ต้องบอกว่าคำว่า “ชาตินิยม” เป็นแรงผลักดันส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศหลายๆ ประเทศเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีเคสตัวอย่างมากมายที่ความเป็นชาตินิยมของคนในชาติผลักดันให้ประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลาอันสั้น ตัวอย่างเช่น จีน เกาหลีใต้ หรือ เวียดนามที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของเรา
แล้วถามว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นหากชาติใด ไม่มีเทคโนโลยีที่กำลังมีบทบาทมาก ๆ อย่าง AI โดยเฉพาะ Large Language Model (LLM) ที่กำลังกลายเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ มันเป็นคำถามที่น่าสนใจ
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อาบูดาบีได้เปิดตัวบริษัท AI71 ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้าน AI แห่งใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และสร้างผลิตภัณฑ์อย่าง “Falcon” ซึ่งเป็นเทคโนโลยี LLM คล้ายๆ กับ ChatGPT
ในฝรั่งเศส Mistral บริษัทที่สร้างโมเดล LLM ของฝรั่งเศสที่เพิ่งก่อตั้งบริษัทมาได้ 7 เดือนได้ประกาศระดมทุนรอบล่าสุดมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผลักดันให้บริษัทมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ ที่แม้กระทั่งประธานาธิบดี Emmanuel Macron ของฝรั่งเศสก็ยังได้ออกมากล่าวถึง ChatGPT และเทคโนโลยี LLM อื่น ๆ ที่เน้นภาษาอังกฤษเป็นหลักคงไม่สามารถเข้าใจวัฒนธรรม ภาษา และจริยธรรมของประเทศเราได้
Krutrim สตาร์ทอัพรายใหม่ของอินเดีย ได้เปิดตัวเทคโนโลยี LLM ตัวแรกของอินเดีย และ Sarvam บริษัทที่เพิ่งเปิดมาได้เพียง 5 เดือน สามารถระดมทุนได้ 41 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโมเดลภาษาอินเดียที่คล้ายคลึงกัน
และหากติดตามข่าวแวดวงเทคโนโลยีโดยเฉพาะเรื่อง AI เราจะเห็นได้ว่า ทุก ๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศขนาดใหญ่ มองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีนี้เหมือนกัน และแน่นอนว่าพวกเขาคงไม่อยากตกเป็นเมืองขึ้นของ Silicon Valley อีกครั้งเป็นแน่แท้
ต้องบอกว่า AI ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่เข้มข้นระหว่างอเมริกาและจีน ในปีที่ผ่านมาเพียงแค่สองประเทศนี้ก็ลงทุนในเทคโนโลยี AI ไปกว่า 40,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และแน่นอนว่าประเทศอื่น ๆ ก็คงไม่อยากถูกทิ้งไว้เพียงเบื้องหลัง
ในปีที่ผ่านมารัฐบาลที่มีความทะเยอทะยานด้าน AI อีก 6 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะสนับสนุนเทคโนโลยี AI โดยอัดเม็ดเงินลงทุนกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในอเมริกาโดยเฉพาะแถบ Silicon Valley พวกเขาได้กลิ่นของผลประโยชน์อันมหาศาลของเทคโนโลยีนี้ก่อนใคร แทบไม่ต้องมีการสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกาเลยด้วยซ้ำ
รัฐบาลใช้เงินไปกับนโยบายด้านอื่นๆ โดยทุ่มเงินกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตชิปภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาโดยเฉพาะ TSMC จากไต้หวัน ซึ่งสถานการณ์ยังไม่มีความแน่นอน หากจีนตัดสินใจที่จะบุกเกาะแห่งนี้ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของพวกเขา
อีกวิธีหนึ่งที่โหดเหี้ยมมาก ๆ ของอเมริกาก็คือ การออกกฎหมายควบคุมการส่งออก โดยห้ามการขายเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัยรวมถึงชิปและอุปกรณ์การผลิตชิปให้กับศัตรูคู่อาฆาตอย่างจีนและรัสเซีย นอกจากนี้ยังสั่งห้ามชาวอเมริกาแบ่งปัน knowledge ความเชี่ยวชาญด้าน AI กับประเทศเหล่านี้ด้วย
ฝั่งจีนก็อย่าคิดว่าโดนแค่นี้พวกเขาจะยอมง่าย ๆ เพราะพวกเขาผลิตได้สากเบือยันเรือรบอยู่แล้ว แม้จะเริ่มต้นช้ากว่าทางฝั่งอเมริกา แต่รัฐบาลจีนได้ทุ่มเททรัพยากรมหาศาลโดยใช้เงินเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานชิปขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ในดินแดนของพวกเขาเองโดยไม่พึ่งอเมริกาอีกต่อไป
และเพียงแค่ข่าวที่ Huawei บริษัทโทรคมนาคมชั้นนำจากจีนสามารถผลิตชิปในระดับ 7 นาโนเมตรได้ในปีที่แล้ว กลายเป็นข่าวใหญ่ช็อกโลก ซึ่งอเมริกาคงจินตนาการไม่ออกว่าทำไมจีนถึงพัฒนามันได้เร็วเพียงนี้ และหากมีการพัฒนาในอัตราเร่งแบบนี้และทางรัฐบาลเห็นเป็นวาระแห่งชาติ เราอาจจะได้เห็นเทคโนโลยีชิปของจีนแซงหน้าอเมริกาในเร็ววันนี้ก็เป็นได้
หน่วยงานกลางและท้องถิ่นของจีนได้อัดเม็ดเงินลงทุนไปยังบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีทางด้าน AI ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “guidance funds” ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งกระจายการลงทุนไปเกือบ 2,000 บริษัททั่วประเทศในเทคโนโลยีทุกรูปแบบที่ถือว่ามีความสำคัญเชิงกลยุทธ์
พรรคคอมมิวนิสต์กำลังมองเห็นความสำคัญของเทคโนโลยี AI เป็นอย่างมาก และเริ่มหันมาโฟกัสช่วยเหลือบริษัทขนาดเล็ก นโยบายการปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่กลายเป็นประเด็นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กสามารถแข่งขันได้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีข้อมูลขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถที่พัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้เท่านั้น
ความน่าสนใจก็คือ การเข้ามาแทรกแซงโดยรัฐแบบเดียวกับที่จีนทำนั้น กำลังถูกเลียนแบบในส่วนอื่น ๆ ของโลกเช่นเดียวกัน เช่น ในอ่าวเปอร์เซีย และด้วยการที่เป็นระบอบที่ไม่ต่างจากเผด็จการ ทำให้ซาอุดิอาระเบีย หรือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สามารถผลักดันเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ได้ดีกว่าประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่
เพราะการมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย อาจต้องคำนึงถึงความกังวลของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ในด้านต่างๆ เช่น ความเป็นส่วนตัว หรือเรื่องการที่ AI จะเข้ามาแย่งงาน ซึ่งหากประเทศไทยเราเองหันมาสนใจเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง ป่านนี้เราคงได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ถกเถียงกันในสภาบ้างแล้ว
ซึ่งด้วยเงินทุนมหาศาลโดยเฉพาะจากน้ำมัน นั่นทำให้รัฐจากอ่าวเปอร์เซียมีเงินเหลือเฟือ ซื้อแม้กระทั่งทรัพยากรบุคคลจากมหาวิทยาลัยดัง ๆ จากทั่วโลก
โครงการ AI ที่ King Abdullah University of Science and Technology ในซาอุดิอาระเบีย และ Mohamed bin Zayed University of Artificial Intelligence (MBZUAI) ในอาบูดาบี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นด้าน AI แห่งแรกของโลก ได้ช่วงชิงอาจารย์ระดับแนวหน้าจากสถาบันที่มีชื่อเสียง เช่น University of California,Berkeley และ Carnegie Mellon
แนวทางของประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียเรียกได้ว่ากำลังเห็นผลลัพธ์ออกมาอย่างชัดเจน ความสามารถของโมเดล Falcon ซึ่งสร้างครั้งแรกโดยทีมวิศวกรประมาณ 20 คน สามารถแข่งขันได้กับโมเดล Llama 2 ซึ่งเป็นโมเดล Open Soruce ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและคิดค้นโดย Meta
AI71 วางแผนที่จะปรับปรุงโมเดล Open Source โดยใช้ชุดข้อมูลระดับชาติจากสาขาต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การศึกษา และที่สำคัญที่สุดคือน้ำมัน ซึ่งในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา น้ำมันขับเคลื่อนประเทศพวกเขาเหล่านี้ แต่ในยุคหน้าข้อมูลจะเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศของพวกเขาในยุคถัดไป
รัฐบาลอีกกลุ่มหนึ่งใช้วิธีผสมผสานแนวทางของทั้งอเมริกาและจีน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฝั่งสหภาพยุโรป ตัวอย่างเช่น เยอรมนีผลักดันเม็ดเงินลงทุน 33,000 ล้านดอลลาร์สำหรับโรงงานชิปแห่งใหม่ที่จะสร้างขึ้นโดย Intel บริษัทผลิตชิปสัญชาตอเมริกัน
สหราชอาณาจักรเตรียมลงทุน 1.3 พันล้านดอลลาร์ เป็นเวลา 5 ปีให้กับ AI และ Super Computer และกำลังพิจารณาที่จะอนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ เข้าถึงข้อมูลจำนวนมากที่เป็นบริการสุขภาพแห่งชาติ
รัฐบาลอินเดียกำลังส่งเสริมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยสนับสนุนให้เหล่าผู้ให้บริการ Clound Computing รายใหญ่สร้างศูนย์ข้อมูลในอินเดียเพิ่มเติม ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการอบรมโมเดลด้าน AI ซึ่งอินเดียมีข้อมูลมหาศาลจากบริการสาธารณะดิจิทัลต่าง ๆ ที่เรียกว่า “India Stack” ซึ่งพวกเขาหวังว่าในท้ายที่สุดจะรวมโมเดล AI ของอินเดียเข้ากับบริการดิจิทัลเหล่านี้ในท้ายที่สุด
แน่นอนว่าแนวทางแต่ละแบบนั้นมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน การควบคุมแบบเบ็ดเสร็จเหมือนจีนนั้นคงทำได้ยากในประเทศอื่น ๆ ในโลกเสรีประชาธิปไตยประชาชนต้องมีส่วนร่วมและกฎหมายต่างๆ ก็ต้องมีการถกเถียงกันเพื่อควบคุมเทคโนโลยีเหล่านี้
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเทศต่าง ๆ จะต้องการควบคุมสิ่งที่สุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นเทคโนโลยีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เฉกเช่น AI
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนที่ค่อนข้างมีความอ่อนไหวและมีการควบคุมอย่างเข้มงวด เช่น ข้อมูลด้านการเงิน ข้อมูลด้านสุขภาพ รัฐบาลจำนวนมากก็ไม่ต้องการพึ่งพา AI ที่มาจากชาติอื่น เพราะมันเป็นหนึ่งในความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติเช่นเดียวกัน
การมอบข้อมูลที่ละเอียดอ่อนแก่บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะจากต่างชาติ ในเรื่องที่มีความอ่อนไหว เช่น ข้อมูลสุขภาพของพลเมืองในประเทศ อาจจุดชนวนกระแสต่อต้านในพื้นที่สาธารณะ แม้แต่ประเทศที่ปกครองโดยระบบเผด็จการก็ตามที
ดูเหมือนว่าทุกประเทศที่มองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ กำลังปกป้องข้อมูลชาติตัวเองกันอย่างเต็มที่ แม้จะต้องทุ่มเทงบประมาณมหาศาลเพื่อแข่งขันกับขาใหญ่จาก Silicon Valley ก็ตาม แต่มันเป็นเหมือนความจำเป็นที่พวกเขาต้องทำ
แต่คำถามที่สำคัญก็คือ แล้วประเทศไทยเราล่ะกำลังอยู่ส่วนไหนของการแข่งขันด้าน AI Race ในครั้งนี้?