Onitsuka Tiger กับไอเดียรองเท้าเปลี่ยนโลกที่มาจากหนวดปลาหมึก

ผลพวงของสงครามโลกครั้งที่สองเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น ที่ถูกยึดครองโดยกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตร ถูกบังคับให้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยและปิดฉากในฐานะจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่อย่างเป็นทางการ

ประเทศเกาะที่สันโดษก่อนหน้านี้ได้เปิดออกสู่โลก และในทางกลับกัน ก็เริ่มมีการส่งออกวัฒนธรรมของตนอย่างหนักกว่าที่เคยเป็นมา 

ในปี 1949 ห้าปีหลังจากสิ้นสุดสงคราม อดีตนักค้าเหล้าเถื่อนชื่อ Kihachiro Onitsuka มองเห็นโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากความหลงใหลในกีฬาของอเมริกาที่เพิ่งค้นพบใหม่ของประเทศ และเห็นได้ชัดว่าเพื่อนำชุมชนที่มีปัญหามารวมกันใหม่ โดยการสร้างรองเท้าที่ดีที่สุดสำหรับนักกีฬา 

ความพยายามในช่วงแรกของเขากลายเป็นหายนะ คล้ายกับรองเท้าแตะฟางมากกว่ารองเท้าที่ใช้งานได้จริง และคงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่เขาจะพบเคล็ดลับในการสร้างรองเท้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะการต่อสู้โดยธรรมชาติ 

ขณะเพลิดเพลินกับสลัดปลาหมึก Kihachiro Onitsuka ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของพื้น Outsole จากหนวดปลาหมึกที่ติดอยู่ก้นชามของสลัดที่เขากำลังทาน มันเหมือนเป็นสูตรลับเฉพาะที่นำมาสู่พื้นรองเท้าอันเป็นเอกลักษณ์ด้วย Pattern ลายวงกลมคล้ายหนวดปลาหมึกนั่นเอง

Kihachiro Onitsuka ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของพื้น Outsole จากหนวดปลาหมึก
Kihachiro Onitsuka ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของพื้น Outsole จากหนวดปลาหมึก

Onitsuka ตระหนักว่ากลไกการดูดแบบเดียวกันและการออกแบบที่เว้านั้น สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของนักบาสเกตบอลที่ต้องการหยุดและเปลี่ยนทิศทางได้ทันที ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก 

ไอเดียที่เปลี่ยนโฉมหน้าของกีฬาและการตลาดไปตลอดกาล

นั่นเองที่มันจะก่อให้เกิดบริษัทกีฬาที่ใหญ่ที่สุดสองแห่ง ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมหน้าของกีฬาและการตลาดไปตลอดกาล 

Onitsuka Tiger เป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยม กลายเป็นรองเท้าที่ได้รับเลือกอย่างรวดเร็วสำหรับวงการบาสเก็ตบอลระดับไฮสคูลที่กำลังเติบโตในญี่ปุ่น

Kihachiro Onitsuka เริ่มมองหาโอกาสอื่นๆ ในวงการกีฬา ในปี 1959 แรงบันดาลใจเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เมื่อ Onitsuka นั่งอยู่ในอ่างและกำลังพิจารณารอยย่นที่นิ้วเท้า เขาให้เหตุผลว่าความร้อนต้องเป็นสาเหตุหลักของแผลพุพองที่เท้าของนักวิ่งระยะไกล 

คำตอบ? คือหลุม สองปีต่อมา ในปี 1961 Abebe Bikila แชมป์มาราธอนชาวเอธิโอเปียในตำนานชนะการแข่งขัน Mainichi Marathon ในโอซากะโดยสวมรองเท้า Onitsuka ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งแรกที่เขาวิ่งด้วยรองเท้า 

ในปี 1964 กลายเป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับรองเท้า Onitsuka Tiger และกีฬาญี่ปุ่นโดยทั่วไป หลังจากพ่ายแพ้ในการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกปี 1940 อันเนื่องมาจากการปะทุของสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ซึ่งบางคนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของสงครามโลกครั้งที่สอง โตเกียวจึงได้รับการเสนอชื่อให้เป็นเมืองเจ้าภาพสำหรับเกมโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1964 

Yoshinori Sakai ผู้ได้รับเลือกเป็นคนจุดพลุไฟโอลิมปิก เขาเกิดที่ฮิโรชิมาในวันที่ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกตกลงมา โอลิมปิกในปี 1964 เป็นครั้งแรกที่ออกอากาศผ่านดาวเทียม และเป็นครั้งแรกที่แอฟริกาใต้ถูกแบนเนื่องจากนโยบายการแบ่งแยกสีผิว

และเป็นครั้งแรกที่นักกีฬาเข้าแข่งขันด้วยรองเท้า Onitsuka Tiger ซึ่งเป็น RUNSPEED แบบติดตายตัว 

Onitsuka Tiger ได้มีการสนับสนุนรองเท้าให้กับนักวิ่งระยะกลางชาวอเมริกันชื่อ Phil Knight และในไม่ถึงทศวรรษให้หลัง Knight ก็ก่อร่างสร้างบริษัท Nike จนยิ่งใหญ่จากพื้นฐานของ Onitsuka Tiger นี่เอง 

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกยังคงเชื่อมโยงกับวิวัฒนาการของรองเท้า Onitsuka Tiger โดยพื้นฐาน 

กีฬาโอลิมปิก ที่มีการเชื่อมโยงกับแบรนด์ Onitsuka Tiger โดยตรง
กีฬาโอลิมปิก ที่มีการเชื่อมโยงกับแบรนด์ Onitsuka Tiger โดยตรง

ในปี 1966 Onitsuka Tiger ได้เปิดตัว LIMBER UP KAWA BK ซึ่งออกแบบมาสำหรับการทดสอบก่อนการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิก ปี 1968 ในเม็กซิโก 

LIMBER UP เป็นรองเท้าคู่แรกที่มีไลน์ในตำนานที่ยังคงอยู่ในรองเท้า Onitsuka Tiger และ ASICS ทุกคู่ ซึ่งยังมีขายในขณะนี้ในชื่อ MEXICO 66 ซึ่งเป็นรองเท้าที่โดดเด่นที่สุดในคอลเลกชั่น Onitsuka Tiger 

ทศวรรษ 1970 บริษัทควบรวมกิจการกับ GTO และ JELENK เพื่อกลายมาเป็น ASICS ซึ่งเป็นคำย่อของ Latin anima sana in corpore sano – จิตใจที่แข็งแรงในร่างกายที่แข็งแรง ในเวลาเดียวกัน

แต่ความสัมพันธ์ในช่วงแรกกับ Phil Knight กำลังกลับมาหลอกหลอนบริษัทญี่ปุ่น 

ในปี 1974 Nike ได้ว่าจ้าง John Brown and Partners ซึ่งเป็นเอเจนซี่โฆษณาในซีแอตเทิลบุกเบิกการโฆษณาแบรนด์มากกว่าการโฆษณาผลิตภัณฑ์โดยตรง 

นั่นทำให้ในปี 1980 Nike สามารถเข้ายึดครองตลาดอเมริกาได้สูงถึงร้อยละ 50 ทันที

ผลจากการควบรวมกิจการและวิวัฒนาการสู่ ASICS บริษัทเริ่มมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขึ้น รวมถึงอุปกรณ์สกี อุปกรณ์เบสบอล และแม้แต่อุปกรณ์กอล์ฟ 

แต่ยุค 90 เป็นทศวรรษที่น่ากลัวสำหรับ ASICS และนักลงทุนของพวกเขา เมื่อฟองสบู่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแตกและตลาดสกีในประเทศตกต่ำ บริษัทก็ขาดทุนติดต่อกันถึงเก้าปี 

