ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 13 : Russia’s Revenge

ต้องบอกว่าหลังจากขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดีของ Donald Trump เหล่า KGB ต่างชื่มชมยินดีในชัยชนะของ Trump ซึ่งสำหรับหลายๆ คน มันดูเหมือนเป็นการแก้แค้นให้กับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเลยด้วยซ้ำ

Putin ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความยินดี เหล่าผู้นำที่ใช้นโยบายประชานิยมก็เพิ่มจำนวนขึ้นทั่วทั้งยุโรป ไม่มีอะไรจะดีกว่านี้สำหรับ Putin ที่ชัยชนะของ Trump มาพร้อม ๆ กับการออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร

‘แนวคิดเสรีนิยมมันล้าสมัยไปแล้ว มันขัดแย้งกับประชากรส่วนใหญ่อย่างท่วมท้น’ Putin กล่าวกับ Financial Times ในเดือนมิถุนายน 2019

เขากล่าวว่า ‘พวกเสรีนิยม ถึงคราวต้องตกต่ำ สถานการณ์ในตอนนี้มันไม่เหมือนกับที่พวกเขาพยายามทำมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา’

ในที่สุดมันก็กลายเป็นชัยชนะของรัสเซีย ที่ใช้ความสามารถในทางลับของตนเองเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนที่มีอยู่ในตะวันตก เพราะหน่วยข่าวกรองทั้งหมดของรัสเซียที่กำลังดำเนินมาตรการเชิงรุกโต้กลับตะวันตก

มาตรการเชิงรุกดังกล่าว ได้นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอเมริกา ข้อกล่าวหาที่ว่ารัสเซียมีส่วนสนับสนุน Trump นั้นอยู่ภายใต้การสอบสวน

การเปิดเผยโดยไม่เจตนาโดยที่ปรึกษานโยบายต่างประเทศของ Trump ซึ่งเขารู้ล่วงหน้าว่ารัสเซียเข้าถึงอีเมล์ของ Hillary clinton ทำให้ FBI เปิดการสอบสวนในเรื่องดังกล่าว และกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ๆ ของแวดวงการเมืองอเมริกา

ซึ่งหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ มีข้อสรุปอย่างชัดเจนว่าหน่วยข่าวกรองของกองทัพรัสเซียได้แฮ็กเซิร์ฟเวอร์ของคณะกรรมการประชาธิปไตยแห่งชาติ และพยายามโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนที่มีต่อ Trump ผ่านการรณรงค์ทางโซเชียลมีเดีย

ซึ่งแม้จะมีนโยบายคว่ำบาตรใหม่ที่กำหนดโดยฝ่ายบริหารของ Trump ก็ตาม แต่ Trump เองก็ยังเป็นประธานาธิบดีในฝันของกลุ่ม KGB และ Putin ซึ่ง Trump แสดงความเคารพต่อ Putin และคนในแวดวงของเขาอย่างรวดเร็ว

ในการประชุมสำนักงานรูปไข่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเริ่มต้นตำแหน่งประธานาธิบดี เขาบอกกับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย Sergei Lavrov และ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐอเมริกา Sergei Kislyak ว่าเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการเรียกร้องของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เรื่องการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากอเมริกาเองก็ทำแบบเดียวกันในที่อื่น ๆ ของโลก

ในระหว่างการหาเสียง Trump ได้โต้แย้งว่า NATO นัั้นล้าสมัย ในขณะที่บอกว่าเขาอาจยอมรับการผนวกไครเมียของรัสเซีย

หลังการเลือกตั้งเขาสนับสนุนอย่างแข็งขันให้นายกรัฐมนตรี Theresa May ของอังกฤษและตามด้วย Boris Johnson ผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ ให้ขยายความแตกแยกของสหราชอาณาจักรเพื่อออกจากสหภาพยุโรป โดยขู่ว่าจะระงับข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ

เขาประณามประเทศสมาชิก NATO อย่างต่อเนื่องด้วยการร้องเรียนว่าพวกเขาไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมใด ๆ เลย ความสัมพันธ์ของเขากับนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Angela Merkel ก็ย่ำแย่

ในปี 2019 เขาจะถอนทหารสหรัฐออกจากซีเรีย การเคลื่อนไหวที่จะละทิ้งพันธมิตรชาวเคิร์ดของสหรัฐฯ และทิ้งรัสเซียและอิหร่านเพื่อสร้างสุญญากาศให้เป็นผล

เขาเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ คาดเดาไม่ได้ และทุกคำพูดของเขาดูเหมือนจะบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของอเมริกาภายใต้การดูแลของเขา

สถาบันประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ถูกกัดเซาะ และสังคมของสหรัฐฯ ก็มีความแตกแยกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อ Trump พบกับ Putin ในการประชุมสุดยอดครั้งแรกของพวกเขาที่เฮลซิงกิ ในเดือนกรกฎาคม 2018 ได้เห็นภาพของ Trump ที่แซว Putin และเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีกับวิธีที่เขาจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่เพิ่งจบลงไป

โดยยกย่องผู้นำรัสเซียว่าเป็นคู่แข่งที่ดี และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับความพยายามของรัสเซียที่จะโน้มน้าวการเลือกตั้งสหรัฐฯ เขายักไหล่ว่าเป็นการกระทำส่วนบุคคล

โดยได้ชี้ไปที่คำฟ้องของอัยการสหรัฐฯ เกี่ยวกับพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเขา ซึ่งเป็นอดีตพนักงานเสิร์ฟอาหารที่มีฉายาว่า “Putin’s Chef” อย่าง Yevgeny Prigozhin

Putin's Chef
Putin’s Chef” Yevgeny Prigozhin (ขวา) (CR:Commond.wikimedia.com)

ซึ่ง บริษัท Concord Management ของ Prigozhin ถูกกล่าวหาว่าดำเนินกิจการสร้างโทรลล์ทางอินเทอร์เน็ตซึ่งอยู่เบื้องหลังความพยายามออนไลน์เพื่อโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันให้สนับสนุน Trump

“พวกเขาไม่ใช่ตัวแทนของรัสเซีย” Putin กล่าว “นี่เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ไม่ใช่ของรัฐ เป็นสิ่งเดียวกับที่อเมริกาก็ทำ โดยอ้างว่าไม่ใช่เรื่องของรัฐ เช่นการกระทำของ จอร์จ โซรอส ที่ให้เงินสนับสนุนองค์กรที่ปั่นป่วนการเมืองไปทั่วโลก ทำไมคุณถึงทำได้ล่ะ? สิ่งที่โซรอสทำมันก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลเหมือนกัน”

Putin มีท่าทีเยาะเย้ย กับการใช้คำว่า ‘เรื่องส่วนบุคคล’ เพราะมันเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ทำมานานแล้ว และ Trump ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่อเมริกาทำกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมานานมากแล้ว

ซึ่งแน่นอนว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของกลวิธีทั่วไปที่ KGB ปฏิเสธสำหรับการมีส่วนร่วมของเครมลิน เหมือนที่อเมริกาปฏิเสธการมีส่วนร่วม เมื่อโซรอส ให้เงินทุนไปทำอะไรบางอย่างในทางการเมืองกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ภายใต้ระบบทุนนิยม KGB ของเขา นักธุรกิจที่รายล้อมตัว Putin ได้กลายเป็นตัวแทนของรัฐ นับตั้งแต่ Mikkhail Khodorkovsky ถูกจับกุมในปี 2003

วิกฤติทางการเงินในปี 2008 ได้ทำให้กระบวนการเหล่านี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเศรษฐีพันล้านหลายคนของประเทศต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากรัฐ

บรรดามหาเศรษฐีที่เคยรู้จักในนามผู้มีอำนาจของรัสเซีย บัดนี้ได้กลายเป็นข้าราชบริพารแห่งเครมลินของ Putin ทุกการเคลื่อนไหวถูกติดตามอย่างใกล้ชิด โทรศัพท์ส่วนใหญ่ของพวกเขาถูกดักฟัง

พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบศักดินาซึ่งบทบาทของ Putin ในฐานะผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายระหว่างคู่แข่งที่ต่อสู้ในธุรกิจ เกือบทุกข้อตกลงที่มีมูลค่าสูง บางคนกล่าวว่ามากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ จำเป็นต้องมีการอนุมัติจาก Putin

มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจินตนาการว่านักธุรกิจชาวรัสเซียอาสาที่จะปลูกฝังนักการเมืองต่างชาติในนามของเครมลิน เพื่อแลกกับการที่ Putin อนุมัติใบอนุญาติมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ หรือเพียงเพื่อให้เขาไม่ต้องติดคุก

เครือข่ายเงินสดสีดำ ของรัสเซียดูเหมือนจะแทรกซึมไปทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กิจกรรมของพวกเขารวมกับการเพิกเฉยต่อสถาบันและหลักจรรยาบรรณของสหรัฐฯ ที่ Trump แทบจะไม่ใส่ใจอีกต่อไป

เมื่อ Trump ถูกจับได้ทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2019 เพื่อขอให้ประธานาธิบดีคนใหม่ของยูเครน Volodomyr Zelensky พบกับ Giuliani และดำเนินการสอบสวน Biden

การกระทำหลายอย่างของ Trump แสดงให้เห็นถึงการละเมิดตำแหน่ง Trump ได้ขอร้องโดยตรงจากต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือเขาในการเลือกตั้งปีประธานาธิบดีในปี 2020

Trump ดูเหมือนจะแนะนำว่าความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ สำหรับยูเครนนั้นขึ้นอยู่กับเขา

สำหรับหลายๆ คน การกระทำดังกล่าวแสดงถึงความเสื่อมโทรมของระบอบประชาธิปไตย และการบ่อนทำลาย ทุกอย่างที่นักการทูตสหรัฐฯ พยายามจะยืนหยัดต่อสู้อยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต

รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามที่จะสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยในยูเครนมาเป็นเวลานานและปกป้องมันจากการครอบงำของรัสเซีย

แต่สำหรับรัสเซียแล้วนั้น ดูจะยินดีกับความโกลาหลที่เกิดขึ้น มันฉายให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบการเมืองของอเมริกาและการสึกกร่อนที่เกิดขึ้นจากภายใน

ตั้งแต่เริ่มแรก เครือข่ายเงินสดสีดำ ของรัสเซีย ได้ถูกฝังไว้เพื่อกัดเซาะระบบ และทำให้การทุจริตรุนแรงขึ้นในตะวันตก มันชี้ให้เห็นว่ารัสเซียของ Putin ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบตะวันตกมากมายเพียงใด

Putin เข้าใจดีว่า รัสเซียสามารถใช้จ่ายเงินจำนวนเท่าใดก็ได้ตามต้องการ ในการสร้างความโกลาหลในโลกตะวันตก เขาแทบไม่เคยแคร์กับการคว่ำบาตร เพราะเขาได้เตรียมรับมือสิ่งเหล่านี้มานานมากแล้ว และสิ่งที่เขาทำมันก็คือสิ่งเดียวกันกับที่สหรัฐอเมริกาเคยทำมาในอดีตผ่านระบบทุนนิยมเสรี

แต่ดูเหมือนว่าเมื่อมาถึงตอนนี้ ระบบอำนาจแบบรวมศูนย์อย่างที่รัสเซียทำ และรัฐที่ทำหน้าที่คอยจัดการทุกอย่างนั้น กำลังจะเอาชนะอุดมการณ์ด้านประชาธิปไตยในโลกเสรีไปเสียแล้วนั่นเองครับผม

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Vladimir Putin จาก Blog Series ชุดนี้

แน่นอนว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง ระบบการปกครองในรูปแบบดังกล่าว การยึดอำนาจแบบรวมศูนย์ สิ่งที่รัสเซียทำมันก็คล้ายๆ กับที่ประเทศจีนทำอยู่ มันสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งอเมริกาที่ว่ากันว่าเสรีนิยมแบบสุดโต่งก็ตาม สุดท้ายก็กำลังจะโดนประเทศอย่างจีนแซงด้วยสปีดที่เร่งการพัฒนาได้รวดเร็วมาก ๆ ด้วยการเติบโตของ GDP แบบก้าวกระโดด

ต้องเรียกได้ว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ประชาธิปไตยแบบเสรีทุนนิยมแบบโลกตะวันตก ทุกคนมีเสรีภาพ แต่การจะผลักดันเรื่องต่าง ๆ ในการพัฒนาประเทศนั้นมันก็ช้ากว่าเมื่อเทียบกับการมีอำนาจแบบรวมศูนย์ เพราะต้องแบ่งผลประโยชน์ให้กลุ่มต่างๆ ที่เท่าเทียมกัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

รวมถึงปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก ๆ ยิ่งหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจในปี 2008 ความเหลื่อมล้ำในโลกเสรีประชาธิปไตยมันยิ่งเกิดช่องว่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนรวยก็ยิ่งรวยขึ้นจากเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย นักลงทุนจาก Wallstreet ต้นตอของการเกิดวิกฤติก็ล้มลงบนกองเงินกองทอง แทบจะไม่มีใครรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างจากประชาชนคนรากหญ้าที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินอย่างมหาศาลจากวิกฤติครั้งนั้น

รวมถึงเรื่องการจัดการนักธุรกิจในแบบที่จีนหรือรัสเซียทำ มันก็คือการตัดแบ่งเค้กความรวยของพวกเขามาช่วยเหลือคนหมู่มาก ซึ่งมันเป็นแนวคิดแบบอุดมคติ ซึ่งผสมผสานระหว่างทุนนิยมแบบโลกตะวันตก กับการใช้อำนาจแบบรวมศูนย์แล้วจัดการขั้นเด็ดขาดให้เหล่านักธุรกิจมาอยู่ใต้อาณัติของรัฐ

สถานการณ์ในปัจจุบันจากสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศยูเครนที่ถูกรุกรานจากรัสเซีย มันก็ชี้ให้เห็นถึงภัยที่กำลังคุกคามเสรีนิยมตะวันตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าระบบทุนนิยม KGB ที่เกิดขึ้น มันอาจเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ระบบที่ควบคุมอย่างเข้มงวดและการคอร์รัปชั่นได้แทรกซึมไปทุก ๆ หนแห่งในสังคม

ทุกการตัดสินใจทางด้านการเมือง และทุกข้อตกลงทางธุรกิจ กลุ่มคนวงในที่รายรอบอยู่ใกล้ตัวผู้นำตัวอย่างเช่น Putin มีอำนาจเหนือนักธุรกิจเกือบทุกคน การใช้กฎหมายที่เป็นสองมาตรฐาน การต่อสู้เพื่อแย่งชิงความมั่งคั่งของประเทศโดยเฉพาะจากทรัพยากรหลักอย่างน้ำมัน ที่เปรียบเสมือนเครื่องจักรหล่อเลี้ยงให้ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้

เช่นเดียวกับในสมัยโซเวียต รัสเซียของ Putin กำลังมุ่งเน้นไปที่การดำเนินงานที่มีอิทธิพลและฟื้นฟูอิทธิพลของรัสเซียในต่างประเทศ ในขณะที่เริ่มละเลยที่จะพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ รัฐบาลของ Putin ใช้จ่ายเงินอย่างเปิดเผยมากยิ่งขึ้นในการแสดงอำนาจทางทหารในตะวันออกกลาง และสนับสนุนทางการเมืองสำหรับประเทศที่เป็นมิตร

ความท้าทายที่สำคัญของรัสเซียก็คือ เมื่อเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจใหม่ ซึ่งรอบหน้าจะเกิดขึ้นในปี 2024 ซึ่งเป็นการสิ้นสุดวาระที่สองติดต่อกันในฐานะประธานาธิบดีของ Putin ตั้งแต่ที่เขากลับมาในปี 2012 เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้เขาลงจากตำแหน่ง แม้จะมีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อต่ออำนาจของ Putin แต่สุดท้ายเมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็ต้องจากไปและทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้เบื้องหลัง

ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นว่าใครจะมาแทนที่เขา การต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อแย่งชิงอำนาจในหมู่ชนชั้นสูง มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากตระกูล Yeltsin ที่ไม่ได้มีความราบรื่นนัก และประเทศที่ผูกระบอบไว้กับคนก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงอีกครั้ง

แต่ก็ต้องบอกว่าโลกของเราผ่านการพัฒนามามากมายผ่านระบอบการปกครองมาหลายรูปแบบ ไล่มาตั้งแต่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในระยะแรกของการตั้งรัฐชาติในยุโรป ที่แต่ละรัฐต้องเผชิญกับปัญหาภายในทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีความจำเป็นต้องแก้ไขโดยผู้มีอำนาจอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้จึงเปิดโอกาสให้กษัตริย์มีอำนาจโดยสมบูรณ์ โดยอ้างว่ากษัตริย์ปกครองประเทศในรูปแบบผู้แทนโดยชอบธรรมของพระเจ้า

การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รุ่งเรืองมากในคริสตศตวรรษที่ 17 และเริ่มเสื่อมลงในคริสตศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการขยายตัวทางการค้าทำให้ชนชั้นกลางที่มั่งคั่งทางเศรษฐกิจแต่ไม่มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศได้เรียกร้องสิทธิทางการเมือง การปกครอง ผลการเรียกร้องดังกล่าวทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย

หรือแม้กระทั่งระบอบคอมมิวนิสต์ของโซเวียตที่ได้ล่มสลายไป เพราะไม่อาจต้านทานกระแสของโลกทุนนิยมจากฝั่งตะวันตกได้ จนเป็นที่มาของระบอบกึ่งทุนนิยมแต่อำนาจรวมศูนย์เหมือนที่รัสเซียและจีนกำลังทำอยู่ในตอนนี้

ซึ่งในอนาคต มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน อะไร ๆ มันก็เกิดขึ้นได้เมื่อระเบียบโลกต่าง ๆ ถึงเวลาเปลี่ยนไปตามกาลสมัย อาจจะเป็นโลกเสรีประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐอเมริกาและยุโรป หรือ อีกฝั่งอุดมการณ์อีกแบบหนึ่งที่นำโดยจีนและรัสเซีย ซึ่งสุดท้ายเวลาจะเป็นคำตอบของทุกสิ่งนั่นเองครับผม

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube