ราคาน้ำมันพุ่ง เมื่ออเมริกาโทษปูติน แต่เหตุผลหลักกลับอยู่ที่ตัวไบเดนเองจริงหรือไม่?

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนเมื่อเร็วๆ นี้เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกาสูงมาก แต่การตัดสินใจของไบเดนในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้น

จากสถิติของศูนย์ข้อมูลพลังงานสหรัฐ (EIA) ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเบนซินในสหรัฐในช่วงกลางเดือนมีนาคมอยู่ที่ 4.25 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เทียบเท่ากับ 1.12 ดอลลาร์ต่อลิตร ตัวเลขนี้ต่ำกว่าช่วงสงครามเวียดนาม แต่เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของสหรัฐฯ แซงหน้าจุดสูงสุดเดิมระหว่างปี 2008 ถึง 2011

อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 7.9% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากตามราคาน้ำมันระหว่างประเทศ หลังจากที่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการทางทหารในยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม โฆษกทำเนียบขาว Jen Psaki กล่าวโทษประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน และยืนยันว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง:

“ราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพราะนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เพราะประธานาธิบดีรัสเซียบุกยูเครน สงครามครั้งนี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างมากในตลาดโลก” Psaki กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว

ไบเดน ยังได้ออกแถลงการณ์ที่คล้ายกัน: “ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์/แกลลอน. เหตุผลหลักคือปูตินรวบรวมกำลังทหารของเขาตามแนวชายแดนของยูเครนแล้วบุกโจมตี ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในทุกวันนี้ สาเหตุหลักมาจากความผิดของวลาดิมีร์ ปูติน” 

ประธานาธิบดีสหรัฐยังพยายามที่จะหันเหความสนใจของสาธารณชนไปที่บริษัทพลังงาน ในช่วงประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงจาก 130 ดอลลาร์/บาร์เรล เหลือต่ำกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และไบเดนกล่าวว่าธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องลดราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขียนบน Facebook ว่า “ราคาน้ำมันดิบกำลังตก ราคาน้ำมันเบนซินก็ควรเช่นกัน ก่อนหน้านี้เมื่อราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 96 ดอลลาร์/บาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 3.62 ดอลลาร์/แกลลอน ตอนนี้ก็เช่นเดียวกันสำหรับน้ำมันดิบราคาลดลง แต่ราคาน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 4.31 ดอลลาร์/แกลลอน”

แถลงการณ์เหล่านี้จากทำเนียบขาวเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่าราคาน้ำมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราเงินเฟ้อได้เพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ความขัดแย้งในยูเครนจะส่งผลกระทบต่อตลาดเสียอีก

ความผิดพลาดของไบเดน

ตั้งแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ไบเดนได้เปิดนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ราคาเชื้อเพลิงมีราคาแพงขึ้น

หนึ่งในคำสั่งแรกของไบเดน หลังจากเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม 2020 คือการทำลายโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้บุกเบิก ซึ่งท่อส่งนี้มีความยาวมากกว่า 3,300 กม. ซึ่งวิ่งจากแคนาดาไปยังรัฐเท็กซัส หากนำไปใช้งาน ท่อส่งน้ำมันมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ดังกล่าวนี้จะขนส่งน้ำมันได้ 800,000 บาร์เรลต่อวัน

โครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้บุกเบิก (CR:Toronto Star)
โครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้บุกเบิก (CR:Toronto Star)

ในเดือนมกราคม 2021 ไบเดนได้หยุดออกใบอนุญาตการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐอีกครั้งทั้งบนบกและในน้ำ การตัดสินใจของไบเดนตรงกันข้ามกับนโยบายของทรัมป์อย่างสิ้นเชิง และออกแบบมาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในช่วงปี 2016-2020 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันคลายมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับการแสวงหาผลประโยชน์จากน้ำมันและก๊าซเพื่อเพิ่มความเป็นอิสระด้านพลังงาน

ไบเดนได้ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง และด้วยเหตุนี้ กำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ จึงลดลง วอชิงตันจึงต้องเรียกร้องให้กลุ่ม OPEC + เพิ่มการผลิต สมาชิกหลักสองประเท่ศของ OPEC + ไม่ใช่ใครอื่น เพราะนั่นคือรัสเซียและซาอุดีอาระเบีย

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2021 ทำเนียบขาวได้โพสต์คำแถลงจากที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เจค ซัลลิแวน ซึ่งกล่าวว่า: “แม้ว่ากลุ่ม OPEC + จะตกลงที่จะเพิ่มการผลิต แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยในช่วงการระบาดครั้งใหญ่ ในช่วงเวลาวิกฤติกับการฟื้นตัวของโลก การดำเนินการนี้ยังไม่เพียงพอ”

แทนที่จะพึ่งพาซัพพลายจากรัสเซียและกลุ่ม OPEC รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถพยายามเพิ่มการผลิตน้ำมันของสหรัฐ แต่ไบเดนไม่ได้ทำ ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกาในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 และเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ราคาพลังงานทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นเมื่อต้นปีนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่อาจกล่าวโทษประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียได้ทั้งหมด เมื่อราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างมากจากปี 2021 มาก่อนแล้ว

ในเดือนธันวาคม 2021 คริสโตเฟอร์ วูด ผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์การลงทุนระดับโลกของเจฟฟรีส์ คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นถึง 150 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเนื่องจากการกลับมาของเศรษฐกิจโลกหลังการแพร่ระบาดเริ่มลดลงอีกครั้งและขีดจำกัดของอุปทานที่ลดลง

ข้อเท็จจริงที่ว่าอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลได้รับผลกระทบจาก “การโจมตีทางการเมือง” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนครั้งใหม่มีแรงจูงใจน้อยลงที่จะนำเม็ดเงินจะอัดฉีดเข้าสู่ธุรกิจน้ำมันและก๊าซ วูดกล่าว

ทำเนียบขาวต้องการให้คนอื่นๆ เชื่อว่าราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเป็นเพราะประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แต่นโยบายของไบเดนได้ทำให้อุตสาหกรรมพลังงานอ่อนแอลงมานานแล้ว และทำให้สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้น

สหรัฐฯ ไม่ค่อยซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทำไมราคาน้ำมันยังขึ้นอีก?

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศว่าสหรัฐฯ จะหยุดนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย “วันนี้ ผมขอประกาศว่าสหรัฐฯ จะโจมตีเส้นเลือดใหญ่ (น้ำมันและก๊าซ) ของเศรษฐกิจรัสเซีย เราจะห้ามการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียทั้งหมด” ไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาว

เหตุผลที่ไบเดนสามารถพูดจาฉะฉานเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าน้ำมันดิบจากรัสเซียมีสัดส่วนเพียง 3% ของการนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งหมด ในขณะที่ยุโรปยังไม่กล้าเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากทวีปนี้พึ่งพาพลังงานของรัสเซียเป็นอย่างมาก

หากระดับการพึ่งพาอาศัยกันของสหรัฐฯ มีมากเท่ากับยุโรป ไบเดนคงไม่กล้าโจมตีเส้นเหลือดใหญ่ (น้ำมันและก๊าซ) ของเศรษฐกิจรัสเซียอย่างแน่นอน

แม้ว่าการค้าน้ำมันและก๊าซระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่หลังจากประกาศของไบเดน ราคาน้ำมันดิบยังคงพุ่งขึ้น 7% และราคาน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า

เหตุผลก็คือธรรมชาติของตลาดพลังงานทั่วโลก ความตื่นตระหนกในภูมิภาคหนึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาในอีกครึ่งหนึ่งของโลก เมื่อไม่ซื้อน้ำมันรัสเซีย สหรัฐฯ จะต้องหาแหล่งอื่น เช่น กลุ่มประเทศ OPEC

ความต้องการใช้น้ำมันของกลุ่ม OPEC เพิ่มขึ้น ทำให้องค์กรของพวกเขาต้องมีการปรับขึ้นราคา

ในปี 2021 รัสเซียผลิตน้ำมันได้ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นอันดับ 2 ของโลก ส่วนสหรัฐฯ อยู่ที่ 10.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในสหรัฐอเมริกาใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มอัตราและยังมีปัญหาในการเพิ่มกำลังการผลิต

บริษัทพลังงานของสหรัฐหลายแห่งล้มละลายเมื่อราคาน้ำมันดิ่งลงสู่ระดับติดลบในเดือนเมษายน 2020 และนโยบายของไบเดนเป็นปัจจัยสำคัญในการจำกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลให้ได้รับแรงจูงใจในการลงทุนใหม่

ปัญหาที่แท้จริง: บริษัทน้ำมันกำลังพยายามดึงกำไรของพวกเขาคืน

เหตุผลที่แท้จริงที่การผลิตน้ำมันของสหรัฐที่ไม่ได้กลับสู่ระดับการผลิตสูงสุดนั้นไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายพลังงานของไบเดน มากไปกว่าความต้องการของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ต้องการหารายได้

เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันกลับมาฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในช่วงกลางปี ​​2020 ผู้ผลิตจึงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผู้ถือหุ้นให้ “ทำกำไรเหนือการเพิ่มการผลิต” และ “คืนเงินสดให้ผู้ถือหุ้นแทนที่จะดึงเงินกลับเพื่อไปลงทุนในการขุดเจาะ” ตามรายงานของ Financial Times and Wall สตรีทเจอร์นัล ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ขยายการผลิตได้ล่าช้า

“ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน 150 ดอลลาร์ น้ำมัน 200 ดอลลาร์ หรือน้ำมัน 100 ดอลลาร์ เราจะไม่เปลี่ยนแผนการเติบโตของเรา” ซีอีโอของไพโอเนียร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำเพอร์เมียน ซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตน้ำมันที่สำคัญของภาคตะวันตกเฉียงใต้ กล่าวในงาน Bloomberg เมื่อเดือนที่แล้ว 

Vicki Hollub ซีอีโอของ Occidental Petroleum กล่าวในทำนองเดียวกันว่า บริษัทของเธอมุ่งเน้นไปที่การจ่ายเงินคืนให้กับนักลงทุน: “ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องคืนเงินสดให้ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้”

Vicki Hollub ซีอีโอของ Occidental Petroleum (CR:GettyImage)
Vicki Hollub ซีอีโอของ Occidental Petroleum (CR:GettyImage)

แรงจูงใจในการทำกำไรได้ส่งผลต่อกำลังการผลิตน้ำมันนอกสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน ประเทศในกลุ่ม OPEC ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะถดถอยยังคงจำกัดกำลังการผลิตเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วแม้ว่าจะมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดียให้ผลิตมากขึ้นก็ตาม

เพื่อสร้างรายได้ของพวกเขา พวกเขาเพิ่งเริ่มผ่อนปรนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประกาศว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงเล็กน้อย  ซึ่งในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีกำลังการผลิตน้ำมันสำรองอยู่ในมือและไม่ต้องการให้ราคาสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อไปกดดันอุปสงค์ทั่วโลก

บริษัทพลังงานในตะวันออกกลางที่ร่ำรวยด้วยน้ำมันไม่ใช่บริษัทเดียวที่ล่ำซำ รายงาน ของ LA Times ระบุว่าปั๊มน้ำมันในแคลิฟอร์เนียบางแห่งที่เรียกเก็บ 7 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งเป็นการตั้งราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของรัฐและระดับประเทศมาก เนื่องจากพบว่า คนขับยินดีจ่าย แม้ว่าพวกเขาจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม

References : https://thehill.com/opinion/white-house/595706-biden-not-putin-to-blame-for-higher-gas-prices
https://www.nytimes.com/2022/03/10/us/politics/biden-putin-inflation.html
https://www.nytimes.com/2022/03/09/us/politics/fact-check-republicans-biden-gas.html
https://slate.com/news-and-politics/2022/03/dont-blame-biden-for-gas-prices.html
https://www.express.co.uk/news/science/1542279/joe-biden-gas-prices-us-outmanoeuvres-vladimir-putin-eu-gas-crisis-nord-stream-2


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube