ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 11 : The Empire Strikes Back

สถานการณ์ที่โลกเราอยู่ในภาวะสงครามเย็นต้องบอกว่าไม่เคยสิ้นสุดจริง ๆ การฟื้นฟูอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซีย เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนผ่านรัสเซียไปสู่ระบบตลาดเสรี กลุ่มของ KGB มองว่าทุนนิยมเป็นเครื่องมือสำหรับวันหนึ่งที่รัสเซียจะปีนป่ายไปสู้กับตะวันตก

แต่การรุกล้ำทางตะวันตกผ่าน NATO เข้าใกล้พรมแดนรัสเซียมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นภัยคุกคามที่มีอยู่จริง ในขณะที่กระบวนการประชาธิปไตยที่ล้มล้างรัฐบาลที่สนับสนุนรัสเซียในยูเครนและจอร์เจียถูกมองว่าเป็นการปฏิวัติที่ได้รับทุนจากสหรัฐฯ ไม่ใช่การแสดงออก หรือ เป็นเจตจำนงที่เสรีของประชาชนอย่างแท้จริง

ความหวาดระแวงนี้เกิดขึ้นจาการล่มสลายของจักรวรรดิ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากความพ่ายแพ้อันขมขื่นของระบอบคอมมิวนิสต์

Putin ได้ตำแหน่งที่ชัดเจนที่สุดเมื่อเขาพูดคุยกับผู้นำโลกเป็นครั้งแรกในการประชุมความมั่นคงที่มิวนิคเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2007

หลายคนต่างเชื่อว่านี่จะเป็นปีสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา เพราะกำลังจะครบเทอมในวาระที่สอง และตามรัฐธรรมนูญเขาต้องก้าวลงจากตำแหน่ง

ในช่วงปีสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งในวาระที่สอง เขาได้โจมตีการขยายตัวของ NATO ไปยังประเทศต่าง ๆ ของสนธิสัญญาวอร์ซอในอดีต เขาประณามแผนการของอเมริกาในการสร้างเกราะป้องกันขีปนาวุธในโปแลนด์และสาธารณรัฐเช็ก

สหรัฐฯ อ้างอย่างข้าง ๆ คู ๆ ว่า สิ่งนี้จำเป็นในการปกป้องยุโรปจากขีปนาวุธจากอิหร่านและเกาหลีเหนือ แต่รัสเซียไม่ได้มองอย่างงั้น เกราะป้องกันนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อบ่อนทำลายขีดความสามารถของรัสเซียในการโจมตีด้วยนิวเคลียร์เพียงเท่านั้น

คำด่าของ Putin จบลงด้วยการเตือนตะวันตก ว่ามันเป็นระบบที่มีสองมาตรฐาน สหรัฐฯ ใหญ่มาจากไหนถึงครอบงำทุกอย่างได้แต่เพียงผู้เดียว “นี่มันไม่ใช่โลกของสหรัฐฯเพียงประเทศเดียว ที่ทำทุกอย่างแล้วถูกต้องไปหมด”

Putin ได้สังเกตเห็นโลกอย่างเงียบ ๆ ว่า กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศที่เรียกว่า BRIC ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่ทั้งบราซิล รัสเซีย อินเดีย และ จีน กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และกำลังท้าทายเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว

ทว่าในสิ้นปีนั้น ชาติตะวันตกตั้งความหวังในชายที่ Putin หวังให้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาอย่าง Dmitry Medvedev

Medvedev อดีตทนายความร่างจิ๋วที่พูดจาแผ่วเบา ซึ่งดำรงตำแหน่งรองจาก Putin ตั้งแต่สมัยอยู่ที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

Medvedev เป็นพวกเสรีนิยมที่ประกาศตัวว่าเป็นพวกเสรีนิยมแบบสุดขั้ว เขาเติบโตมาในย่านชานเมืองของเลนินกราดในฐานะหนอนหนังสือ เขาสนใจทั้งงานวรรณกรรมคลาสสิกและเพลงร็อคตะวันตก

เขาได้ให้คำมั่นว่าจะลดบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจ ฝ่ายตะวันตกก็เริ่มมีความหวังว่ารัสเซียจะกลับไปสู่เส้นทางการเป็นเศรษฐกิจแบบตลาดปกติหลังจากมีการเปลี่ยนผ่านผู้นำเป็น Medvedev

ซึ่งไม่นานหลังจาก Barack Obama เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2008 สหรัฐฯ ได้ประกาศการรีเซ็ตความสัมพันธ์กับรัสเซียใหม่ แม้กระทั่งหลังความขัดแย้งทางการทหารของรัสเซียกับจอร์เจียอดีตเพื่อนบ้านโซเวียตที่เอนเอียงไปทางตะวันตกในเดือนสิงหาคม 2008

ต้นเดือนนั้น การสู้รบระหว่างกองทัพจอร์เจียและกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในสาธารณรัฐเซาท์ออสซีเซียซึ่งใช้อาวุธหนักของรัสเซียได้ทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นสงครามห้าวัน

รัสเซียและจอร์เจียต่างตำหนิกันและกัน ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างควบคุมไม่ได้ เครื่องบินรัสเซียทิ้งระเบิดใส่ตำแหน่งของกองทหารจอร์เจีย ในขณะที่รถถังของรัสเซียเคลื่อนเข้าสู่ดินแดนจอร์เจีย

ความขัดแย้งดังกล่าวนำไปสู่ดินแดนขนาดใหญ่ที่ถูกแยกออกจากจอร์เจีย รัสเซียยอมรับเอกราชของเซาท์ออสซีเพียงฝ่ายเดียว

ในตอนนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นว่าการตอบสนองเชิงรุกของรัสเซียแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ในการจัดการกับปัญหา หากประเทศเพื่อนบ้านเรือนเคียงคิดจะเข้าร่วมกับ NATO

แม้จะมีการรุกราน รัฐบาลชุดใหม่ของ Barack Obama ก็ส่งสัญญาณว่าต้องการเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ การทะเลาะวิวาทต้องหยุดลง

Medvedev แสดงความปรารถนาของรัสเซียที่จะรวมเข้ากับระบบการเงินโลก และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในความพยายามอย่างเต็มที่กับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปแลพันธมิตรอื่น ๆ และต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างสถาปัตยกรรมการเงินโลกใหม่

ประเด็นสำคัญประการหนึ่งในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาคือการผลักดันให้มอสโกเป็น “ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ” แห่งใหม่

ในระหว่างการเยือนมอสโกครั้งแรกของ Obama ในปี 2009 เขาและ Medvedev ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี และเมื่อ Medvedev เดินทางไปสหรัฐฯ ในปีต่อไป ความสัมพันธ์ทางธุรกิจของทั้งสองประเทศก็มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

 Obama เยือนมอสโกในปี 2009 เขาและ Medvedev ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี (CR:The Guardian)
Obama เยือนมอสโกในปี 2009 เขาและ Medvedev ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี (CR:The Guardian)

Medvedev พยายามสร้างตัวตนให้เป็นคนที่ทันสมัย เป็นคนรุ่นใหม่ที่ใช้ iPad ใช้ทวิตเตอร์ เขาไปที่ซิลิคอนแวลลีย์โดยแสดงความหวังที่จะแสวงหาความร่วมมือในการช่วยพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงของรัสเซีย

แต่หลังจากก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี Putin ก็เข้ามาแทนที่ Medvedev ในฐานะนายกรัฐมนตรี และเบื้องหลังการจัดการทั้งหมดเขาก็เป็นคนดำเนินการ Medvedev ตัดสินใจอย่างอิสระเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น

Putin เลือกให้ Medvedev สืบทอดตำแหน่งของเขาเพราะในบรรดาคนวงในทั้งหมดของเขานั้น Medvedev มีโอกาสน้อยสุดที่จะท้าทายอำนาจเขา มันเป็นแผนการตั้งแต่แรกเพื่อให้ Putin กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหลังจาก Medvedev ลงจากตำแหน่ง

และแทนที่จะเป็นการเปิดเสรีตามความหวังของ Medvedev สิ่งที่เกิดขึ้นจากการปกครองสี่ปีของเขากลับกลายเป็นระบบรัฐที่เข้ามายึดครองเศรษฐกิจยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

ภายใต้ตำแหน่งประธานาธิบดีของ Medvedev เงินหลายพันล้านดอลลาร์ของรัฐบาลถูกเทลงในโครงการเรือธงของรัฐที่จะทำให้เศรษฐกิจมีความทันสมัย

อย่างแรกคือโครงการที่มีชื่อว่า Rosnano ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์บ่มเพาะเพื่อพัฒนานาโนเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสาขาที่ Putin เชื่อว่ามีความสำคัญในการแข่งขันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการทหารและปัญญาประดิษฐ์ของตะวันตก

หรือโครงการที่มีชื่อว่า Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างขึ้นโดย Medvedev ในปี 2010 โดยวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการพัฒนาการเริ่มต้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งกิจการทั้งสองกลายเป็นหลุมดำขนาดมหึมาในการทุ่มใช้เงินของรัฐบาล

ทั้งสองโครงการยักษ์แทบจะไม่มีการกำกับดูแลหรือมีความโปร่งใสเกี่ยวกับวิธีการใช้จ่าย เมื่อ Rosnano ลงทุนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ และ Skolkovo ได้กระชับความร่วมมือในซิลิคอนแวลลีย์ และกับสถานบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์หรือ MIT

หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ เริ่มกังวลว่ารัสเซียกำลังหวนคืนสู่วิถีดั้งเดิมของสงครามเย็น FBI ได้เตือนผู้นำด้านเทคโนโลยีในบอสตันว่าในความเป็นจริงโครงการของรัฐรัสเซียเป็นเหมือนหน่วยงานแนวหน้าที่ซับซ้อนซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเข้าถึงเทคโนโลยีการทหารของอเมริกา

หลังสี่ปีในตำแหน่งประธานาธิบดีของ Medvedev ในที่สุด Putin ก็กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง และในวาระที่สามของ Putin ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะทวีความดุเดือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ครั้งแรกที่เครมลินส่งสัญญาณว่ารัสเซียอาจกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งกับยูเครนได้เกิดขึ้นเร็วมาก

ในเดือนกันยายาน 2013 Viktor Yanukovych ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรจากการปฏิวัติสีส้ม รวมถึงอดีตประธานาธิบดี Yushchenko ถูกจัดการจากข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตภายหลังข้อตกลงเกี่ยวกับก๊าซในปี 2006

แม้ว่าตัว Yanukovych จะเอนเอียงไปทางฝั่งเครมลิน แต่เขาก็ยังมีการเจรจาเกี่ยวกับการลงนามในข้อตกลงการค้าและความร่วมมือกับสหภาพยุโรปที่จะกระชับความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของยูเครนกับตะวันตก

Yanukovych มีกำหนดจะลงนามในข้อตกลงขอสหภาพยุโรปในเดือนพฤศจิกายน และเมื่อถึงเวลาที่ใกล้ลงนาม ระบอบการปกครองของ Putin ก็เริ่มกดดันเขา

ในเดือนกันยายนปีนั้น Sergei Glazyev ทูตของเครมลินได้เตือนต่อสาธารณชนว่ายูเครนต้องเผชิญกับหายนะหากได้ลงนามในข้อตกลงดังกล่าว

ความคาดหวังที่มีมาอย่างยาวนานว่าในที่สุดยูเครนจะเอนเอียงไปทางทิศตะวันตกได้ถูกทำลายอีกครั้ง ก่อให้เกิดการประท้วงที่สนับสนุนสหภาพยุโรปที่เพิ่มจำนวนขึ้น ผู้คนหลายแสนคนพากันออกมาชุมนุมตามท้องถนนอีกครั้ง

นักศึกษาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจในยูเครนเบื่อหน่ายกับการคอร์รัปชั่นของระบอบการปกครองของ Yanukovych ได้เริ่มตั้งเต็นท์อีกครั้งที่จตุรัส Maidan อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเคียฟ

เป็นเวลาสามเดือนที่กลุ่มประท้วงหลักยึดติดอยู่กับน้ำแข็งและหิมะ บางครั้งมีการปะทะกับตำรวจปราบจราจลในขณะที่ฝ่ายบริหารพยายามเคลียร์พื้นที่ ความรุนแรงทวีความรุนแรงมากขึ้น

Yanukovych ออกกฎหมายที่เข้มงวดห้ามการประท้วงและข่มขู่ผู้ประท้วงด้วยค่าปรับจำนวนมากรวมถึงโทษจำคุก

ผู้ประท้วงถูกกองกำลังฝ่ายขวาหัวรุนแรงแทรกซึมซึ่งมีการจัดระเบียบมากขึ้นเรื่อย ๆ นำโดยกลุ่มชาตินิยมที่ควบคุมเครื่องกีดขวางรอบจตุรัส แม้จะติดอาวุธด้วยเครื่องยิงหนังสติ๊ก พวกเขาอยู่ในแนวหน้าของการปะทะกับตำรวจปราบจราจล

ในช่วงเช้าของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2014 เกิดเหตุสไนเปอร์ขึ้น ภายในสองชั่วโมง ผู้ประท้วงสี่สิบหกคนเสียชีวิต จนถึงสิ้นวัน ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งถึงเจ็ดสิบราย

Yanukovych กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเรื่องวิกฤติเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของเขากับรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เยอรมัน และโปแลนด์ การเจรจาสิ้นสุดลงโดยผู้นำยูเครนตกลงที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนสิ้นปี

แต่ทางเครมลินดูเหมือนจะไม่พอใจ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียคนหนึ่งบอกกับ Financial Times ว่า หากยูเครนยังคงเอียงไปทางตะวันตก รัสเซียก็พร้อมที่จะทำสงครามกับแหลมไครเมียเพื่อปกป้องฐานทัพทหารที่นั่นรวมถึงประชากรที่มีชาติพันธุ์รัสเซีย

โลกตื่นขึ้นเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ Yanukovych ได้หลบหนีไปกลางดึก ละทิ้งการบริหารของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อว่าเขาไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

ผู้นำฝ่ายค้านที่หัวรุนแรงปฏิเสธที่จะยอมรับข้อตกลงประนีประนอมกับเขา โดยจะประท้วงต่อไปจนกว่าเขาจะออกไป และในช่วงสุญญากาศนั่นเองที่รัฐบาลชั่วคราวที่สนับสนุนโดยสหภาพยุโรปเข้ามามีอำนาจ

แต่ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ก่อนรุ่งสางวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ทหารสวมหน้ากากไม่สวมเครื่องราชอิสริยาภรณ์บุกรัฐสภาไครเมีย ชักธงรัสเซียขึ้นเหนืออาคารยุคโซเวียต

ทหารรัสเซียบุกเข้าไปในไครเมีย (CR:UNIAN)
ทหารรัสเซียบุกเข้าไปในไครเมีย (CR:UNIAN)

มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีใหม่ของภูมิภาค และเรียกร้องให้มีการลงประชามติร่วมกับรัสเซีย

ในขณะเดียวกัน กองทหารรัสเซีย 150,000 นายระดมกำลังใกล้ชายแดนยูเครน ชาติตะวันตกกำลังสั่นคลอนจากการกระทำที่กล้าหาญของระบอบ Putin รัสเซียให้เหตุผลกับพวกเขาโดยอ้างว่าถูกบังคับให้ตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเพื่อตอบโต้การรัฐประหารที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนในเคียฟ

สำหรับ Putin การผนวกไครเมียเป็นช่วงเวลาที่เหมือนเป็นการประกาศก้องให้โลกรู้ว่า เขากำลังประกาศระเบียบโลกใหม่หลังยุคสงครามเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัสเซียเริ่มท้าทายสหรัฐฯ อีกครั้ง

หลังจากที่ไครเมียลงคะแนนเสียงสนับสนุนให้เข้าร่วมกับรัสเซียอย่างท่วมท้น Putin ก็ได้รับการต้อนรับด้วยการปรบมืออย่างก้องเกียรติ

ตอนนี้เขากำลังดำเนินการเพื่อฟื้นฟูอาณาจักรรัสเซียเป็นครั้งแรก ความนิยมของ Putin ก็เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 80

ฝ่ายตะวันตกต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับความแน่วแน่ของรัสเซียในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ระหว่างการทำสงครามชนะจอร์เจียช่วงสั้น ๆ ในปี 2008 ความกลัวก็คือสงครามตัวแทนของรัสเซียจะแพร่กระจายไปยังยุโรป ไม่มีใครเข้าใจว่า Putin กำลังคิดใหญ่แค่ไหน

สหภาพยุโรปร่วมมือกับอเมริกาคว่ำบาตรรัสเซียทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นรัสเซียก็ฟื้นตัวในไม่ช้า และกองทหารรัสเซียไม่ยอมแพ้ ยังมีกองกำลังอยู่ใกล้ชายแดนยูเครน

ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น นักสู้พร็อกซี่ ซึ่งรัสเซียยืนยันว่าเป็น อาสาสมัคร เริ่มมุ่งหน้าไปยังยูเครนตะวันออก เข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัสเซียในท้องถิ่นจำนวนมากที่ติดตั้งยุทโธปกรณ์ทางทหารของรัสเซีย

เมื่อถึงเดือนเมษายน พวกเขาก็เข้ารับตำแหน่งผู้บริหารในภูมิภาคยูเครนตะวันออกของโดเนตสค์ ลูกันสค์ และสโลเวียนสค์ สำหรับรัฐบาลตะวันตกและฝ่ายบริหารของยูเครน สถานการณ์ดูคล้ายคลึงกันอย่างมากกับวิธีที่หน่วยรัสเซียที่ไม่ปรากฎชื่อเข้ายึดครองและผนวกไครเมีย

ผลจากการคว่ำบาตรแม้เงินรูเบิลจะลดลงในเดือนธันวาคม 2014 แต่ในที่สุดเศรษฐกิจของประเทศก็ฟื้นตัวขึ้นได้

รัฐบาลรัสเซียได้ขุดเอาส่วนหนึ่งของกองทุนรักษาเสถียรภาพซึ่งได้รวบรวมจากรายได้จากน้ำมันมาเกือบทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับรัฐที่้ต้องใช้เงินทุนมากที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดดูเหมือนว่าฝ่ายตะวันตกประเมินขอบเขตเศรษฐกิจนอกระบบของรัสเซียต่ำเกินไปเสียแล้ว

ต้องบอกว่าหากในยุคสหภาพโซเวียตได้มีการดำเนินกิจการที่มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในตะวันออกกลางและแอฟริกา ตอนนี้ทุนนิยม KGB ของ Putin ก็ได้แทรกซึมเข้าไปในยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับรัฐบาลยูเครน สิ่งที่เครมลินทำกับประเทศของพวกเขาคือการเตือนว่ารัสเซียสามารถขยายอาณาจักรต่อไปได้เรื่อย ๆ หากยูเครนยังคิดจะยอมก้มหัวให้กับตะวันตก และที่สำคัญมันได้แสดงให้เห็นว่าจักรวรรดิรัสเซียพร้อมที่จะกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งนั่นเองครับผม

–> อ่านตอนที่ 12 : Russia’s Soft Power

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube