหว่างปี 2013 – 2014 นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าใช้เวลาหนึ่งปีในการทดสอบเบต้า และทำให้ระบบโซเชียลมีเดียใช้งานได้สมบูรณ์แบบ

ตามคำฟ้องของ Mueller ที่มีต่อ RF-IRA วันที่เหล่านี้ตรงกับบันทึกการจ้างงานและการปฏิบัติงานของพนักงาน มีการเปิดตัวบ็อตเน็ตใน trump-2016.com เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ปี 2015 ในช่วงเวลาเดียวกันกับ FANCY BEAR หน่วยข่าวกรองทางทหารของรัสเซียกำลังทำลายเซิร์ฟเวอร์ของคณะกรรมการประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือ (DNC)

ปูติน แน่ใจว่าในที่สุดทรัมป์จะยกเลิกการคว่ำบาตร และทำให้รัสเซียฝ่าวงล้อมทางด้านเศรษฐกิจได้สำเร็จ ในขณะที่สหรัฐฯ เข้าสู่ความวุ่นวายทางการเมือง รัสเซียสนใจที่จะทำให้ทรัมป์ดำรงตำแหน่งต่อไปแม้จะมีความขัดแย้งบ้างก็ตาม

เพราะทรัมป์ เชื่อในโลกทัศน์ของปูติน ไม่ใช่ของวอชิงตัน การดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของเขาจึงเป็นสิ่งที่สวนทางกับยุคของประธานาธิบดี บารัค โอบามา แบบหน้ามือเป็นหลังมือ

มีคำถามที่น่าสนใจที่สุดคือ ทรัมป์ ทำสิ่งนี้ทั้งหมดทำไม? จากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ประชาธิปไตยแบบอเมริกันกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งอันตราย เพราะไม่มีใครสามารถตอบคำถามได้ว่าทำไม? แต่คำตอบนั้นง่ายมาก เพราะ ทรัมป์เป็นหนี้

หนี้ส่วนบุคคลและหนี้อื่น ๆ ที่เกิดกับทรัมป์ตั้งแต่วันที่ที่เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีนั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องชดใช้

ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดจากการที่มอสโกช่วยเหลือข้อมูลในส่วนของ Cambridge Analytica ให้กับเขา หรือแม้กระทั่งแนวร่วมใหญ่อย่าง WikiLeaks ของ Julian Assange แน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้ทำให้ทรัมป์แบบฟรี ๆ

WikiLeaks ของ Julian Assange อีกหนึ่งแนวร่วมสำคัญ (CR:Britannica)
WikiLeaks ของ Julian Assange อีกหนึ่งแนวร่วมสำคัญ (CR:Britannica)

หนี้เหล่านี้ มันเปรียบเหมือนพ่อค้ายาเสพติดที่เป็นหนี้เจ้าพ่อชาวโคลัมเบีย หรือ หัวหน้ามาเฟีย เหมือนคนติดการพนัน ปูตินได้ก่อหนี้ด้วยผลตอบแทนที่สูงมาก ตราบใดที่ทรัมป์สามารถอยู่รอดได้ในแต่ละวัน แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเขาเป็นหนี้ปูตินมากขนาดไหนก็ตาม

ด้วยการก้าวขึ้นมาแบบมีหนี้อยู่เบื้องหลังเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่มากกว่าความอยู่รอดทางการเมือง และ ผลประโยชน์ทางด้านการเงินที่สมบูรณ์แบบเพียงเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า ทรัมป์ทำงานหนักเป็นพิเศษเพื่อชำระหนี้เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเป็นหนี้ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุขต่อตัวเขาเอง

ทรัมป์อาจเติมเต็มบทบาทของประธานาธิบดีได้ แต่ปูติน จะเป็นเงาที่ทำให้เขามีอำนาจเสมอ ซึ่งแน่นอนว่าความคิดนี้ มันก็ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับทรัมป์มากจน เขาใช้เวลาทุกวัน เพื่อลบล้างข้อกล่าวหาที่ว่า เขาและทีมงานของเขาทำงานร่วมกับรัสเซียเพื่อทรยศต่อชาติ

ซึ่งอดีตผู้อำนวยการ CIA อย่าง จอห์น แบรนนอน ได้พูดถึงเรื่องที่รัสเซียจัดการกับทรัพย์สินและตัวแทนของตนได้อย่างน่าสนใจว่า

“พวกเขาสามารถดึงคน รวมถึงแม้กระทั่งคนใน CIA ให้กลายเป็นคนทรยศ และบ่อยครั้งบุคคลที่กำลังเดินรอยตามเส้นทางที่กำลังจะทรยศต่อประเทศชาตินั้น ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังจะไปในเส้นทางนั้น และในที่สุดมันก็สายเกินไป…”

และในฐานะประธานาธิบดี นิวยอร์กไทม์ส ยังเคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการที่ทรัมป์ไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำว่า “ลับสุดยอด” ได้

ทรัมป์กล่าวว่า “ไม่ได้มีความสนใจ หรือ ความรู้เกี่ยวกับรายละเอียด ของการรวบรวมข่าวกรอง สิ่งที่รั่วไหล หรือแหล่งที่มา และวิธีการรวบรวมข่าวกรองที่อาจเป็นอันตรายต่อพันธมิตรอเมริกัน”

ทรัมป์สั่งให้เจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติตรวจสอบความเป็นไปได้ที่จะปลดทหารอเมริกันออกจากยุโรปเพื่อเป็นรางวัลให้กับปูติน นอกจากนี้เขายังสั่งให้ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติและ CIA พบกับ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองรัสเซียสามคน ซึ่งคนหนึ่งอยู่ภายใต้การคว่ำบาตรเป็นการลับในวอชิงตัน

ซึ่งกลับกัน หากลองแทนที่คำว่า “รัสเซีย” ด้วย “ISIS” ในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ระบุไว้ข้างต้น ซึ่งหากบุคคลใดในสหรัฐอเมริกามีการสื่อสาร ประสานงาน และสมรู้ร่วมคิดในระดับเดียวกันนี้กับกลุ่มที่คุกคามประเทศเช่น ISIS อัลกออิดะห์ หรือ แม้แต่หน่วยข่าวกรองของจีนจะต้องมีการออกหมายจับ

ซึ่งอย่างน้อยที่สุดชาวอเมริกันที่มีการติดต่อที่น่าสงสัยกับตัวแทนในต่างประเทศ จะต้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนของรัฐบาลกลาง เริ่มกระบวนการเพื่อตรวจสอบว่าในความเป็นจริง มีหลักฐานที่จะเป็นตัวแทนในการจารกรรมของอำนาจจากต่างประเทศหรือไม่ หากมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง และมันมีความตื้นลึกหนาบางเพียงใด ในเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้

ซึ่งสุดท้าย เมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติมจากการสอบสวนของ Robert Mueller ระดับการสมรู้ร่วมคิดของทรัมป์ จะเป็นตัวตัดสินว่า มันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ หรือ มันเป็นแผนการที่จะก่อกบฏ นั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 11 : Freedom is a Light (ตอนจบ)

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Cyberwar ตอนที่ 9 : Operation Global Grizzly

แน่นอนว่าสหรัฐอเมริกานั้น ไม่ได้เป็นเป็นเพียงประเทศเดียวสำหรับยุทธศาสตร์ของรัสเซีย เพื่ออธิบายเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ใหญ่กว่าของปูตินในยุโรปตะวันออก มันมีการดำเนินงานในแผนใหญ่ที่มีชื่อว่า Operation Global Grizzly

โดยแผนนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ใช้ความสามารถทั้งหมดของรัสเซีย ตั้งแต่การแทรกแซงนโยบายต่างประเทศ และข้อตกลงด้านนำมันไปจนถึงการลอบสังหาร กลยุทธ์นี้เรียกว่า Asymmetric หรือ Hybrid Warefare ทรัพยากรทั้งหมดที่ไม่ต้องใช้ในสงครามแบบเปิดเหมือนยุคเก่า ๆ จะถูกนำไปใช้เพื่อฟื้นฟูอำนาจของรัสเซีย

ภายในปี 2017 รัฐที่ร่วมกับนาโต ซึ่งรวมถึงฝรั่งเศส สเปน ตุรกี กรีซ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร โปแลนด์ ฮังการี และ ยูเครน จะมีพรรคการเมืองหลัก ๆ ที่พร้อมที่จะขึ้นสู่อำนาจภายใต้แผนของปูติน

และเพื่อเป็นการสนับสนุนความพยายามเหล่านี้ ทรัพยากรทั้งหมดของ Global Grizzly มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนพรรคการเมืองที่เครมลินเป็นที่ชื่นชอบ และ มีการดำเนินการเพื่อผลักดันให้มีการลงประชามติเกี่ยวกับชาตินิยม

ต้องบอกว่าอเมริกาเองไม่ได้เป็นชาติที่โดดเดี่ยวที่เกิดจากการปฏิบัติการสงครามไซเบอร์ของรัสเซีย วิธีการของรัสเซียในการรุกคืบเข้าสู่การเมืองยุโรปตั้งแต่สมัยโซเวียตนั้นก็ไม่แตกต่างกันกับที่พวกเขากำลังดำเนินการอยู่ในตอนนี้

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หน่วยสืบราชการลับของรัสเซียต้องเข้าสู่สงครามอุดมการณ์กับตะวันตก เพื่อควบคุมยุโรป เนื่องจากความสามารถของทั้งสองฝ่ายในการทำลายล้างอีกฝ่ายด้วยอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาจึงต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังทหารทั่วไป และเข้าร่วมในสงครามจารกรรมและอิทธิพลระดับโลก ซึ่งนั่นก็คือ สงครามเย็น

การเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพใหญ่ตามแนวชายแดนเยอรมันตะวันตก โดยในฝั่งตะวันออกคอมมิวนิสต์ได้สร้างพันธมิตรแปดชาติที่ยึดครองโดยโซเวียตเพื่อเป็นคู่แข่งกับนาโต

พันธมิตรได้ร่วมครึ่งหนึ่งของประเทศเยอรมนี (เยอรมันตะวันออก) โปแลนด์ บัลแกเรีย ฮังการี โรมาเนีย เชโกสโลวะเกีย แอลแบเนีย และ สหภาพโซเวียต

รัสเซียยึดประเทศเหล่านี้ผ่านอำนาจทางการทหาร และ แทนที่รัฐบาลประชาธิปไตยที่มีอยู่ก่อนสงครามด้วยผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์ในท้องถิ่นของตน ดันนั้นครึ่งหนึ่งของยุโรป ถูกรัสเซียยึกครองเป็นเวลา 46 ปี ภาษารัสเซียเป็นภาษากลางสำหรับกิจการทางด้านการทหาร รัฐบาล และ วัฒนธรรมในตะวันออกของยุโรป

และเมื่อผ่านยุคสงครามเย็น และการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มแข็งข้อกับรัสเซีย หลายประเทศปลดแอกจากอำนาจของสหภาพโซเวียตได้สำเร็จ แต่ พวกเขาก็ต้องพบเจอกับปฏิบัติการจารกรรมรูปแบบใหม่

ในปี 2007 รัสเซียทำให้เอสโตเนียเป็นอัมพาตด้วยการโจมตีแบบ (DDoS) ระดับประเทศ เมื่อรัฐบาลท้องถิ่นของเอสโตเนียต้องการย้ายรูปปั้นกองทัพโซเวียตในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วยข่าวกรองรัสเซีย ก็ได้เริ่มโจมตีและปิดอินเทอร์เน็ตของประเทศเล็ก ๆ อย่างเอสโตเนียทันที

ปีถัดไป ลิทัวเนีย ได้ผ่านกฏหมายที่ต่อต้านโซเวียต และอีกครั้งที่กองทัพหมีขาว ได้ทำการโจมตี โดยนำกลุ่มที่เรียกว่า “hack-wars.ru” พวกเขาได้ทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของลิทัวเนียเป็นอัมพาต

และต้องบอกว่าสหราชอาณาจักร เป็นฐานทดสอบสำหรับกลยุทธ์การจัดการการรับรู้ของรัสเซีย ระบบที่หน่วยข่าวกรองรัสเซียพัฒนาขึ้นสำหรับสหรัฐอเมริกาจะต้องมีรูปแบบการทดสอบที่เล็กกว่าเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการเขียนโปรแกรมและทดสอบประสิทธิภาพของกระบวนการทั้งหมด

Brexit แคมเปญออกจาก EU ของสหราชอาณาจักรใช้ทดสอบพลังของสงครามข้อมูลจากรัสเซีย (CR:Flickr)
Brexit แคมเปญออกจาก EU ของสหราชอาณาจักรใช้ทดสอบพลังของสงครามข้อมูลจากรัสเซีย (CR:Flickr)

สหราชอาณาจักรเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของอเมริกา และยังเป็นเสาหลักสำหรับสหภาพยุโรป แม้การการออกจากสหภาพยุโรปจะไม่สร้างความเสียหายร้ายแรงเทียบเท่าหากฝรั่งเศสถอนตัวก็ตาม แต่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับสหราชอาณาจักร

รัสเซียเห็นว่าการลงประชามติของอังกฤษที่ประสบความสำเร็จ จะทำให้เหล่าอนุรักษ์นิยมขวาจัดของอเมริกาเห็นว่า “หากพวกเขาทำได้เราก็ทำได้เช่นกัน”

ต้องบอกว่าเครือข่ายอนุรักษ์นิยม ชาตินิยม ในยุโรปประสบความสำเร็จในการแทรกซึมความเชื่อที่ว่าการปกป้องแนวคิดอนุรักษ์นิยมหมายถึงการต่อต้านการอพยพ ต่อต้านมุสลิม

การทำลายสหราชอาณาจักรเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดในการทำลายสหรัฐฯ และสำหรับเรื่องนี้ ปูตินต้องการพันธมิตรในสหราชอาณาจักร ซึ่งแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำงานให้กับปูติน หากการลงประชามติของอังกฤษสามารถทำได้สำเร็จ

และด้วยแรงผลักดันจากความรู้สึกต่อต้านผู้อพยพ นักการเมืองกลุ่มยูโรอย่าง บอริส จอห์นสัน และ ไนเจล ฟาเรจ ได้ผลักดันให้เกิดการลงประชามติในสหราชอาณาจักรในการออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งถูกเรียกว่า “Brexit”

และในที่สุดแคมเปญ Brexit ในการลงประชามติมีผู้คนกว่า 30 ล้านคนออกมาลงคะแนนเสียง ซึ่งเห็นด้วยกับการออกจากสหภาพยุโรปด้วยเสียงสนับสนุน 51.9% และ 48.1% ไม่เห็นด้วย ทำให้ เดวิด คาเมรอนถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

วันที่ 11 กรกฏาคม ปี 2016 เทเรซา เมย์ ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ 2 ตุลาคม 2016 เธอประกาศว่าการออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการของอังกฤษจะเริ่มในเดือนมีนาคมปี 2017

แม้สมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคแรงงานหลายคนไม่เคยสนับสนุน Brexit ต้องบอกว่าเสียง Vote ของประชาชนในครั้งนี้ได้สร้างความตกใจให้กับเหล่านักการเมือง เฉกเช่นเดียวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในอีกหกเดือนถัดมา

กลยุทธ์ของรัสเซียนั้นดูเรียบง่าย ทำการสลายสหภาพอาณาจักรและสร้างความเสียหายให้กับสหภาพยุโรป หน่วยงานของรัสเซียจะกระตุ้นแคมเปญ Brexit และให้ความช่วยเหลือทุกอย่างโดยใช้สงครามไซเบอร์และการจัดการด้านการรับรู้ของประชาชน

พวกเขาจะหว่านแนวคิดความไม่ลงรอยกัน และสร้างความแตกแยก ให้เกิดกับประชากรผิวขาวที่เกลียดชังชาวมุสลิมอพยพ และแน่นอนว่าพวกเขาทำสำเร็จ

จากนั้นเมื่อสก็อตแลนด์ต้องการออกจากสหราชอาณาจักร RF-IRA จะใช้พลังเว็บเพื่อผลักดันการบรรยายเรื่องการลงประชามติของสก็อตแลนด์ ซึ่งความพยายามที่จะทำให้สหราชอาณาจักรแตกสลายเหลือเพียงเวลส์และอังกฤษ เกือบจะสัมฤทธิ์ผล

ด้วยความสำเร็จของการรณรงค์ที่มีอิทธิพลต่อการปลดอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปในการโหวต Brexit และชัยชนะของอเมริกา หน่วยข่าวกรองของรัสเซียได้เริ่มความพยายามครั้งใหม่ในการเลือกตั้งในยุโรป และการเลือกตั้งครั้งต่อไปคือฝรั่งเศส

การเลือกตั้งฝรั่งเศสปี 2017 จัดขึ้นสองรอบ การลงคะแนนรอบแรกเกิดขึ้นในวันที่ 23 เมษายน 2017 มีการเผชิญหน้ากันระหว่าง เอ็มมานูเอล มาครง นักการเมืองดาวรุ่ง และ มารีน เลอ แปน ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มอนุรักษ์นิยมของฝรั่งเศสที่มีความใกล้ชิดกับรัสเซีย

เอ็มมานูเอล มาครง นักการเมืองดาวรุ่ง และ มารีน เลอ แปน ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มอนุรักษ์นิยมของฝรั่งเศสที่มีความใกล้ชิดกับรัสเซีย (CR:Agencia Brasil)
เอ็มมานูเอล มาครง นักการเมืองดาวรุ่ง และ มารีน เลอ แปน ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มอนุรักษ์นิยมของฝรั่งเศสที่มีความใกล้ชิดกับรัสเซีย (CR:Agencia Brasil)

เลอ เปน นั้นมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับรัสเซียในการต่อต้านการก่อการร้ายในตะวันออกกลาง รองจากโดนัลด์ ทรัมป์ เธอเป็นผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับวิสัยทัศน์ของปูตินเกี่ยวกับยุโรปที่นำโดยเผด็จการ แต่ก่อนอื่นเธอต้องได้รับชัยชนะเสียก่อน

และเพียง 44 ชั่วโมง ก่อนเลือกตั้งคร้้งใหญ่ อีเมล 9 กิกะไบต์ถูกขโมยไปจากแคมเปญของมาครง ซึ่งอีเมลได้ถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วทั่วอินเทอร์เน็ต เอกสารและอีเมลส่วนตัวของ มาครง ประมาณหมื่นฉบับถูกรัสเซียแฮ็กและรั่วไหลออกไป

บริษัทรักษาความปลอดภัย Trend Micro ยับพบหลักฐานทางดิจิทัลที่มาจากหน่วยข่าวกรองรัสเซีย Advance Presistent Threat-29 มัลแวร์ FANCY BEAR ของ FSB ที่ใช้ในการพยายามแฮ็กการเลือกตั้งในสหรัฐฯ เมื่อปีก่อนหน้า

แต่ด้วยข้อมูลที่หลุดไปนั้นส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งรวมถึงใบแจ้งหนี้ สุนทรพจน์ คำแถลงการณ์และการบริหารงานประจำทั่วไป ทำให้ในท้ายที่สุด มาครง ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งด้วยผลโหวต 66% ส่วนเลอ แปน พ่ายแพ้ด้วยคะแนนเสียงที่ได้รับเพียงแค่ 34%

และต้องบอกว่า ยังมีอีกหลายชาติ ที่โดนการโจมตีรูปแบบคล้าย ๆ กัน ทั้งในเยอรมัน สวีเดน มอนเตเนโกร ฯลฯ ซึ่งการโจมตีทางไซเบอร์ในยุโรปเหล่านี้เกิดขึ้นเกือบพร้อม ๆ กัน กับการแฮ็กการเลือกตั้งของชาวอเมริกัน และมันไม่ใช่เป็นแค่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

รัสเซียได้กลับเข้าสู่ส่วนลึกที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของการทำสงครามโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองและอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อให้เกิดผลตามแผนของพวกเขา ซึ่งเป้าหมายคงไม่ใช่แค่เพียงสหรัฐอเมริกาเพียงเท่านั้น

แต่พวกเขากำลังสร้าพันธมิตรจากประเทศที่จะนำโดยผูู้นำเผด็จการที่แข็งแกร่ง โดยพันธมิตรเหล่านี้จะใช้เครื่องมืออันทรงพลังในระบบประชาธิปไตยของพวกเขาเอง นั่นก็คือการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม เสรีภาพในการพูด สิทธิในการชุมนุมและสิทธิตามรัฐธรรมนูญอื่น ๆ

ด้วยเครื่องมือจารกรรมทางไซเบอร์ของมอสโก ปูติน เชื่อว่าพวกเขาสามารถที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างโลกใหม่จากการทะเลาะวิวาทกันเองของระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม ไปสู่ระบอบที่ทรงพลังทางเศรษฐกิจ ด้วยพันธมิตรอเมริกาและเสาหลักจากโลกตะวันตก โดยใช้คัมภีร์หลักที่ถูกฝังแนวคิดผ่านการใช้สงครามข้อมูลจากมอสโก นั่นเองครับผม

–> อ่านตอนที่ 10 : A Treasonous Aspect

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Cyberwar ตอนที่ 8 : The Hashtag war

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ปี 2018 ที่ปรึกษาพิเศษ Robert Muedller ได้ยื่นฟ้องที่ศาลแขวงสหรัฐฯ ในการดำเนินการกับ RF-IRA , Concorde Management and Consulting , LLC และ Concorde Catering กล่าวหาว่า องค์กรต่าง ๆ ของรัสเซียมีส่วนร่วมในการดำเนินการเพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งในกระบวนการทางการเมืองของสหรัฐฯ

มันเริ่มต้นในปี 2013 องค์กรเหล่านี้ได้เริ่มจัดตั้ง ว่างจ้างพนักงาน และวางแผน รวมถึงรับคำสั่งให้แทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผ่านมาตรการทางด้านข่าวกรองของรัสเซียที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

โดยมีการรณรงค์เผยแพร่สงครามข้อมูลในวงกว้าง เพื่อเปลี่ยนความคิดของพลเมืองอเมริกัน RF-IRA ดำเนินการโดยมีก่อตั้งเพจในโซเชียลมีเดีย รวมถึง บัญชี Twitter ที่ออกแบบมาให้ดูเหมือนเป็นพลเมืองอเมริกันที่โพสต์ข้อมูลเพื่อดึงดูดผู้ชมชาวอเมริกันที่มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม

นอกจากนี้ พวกเขายังใช้ หุ่นเชิด ที่พวกเขาจัดการกับคนจริง ๆ โดยแสร้งทำเป็นพลเมืองสหรัฐฯ และจัดการประท้วงกับกลุ่มพลเมือง ที่เชื่อมั่นว่าพวกเขากำลังสื่อสารกับคนที่ถูกต้องตามกฏหมายที่ไม่ใช่ตัวแทนจากรัสเซีย

