AI x Big Four เมื่อ PwC ทดลองแชทบอท ChatGPT เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานของทนายความ

สงครามของโลกธุรกิจยุคใหม่มันได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อการเกิดขึ้นของ ChatGPT แม้ในตอนนี้มันอาจจะไม่สมบูรณ์ 100% แต่หากธุรกิจใดเริ่มก่อน ก็สามารถที่ช่วงชิงความได้เปรียบก่อนอย่างแน่นอน

ในอุตสาหกรรม Consultant หรือ บริษัทตรวจสอบบัญชีก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT 4 เข้ามาช่วยเหลือพวกเขา โดยเฉพาะเกี่ยวกับงานด้านเอกสารต่าง ๆ

PricewaterhouseCoopers (PwC) ได้ประกาศการทดลองแชทบอทที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความเร็วการทำงานของทนายความ 4,000 คน ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดที่บริษัทผู้ให้บริการมืออาชีพต่างเร่งนำ AI มาใช้จริงในการดำเนินธุรกิจ

PwC ได้ทำสัญญา 12 เดือนกับสตาร์ทอัพที่มีชื่อว่า Harvey ซึ่งจะช่วยให้นักกฎหมายเข้าถึง AI ทางกฎหมาย ซึ่ง PwC กล่าวว่าจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้เร็วขึ้น เช่น การวิเคราะห์สัญญาและดำเนินการตรวจสอบสถานะต่าง ๆ ของคดีความ

บริษัท Big Four กล่าวว่ามีแผนที่จะหาวิธีใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการปฏิบัติงานด้านภาษีด้วยเช่นกัน

นับตั้งแต่เปิดตัว ChatGPT แชทบอท AI ที่พัฒนาโดย OpenAI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft ได้กระตุ้นความสนใจในศักยภาพของเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพ

ซอฟต์แวร์ของ Harvey สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดของ OpenAI นั่นคือ GPT-4 ซึ่งบริษัทกล่าวว่าดูเหมือนจะมีความสามารถในการให้เหตุผลทางกฎหมายที่ดีกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก

Carol Stubbings ผู้บริหารที่ดูแลด้านภาษีและกฎหมายระดับโลกของ PwC กล่าวว่า เทคโนโลยีดังกล่าว “ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในบริการด้านภาษีและกฎหมายทั่วทั้งอุตสาหกรรม”

บริษัทกล่าวว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเร่งการตัดสินใจโดยการสร้างคำตอบสำหรับคำถาม ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบและเพิ่มเข้าไปข้อมูลที่ได้รับมาเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ChatGPT สามารถวิเคราะห์ข้อความจำนวนมหาศาลและเขียนคำตอบที่น่าเชื่อถือสำหรับคำถามได้ จึงสามารถใช้สรุปสาระสำคัญจากชุดสัญญาต่างๆ ได้ และท้ายที่สุดเพื่อจัดทำรายงานการตรวจสอบสถานะเบื้องต้นตามคำแนะนำจากทนายความ

บริษัท Big Four กล่าวว่ามีแผนที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ของตนเองสำหรับลูกค้าด้านภาษีและกฎหมายโดยใช้แพลตฟอร์มของ Harvey

ไม่แทนที่แค่นำมาช่วยเหลือ

PwC จะไม่ใช้ AI เพื่อให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและจะไม่แทนที่นักกฎหมาย แน่นอนว่าการมองหาวิธีการใช้ AI ของอุตสาหกรรมบริการระดับมืออาชีพถือเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจในการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องสู่ระบบอัตโนมัติของงานที่มีลักษณะซ้ำซากจำเจ

ทั้งนี้ Bain & Co และ Boston Consulting Group กำลังทดลองใช้ OpenAI เช่นเดียวกัน รวมถึงบริษัทกฎหมาย Allen & Overy ที่มีการใช้ Harvey อยู่แล้ว และได้ออกมายืนยันว่าเทคโนโลยีนี้จะไม่แทนที่พนักงานคนใด พวกเขามองว่ามันจะช่วยลดต้นทุนของธุรกิจได้ในอนาคต

Robin AI ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Harvey กล่าวว่าได้ให้บริการแก่ที่ปรึกษา Big Four สองแห่งและสำนักงานกฎหมาย Clifford Chance ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์เพื่อตรวจสอบและแก้ไขสัญญา บริการของพวกเขาสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีที่พัฒนาโดย Anthropic บริษัทสตาร์ทอัพของสหรัฐฯ

“เป้าหมายคือทำให้งานที่มีปริมาณมากที่ซ้ำซากจำเจเป็นไปโดยอัตโนมัติซึ่งไม่ควรใช้มนุษย์มาทำสิ่งเหล่านี้” Richard Robinson ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Robin กล่าว

กลัวความลับรั่วไหล

แม้จะมีความสนใจอย่างกว้างขวาง แต่ที่ปรึกษาบางคนกังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาของข้อมูลและการรักษาความลับ

บริษัทด้าน Consultant ชื่อดังอย่าง Accenture ได้ห้ามไม่ให้พนักงานใช้ ChatGPT และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่คล้ายกัน โดยไม่ได้รับอนุญาต 

บริษัทซึ่งมีพนักงานมากกว่า 700,000 คน แจ้งพนักงานในอีเมล โดยได้มีการปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับการรักษาความลับและการใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน นอกจากนี้ยังกล่าวว่าบริษัทกำลังจัดตั้ง “centre of excellence” ด้าน AI เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าว

สำนักงานกฎหมายของเมือง Mishcon de Reya ได้บอกกับพนักงานว่าอย่าอัปโหลดข้อมูลลูกค้าไปยังเครื่องมือแชทบอทเหล่านี้ บริษัทกล่าวว่าทีมวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักกฎหมายบางคนกำลังหารือกันว่าบริษัทจะใช้เทคโนโลยีนี้ได้อย่างไร

บทสรุป

ลองจินตนาการสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสำหรับเหล่าพนักงานในองค์กรต่าง ๆ หากได้ใช้งาน ChatGPT อย่างจริงจัง แน่นอนว่ามันต้องมีข้อมูลความลับของบริษัทที่อาจจะรั่วไหลออกไปได้เป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับ ที่เราต้องไปค้นหาสิ่งต่าง ๆ ใน Google เราก็มักจะไม่ได้คำนึงถึงจุดเหล่านี้เช่นเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับองค์กรธุรกิจเป็นอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ดี แม้เทคโนโลยีจะยังไม่พร้อมสมบูรณ์แบบ 100% อย่างที่หลายๆ คนคาดหวัง แต่ธุรกิจไหนเริ่มต้นก่อน ก็มีโอกาสได้เปรียบก่อน และได้เห็นถึงศักยภาพมันได้ก่อนใคร ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุค AI First ในวันข้างหน้านั่นเองครับผม

References :
https://www.ft.com/content/463f8cc1-9feb-46ac-a14e-7826c87e2bf4
https://www.ft.com/content/baf68476-5b7e-4078-9b3e-ddfce710a6e2
https://techcrunch.com/2022/11/23/harvey-which-uses-ai-to-answer-legal-questions-lands-cash-from-openai/
https://rivaltimes.com/ai-reaches-the-big-four-4000-professionals-from-one-of-the-large-consultancies-receive-a-text-generator-similar-to-chatgpt-to-streamline-their-work/

Cyprus Moment x Silicon Valley Bank ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยเสมอไป  แต่มันจะเกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายๆกัน

Bitcoin ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในเดือนมีนาคม 2013 โดยพุ่งขึ้นถึง 178% เป็น 93 ดอลลาร์ในเดือนนั้น และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 265 ดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม 2013 ย้อนกลับไปในตอนนั้น มีรายงานของผู้ที่ถือครองเงินยูโรและรูเบิลรัสเซียที่เริ่มกระจายการลงทุนไปยัง bitcoin หลังจากเห็นการปิดตัวของธนาคารในไซปรัส

“เมื่อสิบปีที่แล้ว มีธนาคารแห่งหนึ่งในไซปรัสเต็มไปด้วยตู้เอทีเอ็มที่ว่างเปล่า เหตุการณ์นี้กระตุ้นราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นครั้งใหญ่ที่สุด (ในแง่เปอร์เซ็นต์) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 45 ดอลลาร์ เป็น 260 ดอลลาร์ ในหนึ่งเดือน Cumberland ยักษ์ใหญ่ด้านการซื้อขาย crypto ทวีตเมื่อต้นวันจันทร์ที่ผ่านมา

ความน่าสนใจก็คือการล่มสลายของ Silicon Valley Bank (SVB) อาจเป็นข่าวดีสำหรับ bitcoin (BTC) เฉกเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับวิกฤติไซปรัส

วิกฤตไซปรัส ในปี 2013 ที่ตอกย้ำข้อบกพร่องในระบบธนาคารแบบดั้งเดิม และทำให้เหล่าผู้คนเริ่มหันมามองไปที่ BTC ที่ต่อต้านการเข้ามาควบคุมสิ่งต่าง ๆ ของธนาคารกลาง

วิกฤตการณ์ที่ SVB เริ่มขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จาก 0.25% ไปที่ 4.75% ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อปราบเงินเฟ้อ และขณะเดียวกันก็เพิ่มต้นทุนทางการเงินด้วย

การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:9News)
การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:9News)

สิ่งนี้ส่งผลให้บริษัทที่ต้องใช้เงินลงทุนที่มาก และต้องเร่งขยายตลาด อย่าง Startup และธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ซึ่งเป็น “ลูกค้าหลัก” ธนาคาร Silicon Valley หรือธนาคาร SVB ประสบปัญหาทางการเงิน ระดมทุนลำบาก จึงเลือกถอนเงินฝากจากธนาคาร SVB จำนวนมาก

การเข้าถอนเงินของบริษัท Startup จำนวนมาก ทำให้ธนาคาร SVB ขาดสภาพคล่อง เพราะเงินสำรองของธนาคารจำนวนมากอยู่ใน “พันธบัตรระยะยาว” 

ดังนั้น “เพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระเงินฝากลูกค้า” ธนาคารจึงจำเป็นต้องขายขาดทุนพอร์ตพันธบัตรระยะยาวออกไป 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ รับรู้ขาดทุนจริงทันที 1.8 พันล้านดอลลาร์ และทำให้ขาดสภาพคล่อง

สิ่งที่ตามมาคือ Bank Run (การที่ผู้ฝากเงินเชื่อว่าธนาคารจะล้มละลาย เลยทำการถอนและปิดบัญชีเงินฝากเป็นจำนวนมาก) ผู้ฝาก SVB ต่างแเพื่อมาถอนเงิน โดยมีการถอนเงินฝากทั้งหมดถึง 42 พันล้านดอลลาร์ในวันพุธ ซึ่งเกือบ 25% ของฐานเงินฝากทั้งหมด 173 พันล้านดอลลาร์

Bank Run เกิดขึ้นเนื่องจากรูปแบบของ Fractional Banking ธนาคารต้องกันเงินที่ฝากไว้เป็นทุนสำรองเพียงบางส่วน ธนาคารใช้เงินฝากของลูกค้าเพื่อปล่อยสินเชื่อเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และให้ดอกเบี้ยเงินฝากของลูกค้า ซึ่งโดยปรกติระบบจะถือว่า ณ จุดใดก็ตาม จะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง

อย่างไรก็ตาม สมมติฐานดังกล่าวถูกทำลายเมื่อความเชื่อมั่นของลูกค้าหมดไป เช่นเดียวกับในกรณีของ SVB ซึ่งนำไปสู่การถอนเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการขาดแคลนสภาพคล่องของธนาคาร

หน่วยงานกำกับดูแลมักจะเข้ามาหลังจากเกิดเหตุการณ์ Bank Run ทำการยึดหรือควบคุมเงินฝาก ทางออกของวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในปี 2013 หน่วยงานกำกับดูแลได้เข้ามาจัดเก็บภาษี 15.6% กับผู้ฝากเงินที่มีฐานะร่ำรวย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเก็บภาษีจากบัญชีเงินฝากขนาดเล็ก

ในกรณีของ SVB หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐเข้าควบคุมเงินฝากและปิดธนาคารในวันศุกร์ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของ Biden ประกาศว่าผู้ฝาก SVB ทุกคนสามารถเข้าถึงเงินของตนได้ตั้งแต่วันจันทร์ 

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ Signature Bank (SBNY) ก็ถูกปิดไปเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสัญญาณของความตื่นตระหนกที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในภาคการธนาคาร

Signature Bank ที่ถูกปิดตามกันไป (CR:Reeuters)
Signature Bank ที่ถูกปิดตามกันไป (CR:Reuters)

แม้ว่ามาตรการที่ใช้เพื่อจัดการกับวิกฤต SVB จะไม่เข้มงวดเท่ากับมาตรการที่ใช้กับไซปรัส แต่มันได้ตอกย้ำประเด็นที่ว่าเงินของลูกค้าไม่ปลอดภัยในธนาคารที่มีการควบคุมอย่างที่เราเชื่อกัน 

ประเด็นนี้แตกต่างจาก bitcoin ในฐานะเครือข่ายแบบ peer-to-peer ที่กระจายอำนาจและสกุลเงินดิจิทัลที่มีการป้องกันการเข้ามายึดครองจากหน่วยงานใด ๆ ซึ่งเครือข่ายจะอำนวยความสะดวกในการดูแลเงินด้วยตนเอง

“Not your keys, not your coins” เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” Mike Fay ผู้เขียน Blockchain Reaction กล่าวถึงนักลงทุน การล่มสลายของ SVB และ Silvergate Capital และวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในปี 2013

“มันง่ายมากที่ผู้ฝากเงินจะรู้สึกสบายใจ แล้วมองอย่างโลกสวยว่าเหล่าสถาบันการเงินมีความปลอดภัยและได้รับการควบคุมอย่างดี แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าธนาคารสามารถทำการเดิมพันในสิ่งที่แย่ได้เช่นเดียวกัน” Fay กล่าวเสริม

และดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญเมื่อ Bitcoin มีราคาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 15% ตั้งแต่วันศุกร์ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนใกล้ 22,500 ดอลลาร์

“ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยเสมอไป  แต่มันจะเกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายๆกัน” Cumberland กล่าวเสริม

References :
https://corporatefinanceinstitute.com/resources/economics/fractional-banking/
https://www.coindesk.com/markets/2023/03/13/silicon-valley-bank-crisis-a-cyprus-moment-for-bitcoin-crypto-observers/
https://www.bangkokbiznews.com/finance/1057560
https://www.siamturakij.com/news/315-วิกฤติ-ไซปรัส-สะเทือนโลก-แผนสหภาพธนาคารยูโรสะดุด

เบื่อหน่ายกับการศึกษา เมื่อแนวโน้มนักเรียนมัธยมในอเมริกาเลือกที่จะไม่เรียนต่อในมหาลัยเพิ่มสูงขึ้น

“ทำไมผมถึงอยากลงเงินทั้งหมดเพื่อไปซื้อกระดาษสักแผ่นที่ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยจริงๆ” Grayson Hart ซึ่งเพิ่งจบการศึกษาระดับมัธยมปลายในเมืองแจ็กสัน รัฐเทนเนสซี ได้ให้ความเห็นกับอนาคตของชีวิตในมหาวิทยาลัยของเขา

หนึ่งปีหลังจบมัธยมปลาย Hart กำลังกำกับรายการละครเยาวชนในเมืองแจ็กสัน รัฐเทนเนสซี เขาได้รับคัดเลือกในทุกมหาวิทยาลัยที่เขาสมัครไป แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธมัน ค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยสำคัญ และการเรียนรู้ทางไกลหนึ่งปีในช่วงการแพร่ระบาดยังทำให้เขามีเวลาและความมั่นใจในการสร้างเส้นทางของตัวเอง

Hart เป็นหนึ่งในคนหนุ่มสาวหลายแสนคนที่โตขึ้นมาในช่วงที่มีการระบาดครั้งใหญ่และไม่เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย หลายคนหันไปหางานรายชั่วโมงหรืออาชีพที่ไม่ต้องการใบปริญญา ขณะที่อีกหลายคนถูกขวางกั้นด้วยค่าเล่าเรียนที่สูงเว่อร์จนเกินจริง

ในขณะที่สถิติการลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีทั่วประเทศลดลง 8% จากปี 2019 ถึง 2022 ตามข้อมูลจาก National Student Clearinghouse อัตราการเข้าเรียนต่อในวิทยาลัยที่ลดลงนั้น เป็นสถิติที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ อ้างอิงจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ

เหล่านักเรียนที่เพิ่งจบมัธยมคิดว่ามันไม่คุ้มเลยที่จะจมอยู่กับกองหนี้สินที่พวกเขาต้องกู้มาเพื่อส่งเสียตัวเองเรียน

ตามรายงาน ของ Associated Press นักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ในตอนแรกดูเหมือนเป็นแนวโน้มเพียงชั่วคราวของยุคการเรียนออนไลน์ในช่วงการแพร่ระบาดเท่านั้น แต่มันกลับดำเนินต่อไปหลังจากการกลับเข้ามาเรียนใน class แบบปรกติแล้วก็ตาม

ในขณะเดียวกันวิกฤตหนี้ของนักเรียนก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานในประเทศที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้น ทำให้แนวคิดในการเริ่มทำเงินทันทีหลังจากจบมัธยมปลายนั้นได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นเริ่มเชื่อว่าการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป หรือปริญญาแทบไม่ได้ให้คุณค่าหรือประโยชน์เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

ถึงกระนั้น ผู้ที่ส่งเสียงเตือนเกี่ยวกับความสนใจที่ลดลงในการลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัย ซึ่งลดลงถึง 8 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 2018 ถึง 2022 ตามข้อมูลจากสำนักงานแรงงานและสถิติของสหรัฐฯ ก็ไม่ผิดที่จะแนะนำว่าผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยน้อยลงอาจทำให้การขาดแคลนแรงงานเพิ่มมากขึ้น การขาดแคลนในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพและการศึกษา ซึ่งประสบปัญหาอยู่แล้วก่อนยุคโควิด จะมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น

“ความคิดนี้ค่อนข้างอันตรายต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจของประเทศเรา” Zack Mabel นักวิจัยจากจอร์จทาวน์ที่เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและเศรษฐศาสตร์กล่าว

ผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด อาจเป็นการส่งสัญญาณถึงคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีความเชื่อมั่นในคุณค่าของปริญญาบัตร ผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยที่น้อยลงอาจทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในสาขาต่าง ๆ ตั้งแต่การดูแลสุขภาพไปจนถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ

สำหรับผู้ที่ละทิ้งการเรียนในมหาวิทยาลัย มักหมายถึงรายได้ตลอดชีพที่ลดลง ซึ่งน้อยกว่าผู้ที่จบปริญญาตรีถึง 75% ตามข้อมูลของ Center on Education and the Workforce ของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และเมื่อเศรษฐกิจซบเซา ผู้ที่ไม่มีปริญญาก็มีแนวโน้มที่จะตกงานสูงกว่ามาก

สำหรับตัว Hart เขากำลังทำในสิ่งที่เขารักและช่วยเหลือชุมชนศิลปะที่กำลังเติบโตของเมือง ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับอนาคตของเขา งานของเขาจะมีรายได้เพียงพอในอนาคตหรือไม่ และเขาก็ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนสำหรับ 10 ปีข้างหน้า

“ผมกังวลเกี่ยวกับอนาคต” เขากล่าว “แต่ตอนนี้ผมกำลังพยายามเตือนตัวเองว่าผมทำได้ดีในจุดที่ผมอยู่ และผมจะทำมันต่อไปทีละขั้น”

References :
https://futurism.com/americans-skipping-college
https://apnews.com/article/skipping-college-student-loans-trade-jobs-efc1f6d6067ab770f6e512b3f7719cc0
https://www.wuwm.com/2022-10-17/the-wisconsin-coalition-on-student-debt-answers-student-loan-forgiveness-questions

ความเหี้ยมโหดในการปลดพนักงานของบริษัท Big Tech

Zac Bowling พนักงานของ Google รู้สึกตกใจตอนที่ไฟบนเครื่องอ่านบัตรด้านนอกสำนักงานในนิวยอร์กของเขากะพริบเป็นสีแดงแทนที่จะเป็นสีเขียว  สำหรับ Bowling ซึ่งมีประสบการณ์เกือบแปดปีกับ Google นั้น  กำลังพบว่าระบบกำลังดีดตัวออกจากอุปกรณ์ในการทำงานทั้งหมดของเขา

บริษัทเทคโนโลยีได้เลิกจ้างพนักงานหลายหมื่นคนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดขนาดทั่วทั้งอุตสาหกรรม ซึ่งผู้บริหารกล่าวโทษว่ามีการจ้างงานมากเกินไปในช่วงที่เกิดโรคระบาด 

โดยบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้จัดการกับมันได้อย่างน่าสยดสยองด้วยการแสดงความโหดเหี้ยม เช่นที่ Microsoft ซึ่ง  จัดคอนเสิร์ตส่วนตัวของวง Sting ที่ดาวอสให้กับเหล่าผู้บริหารในคืนก่อนที่จะไล่คนออกกว่า 10,000 คน

สำหรับพนักงานที่ Twitter (X) พวกเขารู้ตัวเมื่อตอนที่พวกเขาถูกเปลี่ยนรหัสผ่านจากระยะไกลและหน้าจอแสดงสีเทาที่ผิดปกติซึ่งแสดงว่า MacBook ของบริษัทกำลังถูกล็อค

ความเหลื่อมล้ำระหว่างการใช้จ่ายที่สูงของ Big Tech และวิธีการที่โหดเหี้ยมในการเลิกจ้างพนักงานทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาในฐานะนายจ้างที่ดีเสื่อมเสียไปอย่างมาก และเตือนพนักงานว่าความสำคัญของพวกเขานั้นด้อยกว่าความต้องการของผู้ถือหุ้นเสมอ

“การได้รู้ผ่านทางอีเมลหรือการถูกปิดการเข้าระบบแบบอัตโนมัติเพื่อแจ้งให้ทราบว่าคุณกำลังตกงานนั้นเป็นเรื่องที่โหดร้าย และไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น” Gemma Dale อาจารย์ประจำ Liverpool Business School และผู้แต่งหนังสือหลายเล่มกล่าว  “มันขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่องค์กรเหล่านี้พูดถึงว่าพวกเขาให้คุณค่ากับคนของพวกเขามากแค่ไหน” 

ในที่สุด Bowling ก็รู้ว่าเขาถูก Google คัดออกทางอีเมล 2 ชั่วโมงหลังจากที่เขาออกจากระบบงานทั้งหมดของเขาในเช้าวันที่ 20 มกราคม ผู้จัดการของเขาต้องใช้ LinkedIn เพื่อติดต่อเขาเพื่อขอโทษ เพราะเขาเข้าถึง Google Meet และเครื่องมือสื่อสารภายในบริษัทอื่นๆ ไม่ได้เลย

เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง Bowling ได้รับนามบัตรชุดใหม่ที่ผลิตในเดือนธันวาคม คาดหวังว่าจะได้รับคำวิจารณ์ในเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน แต่กลับได้รับเงื่อนไขการเลิกจ้างแทน “มันทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน” Bowling กล่าว 

คนที่ยังอยู่ที่บริษัทไม่แน่ใจว่าจะกลายเป็นเหยื่อคนต่อไปหรือไม่ Bowling กล่าวว่าพนักงานที่ยังสามารถเข้าถึงระบบของบริษัทได้บอกเขาว่า 8,000 รายชื่อได้อันตรธานหายไปจากรายชื่อพนักงาน แต่ Google ได้กล่าวว่าจะปลดพนักงาน 12,000 คนทั่วโลก “ทุกคนกล่าวคำอำลาเผื่อไว้ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า” Bowling กล่าว “มันทำลายขวัญกำลังใจ มันถูกจัดการอย่างโหดร้ายทารุณ”

การปลดพนักงานดูเหมือนจะสร้างความประหลาดใจให้กับพนักงานในบริษัท Big Tech หลายแห่ง ซึ่งความล้มเหลวในการสื่อสารได้เพิ่มความเจ็บปวดให้กับผู้ที่ตกงาน

ที่ Salesforce พนักงาน 8,000 คนถูกปลดออกจากงานในเดือนมกราคม แต่มีรายงานว่า Mark Benioff ซีอีโอได้เลี่ยง คำถามในที่ประชุมเพื่อที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว 

Bowling กล่าวว่าตอนนี้เพื่อนร่วมงาน Google ของเขาก็ไม่พอใจที่พวกเขาไม่สามารถถามคำถามผู้บริหารที่ปล่อยให้พวกเขาต้องตกงาน ในบางบริษัท โดยเฉพาะ Twitter (X) ซึ่ง Elon Musk ได้ลดจำนวนพนักงานลงทั้งทีมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลดจำนวนพนักงานลง 50 เปอร์เซ็นต์ การไล่ออกดูเหมือนไม่มีเหตุผล

“มันเป็นเรื่องน่าอายสำหรับตัวฉันเองที่จะต้องอธิบายให้เพื่อนๆ และสมาชิกในครอบครัวฟังว่าทำไมฉันถึงถูกไล่ออก” อดีตพนักงาน Meta คนหนึ่งกล่าว ซึ่งถูกไล่ออกเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของการปลดพนักงานของบริษัทเมื่อปลายปี 2023 และขอไม่เปิดเผยตัวตนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่องานในอนาคตของเธอ 

มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องที่เกิดขึ้นแบบกะทันหันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการลดทอนความเป็นมนุษย์ของการประกาศเหล่านี้ด้วย ซึ่งทำให้พนักงานที่ถูกไล่ออก เมื่ออีเมลมาถึง เนื้อหาในอีเมลที่บอก Bowling ว่าเขาถูกเลิกจ้างจาก Google นั้น “ถูกต้องตามกฎหมาย” และได้รับการลงนามโดยรองประธานของบริษัทโดยไม่มีคำกล่าวใด ๆ

“ไม่จริงใจ ไม่ขอโทษ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น” เขากล่าว “มันถูกเขียนโดยทนายความ เป็นภาษาที่ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่มีความผิดโดยนัยหรืออะไรอยู่ในนั้นเลย” 

บริษัทได้ปฏิบัติต่อพนักงานเป็นอย่างดีในอดีต แม้ว่าพวกเขาจะถูกปลดออกไปในภายหลังก็ตาม ตามข้อมูลของ Bowling “การเลิกจ้างครั้งนี้แตกต่างอย่างมากจากวัฒนธรรมของการที่ผู้คนลาออกจากบริษัทด้วยตัวของพวกเขาเอง” เขากล่าว

แต่สำหรับ Susan Schurman ศาสตราจารย์ด้านแรงงานศึกษาและการจ้างงานสัมพันธ์ที่ Rutgers University กล่าวว่า ช่องว่างระหว่างภาพลักษณ์ที่ดูดีของบริษัทเทคโนโลยีกับวิธีการที่พวกเขาปฏิบัติจริงนั้นมีอยู่มากโข

“คงจะยุติธรรมที่จะบอกว่าฉันตกใจแต่ไม่แปลกใจ” Schurman กล่าว “ฉันโตพอที่จะเข้าใจรูปแบบองค์กรแห่งศตวรรษที่ 20 ซึ่งคุณอาจพูดได้ว่าคนงานถูกมองว่าเปรียบเสมือนสินค้าที่ดูสิ้นเปลือง”

ทัศนคติต่อพนักงานก็แย่ลงเช่นกันในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ ตามคำกล่าวของ Cary Cooper ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาองค์กรที่ University of Manchester Business School 

การทำงานจากระยะไกลทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างผู้จัดการและพนักงานมากขึ้น “มีการติดต่อแบบเห็นหน้ากันน้อยลง และการสื่อสารของพวกเขาก็ผ่านรูปแบบ Online มากขึ้น” เขากล่าว “นั่นอาจสร้างสถานการณ์ที่คุณไม่พัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพนักงานของคุณ หากคุณเป็นผู้จัดการในสายงานนั้น ๆ”

พนักงานด้านเทคโนโลยีบางคนบอกว่าพวกเขารู้แล้วว่าบริษัทเทคโนโลยีไม่จำเป็นต้องตอบแทนความภักดีเสมอไป

“พูดตามตรง เมื่อสองสามปีก่อน ฉันเริ่มเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับบริษัทที่ฉันทำงานให้” Alejandra Hernandez ผู้จัดการโปรแกรมการสรรหาบุคลากรของ Meta กล่าว ซึ่งถูกเลิกจ้างในเดือนพฤศจิกายนหลังจากทำงานให้กับบริษัทเป็นเวลาหนึ่งปี 

“ฉันมองว่า: ‘นี่คือธุรกิจ คุณจ้างฉันมาทำงานบางอย่าง’” Hernandez ชี้ให้เห็นว่าการทำงานในแคลิฟอร์เนียหมายความว่าเธอได้รับการว่าจ้างตามความสามารถของเธอ และเช่นเดียวกันก็ถูกเลิกจ้างได้ทุกเมื่อ ซึ่งช่วยเปลี่ยนความคิดของเธอในเรื่องเหล่านี้ใหม่

Hernandez ไม่เสียใจมากนักที่เธอและเพื่อนร่วมงานถูกเลิกจ้างทางอีเมล “ฉันยอมที่จะถูกส่งอีเมลมากกว่าให้ใครพยายามกลั่นแกล้งฉันผ่านทาง Zoom และพยายามบีบฉันให้ออกไป” เธอกล่าว

แม้กระทั่งสำหรับผู้ที่รอดพ้นจากการปลดพนักงานล็อตใหญ่ สถานการณ์ที่ผ่านมาเป็นเครื่องเตือนใจอย่างชัดเจนว่าความเป็นอยู่ที่ดีเลิศของพวกเขามันไม่มีอะไรแน่นอน และเมื่อถึงเวลาที่ยากลำบากตำแหน่งงานของพวกเขาก็มีโอกาสสั่งคลอนเสมอ

“เราทุกคนหลงคิดว่าบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ปฏิบัติต่อพนักงานอย่างเลิศหรู” Schurman กล่าว “แต่ฉันคิดว่ามันเป็นไปได้ในช่วงเวลาระยะหนึ่งเพียงเท่านั้น และทันทีที่พบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากขึ้น : ทุกบริษัทก็ต้องเผชิญหน้ากับโลกแห่งความจริง”

References :
https://www.businessinsider.com/google-employees-realized-laid-off-after-office-badges-didnt-work-2023-1
https://www.wsj.com/livecoverage/davos2023/card/microsoft-hosted-sting-performance-in-davos-on-night-before-it-announced-layoffs-cRHO4k295pSWarvtfQRJ
https://www.wired.com/story/google-meta-big-tech-is-bad-at-firing
https://www.theinformation.com/articles/at-google-meta-and-other-tech-companies-the-layoffs-are-streaming-live-on-tiktok

ทำไมเกาหลีใต้ถึงให้อภัยผู้นำที่ทุจริตคอรัปชั่น?

Lee Myung-bak ประธานาธิบดีฝ่ายอนุรักษ์นิยมของเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2013 ได้รับการอภัยโทษจาก Yoon Suk-yeol ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน Lee ได้รับโทษเพียงสองปีหลังจากถูกตัดสินจำคุก 17 ปีในปี 2020 ข้อหาติดสินบนและคอร์รัปชัน

เขาเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนที่สี่ที่ได้รับการอภัยโทษตั้งแต่ประเทศเริ่มมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในปี 1987

ต้องบอกว่ามีประธานาธิบดีที่ทุจริตมากมายทั่วโลก แต่สิ่งที่มักไม่ค่อยพบเจอก็คือ การที่พวกเขาถูกนำมารับการพิจารณาคดี ถูกตัดสินลงโทษ และได้รับการอภัยโทษจากผู้สืบทอดตำแหน่งของตัวเขาเอง 

เหตุใดจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งในเกาหลีใต้ ต้องบอกว่าการให้อภัยโทษมีบทบาทต่อระบบกฎหมายสมัยใหม่ส่วนใหญ่ ในหลายประเทศ รวมทั้งฝรั่งเศส ตุรกี และสวิตเซอร์แลนด์ โดยอำนาจในการอภัยโทษขึ้นอยู่กับสภานิติบัญญัติเป็นส่วนใหญ่  แต่ก็มีในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ที่รัฐบาลสามารถผ่อนผันได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานยุติธรรมอย่างศาลฎีกาเพียงเท่านั้น 

ประธานาธิบดีอเมริกัน โดยเฉพาะ Donald Trump บางครั้งถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจในการอภัยโทษในทางที่ผิด แต่มีระบอบประชาธิปไตยเพียงไม่กี่แห่งที่ใช้การอภัยโทษเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในแบบที่เกาหลีใต้ทำ

วัฏจักรนี้เริ่มต้นด้วย Chun Doo-hwan ผู้นำเผด็จการทหารคนสุดท้าย และ Roh Tae-woo พันธมิตรของ Chun ที่กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกหลังระบอบประชาธิปไตย ทั้งคู่ถูกตัดสินจำคุกในปี 1996 ในข้อหารับสินบน การทำรัฐประหารในปี 1979 และมีบทบาทในการสังหารหมู่ผู้ประท้วงที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 1980 พวกเขาได้รับการปล่อยตัวในปีต่อมา 

 Chun Doo-hwan ผู้นำเผด็จการทหารคนสุดท้าย และ Roh Tae-woo พันธมิตรของเขา (CR:DW)
 Chun Doo-hwan ผู้นำเผด็จการทหารคนสุดท้าย และ Roh Tae-woo พันธมิตรของเขา (CR:DW)

Park Geun-hye ผู้สืบทอดตำแหน่งของ Lee Myung-bak ถูกตัดสินจำคุกในปี 2018 ฐานรับสินบนและใช้อำนาจโดยมิชอบ ก่อนได้รับการอภัยโทษจาก Moon Jae-in ผู้สืบทอดตำแหน่งจากพรรคเสรีนิยมในเดือนธันวาคม 2021

วัฒนธรรมแปลก ๆ แบบนี้ของเกาหลีใต้ต้องเรียกได้ว่ามีอายุยืนยาวกว่าระบอบเผด็จการที่สร้างรูปแบบดังกล่าวนี้ขึ้นมา การเมืองของประเทศกลายมาเป็นเกมที่ต้องแลกมาด้วยเลือด ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไมผู้กระทำผิดส่วนใหญ่ถึงถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่มีประธานาธิบดีคนใดลังเลที่จะใช้สำนักงานตำรวจและสำนักงานอัยการเพื่อสอบสวนคู่แข่งทางการเมืองของตน 

เหตุใดผู้ต้องโทษจึงได้รับการอภัยโทษจึงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย ทั้งสี่กรณีผู้ที่ให้อภัยโทษกับอดีตประธานาธิบดีที่กระทำผิด อ้างถึงความจำเป็นในการสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ รวมถึงเรื่องปัญหาสุขภาพของนักโทษ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการอภัยโทษใด ๆ ที่เป็นเรื่องของความเห็นพ้องต้องกันของประชาชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

การให้อภัยโทษของอดีตประธานาธิบดี Chun และ Roh นำไปสู่การปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจปราบจลาจลในปี 1997 ส่วนกรณีของ Park Geun-hye และ Lee Myung-bak ความคิดของประชาชนมีความแตกแยกเป็นอย่างมากว่าควรอภัยโทษให้ทั้งสองหรือไม่ 

Park Geun-hye และ Lee Myung-bak ความคิดของประชาชนมีความแตกแยกเป็นอย่างมากว่าควรอภัยโทษให้ทั้งสองหรือไม่  (CR:Korean Times)
Park Geun-hye และ Lee Myung-bak ความคิดของประชาชนมีความแตกแยกเป็นอย่างมากว่าควรอภัยโทษให้ทั้งสองหรือไม่  (CR:Korean Times)

การสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำขึ้นในเดือนธันวาคม 2022 ก่อนที่ Lee จะได้รับอิสรภาพ พบว่าชาวเกาหลีใต้ 53% เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ แต่อีก 39% ไม่เห็นด้วย

การให้อภัยโทษอาจเกี่ยวกับการรักษาฐานอำนาจของตนเอง ในฐานะประธานาธิบดีสามารถคาดหวังได้ว่าผู้ที่จะมาสืบทอดเขาอาจจะเข้ามาตรวจสอบเมื่อตนเองต้องถึงเวลาต้องออกจากตำแหน่ง ทำไม ถึงไม่แสดงความเมตตากรุณาเป็นแบบอย่าง และหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติที่ดีในภายหลังเช่นกัน ในกรณีอื่นๆ อาจเป็นช่องทางหนึ่งในการปิดปากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 

การอภัยโทษของ Park มีขึ้นหลายเดือนก่อนการเลือกตั้ง ประธานาธิบดี Moon Jae-in อาจคำนวณว่าถ้าเธอตายในคุก นั่นจะทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเขาเสียหาย

การให้อภัยโทษมักได้รับแรงบันดาลใจจากพลวัตทางอำนาจภายในกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองเช่นกัน นักการเมืองที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดมักจะมีพันธมิตรที่มีอำนาจอยู่ในรัฐสภา ซึ่งสามารถสนับสนุนการให้มีการอภัยโทษได้ เห็นได้ชัดว่าประธานาธิบดี Yoon Suk-yeol เป็นแฟนตัวยงของ Lee Myung-bak อดีตประธานาธิบดีที่เขาเป็นคนให้อภัยโทษ 

Yoon Suk-yeol เป็นแฟนตัวยงของ Lee Myung-bak อดีตประธานาธิบดีที่เขาเป็นคนให้อภัยโทษ  (CR:Anadolu Agency)
Yoon Suk-yeol ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ที่เป็นแฟนตัวยงของ Lee Myung-bak อดีตประธานาธิบดีที่เขาเป็นคนให้อภัยโทษ  (CR:Anadolu Agency)

เขาได้สร้างทีมบริหารของเขาด้วยลูกน้องของ Lee Myung-bak เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และได้นำนโยบายที่คล้ายคลึงกันหลายอย่างมาใช้ 

ประธานาธิบดี Yoon Suk-yeol ซึ่งเป็นนักการเมืองใหม่และเป็นคนนอกก็หวังที่จะทำให้การเข้าสู่ชนชั้นสูงนี้มีความราบรื่นในระยะยาว Yoon ยังคงวาดภาพตัวเองว่าเป็นผู้ทำสงครามเพื่อความยุติธรรม แต่การตัดสินใจปล่อยตัวผู้กระทำผิดอาจเป็นการเปิดบาดแผลให้กับตัวเขาเอง 

ความเชื่อมั่นของประชานต่ออดีตประธานาธิบดีและผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกเขาเป็นช่วงเวลาสำคัญแห่งประวัติศาสตร์สำหรับประชาธิปไตยของเกาหลีใต้ ซึ่งท้ายที่สุดการเพิกเฉยต่อคำตัดสินที่มีความผิดร้ายแรงเหล่านี้อาจจะกลายเป็นสิ่งบั่นทอนศรัทธาของประชาชนและสถาบันหลักของประเทศได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/the-economist-explains/2023/01/06/why-does-south-korea-pardon-its-corrupt-leaders
https://www.aljazeera.com/economy/2022/12/27/south-koreas-jailed-ex-president-lee-gets-presidential-pardon
https://www.reuters.com/world/asia-pacific/south-koreas-former-president-lee-granted-special-pardon-2022-12-27/