มาทำความรู้จักกับ EtherRock ภาพก้อนหินธรรมดา ๆ ที่มีมูลค่ากว่า 42 ล้านบาท

เมื่อโลกเราเปลี่ยนไป เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่ การเก็บสะสมงานศิลปะ ก็ได้ฉีกแนวความคิดไปจากรูปแบบดั้งเดิมมาก ๆ เหมือนอย่างรูปหินธรรมดา ๆ ก้อนนี้ที่มีชื่อว่า EtherRock

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวน่าสนใจของวงการ NFT ที่ภาพหินธรรมดา ๆ ก้อนหนึ่ง เพิ่งถูกประมูลขายไปในมูลค่ากว่า 400 Ether ( ETH) หรือ ราว ๆ 42 ล้านบาท

EtherRock ซึ่งเป็นแบรนด์ของสะสมที่มีมาตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งทำให้มันมีคุณค่าเพราะ เป็นหนึ่งใน NFT ที่เก่าแก่ที่สุดเลยก็ว่าได้

โดยมันเป็นไฟล์ JPEG ที่แสดงภาพหินแบบการ์ตูน โดยมีการถูกสร้างและขายใน blockchain และมีจำนวนเพียงแค่ 100 ก้อนเท่านั้น

แล้วภาพ EtherRock เหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร?

EtherRock เปิดตัวในปี 2017 เป็นหนึ่งในโครงการ NFT ที่รวบรวมคริปโตแห่งแรกบน blockchain ของ Ethereum ซึ่งเปิดตัวหลังจาก CryptoPunks ไม่นาน

โดยรูปแบบจะเป็นเกมที่สร้างขึ้นบน Ehtereum blockchain ทั้งหมด โดยในเกมจะมีการจัดการทุกอย่าง ซึ่งรวมถึงการซื้อและขายหิน ราคา และเจ้าของหิน

หินเสมือนจริงเหล่านี้ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ เกินกว่าจะถูกนำมาขาย และทำให้ผู้ซื้อรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งในการเป็นเจ้าของ 1 ใน 100 ก้อนในเกม

ภาพก่อนหินที่มีจำนวนจำกัดแค่ 100 ก้อน (CR:Twitter)
ภาพก่อนหินที่มีจำนวนจำกัดแค่ 100 ก้อน (CR:Twitter)

แน่นอนว่าการมูลค่าที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้น มันก็เกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดคอลเลกชั่นใหม่ ๆ ของ NFT ซึ่งเป็นโทเค็นที่ใช้ blockchain ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัล

ตัวอย่าง เช่น บางคนอาจจะซื้อภาพดิจิทัลของลิง และเปลี่ยนภาพใน Twitter เพื่อแสดงถึงความเป็นเจ้าของ

ซึ่งต้องบอกว่าตลาด NFT ในตอนนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น ตลาด NFT OpenSea มีปริมาณการซื้อขายมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 286% จากเดือนกรกฏาคม

แม้กระทั่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง VISA ก็ยังกระโดดเข้ามาร่วมในความบ้าคลั่งของตลาด NFT ด้วยการใช้เงิน 150,000 ดอลลาร์ กับ “CryptoPunk” ซึ่งเป็นหนึ่งใน NFT ที่ฮ็อตและเก่าแก่ที่สุด

“การเข้าซื้อ CryptoPunk ของ VISA เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการแข่งขันจากบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 เพื่อรวบรวม NFTs เข้ากับกลยุทธ์ทางการตลาดของพวกเขา” Scott Spiegel ผู้ร่วมก่อตั้ง BitBasel บริษัทสตาร์ทอัพด้าน blockchian ใน Miami กล่าว

“แบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Taco Bell , Pizza Hut และ Pringles ได้เปิดตัว NFT ของตัวเองแล้ว แต่การซื้อของ VISA ถือเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในตลาดนี้”

ต้องบอกว่า NFT เป็นวัฒนธรรมใหม่ของการสะสม ของเหล่าผู้คลั่งไคล้ ที่พร้อมจะควักเงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อผลงานที่ตนเองรัก (ซึ่งบางครั้งมันก็อธิบายได้เข้าใจยากมาก ๆ )

แน่นอนว่า มันจะส่งผล ต่อหลาย ๆ ตลาดในอนาคต ไมว่าจะเป็นการ์ดสะสมหายาก หนังสือพร้อมลายเซ็นนักเขียนฉบับพิมพ์ครั้งแรก หรือ shot การดั๊งค์ของบาสเก็ตบอล NBA ที่หลายคนอยากครอบครองเป็นเจ้าของ และอื่น ๆ อีกมากมาย

ต้องเรียกได้ว่า NFT เป็นนวัตกรรมใหม่ ที่เปิดโอกาสให้เหล่าแฟน ๆ ผู้คลั่งใคล้ หรือ นักสะสมครอบครองผลงานที่เป็นดิจิทัลได้ครั้งแรก

เอาจริง ๆ มันก็คือสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ให้ความสุขทางจิตใจ เหมือนกับที่ในโลกจริง ๆ ที่มี งานศิลปะชื่อดัง หรือ แม้กระทั่งวงการพระเครื่องที่มีการสะสมกันที่มีมูลค่าหลายล้านกันได้

ซึ่งสุดท้าย คนที่สะสมสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างในชีวิตจริง ๆ แต่พวกเขาแค่พึงพอใจที่จะซื้อมันนั่นเองครับผม

References : https://etherrock.com/
https://www.cnbc.com/2021/08/23/people-are-paying-millions-of-dollars-for-digital-pictures-of-rocks.html
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2055212

Benyamin Ahmed หนูน้อยวัย 12 ขวบ ที่ทำรายได้มากกว่า 13 ล้านบาทจาก NFT ภายในสองเดือน

เรียกได้ว่าเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจเลยนะครับ สำหรับการสร้างรายได้จาก NFT ที่ตอนนี้กระแสเริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากทั่วโลกไปแล้ว

ต้องเรียกได้ว่ามันเป็น skill ใหม่ที่น่าสนใจมาก ที่ประเทศเราควรเริ่มที่จะมาโฟกัสอย่างจริงจัง เพื่อบรรจุลงในหลักสูตรการเรียนการสอน กับการสร้างรายได้ด้วยเทคโนโลยีใหม่เช่น NFT ซึ่งในอนาคตมันจะใช้ในการดำรงชีพได้แทบไม่ต่างจากอาชีพอื่น ๆ อย่างแน่นอน

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับหนูน้อย Benyamin Ahmed ถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากครับ

โดยในวัยเพียงแค่ 5 ขวบ Ahmed เริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรมจาก Imrom พ่อของเขา ที่ทำงานเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์

Ahmed เริ่มต้นด้วยการเรียนภาษาง่าย ๆ อย่าง HTML และ CSS และได้เริ่มพัฒนาทักษะการเขียนโค้ดอย่างต่อเนื่อง ต่อมาได้เรียนรู้ JavaScript และโปรแกรมอื่น ๆ

Ahmed เริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรมตั้งแต่ยังเด็ก

“ครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับ NFTs คือเมื่อต้นปีที่ผ่านมา” Ahmed ซึ่งอาศัยอยู่ในลอนดอนกล่าว “ผมรู้สึกทึ่งกับ NFT เพราะคุณสามารถโอนความเป็นเจ้าของ NFT ได้อย่างง่ายดายด้วยเทคโนโลยี blockchain”

ต้องบอกว่า NFT เป็นสินทรัพย์ทางด้านดิจิทัล ที่มีลักษณะเฉพาะเอามาก ๆ ซึ่ง รวมถึงไฟล์รูปอย่าง jpeg และคลิปวีดีโอต่าง ๆ ซึ่งจะมีการแสดงด้วยรหัสที่บันทึกบน blockchain

โดย NFT สามารถนำมาซื้อขายได้ เช่นเดียวกับสินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ ในโลกจริง ๆ ของเรา แต่ blockchain ช่วยให้สามารถ track ตามเจ้าของสินทรัพย์จริง ๆ นั้นได้

Ahmed เมื่อได้รู้จักกับ NFT ก็ทำให้เขาตื่นเต้นมาก ๆ และตัดสินใจที่จะสร้าง NFT ที่เป็นคอลเลกชั่น ของตนเองขึ้นมา

โดยคอลเลกชั่นชุดแรกของเขา นั้น เป็นอวตาร์ที่มีสีสันและเป็นรูปแบบของพิกเซล 40 ตัวที่ถูกเรียกว่า Minecraft Yee Haa

“ผมสร้างขึ้นหลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเล่นเกม Minecraft” Ahmed กล่าว

แม้คอลเลกชั่นที่เขาทำ จะขายไม่ได้ในทันที แต่ Ahmed มองว่า มันเป็นการเรียนรู้เพื่อสั่งสมประสบการณ์ และเขาก็ได้พยายามทำมันต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

ถัดมาในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เขาเริ่มเขียนโค้ด Weird Whales ซึ่งเป็นคอลเลกชั่น NFT ชุดที่สองของเขา ซึ่งมีตัวปลาวาฬ โดยแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ซึ่งใช้เป็นมีมประเภทหนึ่ง ลักษณะคล้าย ๆ กับ CryptPunks แบบพิกเซล ที่ถือเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่น NFT ชุดแรก ๆ ระดับตำนาน

มีมปลาวาฬ โดยแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน
มีมปลาวาฬ โดยแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน

โดยโครงการของ Ahmed นั้นมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมก๊าซ ซึ่งจะถูกเรียกเก็บจาก blockchain เพื่อตรวจสอบ NFT แต่ละรายการ

ซึ่งในช่วงเดียวกันนั้น Ahmed ได้เรียนรู้วิธีการเขียนโค้ดคอลเลกชั่นจากบทเรียนออนไลน์ และพี่เลี้ยงที่เขาได้พบเจอในชุมชน Discord ซึ่งเป็นหนึ่งในนักพัฒนาที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็ค NFT ที่ชื่อว่า Boring Bananas โดยได้ส่งสคริปต์เพื่อให้ Ahmed ใช้เป็นเทมเพลตสำหรับการสร้าง Weid Whales

หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฏาคม คอลเลกชั่นทั้งหมดขายเกลี้ยงภายใน 9 ชั่วโมงแรกเพียงเท่านั้น และ Ahmed สามารถขายไปได้กว่า 80 รายการในหนึ่งวัน

เนื่องจากเขาทำกำไรเป็นหน่วยสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Ethereum (ETH) ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่า 255,000 ดอลลาร์ จากนั้นเขาก็ขายได้อีก 30 ETH ซึ่งมีมูลค่า 95,000 ดอลลาร์จากตลาดขายต่อ โดย Ahmed จะได้ 2.5% จากการขายต่อแต่ละครั้ง

Ahmed ทำเงินไปแล้วกว่า 350,000 ดอลลาร์ จนถึงปัจจุบัน แลภายในสิ้นเดือนสิงหาคมคาดว่ารายรับรวมของเขาจะสูงถึง 400,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 13 ล้านบาท ซึ่งเขาใช้เวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น

ณ ตอนนี้ Ahmed ไม่มีแม้บัญชีธนาคารแบบดั้งเดิมแต่อย่างใด เขา มีแต่กระเป๋าเงินดิจิตอล

“ผมวางแผนที่จะเก็บ ETH ทั้งหมดของผมไว้ และจะไม่แปลงเป็นสกุลเงินดอลลาร์แต่อย่างใด” Ahmed กล่าว

นี่อาจจะเป็นจุดเล็ก ๆ ของเรื่องราวของหนุ่มน้อย Ahmed ที่เราได้เริ่มเห็นเทรนด์ที่ชัดเจนของคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะไม่ต้องการบัญชีธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไป พวกเขาเพียงแค่ต้องการ ETH และกระเป๋าเงินดิจิตอลของพวกเขาเพียงเท่านั้น

“เมื่อผู้คนซื้อ Weird Whales พวกเขากำลังลงทุนในตัวผมและอนาคตของผม” Ahmed กล่าว “ถ้าผมทำแบบนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เหมือนที่เคยทำมา ผมอาจจะมีอนาคตแบบเดียวกับเหล่าผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีชื่อดังของโลก อย่างเช่น Elon Musk และ Jeff Bezos”

ต้องบอกว่า มันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ ของเด็กรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ generation ใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาเปลี่ยนโลกเราแบบที่ไม่เป็นมาก่อน

คนรุ่นใหม่สามารถเลือกเส้นทางอาชีพได้อย่างหลากหลาย ที่ไม่ต้องยึดติดกับขนบธรรมเนียมเดิม ๆ ที่มีทางเลือกในการดำรงชีวิตไม่กี่อาชีพอีกต่อไป โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เมื่อก่อน เราอาจจะตอบคำถามเวลาผู้ใหญ่ถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ซึ่งคำตอบนั้นก็วนเวียนอยู่เพียงไม่กี่อาชีพ ครู ทหาร ตำรวจ รับราชการ วิศวกร ทนาย แพทย์ ฯลฯ แต่หากไปถามเด็ก ๆ ในยุคใหม่ เราคงได้คำตอบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงแล้วในตอนนี้

ผมมองว่าประเทศเราก็ควรเริ่มที่จะปูพื้นฐานเรื่องเหล่านี้ไว้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้แล้ว เพราะโลกในอนาคตของพวกเขา จะแตกต่างจากโลกที่เราอยู่ในอดีต หรือแม้กระทั่งจุดเปลี่ยนผ่านในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเงิน การเดินทาง การขนส่ง หรือ อะไรต่าง ๆ อีกมากมายที่เหล่าเทคโนโลยีกำลังมาบรรจบกัน และสร้าง Impact อย่างมหาศาลในเวลาอันใกล้ที่จะถึงนี้

Ahmed แสดงให้เห็นว่าโลกแห่งอนาคตนั้นเปิดกว้างสำหรับทุกคน อย่างที่เขาทำได้สำเร็จ แม้จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่ผมอยากให้จำชื่อหนูน้อย Benyamin Ahmed คนนี้ไว้

ในอนาคต เขาอาจจะมาสร้าง Impact ให้กับโลกเราผ่านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้เหมือนกับไอดอลของเขาอย่าง Elon Musk หรือ Jeff Bezos ก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References : https://futurism.com/the-byte/12-year-old-400000-selling-nfts-to-idiots
https://opensea.io/collection/weirdwhales
https://opensea.io/collection/minecraft-yee-haa
https://www.cnbc.com/2021/08/25/12-year-old-coder-made-6-figures-selling-weird-whales-nfts.html
https://www.telegraph.co.uk/news/2021/08/25/schoolboy-earns-nearly-300000-selling-digital-artwork-whales/

เพราะหุ่นยนต์ไม่สูบบุหรี่ เมื่อ Alibaba มองว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ่นยนต์ส่งพัสดุได้รวดเร็วกว่ามนุษย์

เห็นข่าวนี้ครั้งแรกต้องบอกว่าทำเอาตัวผมถึงกับอึ้งเหมือนกัน ที่ alibaba ยักษ์ใหญ่วงการ ecommerce ของประเทศจีนได้ออกมากล่าวว่า เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาตัดสินใจใช้กลยุทธ์หุ่นยนต์ส่งของกว่า 1,000 ตัวทั่วประเทศ เนื่องจาก หุ่นยนต์ ไม่ต้องหยุดพักงานเพื่อสูบบุหรี่

“การส่งมอบในพื้นที่สุดท้ายเป็นปัญหาที่ยุ่งยากของ ecommerce มาโดยตลอด” เป็นพาดหัวจากเว็บยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง alibaba “มันมีค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลานาน และส่วนใหญ่ไม่มีแผนที่ที่มีความชัดเจนนัก”

ต้องบอกว่าบริการที่ทำการจัดส่งโดยมนุษย์นั้น มีปัญาหาอยู่เสมอ ไมว่าจะเป็น การหลงทางในการพยายามที่จะหาแฟลตหรือตึก หรือ ต้องมีการนำทางไปยังหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ในประเทศจีน

แม้เทคโนโลยีแผนที่จะมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในปัจจุบัน แต่ด้วยขนาดพื้นที่ที่ใหญ่โตมโหฬารของประเทศจีน ภูมิประเทศที่มีความสลับซับซ้อน alibaba มองว่าการใช้หุ่นยนต์นั้นจะมีประสิทธิภาพกว่ามนุษย์

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิสัยของชายชาวจีนส่วนใหญ่ที่มักแวะสูบบุหรี่ระหว่างการขนส่ง ทำให้ประสิทธิภาพการขนส่งยิ่งลดลงไป

ข้อมูลที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ คนจีนนั้นสูบบุหรี่กว่า 300 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย

นั่นเองที่ทำให้เวลาขนส่งมันยิ่งล่าช้าออกไปอีก หากมีการแวะระหว่างทางเพื่อทำการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นนิสัยส่วนใหญ่ของชายชาวจีน

โดยหุ่นยนต์ตัวใหม่ที่จะทำการเปิดตัว 1,000 ตัวแรกนั้น จะรับพัสดุจัดส่งในพื้นที่ จากนั้นจะใช้ทางเท้าและเลนจักรยานเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ

ทาง alibaba ได้กล่าวว่า หุ่นยนต์ของบริษัทตัวใหม่นี้ สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวใน 5-10 วินาทีถัดไป จากการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับผู้คนและพาหนะที่อยู่ใกล้เคียงกับพวกมัน ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงการชนได้ 99.9999 % เลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม alibaba ยังคงทดสอบหุ่นยนต์ของพวกเขาภายในมหาวิทยาลัย หรือหมู่บ้านจัดสรร เนื่องจากมีการจารจรน้อยกว่าและมียานพาหนะที่เคลื่อนที่ช้ากว่าในสถานที่อื่น ๆ

หุ่นยนต์กำลังส่งพัสดุในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยในเมืองหวู่ฮั่น ประเทศจีน
หุ่นยนต์กำลังส่งพัสดุในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยในเมืองหวู่ฮั่น ประเทศจีน

แน่นอนว่า มันเป็นเทรนด์ ที่เกิดขึ้นกับบริการขนส่งทั่วโลก ที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่การใช้หุ่นยนต์หรือรถยนต์แบบขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติในการขนส่งในไมล์สุดท้ายที่เป็นปัญหากับบริษัทขนส่งเหล่านี้มาเป็นเวลายาวนาน

การพึ่งพามนุษย์นั้น ทำให้ลดทอนประสิทธิภาพจริงที่จะเกิดขึ้น และมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวกับร่างกายหรืออารมณ์ เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือแม้กระทั่งนิสัยการชอบแอบไปสูบบุหรี่ระหว่างทางขนส่งก็ตาม

มันทำให้เรามองเห็นได้ชัดว่า เราคงพึ่งพาการหารายได้จากอาชีพเหล่านี้ในระยะยาว คงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเราเห็นชัดเจนว่า เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงความพร้อมของเทคโนโลยีต่าง ๆ เริ่มมาบรรจบกัน ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีทางด้าน AI เซ็นเซอร์ความละเอียดสูงต่าง ๆ ที่พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด และ ราคาต้นทุนของสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ลดลงไปมาก ซึ่งเมื่อถึงเวลา มันก็จะถูกเปลี่ยนแบบฉับพลับทันทีจากเดิมที่ใช้มนุษย์ ก็จะถูกแทนที่โดยหุ่นยนต์เหล่านี้แทบจะทั้งหมดนั่นเองครับผม

References :
https://www.alizila.com/e-commerce/
https://www.theregister.com/2021/08/24/alibaba_1000_parcel_drones_tests/
https://futurism.com/the-byte/alibaba-delivery-robots-smoke-job

Geek Story EP113 : Tadashi Yanai กับการสร้างแบรนด์ Uniqlo โดยใช้แนวคิดแบบ Silicon Valley

การทำงานหนักและความอุตสาหะเป็นคุณสมบัติสองประการของผู้ประกอบการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ Tadashi Yanai เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุด เขาเป็น CEO คนปัจจุบันของ Fast Retailing Co เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า Uniqlo ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ 

ต้องบอกว่า เรื่องราวของ Tadashi Yanai นั้นเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างมาก เขานำพา Uniqlo จากร้านเล็ก ๆ ในเมืองฮิโรชิม่า ก้าวขึ้นสู่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกได้อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3mByTNy

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/5-KN_U7R18Q

BarcaGate คืออะไร? กับเรื่องอื้อฉาวที่ทำลายภาพลักษณ์ของสโมสร Barcelona ไปตลอดกาล

ต้องเรียกได้ว่าเป็นวิกฤติที่ถาโถมเข้าสู่สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่อย่าง Barcelona แบบเต็ม ๆ กับคดีที่เกิดขึ้นของ BarcaGate ที่กลายเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของสโมสรที่มีความยิ่งใหญ่แห่งนี้ไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้

การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ทำให้วงการฟุตบอลเกิดวิกฤติ โดยเฉพาะรายได้ที่หายไปจำนวนมหาศาลจากแฟนบอลที่จะเข้ามาดูในสนาม ซึ่งถือเป็นรายได้หลักหล่อเลี้ยงสโมสรที่สำคัญของทุก ๆ แห่ง โดยเฉพาะ สโมสร Barcelona

มันได้ส่งผลกระทบให้เกิดการตัดค่าจ้างทั้งผู้เล่น และทีมงานของสโมสร เพื่อให้สโมสรสามารถเดินหน้าฝ่าวิกฤติไปให้ได้

BarcaGate เป็นการตั้งชื่อพาดพิงตามกระแสที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องอื้อฉาวในสหรัฐอเมริกาอย่าง คดี WaterGate

โดยมันเป็นเรื่องที่ไปพัวพันอย่างชัดเจนกับ Josep Maria Bartomeu โดยรวมถึง Oscar Grau ที่เป็น CEO ของ Barcelona และ Roman Gomez Ponti หัวหน้าฝ่ายกฏหมายของสโมสร รวมถึง Jaume Masferrer ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของ Bartomeu

โดยทั้งหมดได้ถูกควบคุมตัวโดย Mossos de Esquadra (กองกำลังตำรวจของคาตาลัน)

BarcaGate คืออะไร?

ต้องบอกว่าการสอบสวนของ BarcaGate เริ่มต้นขึ้นหลังจากการร้องเรียนโดยกลุ่มสมาชิกที่ชื่อ Dignitat Blaugrana

พวกเขาได้ร้องเรียนหลังจากเรื่องราวของ I3 Ventures ถูกเปิดเผย ซึ่งกล่าวหาว่าสโมสร Barcelona จ่ายเงินให้กับบริษัทดังกล่าวในการดำเนินกลยุทธ์ในโลกโซเชียลมีเดีย

โดยเป็นการดำเนินการในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของ Bartomeu และ ที่แย่ที่สุดก็คือ การสร้างความเสียหายให้กับผู้เล่นและอดีตกรรมการบริหารของสโมสร Barcelo้na บางคน