และต้องบอกว่าเครื่องมือที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของรัสเซีย มีชื่อว่า บอทเน็ต เป็นซอฟต์แวร์อัตโนมัติ สำหรับงานเฉพาะ ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นกองทัพเสมือนที่ใช้ในการโจมตีศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บอทเน็ต จะถูกใช้เพื่อทำการโจมตีแบบ Distributed Denial of Service (DDoS) ซึ่งการโจมตีจะเข้าสู่ระบบขนาดใหญ่ โดยใช้ความพยายามหลายพันล้านครั้งในการเข้าสู่ระบบเซิร์ฟเวอร์ หรือ การเข้าสู่ระบบการดูแลเว็บไซต์ หรือ เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์การฉ้อโกง การคลิกโฆษณา และ สแปมอีเมล

ต้องเรียกได้ว่า บอท ทุกตัวมีงานทำในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งพวกมันเลียนแบบบทบาทที่เคยมนุษย์ทำมาก่อนในโลกแห่งการจารกรรม ซึ่งเมื่อก่อนคนเหล่านี้ถูกขนานนามว่า Agents of Influence , Agents Provocateurs และ Chaos Agents

แต่ในวันนี้ ด้วยสงครามรูปแบบใหม่ บอท ได้เข้ามาเติมเต็มบทบาทเหล่านี้แทนที่มนุษย์ บอทที่ทำงานในบ็อทเน็ต อาจจะทำงานกับข้อความหลายล้านข้อความทุกประเภท ที่มักจะเน้นไปที่วัตถุประสงค์การโฆษณาชวนเชื่อ

ในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งในปี 2016 บอทที่เชื่อมโยงกับรัสเซียได้รีทวีต @HillaryClinton 47,846 ครั้ง ในขณะที่ทวีตจาก @realDonaldTrump ถูกรีทวีต 469,537 ครั้ง

ในทำนองเดียวกัน ทวีต @HillaryClinton ได้รับการกดไลค์ 119,730 ครั้ง จากบอทที่มีการเชื่อมโยงกับรัสเซีย ส่วน @realDonaldTrump ได้รับการกดไลค์ 517,408 ครั้ง

Twitter ยังตรวจสอบเนื้อหาที่แชร์จากช่องโหว่ของรัสเซีย ที่เป็นที่รู้จัก และ ที่ถูกกล่าวหา ซึ่งรวมถึง WikiLeaks , Guccifer 2.0 และ DCLeaks พวกเขาระบุว่าโพสต์ของ @WikiLeaks ถูก รีทวีต 196,386 ครั้ง ทวีตของ @Guccifier_2 ถูกรีทวีต 24,000 ครั้ง และ @DCLeaks_tweets ถูก รีทวีต 6,774 ครั้ง

และบอทที่มีบทบาทไม่เหมือนใครในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งปี 2016 ถูกเรียกว่า Agitation Bot ซึ่งในแง่ของมนุษย์ มันจะเป็นตัวแทนที่ใช้ในการยั่วยุ โดยจะสวมรอยเป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น และแนะนำให้ผู้ติดตามแสดงตัวในการประท้วง หรือ การกระทำบนท้องถนนในชีวิตจริง

แน่นอนว่า บอท เหล่านี้ สามารถใช้เพื่อจัดสถานที่ และเวลาของเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การประท้วง ซึ่งเบื้องหลังคือการทำให้มนุษย์จริง ๆ คิดว่ามีมนุษย์ที่มีตัวตนจริง ๆ กำหนดเวลาในเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเมื่อมีผู้คนมารวมกันจริง ๆ พวกเขาก็จะจัดการประท้วงต่อกันเอง โดยไม่สนใจว่า ใครเป็นคนกำหนดการประท้วงนี้ขึ้นมา

RF-IRA ได้สร้างกิจกรรมบน Facebook 129 กิจกรรม ระหว่างปี 2015 – 2017 โดย Facebook รายงานต่อคณะกรรมการข่าวกรองของวุฒิสภาว่า กิจกรรมที่โพสต์ มีผู้ใช้มากกว่า 300,000 คน และ มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 62,500 คน ชาวอเมริกันทั้งหมดเหล่านี้ถูกเชิดหุ่น โดยนักเชิดหุ่นในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย

ตัวอย่างบัญชีของรัสเซีย ใช้ Facebook เพื่อโปรโมตการชุมนุมของกลุ่มสนับสนุนทรัมป์ เช่น การชุมนุม “Florida Goes Trump” ในวันที่ 20 สิงหาคม ปี 2016 การชุมนุมดังกล่าวได้รับการโปรโมตบนหน้า Facebook ที่สร้างโดยผู้ใช้ชื่อ “march for trump” เพจที่มีชื่อว่า “Being Patriotic” โปรโมตกิจกรรมนี้พร้อมกับข้อความ “Down with Hillary!”

Florida Goes Trump ตัวอย่างกิจกรรมที่เปลี่ยนจากบอท สู่การประท้วงจริง ๆ ของมนุษย์ (CR:Tampa Bay Times)
Florida Goes Trump ตัวอย่างกิจกรรมที่เปลี่ยนจากบอท สู่การประท้วงจริง ๆ ของมนุษย์ (CR:Tampa Bay Times)

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ โทรลล์ได้โพสต์เหตุการณ์ในวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2016 ในฮูสตัน เท็กซัส ที่มีการเปิดห้องสมุดศูนย์อิสลามขึ้น ทั้งสองฝ่ายรวมถึงผู้ประท้วง “Stop Islamization of Texas” และ “Save Islamic Knowledge” ซึ่งถูกหน่วยงานของรัสเซียที่พยายามสร้างความโกลาหล ความคิดเห็นบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ มีการขู่ว่าจะใช้ความรุนแรงที่มุ่งเป้าไปที่ชาวอเมริกันเชื้อสายมุสลิม

และเมื่อพูดถึงการใช้บอทแฮชแท็กนั้น ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดในการตั้งโปรแกรม เนื่องจากสามารถนำมาใช้อัปเดทและทำซ้ำได้ สิ่งนี้ทำให้แฮชแท็กมีสัญลักษณ์ # ซึ่งเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบสำหรับข้อมูลแคมเปญสงครามซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดความสนใจให้กับตัวเอง

หน่วยงาน RF-IRA ได้ผลักดันแคมเปญโฆษณาชวนเชื่อ หลายอย่างในยุโรปก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ พวกเขาใช้แฮชแท็ก #Frexit (ฝรั่งเศสออกจากสหภาพยุโรป) #Grexit (กรีซออกจากสหภาพยุโรป) , #BrexitVote , #PrayForLondon , #BanIslam และ #Brexit ในสหรัฐอเมริกา และยังมีการใช้แฮชแท็ก #CALEXIT (กลุ่มแบ่งแยกดินแดนทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย) , #TEXIT (กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในรัฐเท็กซัส) , #WhiteGenocide และ #BlackLivesMatter

RF-IRA พยายามทำให้ความตึงเครียดรุนแรงขึ้นในแคมเปญ Black Lives Matter ซึ่งเป็นบัญชี Twitter ที่เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อกระตุ้นการแบ่งขั้วระหว่างแฮชแท็ก #BlackLivesMatter , #BlueLivesMatter และ #AllLivesMatter จากการตรวจสอบบัญชีที่เกี่ยวข้องกับ RF-IRA ของมหาวิทยาลัยวอชิงตันพบว่า 29 บัญชีในจำนวนนั้นกำลังทำให้เกิดสงครามแฮชแท็กในทุกด้าน

ในการนำไปสู่การเลือกตั้งปี 2016 มีการใช้แฮชแท็ก #DNCLeak ในช่วงสองเดือนก่อนการเลือกตั้ง ผู้ใช้ 26,500 คน สร้างทวีต 154,800 รายการพร้อมแฮชแท็ก #DNCLeak ซึ่งรวมถึง 3% ที่เป็นบัญชีที่เชื่อมโยงกับรัสเซีย อีเมลของ John Podesta ประธานแคมเปญหาเสียงของคลินตันถูกขโมยไปหลังจากที่ COZY BEAR โจมตีด้วยสเปียร์ฟิชชิ่งได้สำเร็จ ซึ่งเขาได้ถูกหลอกเมื่อคลิกลิงก์ที่แอบอ้างว่าเป็นการแจ้งเตือนความปลอดภัยของ Google ในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง

WikiLeaks ได้เผยแพร่ทวีต 118 รายการพร้อมแฮชแท็ก #PodestaEmails ซึ่งทาง Twitter กล่าวว่าเกือบ 5% ของทวีตที่มีแฮชแท็กนี้สร้างขึ้นจากบัญชีที่เชื่อมโยงกับรัสเซีย ซึ่งทาง Twitter คาดว่ามีผู้ใช้ 64,000 คน สร้างทวีต 484,000 ทวีตพร้อมแฮชแท็กรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงสองเดือนก่อนการเลือกตั้ง

ข่าวปลอมอีกเรื่องหนึ่งของชาวอเมริกันที่รัสเซียพยายามผลักดันก็คือ เรื่องหลอกลวงที่มีชื่อเสียงที่เรียกว่า #PizzaGate

หลังจากที่มีการเผยแพร่อีเมลที่อ้างถึงอดีตตัวแทนของนิวยอร์ก Anthony Weiner ทฤษฏีสมคบคิดก็เกิดขึ้นโดยอ้างว่าร้านพิซซ่าในวอชิงตันดีซี เป็นด่านหน้าอย่างลับ ๆ สำหรับการค้ามนุษย์และการทำอนาจารเด็ก

เรื่องนี้ได้เริ่มถูกโพสต์ลงในเว็บไซต์ข่าวปลอม YourNewsWire.com ก่อนจะถูกนำไปสร้างกระแสต่อในเว็บบอร์ดชื่อดังอย่าง 4chan

4chan ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดกำเนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับวัฒนธรรมย่อย และเป็นที่รู้จักในการสร้างแคมเปญไวรัล ขับเคลื่อนโดยโพสต์จากผู้ใช้ที่ไม่ระบุชื่อ 4chan เป็นเว็บที่มีการกำกับดูแลที่หละหลวมมาก และมีวัฒนธรรมที่บ้าคลั่งเกี่ยวกับการสร้างข่าวปลอมและข่าวลือ

4chan แหล่งแพร่กระจายทฤษฏีสมคบคิดและข่าวปลอม (CR:Wikipedia)
4chan แหล่งแพร่กระจายทฤษฏีสมคบคิดและข่าวปลอม (CR:Wikipedia)

รวมถึงนักทฤษฏีสมคบคิดอย่าง อเล็กซ์ โจนส์ จาก Infowars ที่เรื่องราวต่างๆ ทั่วเว็บนั้นมีการวางแผนกันอย่างดี และการแพร่กระจายของเรื่องราวไม่ได้หยุดอยู่แค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ถูกหยิบขึ้นมากระจายต่อโดยเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก

ซึ่งจากเรื่องราวทั้งหมดทาง Twitter ให้การในภายหลังว่า มีความพยายามที่จะลดการเผยแพร่แฮชแท็กเหล่านี้ แต่มันได้ทำให้เกิดเสียงโวยวายขึ้นทันที ไม่เพียงแต่ฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยม และ แหล่งทฤษฏีสมคบคิดในอเมริกาเท่านั้น แต่รวมถึงจากฝั่ง Russia Today และ เว๊บไซต์ Sputnik ซึ่งพยายามกล่าวหา Twitter กำลังพยายามเซ็นเซอร์

และในช่วงต้นปี 2018 Twitter ได้อัปเดทวิธีการตรวจจับบอท และบัญชีที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียหลังการเลือกตั้ง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการจัดการกับการละเมิดแพล็ตฟอร์มของพวกเขา ซึ่งรวมถึงตรวจสอบสิ่งที่มีคุณสมบัติว่ามีความเชื่อมโยงกับรัสเซีย

ซึ่งเกณฑ์สำหรับการตรวจสอบนั้นรวมถึงการกำหนดตำแหน่งของผู้ใช้บัญี การใช้ที่อยู่อีเมลของรัสเซีย หากบัญชีถูกสร้างขึ้นจากที่อยู่ IP ของรัสเซีย หรือ หากบัญชีถูกเข้าถึงจากที่อยู่ IP ของรัสเซียนั่นเอง

ต้องบอกเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ของความพยายามที่ดำเนินการโดยหน่วยงานอย่าง RF-IRA ซึ่งพยายามโจมตีความคิดของพลเมืองไม่ใช่แค่เพียงแต่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่รวมถึงทั่วโลก

ซึ่งการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลที่อยู่เบื้องหลังแฮชแท็กเหล่านี้ มีการเชื่อมโยงบัญชี Twitter กับเครื่องมือโพสต์แบบครั้งละมาก ๆ ที่เรียกว่า “Masss Post” ที่มีความเชื่อมโยงกับโดนเมนในรัสเซีย

Adrien Chen นักข่าวของ New York Times ได้ถาม Mikhail Burchik หัวหน้าฟาร์มโทรลล์ของ RF-IRA ที่ถูกกล่าวหาว่าเขาจดทะเบียนโดนเมนดังกล่าว แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ

รวมถึง อเล็กซ์ โจนส์ รู้สึกผิดหวังกับข้อกล่าวหาที่ว่า Infowars เป็นผู้สร้างแฮชแท็กของรัสเซีย โจนส์ จึงโพสต์รูปวีซ่าธุรกิจรัสเซียของเขา และทวีตเย้ยหยันว่า “รอคอยที่ปูตินจะมองแฮชแท็กใหม่ให้ฉันกับฮิลลารีและเดโมแครต”

ต้องบอกว่า โจนส์ เป็นแหล่งข่าวปลอมที่น่าเชื่อถือสูงสำหรับโครงสร้างสงครามโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย ทฤษฏีสมคบคิดของเขาถูก RF-IRA ใส่แฮชแท็กอย่างบ้าคลั่ง ความเห็นที่สุดโต่งของเขา ได้รับการชื่มชมอย่างกว้างขวางจากนักการเมืองชั้นนำของรัสเซีย และ ต้องขอบคุณทวีตของเขาเองที่ได้เปิดเผยว่า เขาได้รับวีซ่าธุรกิจระยะยาวเพื่อรักษาแบรนด์ที่สร้างทฤษฏีสมคบคิดให้คงอยู่ต่อไปอีกนานนั่นเองครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : Operation Global Grizzly

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