และเมื่อ รองเท้าบาสเก็ตบอลรุ่นออริจินัลของ Onitsuka Tiger ได้รับการเปิดตัวออกมาอีกครั้ง และสามารถเรียกเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ได้อย่างงดงาม ทำให้บริษัทกลับมาสู่เส้นทางเดินเดิมได้อีกครั้งหนึ่ง

การปรับตัวเข้าสู่วัฒนธรรมสมัยนิยม

จากนั้นในปี 2003 ความก้าวหน้าครั้งสำคัญ: Uma Thurman ซึ่งถ่ายทอดความงามของกังฟูของ Bruce Lee โดยรองเท้ารุ่น Mexico 66 สีเหลืองสดใส เชื่อมโยง Onitsuka Tiger โดยตรงกับเพศ สไตล์ และฟังก์ชั่นของซูเปอร์ฮีโร่ 

ตั้งแต่นั้นมา Onitsuka Tiger ก็มุ่งหา partner อย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับทุกคนตั้งแต่ Astro Boy ไปจนถึงโรงผลิตรองเท้าผ้าใบชาวดัตช์ Seventyfive 

ในปี 2008 Onitsuka Tiger ได้เปิดตัวรองเท้ารุ่น Nippon Made ซึ่งเป็นรองเท้าระดับพรีเมียมที่ผลิตขึ้นเพื่อเน้นย้ำถึงฝีมือการผลิตแบบญี่ปุ่นของพวกเขาและแสดงความเคารพต่อต้นกำเนิดของแบรนด์ (รองเท้าผลิตในญี่ปุ่นทั้งหมด) 

ตั้งแต่ปี 2019 Onitsuka Tiger อยู่ภายใต้การดูแลของ Andrea Pompilio ซึ่งร่วมงานกับแบรนด์นี้เป็นครั้งแรกในปี 2013 ในคอลเลกชั่น Onitsuka Tiger x Andrea Pompilio

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Onitsuka Tiger ได้ร่วมมือกับแบรนด์หรูจำนวนหนึ่ง เช่น Givenchy ในปี 2019 และ Valentino ในปี 2020

Onitsuka Tiger ปรับตัวเข้าสู่วัฒนธรรมสมัยนิยม โดยมีแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง Will’s Smith ลูกสาว Willow Smith กับแคมเปญ Autumn/Winter 2020 นำเสนอ Smith ที่อายุน้อยที่สุด ที่มีการถ่ายทำโดยมีฉากหลังเป็นทะเลทราย

แบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง Will's Smith (Cr:Vogue Thailand)
แบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง Will’s Smith (Cr:Vogue Thailand)

Pompilio ได้กล่าวไว้ว่า มันเป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและโลกที่เราอาศัยอยู่ แคมเปญนี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนที่แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานของแฟชั่น ชุดกีฬา และศิลปะป๊อปอาร์ต และสร้างสมดุลระหว่างการออกแบบร่วมสมัยของ Onitsuka Tiger กับสไตล์เฉพาะตัวของ Willow ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

ต้องบอกว่าการเดินทางของ Onitsuka Tiger นั้น ทำให้โลกเราได้เห็นแบรนด์ยักษ์ที่เกิดขึ้นถึงสองแบรนด์ และได้เปลี่ยนวิถีของการเล่นกีฬาของมนุษย์เราไปตลอดกาล มีหนึ่งคำพูดจาก Kihachiro Onitsuka ที่ถือว่าสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คนได้ดีมาก ๆ ครับ

“สิ่งที่คุณต้องทำหลังจากล้มลงคือการลุกขึ้นอีกครั้ง” — Kihachiro Onitsuka

References : https://www.lofficielusa.com/fashion/eye-of-the-onitsuka-tiger
https://www.barkersonline.co.nz/blog/the-weird-and-wonderful-history-of-the-onitsuka-tiger/
https://www.cleveland.com/andone/2009/08/all_you_need_to_do_after_falli.html