โดย I3 Ventures นั้นได้รับการว่าจ้างจาก Barcelona ในการจัดการบัญชีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Twitter และ Facebook ที่จะมีการโพสต์เรื่องราวเชิงลบเกี่ยวกับ Messi , ภรรยาของเขา Antonela , Pique , Guardiola , Xavi , Carles Puyol และอดีตประธานสโมสรอย่าง Joan Laporta

ตัวอย่างเรื่องราวของ Messi ก็เช่น การที่เขามีความล่าช้าในการเซ็นสัญญาฉบับใหม่ ซึ่ง มีการโจมตีในเรื่องดังกล่าว และการเป็นปัญหาที่สร้างความแตกแยกภายในสโมสรเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

มีการอ้างว่า Barcelona ใช้บริการของ I3 Ventures มาตั้งแต่ปี 2017 โดยมีการเรียกเก็บรวมเกือบ 1 ล้านยูโร

I3 Ventures นั้นมีเจ้าของคือ Carlos Ibanez และมีการใช้บัญชี Facebook อย่างน้อย 6 บัญชีในการดูหมิ่นบุคคลในสโมสร Barcelona ที่ไม่เห็นด้วยกับ Bartomeu

I3 Ventures นั้นมีเจ้าของคือ Carlos Ibanez (CR:Today in 24 English)
I3 Ventures นั้นมีเจ้าของคือ Carlos Ibanez (CR:Today in 24 English)

โดยการชำระเงิน ถูกทำผ่านใบแจ้งหนี้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ส่งผ่านแผนกต่าง ๆ ในสโมสร และมีมูลค่าครั้งละไม่เกิน 200,000 ยูโร ซึ่งหมายความว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนั่นเอง

ต่อมาได้มีการเปิดเผยบริษัทต่าง ๆ ที่ได้รับเงินดังกล่าว ซึ่งได้แก่ NSG Social Science Ventures SL , Tantra Soft SA, Digital Side SA , Big Data Solutions SA และ Futuric SA ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกับตัวของ Carlos Ibanez แทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งหลังจากเรื่องอื้อฉาวดังกล่าว Barcelona และ I3 Ventures ปฏิเสธข้อหาดังกล่าว และ มีการตรวจสอบโดย PricewaterhouseCoopers (PwC) พบว่า ไม่มีการเปิดตัวแคมเปญหมิ่นประมาทต่อบุคคลใด ๆ

รายการวิทยุของสเปนที่ชื่อว่า Que t’hi jugues รายงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 ว่า ได้รับว่าจ้างให้ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของ Bartomeu ในขณะที่เขากำลังถูกไล่จากแฟนๆ ฟุตบอล Barcelona

รายงานจากหน่วยสืบสวนอาชญากรรมของกองกำลังตำรวจคาตาลันถูกส่งไปยังผู้พิพากษา Alejandra Gil Lima และเชื่อว่าได้มองเห็นถึงสัญญาณของการทุจริตโดยพิจารณาว่าสโมสรอาจจ่ายราคาค่าโปรโมตดังกล่าว “สูงกว่าอัตราตลาดถึงหกเท่า”

ก่อนหน้านี้ Pique ได้พูดถึงประสบการณ์ของเขาที่ถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงผ่านโซเชียลมีเดีย โดย I3 Ventures ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว

“ผมไม่อยากมีเรื่องแย่ๆ กับใคร แต่มีหลายครั้ง เช่น ปัญหาของโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในฐานะผู้เล่นของ Barca ผมเห็นว่าสโมสรของผมใช้เงิน เงินที่ไปวิพากษ์วิจารณ์ไม่เพียงแต่คนที่มีความสัมพันธ์ในอดีตกับสโมสรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้เล่นในยุคปัจจุบันอีกด้วย และนั่นเป็นเรื่องป่าเถื่อน” Pique กล่าวกับ La Vanguardia ในเดือนตุลาคม

Pique ที่ออกมาวิจารณ์เรื่องดังกล่าวอย่างรุนแรง (CR: AS English)
Pique ที่ออกมาวิจารณ์เรื่องดังกล่าวอย่างรุนแรง (CR: AS English)

“ผมถาม [Bartomeu] เพื่อขอคำอธิบายและสิ่งที่เขาบอกผมคือ: ‘Pique ผมไม่รู้’ และผมก็เชื่อ ต่อมาเราพบว่าผู้รับผิดชอบการว่าจ้างบริการเหล่านั้นยังคงทำงานอยู่ที่สโมสร”

การตอบสนองอย่างเป็นทางการของ Barcelona

Barcelona ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของพวกเขาซึ่งกล่าวว่า: “เรื่องที่เกี่ยวกับการเข้าตรวจค้นโดยกองกำลังตำรวจคาตาลันตามคำสั่งของศาล สโมสร Barcelona ได้เสนอความร่วมมืออย่างเต็มที่กับหน่วยงานด้านกฎหมายและตำรวจเพื่อช่วยให้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนซึ่งอยู่ภายใต้การสอบสวนปรากฏออกมา”

“สโมสร Barcelona แสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อกระบวนการยุติธรรมในสถานที่และต่อหลักการสันนิษฐานว่าเจ้าหน้าที่สโมสรคนใดที่ได้รับผลกระทบจากการพิจารณาคดีนี้”

ปฏิบัติการ IO สู่โลกของฟุตบอล

ต้องบอกว่าในตอนนี้ การต่อสู้กันบนเครือข่ายโซเชียลมีเดียวนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งในสงครามที่สำคัญมาก ๆ ในหลากเลยวงการเลยทีเดียว

แน่นอนว่าแนวทางการสู้รบบนโลกออนไลน์อย่างที่เราได้เห็นในข่าวนี้ มันมีมาซักระยะหนึ่งแล้ว แม้กระทั่งอเมริกาเองก็ยังมีหน่วยงานในการปฏิบัติการด้าน IO ดำเนินการสนับสนุนโดยตรงและโดยอ้อมสำหรับกองทัพสหรัฐกันเลยทีเดียว หรือแม้กระทั่งข่าวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็ตามที

ในวงการฟุตบอลก็เช่นกัน การต่อสู้กัน บนเครือข่ายโซเชียลมีเดียเหล่านี้ ก็ส่งผลโดยตรงต่อฐานอำนาจ ตัวอย่างในเคสนี้ก็คือ Josep Maria Bartomeu ที่ใช้กลยุทธ์นี้ในการต่อสู้เพื่อรักษาฐานอำนาจของเขาไว้

แต่ดูเหมือนจะใช้ผิดทางไปหน่อย และที่สำคัญเป็นการยักยอกทรัพย์ของสโมสร เพื่อไปจัดการปัญหาส่วนตัว ที่กำลังถูกรุมต่อต้านจากเหล่าแฟนบอลโดยเฉพาะในเครือข่ายโซเชียลมีเดีย

ซึ่งถือเป็น case study ที่น่าสนใจนะครับ ที่ปฏิบัติการเหล่านี้ หากนำมาใช้ผิดที่ผิดทาง และ โดยการฉ้อฉลนั้น ก็อาจจะมีจุดจบแบบที่ Josep Maria Bartomeu พบเจอก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References : https://www.republicworld.com/sports-news/football-news/what-is-barcagate-social-media-scandal-why-was-bartomeu-arrested.html
https://www.insider.com/fc-barcelona-barcagate-scandal-ex-president-arrested-stadium-raided-2021-3
https://www.goal.com/en/news/what-is-barcagate-barcelona-scandal-explained/fhhqmglmzbd1v0u7c1ywm57f
https://www.marca.com/en/football/barcelona/2021/03/01/603cdba422601da3538b45e5.html
https://laodong.vn/the-thao/toan-canh-vu-barcagate-khien-bartomeu-va-bo-sau-vuong-vong-lao-ly-884783.ldo