Kim Beom-soo กับการนำพา Kakao Talk หาญกล้าท้าชนยักษ์ใหญ่ Chaebols

Kim Beom-soo จากผู้เล่นโนเนมในวงการเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ ได้เริ่มต้น Kakao ในปี 2010 เขาเริ่มต้นจากการเป็นอดีตพนักงานของ Samsung และ ได้มีโอกาสในการสร้าง Hangame หนึ่งในซอฟต์แวร์ที่โด่งดังของเกาหลีใต้ ต่อมา Hangame ได้เข้าควบรวมกับกิจการของ NHN (Naver)

Kim เกิดในย่านที่ยากจนที่สุดของกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ พ่อแม่ของเขาเป็นยากจน พ่อของเขาเป็นคนงานในโรงงานผลิตปากกา แม่ของเขาเป็นผู้ช่วยทำความสะอาดในโรงแรม

Kim ซึ่งมีพี่น้อง 4 คน โดยพ่อแม่ของเขาได้พาลูก ๆ รวมถึงคุณยายของ Kim เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหนึ่งห้องนอนที่ต้องยัดทุกคนไว้ในห้องเดียวกัน

พวกเขาพึ่งพารายได้เพียงเล็กน้อยจากพ่อและแม่ของ Kim เท่านั้น เพื่อใช้ในการซื้ออาหาร และ เสื้อผ้า และเพื่อเอาชีวิตให้รอดในเมืองหลวงของประเทศอย่างกรุงโซล

Kim จึงต้องทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก เพื่อที่จะสร้างตัวให้รอดพ้นความยากจนนี้ให้ได้ ด้วยความเป็นคนหัวดี ในปี 1986 Kim ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล และจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมด้านวิศวกรรมอุตสาหการ

ในที่สุดหลังจากเรียนจบ เขาก็ได้งานที่ดี เขาประสบความสำเร็จในการเข้าสู่แผนกบริการไอทีของ Samsung Group เพื่อพัฒนาบริการสื่อสารออนไลน์

ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่แผนกบริการไอทีของ Samsung Group
ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่แผนกบริการไอทีของ Samsung Group

ต้องบอกว่า Samsung คือเบอร์หนึ่งของเกาหลี ที่ชาวเกาหลีทุกคนหลีกหนีไม่พ้น Kim ได้เปลี่ยนตัวเองจากลูกของครอบครัวที่ยากจนมาเป็นพันกงาน R&D ของกลุ่มบริษัทอันดับหนึ่งของเกาหลีใต้ได้สำเร็จ

ในปี 1997 Kim ซึ่งทำงานล่วงเวลาที่ Samsung อย่างบ้าคลั่งเป็นเวลากว่า 5 ปี และแทนที่เขาจะใช้เงินที่เก็บมาในการจ่ายดาวน์เพื่อซื้อบ้านเหมือนคนอื่น ๆ เขาได้ใช้เงินออมของเขา และ ยืมเงินจากเพื่อน ๆ รวม 184,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเปิดร้านอินเทอร์เน็ตและใช้ความเชี่ยวชาญของเขาในการพัฒนาเกมออนไลน์ Hangame

นั่นคือยุคที่อินเทอร์เน็ตกำลังรุ่งเรืองแบบสุดขีด Kim จับสัญญาณนี้ได้อย่างชัดเจน เขาพัฒนาเกมและให้ผู้เล่นได้เล่นกันแบบฟรี ๆ

ในเวลาเพียงแค่ 3 เดือน จำนวนผู้เล่นพุ่งขึ้นเกิน 1 ล้านคน และกลายเป็น 10 ล้านคนในเวลาเพียงไม่ถึงปีครึ่ง ชาวเกาหลีใต้เกือบหนึ่งในห้าเป็นผู้เล่นในเกมของเขา

การลงทุนครั้งแรกของเขาประสบความสำเร็จในปี 2001 Kim ได้ทำการรวมบริษัทของเขาเข้ากับเว็บไซต์ค้นหา Naver ซึ่งก่อตั้งโดย Lee Hae-jin อดีตเพื่อนร่วมงานของ Samsung เพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NHN (Naver)

ต้องบอกว่า NHN นั้นเป็นที่รู้จักในนาม “Google แห่งเกาหลี” และอยู่ในอันดับ 5 ของอันดับเครื่องมือการค้นหาทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทที่สามารถท้าทายยักษ์ใหญ่จากซิลิกอน วัลเลย์ อย่าง Google ได้เพียงแค่ไม่กี่แห่งในโลก

Naver ทีเอาชนะ Google ในเกาหลีใต้ได้สำเร็จ (CR:The Straits Times)
Naver ทีเอาชนะ Google ในเกาหลีใต้ได้สำเร็จ (CR:The Straits Times)

แต่ Kim ก็ได้ขายหุ้นของเขาใน HNN ในอีกสองปีต่อมา และย้ายไปที่สหรัฐอเมริกา และเริ่มมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ

จนกระทั่งการถือกำเนิดขึ้นของ Whatsapp ในปี 2009 เขาได้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ทันที เขากลับมาที่เกาหลีใต้ และเลียนแบบ WhatsApp เพื่อสร้าง Kakao Talk ที่คล้ายกันออกมาแทบจะทันที

และนั่นก็ทำให้ชีวิตของ Kim เปลี่ยนไปตลอดการ Kakao Talk กลายเป็นแอปพลิเคชั่น Messenger ที่ดังแบบฉุดไม่อยู่ในเกาหลีใต้ เริ่มต้นจากจำนวนผู้ใช้ 5 ล้านคน ในเดือนธันวาคมปี 2010 ก่อนพุ่งสู่จำนวน 70 ล้านคน ในอีกแค่เพียงสองปีถัดมา

ถึงวันนี้ต้องบอกว่า กว่า 87% ของชาวเกาหลีใต้ ใช้ Kakao Talk อย่างจริงจัง และมีการส่งข้อความผ่านแพล็ตฟอร์ม Kakao Talk มากกว่า 11,000 ล้านข้อความในทุก ๆ วัน

การควบรวมกับ Daum

ในปี 2014 Kakao ได้ก้าวมาสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ โดยได้เข้ารวบรวมกิจการกับ Daum Communications เพื่อก่อตั้ง Daum Kakao (ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kakao Corporation)

ต้องบอกว่า Daum นั้นมีประวัติอันยาวนานในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นเว็บพอร์ทัลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาหลีใต้

โดยในปี 2014 บริษัทได้ให้บริการบนเว็บไซต์มากกว่า 200 บริการ ซึ่งรวมถึง การค้นหา แผนที่ ข่าวสาร วีดีโอ และซอฟต์แวร์ร้านอินเทอร์เน็ต

หลังการควบรวม Kim ก็ยังกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Kako-Daum โดยถือหุ้น 40% ของบริษัท ที่มูลค่าประมาณ 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

วัฒนธรรมที่มีความเป็นเอกลักษณ์

Kakao Talk นั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเกาหลีใต้ว่ามีวัฒนธรรมที่แปลกแหวกแนว บริษัทเกาหลีส่วนใหญ่จะมีวัฒนธรรมที่เคร่งครัด โดยเฉพาะการเคารพระบบอาวุโส ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ให้เกียรติผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก

Kakao คิดต่างออกไปสิ้นเชิง โดยมีการกำหนดให้พนักงานใช้ชื่อภาษาอังกฤษแทน เพื่อเป็นการลดอุปสรรคในเรื่องลำดับชั้นของพนักงานออกไป

ต้องบอกว่า key หลักเรื่องวัฒนธรรมองค์กรของ Kakao ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จของวัฒนธรรมแบบเปิดที่ทำให้ Kakao นั้นสามารถตามเทรนด์หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งวัฒนธรรมดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นความนิยมในหมู่วัยรุ่นที่ถือว่า Kakao นั้นทันสมัย เมื่อเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่เกาหลีส่วนใหญ่ที่ดูมีวัฒนธรรมองค์กรที่ล้าหลัง

นั่นเองที่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่จำนวนมากให้เข้ามาทำงานกับบริษัท เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพของบริการ และผลักดันวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

Kakao ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ (CR:The Korea Times)
Kakao ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ (CR:The Korea Times)

อนาคตของ Kakao จะเป็นอย่างไร?

ต้องบอกว่า Kakao นั้นประสบความสำเร็จในการเป็นเสาหลักด้านเทคโนโลยีของสังคมเกาหลีใต้ในปัจจุบัน ชาวเกาหลีใช้ Kakao เพื่อทำทุกอย่างตั้งแต่การสนทนา เรียกแท็กซี่ ค้นหาแผนที่ หรือเรื่องธุรกรรมทางด้านการเงิน

และด้วยนวัตกรรมใหม่ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้ Kakao นั้นเติบโตในเกาหลีใต้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มเข้าไปรุกในพื้นที่ของธุรกิจมากยิ่งขึ้น

และเมื่อเร็ว ๆ นี้ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของเกาหลีใต้ถูกเปลี่ยนมือจากทายาทของ Samsung อย่าง Lee Jae-yong ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 12.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายมาเป็น Kim Boem-soo ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Kim ในวัย 55 ปี เป็นเจ้าของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่เริ่มต้นด้วยตัวเองทั้งหมด สามารถแซงหน้ากลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในรายชื่อผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศที่ถูกปกครองโดยกลุ่มเศรษฐีเก่ามานานแสนนานได้สำเร็จ

ต้องถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวแรงบันดาลใจชั้นยอดเลยทีเดียวสำหรับเรื่องราวของ Kim Beom-soo

มันเป็นเรื่องราวของชายคนนึง ที่ไม่มีต้นทุนสูงมากนัก แต่เขาเพียงแค่ต้องอาศัยการศึกษาร่ำเรียนอย่างหนัก ผลักดันตัวเองให้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยดี ๆ อย่างมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล

การพลิกตัวเองจากคนชายขอบ เข้าสู่การทำงานในองค์กรยักษ์อย่าง Samsung เพื่อรับเงินก้อนแรกและประสบการณ์ชีวิต รวมถึง connection และค่อย ๆ คิดทีละขั้นละตอนเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้น

แน่นอนว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จแต่ละคนนั้น มีปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่สำหรับคนธรรมดาอย่าง Kim Boem-soo รากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดและสำคัญที่สุดอันดับแรก นั่นก็คือ เรื่องของการศึกษานั่นเองครับผม

References : https://min.news/en/economy/cdfbde246306daac1c0b2472a42225ad.html
https://charactermedia.com/how-kakaotalk-founder-became-skoreas-rarest-billionaire/
https://en.wikipedia.org/wiki/Kim_Beom-soo_(businessman)
https://ceoworld.biz/2020/05/23/kakaos-brian-kim-kim-beom-su-is-1-2-billion-richer-thanks-to-social-distancing/
https://jwwnz.medium.com/kakao-the-story-of-koreas-software-innovator-4f0b537c0413