Billion Dollar Loser ตอนที่ 5 : Digital Transformation

Brad Neuberg วิศวกรซอฟต์แวร์ในซานฟรานซินโก เป็นบุคคลแรก ๆ ที่บัญญัติศัพท์คำว่า “Co-Working” ขึ้นมา โดยในปี 2005 เขาพยายามหาสิ่งที่เป็นสมดุลระหว่างชีวิตในออฟฟิสที่น่าเบื่อ และ ความสันโดษของอาชีพอิสระ

ในยุคนั้น Starbucks ยังไม่ได้เปิดให้บริการ Wi-Fi ฟรีแต่อย่างใด นั่นทำให้ Neuberg ต้องการบางสิ่งบางอย่าง รูปแบบคล้าย ๆ กับร้านกาแฟ ซึ่งผู้คนได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ในขณะที่ทำธุรกิจไปด้วย

ซึ่งในปี 2005 Neuberg ได้เริ่มเชิญนักแปลอิสระคนอื่น ๆ มาทำงานนอกสถานที่ ที่เขาขอเช่ามาในราคา 300 ดอลลาร์ต่อเดือน

เหล่าผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาหลังจากที่เขาแจกใบปลิวในร้านกาแฟ หนึ่งในนั้นคือ Chris Messina นักออกแบบผลิตภัณฑ์ผู้ซึ่งเป็นคนคิดค้นฟังก์ชั่น hashtag ของ Twitter

ในปี 2006 Messina , Neuberg และ Tara Hung ซึ่งทำงานด้านการตลาดได้เปิดพื้นที่ถาวรที่เรียกว่า Teh Hat Factory โดยได้ดำเนินการจากอพาร์ทเมนต์ไต้หลังคาโดยมีผ้าปูเตียงแขวนจากเพดานเป็นตัวกั้นห้อง

หลังจากนั้น Coworking Space เริ่มเปิดให้บริการทั่วประเทศไม่กี่เดือนก่อนที่ Green Desk จะเปิดให้บริการในปี 2008 ที่ Adam อ้างว่า เขาไม่เคยเห็นรูปแบบของ Coworking Space มาก่อน

ต้องบอกว่า เงินทุนส่วนหนึ่งของ WeWork มาจาก Rebekah ภรรยาของ Adam ผู้ซึ่งลงทุนส่วนหนึ่งในช่วง Seed Round มูลค่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับสามีของเธอ ซึ่ง ตัวของ Rebekah นั้นเป็นคนที่มีฐานะอยู่แล้ว แถมยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ Gwyneth Paltrow ดาราชื่อดังจากฮอลลีวูด

Rebekah นั้นไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมมากนักกับ WeWork ในช่วงแรก ๆ แต่เธอเป็นคนที่มีอิทธิพลเหนือตัว Adam เป็นอย่างมาก บางครั้งพนักงานของ WeWork ต้องอาศัย Rebekah ช่วยโน้มน้าว Adam ในเรื่องงานของบริษัท

ในปี 2011 Adam ได้บุกไปยังยุโรป ผู้ช่วยของ Adam ได้ติดต่อกับ Jean-Yves Huwart ผู้จัดประชุมงาน Coworking Europe ประจำปีชาวเบลเยียม เพื่อแจ้งให้เขาทราบว่า WeWork คือผู้ให้บริการ Coworking Space ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

แต่ Huwart เองแทบจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ WeWork มาก่อนเลย ต้องบอกว่า Coworking เป็นอุตสาหกรรมที่แยกออกจากกัน ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการรายย่อยเกือบทั้งหมด ดังนั้น Huwart จึงไม่เชื่อว่า บริษัทใด ๆ จะเป็นเจ้าตลาด Coworking ได้แบบเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอเมริกา

แต่ไม่กี่เดือนต่อมา Huwart ก็ได้มาพบกับ Adam ในนิวยอร์ก ที่สถานที่ใหม่ล่าสุดของ WeWork บริเวณ Varick Street

บริเวณที่ตั้งของ Varick มีพื้นที่เปิดโล่งหลายแห่งที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ WeCross เป็นพื้นที่ผสมผสานระหว่างสถาปนิกกับนักออกแบบ WeWork Labs เป็นพื้นที่สำหรับการเริ่มต้น Startup ด้านเทคโนโลยี

สถานที่แห่งนี้มีโต๊ะทำงาน 700 ตัว และเป็นสำนักงานแบบเปิดโล่งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ Huwart เคยเห็นมา ซึ่งเมื่อพวกเขาได้พบกัน Adam บอกกับ Huwart ว่า เขากำลังวางแผนเดินทางไปอิสราเอล ซึ่งเขาหวังว่าจะไปเริ่มต้นเปิดพื้นที่ให้เช่าแห่งแรกที่นั่น

Huwart ถึงกับเอ่ยปากชวน Adam ให้แวะมาที่เบลเยียมบ้านเกิดของเขา แล้วมาลองดูลู่ทางในการทำธุรกิจร่วมกัน ก่อนที่ Adam จะเดินทางไปอิสราเอล

โดยทั้ง Adam และ Huwart มีแผนการที่ต้องมุ่งหน้าไปยังเมืองออสติน รัฐเท็กซัส เพื่อเข้าร่วม GCUC ซึ่งเป็นการประชุม Global Coworking Unconference ซึ่ง GCUC นั้นเป็นการรวมตัวกันของผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้จากทั่วโลก

Global Coworking Unconference การรวมตัวของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมใหม่นี้ (CR:cloudvo.com)
Global Coworking Unconference การรวมตัวของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมใหม่นี้ (CR:cloudvo.com)

Adam ได้รับเชิญมาเป็นแขกในงานปาร์ตี้ที่ W Hotel ในธีม “A Celebration of Amarican Start-ups”

ซึ่งต้องบอกว่า Adam ได้เริ่มกลายเป็นคนดังในวงการของ GCUC โดยไม่นานมานี้ WeWork ได้ขยายไปยังชายฝั่งตะวันตก โดยเริ่มจากแถบ ซานฟรานซิสโก เขาเริ่มได้มีโอกาสพูดในที่สาธารณะหลายครั้งในฐานะตัวแทนของ WeWork

Adam ได้กลายเป็นหนึ่งในคนที่มีสเน่ห์ที่สุดบนเวที และได้รับคำชมจากเหล่าคณะกรรมการ เขาบอกว่าตอนแรกเขาไม่แน่ใจว่าจะมาที่ GCUC ดีหรือไม่ เพราะล้วนแล้วมีแต่คู่แข่ง แต่เขากลับมองมันเป็นโอกาสในการหาหุ้นส่วนที่มีศักยภาพ

“เรากำลังวางแผนที่จะขยายไปทั่วประเทศในเร็ว ๆ นี้ แทนที่จะเปิดสถานที่ทั้งหมด เราอยากเป็นพาร์ทเนอร์กับพวกคุณบางคน … มาร่วมกันสร้างชุมชนที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้” เขากล่าว พร้อมเสียงปรบมือ โห่ร้อง จากกลุ่มผู้คนในงานประชุม

เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2012 แม้ธุรกิจจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ดูเหมือน Adam เองยังไม่พอใจกับอัตราการเติบโตดังกล่าว เขารู้สึกอิจฉาบริษัทเทคโนโลยีที่ได้เงินทุนมหาศาล และเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ของเขาเป็นอย่างมาก

นั่นเองที่ในปีนั้น Adam ได้บอกกับเหล่าฝูงชน ที่เข้ามาร่วมฉลองวาระครบรองสองปีที่ก่อตั้งบริษัทว่า บริษัทของเขาจะไม่ใช่บริษัทอสังหาริมทรัพย์อีกต่อไป แต่จะเป็นบริษัทที่เชื่อมต่อกับบริษัทชั้นนำที่เกิดจากซิลิกอน วัลเลย์แทน

“เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เราจะป็น ‘เครือข่ายสังคมออนไลน์’ แห่งแรกของโลก” เขากล่าว

แต่ต้องบอกว่าดูเหมือนว่าธุรกิจของ WeWork จะไม่ได้มีส่วนร่วมจริง ๆ กับบริษัททางด้านเทคโนโลยีมากนัก ซึ่งอาณาจักรของบริษัทเทคโนโลยีในปี 2010 ได้แก่ Facebook , Twitter , Uber , Airbnb ถูกสร้างขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม และ ใช้พลังของ Network Effect ที่ทำให้ผู้ใช้แต่ละรายมีคุณค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ

ช่วงปี 2010 มีสิ่งจูงใจมากมายสำหรับ Adam ในการนำเสนอ WeWork ในรูปแบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ ในขณะที่เขาแทบจะไม่มีปัญหาในการหาเพื่อนร่ำรวยในนิวยอร์กที่สามารถลงเงินไม่กี่ล้านดอลลาร์ในบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ของเขา แต่เขามองว่ามันเป็นเงินน้อยนิดมาก ๆ เมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี

เขาสามารถโน้มน้าวนักลงทุนว่า บริษัทของเขามีมูลค่าถึง 5 เท่าของรายได้ที่ WeWork ทำได้ในขณะนั้น แต่ในขณะที่เหล่าผู้ก่อตั้งบริษัททางด้านเทคโนโลยีสามารถการันตีการเติบโตแบบทวีคูณจากเครือข่ายที่พวกเขากำลังสร้าง ซึ่งอาจจะมีมูลค่าสูงถึง 10 หรือ 20 เท่าได้เลยด้วยซ้ำ

แต่ก็ต้องบอกว่าโดยพื้นฐานส่วนตัวแล้วนั้น Adam แทบจะไม่รู้วิธีการเขียนโค้ด ในความเป็นจริงเขาแทบไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ Adam ปล่อยให้ Rebekah และผู้ช่วยจัดการกับอีเมล์ส่วนใหญ่ของเขา

ต้องบอกว่า WeWork ยังมีหนทางที่ยาวไกลในการก้าวไปสู่การเป็นบริษัทด้าน เทคโนโลยี ที่ WeWork แทบไม่มีใครเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แม้กระทั่งสัญญาณอินเทอร์เน็ต ก็ยังขาด ๆ หาย เลยเสียด้วยซ้ำในตอนนั้น

WeWork ได้ลองพยายามสร้างบริการที่มีชื่อว่า WeConnect ที่จะเป็น คาเฟ่ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไม่จำกัด และ กาแฟระดับไฮเอนด์ ไม่เพียงช่วยให้พิมพ์เอกสารและจองห้องประชุมได้ง่ายขึ้นเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แท้จริงอีกด้วย

WeWork ได้พยายามทำให้เหล่าผู้เช่าที่เป็นนักธุรกิจมีการเชื่อมต่อกัน ไม่ใช่แค่เพียงทางกายภาพผ่านสถานที่เท่านั้น ตัวอย่างเช่น WeConnect มีขึ้นเพื่อให้นักบัญชีสามารถเชื่อมต่อกับนักออกแบบกราฟฟิกที่สถานที่ตั้งใหม่ของ WeWork ใน West Hollywood หรือกับสมาชิก WeWork คนอื่น ๆ จากจำนวนทั้งหมด 3,000 คนได้

แต่ด้วยความอ่อนด้อยด้านเทคโนโลยี แม้ตัว Miguel เองจะมีทักษะการเขียนโปรแกรมขั้นพื้นฐานจาก Startup ตัวแรกของเขาอย่าง Englist Baby! ก็ตามที

แต่ในการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ของบริการอย่าง WeConnect พวกเขาก็ต้องพบกับความสยดสยองของโลกเทคโนโลยี เมื่อต้องใช้เวลาหลายนาทีในการโหลดหน้าโปรไฟล์เพียงหน้าเดียวเท่านั้น

ภายในปี 2013 แทบไม่มีสมาชิก WeWork ใช้เครือข่าย WeConnect อย่างจริงจัง แม้ WeWork จะมีข้อดีที่สามารถเดินไปตามห้องโถงและพบกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ได้ แต่ประโยชน์ของการรู้จักสมาชิก WeWork ทุกคนนั้นยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ และไม่มีการเชื่อมต่อกับแบบดิจิตอลเลยด้วยซ้ำ

Adam เริ่มถูกกดดันจากนักลงทุนรายใหม่ที่เข้ามาลงทุนใน WeWork อย่าง Benchmark ที่ต้องการให้ WeWork เติบโตมากขึ้นกว่านี้ บริษัทได้รับเงินลงทุน 16.5 ล้านดอลลาร์ในการระดมทุนในรอบ Series A ทำให้บริษัทมีมูลค่าพุ่งไปถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

เหล่าพนักงานจำนวนมากของ WeWork ต่างเฉลิมฉลองกับก้าวแรกของความสำเร็จของ WeWork ในครั้งนี้ แต่ต้องบอกว่าเงินทุนที่เข้ามาใหม่ มาพร้อมกับความคาดหวังที่มากขึ้น WeWork ได้คณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ซึ่งมี Bruce Dunlevie ผู้ร่วมก่อตั้ง Benchmark เข้ามาเสริมทัพ

Bruce Dunlevie จาก Benchmark Capital เข้ามาลงทุน Series A ให้กับ WeWork (CR:investor.com)
Bruce Dunlevie จาก Benchmark Capital เข้ามาลงทุน Series A ให้กับ WeWork (CR:investor.com)

แต่ Adam ก็ยังมั่นใจว่าบริษัทของเขา สามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ สิ่งแรกที่ Adam และ Miguel มองเห็นคือ การสร้างซอฟต์แวร์ภายในเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการนำเสนอ WeWork ในฐานะบริษัทเทคโนโลยี และเพื่อค้นหาวิธีการทำงานหรือวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ ๆ

พวกเขาฝันไกลไปถึงขนาดที่ว่า เครือข่ายสมาชิกจะอนุญาตให้พวกเขาขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ให้กับสมาชิกได้ ตั้งแต่แผนการดูแลสุขภาพไปจนถึงการสมัครสมาชิกซอฟต์แวร์ลดราคา ซึ่งเมื่อมีสมาชิกในเครือข่ายจำนวนมาก WeWork สามารถทำกำไรจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ เมื่อมีจำนวนผู้ใช้งานในเครือข่ายมากพอนั่นเอง

มาถึงตอนนี้ WeWork กำลังจะ Transform ตัวเองจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สู่บริษัทเทคโนโลยีแบบเต็มตัวแล้ว ด้วยเงินทุนที่เข้ามาอัดฉีด ดูเหมือน Adam ยังมั่นใจในวิสัยทัศน์ใหม่ของเขา แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ WeWork พวกเขาจะสามารถผลักดันตัวเองให้กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีอย่างที่ Adam ฝันไว้ได้หรือไม่ โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม

–> อ่านตอนที่ 6 : Greater Fools

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