Movie Review : The Cave นางนอน

ถือว่าเป็นหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับประเทศไทย ที่กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ที่ได้เห็นถึงการร่วมแรงร่วมใจกันระดับโลก ต่างชาติ ต่างภาษา ที่มีเป้าหมายเดียวคือการช่วยเหลือ นักฟุตบอลทีมหมูป่า ที่เข้าไปติดอยู่ภายในถ้ำ ขุนน้ำนางนอน ในจังหวัดเชียงราย เมื่อปีที่ผ่านมา ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับหนังเข้าใหม่อย่าง The Cave นางนอน

แน่นอนว่า เราได้รับเสพข้อมูลจากข่าว ที่แทบจะถ่ายทอดตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงเกิดเหตุการณ์นั้น เราได้เห็นภาพในมุมหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่  “ภารกิจถ้ำหลวง” จากหนังเรื่อง The Cave นางนอน จะมาบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อนผ่านมุมมองของอาสาสมัครที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายของหมูป่าทั้งสิบสามคน ความเสียสละและความมุ่งมั่นของพวกเขา เพียงเพื่อช่วยเหลือทั้ง 13 คนให้รอดปลอดภัยไม่ว่าจะอันตรายเพียงใดก็ตาม

แน่นอนว่า ว่าหนังเรื่องนี้เป็นการถ่ายทอดออกมาอีกมุมหนึ่งได้น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะเนื้อเรื่องหลักเป็นการถ่ายทอดกลุ่มผู้ปิดทองหลังพระ ที่รับภารกิจหนักที่สุดในการช่วยเหลือเด็ก ๆ นั่นก็คือเหล่านักดำน้ำ มืออาชีพที่มาจากทั่วทุกมุมโลกนั่นเอง

แม้หนังเรื่องนี้ ดูจากกระแสในโลกออนไลน์ แล้วจะออกมาไม่ค่อยดี แต่สำหรับตัวผมนั้นคิดว่าหนังเรื่องนี้ ก็เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ทำออกมาได้น่าสนใจ จุดอ่อนที่ผมเห็นน่าจะเป็นเรื่องการแสดง ของนักแสดงที่บางคนนั้นใช้ผู้ที่ปฏิบัติภารกิจจริงมาแสดงในหนังเรื่องนี้

ตัวเอกที่หนังพยายามถ่ายทอดเรื่องราวของเขาคือ จิม วอร์นีย์ (Jim Warny) ก็เป็นนักดำน้ำตัวจริงที่มาร่วมแสดงในหนัง รวมถึง เอกริก บราวน์ (Erik Brown) ครูสอนดำน้ำชาวแคนาดา ถันเซี่ยวหลง ครูสอนดำน้ำในถ้ำชาวจีน มิกโก พาซี (Mikko Paasi) นักดำน้ำชาวฟินแลนด์ รวมถึง นภดล นิยมค้า ผู้ใหญ่บ้านเจ้าของเครื่องสูบน้ำพญานาคจากเพชรบุรี ก็มารับบทตัวจริงในหนัง

ซึ่งส่วนนี้ทำให้หนังมันดูดรอปลงไป เนื่องจาก การใช้ตัวจริงนั้น ดูเหมือนพวกเค้าจะไม่ถนัดงานทางด้านการแสดงที่ต้องถ่ายทอดออกมาในหนัง ทำให้หนังเรื่องนี้ มันดูเป็น กึ่งสารคดี กึ่งหนัง ที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ และความเห็นส่วนตัว ควรที่จะทำออกมาในรูปแบบของสารคดีจะดีเสียกว่าด้วยซ้ำ

เพราะการพยายามทำเรื่องราวทั้งหมดให้เป็นหนัง มันเลยดูแปลก ๆ บ้างในบางช่วงของหนัง โดยเฉพาะในช่วงแรกนั้น อาจจะทำให้ดูน่าเบื่อได้เลย ซึ่งหลาย ๆ คนน่าจะคิดเหมือนกัน เพราะหนังตัดเรื่องแบบเร็วมาก ๆ ข้ามเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปอย่างรวดเร็ว

แต่หนังมาสนุกจริง ๆ คือ เมื่อมีการเริ่มเรื่องราวของ จิม วอร์นีย์ ที่เป็นนักดำน้ำที่ได้รับภารกิจหนักที่สุด คือการช่วย โค้ชเอก ออกมานั่นเอง เพราะโค้ช จะตัวใหญ่กว่าเด็ก ๆ และที่สำคัญ การใช้ยาเพื่อทำให้เหล่าเด็ก ๆ สลบนั้น เมื่อมาใช้กับโค้ชที่ตัวใหญ่ ทำให้ตัวโค้ชแทบจะมีสติตลอดเวลา ในช่วงที่ถูกดำน้ำพาออกมาโดย จิมวอร์นีย์นั่นเอง

แต่ก็ต้องบอกว่า เป็นการนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ ในอีกมุมหนึ่ง ที่น้อยคนจะสนใจในช่วงนั้น เพราะ เรามัวแต่โฟกัสกับข่าว ที่นำโดย ผู้ว่าราชการเชียงราย ที่คอยอัพเดทสถานการณ์อยู่เป็นระยะ ๆ ที่ฉายภาพความเป็นฮีโร่ของคนไทยในด้านหนึ่งให้เราเห็นเท่านั้น

แต่ความเป็นจริงนั้นยังมีกลุ่มทหารจากอเมริกา รวมถึง เหล่านักดำน้ำมืออาชีพเหล่านี้ ที่คอยตัดสินใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่หน้างานจริง ๆ แบบที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อน เรียกได้ว่าเป็นการเสียสละของพวกเขาอย่างแท้จริง ที่ยินดีเข้ามาช่วยเหลือประเทศเราในการนำพาเด็ก ๆ ทั้งหมดออกมาได้อย่างปลอดภัยในที่สุด

สำหรับผม ถือว่าค่อนข้างโอเคกับหนังเรื่องนี้ แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจเรื่องหนึ่ง และบทสรุปสุดท้ายที่ Happy Ending อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เราจะได้เห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ว่าพวกเขาต้องรับความเสี่ยง และเสียสละมากขนาดไหน ที่สามารถทำภารกิจช่วยเหลือเด็ก ๆ และโค้ชได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์น้อยครั้งนักที่คนทั่วโลกต่างร่วมแรงร่วมใจกันโดยไม่สนสิ่งอื่นใด เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จได้อย่างที่เราได้เห็นใน The Cave นางนอน นั่นเองครับ

Wix.com กับแนวคิดการสร้างเว๊บให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Wix.com Ltd พัฒนาโดย บริษัท Wix ซึ่งตั้งอยู่ในอิสราเอล โดยพื้นฐานแล้ว Wix เป็นแพลตฟอร์มการพัฒนาและปรับปรุงเว๊บไซต์ที่อยู่บนระบบคลาวด์ แน่นอนว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างเว็บไซต์บนมือถือหรือเว็บไซต์ HTML5 โดยใช้เครื่องมือง่าย ๆ เพียงแค่ลากและวาง ก็สามารถเป็นเจ้าของเว๊บไซต์ได้อย่างง่ายดาย 

โดยผู้ใช้สามารถเพิ่มปลั๊กอินต่างๆ ที่มีอยู่ในแพลตฟอร์ม ที่อำนวยความสะดวกในการสร้างเว๊บไซต์อีคอมเมิร์ซ ทำตลาดออนไลน์ สร้างแบบฟอร์มการติดต่อ การตลาดผ่านอีเมล หรือแม้กระทั่งการสร้างฟอรั่มสำหรับเว็บไซต์ของพวกเขาได้แบบง่าย ๆ  

โดยบริษัท มีโมเดลในการหารายได้ในรูปแบบ freemium โดยมีรายได้สำคัญมาจากการสมัครสมาชิกระดับพรีเมียมที่ดำเนินการโดยบุคคลทั่ว ๆ ไปที่ต้องการสร้างเว๊บไซต์นั่นเอง

บริษัท เติบโตอย่างมากนับตั้งแต่ก่อตั้งและขณะนี้มีสำนักงานอยู่ทั่วโลกรวมถึงสำนักงานในแคนาดา เยอรมนี อินเดีย ลิทัวเนีย สหรัฐอเมริกาและแม้แต่กระทั่งในยูเครน

เรื่องราวของ Wix นั้นมันเริ่มมาจากชายหนุ่มชาวอิสราเองที่มีนามว่า Avishai Abrahami ผู้ที่เคยทำหน้าที่ในกองกำลังป้องกันอิสราเอลในหน่วยข่าวกรองคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี 1990 ถึง 1992 ก่อนที่เขาจะออกจากกองทัพในปี 1993

Abrahami ได้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ซอฟต์แวร์ชื่อ ALT Ltd และทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีจนกระทั่งขายบริษัทออกไปในปี 1997 ต่อมาในปี 1998 เขาได้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์การจัดการศูนย์ข้อมูล ที่มีชื่อว่า Sphera Corporation และดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีเป็นเวลาสองปี จากนั้นเขาย้ายไปดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายการตลาดอีกสามปี 

Avishai Abrahami, Nadav Abrahami (น้องชายของ Avishai) และ Giora Kaplan ได้ก่อตั้ง Wix ในปี 2006 พวกเขาได้เปิดสำนักงานแห่งแรกในเทลอาวีฟโดยได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ผู้ร่วมลงทุนทุนเช่น Insight Venture Partners, Mangest Capital Partners, Bessemer Venture Partners . ผลิตภัณฑ์แรกของพวกเขาเปิดตัวในปี 2007 ซึ่งในต้นแบบแรกของ Wix นั้นใช้งานผ่านเทคโนโลยี Adobe Flash ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีเว๊บแบบดังกล่าว แทบจะสูญหายไปจากตลาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Avishai Abrahami  ผู้ก่อตั้ง Wix
Avishai Abrahami ผู้ก่อตั้ง Wix

เนื่องจากการมีฟังก์ชั่นที่มากมาย และใช้งานง่าย และมีตัวเลือกสำหรับการสร้างเว๊บไซต์จำนวนมากทำให้ผลิตภัณฑ์เติบโตอย่างรวดเร็ว และในปี 2010 บริษัท มีผู้ใช้งานสูงถึง 3.5 ล้านคน 

หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วก็ได้รับการเพิ่มทุนอีกครั้งจากทั้ง Benchmark Capital , Bessemer Venture และ Mangrove Capital ซึ่งได้อัดฉีดเงินทุนสำหรับ Series C จำนวนถึง 10 ล้านดอลลาร์ 

ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวได้ถูกนำไปพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนของซอฟต์แวร์และ ในปี 2011 Wix มีปริมาณเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวโดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 8.5 ล้านคน ซึ่งได้นำไปสู่การระดมทุนอีกรอบซึ่งสามารถระดมทุนได้ 40 ล้านดอลลาร์ ทำให้สามารถระดมทุนได้ทั้งหมดสูงถึง 61 ล้านดอลลาร์

ภายในเดือนมิถุนายน 2011 Wix ได้เปิดตัวโมดูลเชื่อมต่อกับ Facebook และด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาเข้าสู่โลกโซเชียลมีเดียอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นในปี 2012 ได้เพิ่มเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ HTML5 ขึ้นมาใหม่  

Wix ยังเปิดตัวตลาดแอพของตัวเอง เพื่อขายแอพพลิเคชั่นภายใน Ecosystem ของพวกเขาในปี 2012 และเปิดตัวชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดายขึ้นมา 

ซึ่งการทุ่มเทเงินลงทุนไปกับการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ทั้งหมดเหล่านี้ ช่วยผลักดันการเติบโตของ บริษัท และในปี 2013 มีผู้ใช้งานและลงทะเบียนเข้าสู่แพลตฟอร์มมากกว่า 34 ล้านคน ซึ่งจากการเติบโตในระดับนี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้เปิด IPO ในตลาด NASDAQ ของอเมริกา และสามารถระดมทุนได้อีกมากกว่า 127 ล้านดอลลาร์ 

เหล่าผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร ในวันที่พาบริษัทเข้า IPO ได้สำเร็จ
เหล่าผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร ในวันที่พาบริษัทเข้า IPO ได้สำเร็จ

ในปี 2014 Wix ได้เริ่มเข้าซื้อกิจการใหม่ ๆ เพื่อมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งโดยเข้าซื้อกิจการบริษัท Startup อย่าง Appixia  ในอิสราเอลที่พัฒนาแอพพลิเคชั่นด้าน Mobile Commerce หลังจากนั้นก็เข้าซื้อกิจการร้านอาหารออนไลน์ OpenRest

การควบรวมกิจการนี้ปูทางให้พวกเขาเข้าสู่ธุรกิจการจองโรงแรม โดย Wix ได้เปิดตัว ระบบการจองห้องพักสำหรับโรงแรม ในเดือนสิงหาคมปี 2014 และได้เพิ่มบริการด้านร้านอาหารอย่าง Wix Restaurant ในปี 2016

Wix ได้เข้าซื้อ Moment.me ในปี 2015 ซึ่งเป็นผู้สร้างเว็บไซต์ที่เน้นตลาดของโซเชียลมีเดีย บริษัท ได้ขยายธุรกิจให้กว้างขึ้น โดยทำการปล่อย Wix Music ในปี 2015 เพื่อช่วยนักดนตรีอิสระในการขายผลงานของพวกเขา หลังจากนั้นได้เข้าซื้อกิจการ DeviantArt ในปี 2016 ด้วยมูลค่ากว่า 36 ล้านดอลลาร์ ทำให้บริษัทเริ่มมีการกระจายการลงทุนหลายไปยังหลาย ๆ ธุรกิจ

Wix มีชื่อเสียงในด้านกลยุทธ์ทางการตลาดด้วยการสร้างโฆษณา SuperBowl ที่โด่งดังหลายครั้ง โดยมีการร่วมมือกับ DreamWorks Animation ซึ่งพวกเขาได้สร้างชุดโฆษณาที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก และมีผู้ชมกว่า 300 ล้านคน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ทั้งหมด

Wix กับผลงานใน Super bowl Ads ในปี 2017
Wix กับผลงานใน Super bowl Ads ในปี 2017

Wix มีมูลค่ามากกว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์และเป็น บริษัท อิสราเอลแห่งแรกที่มีมูลค่าสูงกว่า 4 พันล้านดอลลาร์  ต้องบอกว่า Wix.com นั้นถือเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มระบบคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก

ผู้ก่อตั้งอย่าง Abrahami ต้องบอกว่าเขาเป็นชายชาติทหารที่แท้จริง แม้จะเจอมรสุมหลายครั้ง เกิดเขาก็สามารถเอาตัวรอดได้จากทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์และความทุ่มเทของเขาที่ได้ทุ่มเทให้กับ Wix  และสุดท้ายมันตอบแทนเขาด้วยจำนวนผู้ใช้ 42 ล้านคนในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ที่ต่างหลงรัก Wix.com อย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ

References : https://www.tubefilter.com/2018/02/02/rhett-and-link-wix-super-bowl-ad/ https://support.wix.com/en/article/the-history-of-wix https://www.cnbc.com/2017/10/16/wix-coms-100-million-marketing-budget-and-its-in-house-ad-team.html https://en.wikipedia.org/wiki/Wix.com

Waze จาก Startup อิสราเอล สู่บริษัทหมื่นล้านภายใต้อ้อมอกของ Google

แม้ว่าในอดีตแผนที่ในรูปแบบที่เป็นกระดาษจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทันสมัยที่สุดในยุคหนึ่ง และช่วยให้ผู้คนเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ได้อย่างง่ายดายขึ้น ซึ่งในอดีตนั้นแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะอ่านแผนที่เหล่านี้ในขณะที่เรากำลังขับรถอยู่ 

แต่เนื่องจากเทคโนโลยีได้นำทุกอย่างมาไว้บนมือถือ ตอนนี้ผู้คนสามารถค้นหาวิธีการไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ได้อย่างง่ายดายโดยใช้ระบบ GPS และผ่านแผนที่ดิจิตอลทำให้ Google Map เป็นหนึ่งในแอปโปรดของทุกคน แต่มีแอปแผนที่หนึ่งที่มีนามว่า Waze ซึ่งมาจากอิสราเอลซึ่งสามารถดึงดูด Google และทำให้ยักษ์ใหญ่จากซิลิกอน วัลเลย์ ต้องยอมซื้อเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังแอปดังกล่าวนี้

Ehud Shabtai เป็นผู้ก่อตั้ง Waze ซึ่งเกิดและเติบโตในอิสราเอล เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านปรัชญาจากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟตามด้วยปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน

Shabtai ก่อตั้ง Waze เมื่อเขาประสบปัญหาในการค้นหาเส้นทางที่ถูกต้อง เพื่อเข้าถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่ต้องเสียเวลามากมายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปิดถนน อุตบัติเหตุ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้การเดินทางของเขาล่าช้า แม้ว่าตอนแรก หนึ่งในเพื่อนของเขาได้ทำการมอบ GPS ให้เขา แม้ว่า GPS นั้นดีสำหรับการค้นหาทิศทาง แต่ก็ไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจราจรบนถนนได้

ในฐานะวิศวกรซอฟต์แวร์เขาตัดสินใจที่จะพัฒนาแอปพลิเคชั่นใหม่ที่จะช่วยให้ผู้คนค้นหาเส้นทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ และข้อมูลเกี่ยวกับการจราจรหรือการภาวะแออัดบนถนนเนื่องจากเหตุผลใด ๆ ได้อย่างง่ายขึ้น 

Ehud Shabtai ผู้คิดค้นไอเดียแรกของ Waze
Ehud Shabtai ผู้คิดค้นไอเดียแรกของ Waze

ในที่สุดในปี 2006 เขาพัฒนาและเปิดตัวแอปแผนที่ใหม่ชื่อ FreeMap Israel แอพนี้รวมฐานข้อมูลสำหรับแผนที่ในอิสราเอลและรวบรวมข้อมูลของกล้องตรวจจับความเร็ว แอปพลิเคชั่นนี้ใช้แผนที่จาก Mapa Ltd. แต่ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของแอพนี้ ทำให้ตัว Shabtai นั้นถูกร้องเรียนเรื่องการใช้ลิขสิทธิ์จาก Mapa Ltd.

ในเวลาเดียวกัน Mapa Ltd ก็ได้เสนอเข้าซื้อเทคโนโลยีของ Shabtai แต่เขาปฏิเสธข้อเสนอและลบข้อมูลจาก Mapa Map ทั้งหมดออกจากแพลตฟอร์มของเขาโดยทันที 

ในปี 2008 เขาได้ร่วมกับ Uri Levine และ Amir Shinar เพื่อพัฒนาแอปที่มุ่งสู่เชิงพานิชย์มากขึ้น หลังจากเห็นโอกาสครั้งสำคัญที่ app อย่าง FreeMap Israel ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

โดย Shabtai ได้เปิดตัวแอพ ใหม่ที่ใช้ชื่อว่า  Waze ที่จะรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้ที่แตกต่างกันเช่นเส้นทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลของแอป และจะช่วยผู้อื่นในการเดินทางของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งแอปได้สร้างกลยุทธ์ใหม่ของการสร้างรายได้ โดยผู้คนทั่วไปนั้นจะมีส่วนร่วมในการสร้างรายได้ผ่านแอปดังกล่าว

ซึ่งแน่นอนว่าสาเหตุที่ทำให้ Waze นั้นเติบโตอย่างรวดรเ็ว คือ มันเป็นการสร้างความสนุกให้กับผู้คนในการสร้างเส้นทางและรับคะแนน และที่สำคัญผู้ที่ใช้ทางใหม่ ๆ จะทำการสร้างเส้นทางใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเหลือผู้คนในภายหลังได้อย่างแท้จริง

Waze สนับสนุนให้ผู้คนใช้เส้นทางที่พวกเขากำลังเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางครั้งที่ 10 หรือครั้งแรกก็ตาม ซึ่งข้อมูลของพวกเขาเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลของตนเพื่อให้ผู้ใช้รายอื่นสามารถติดตามเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการไปยังปลายทางเดียวกันได้ 

เก็บข้อมูลเรื่องการจราจรรวมถึงอุปสรรคต่าง ๆ ในการเดินทางซึ่งไม่มีแอปไหนเคยทำมาก่อน
เก็บข้อมูลเรื่องการจราจรรวมถึงอุปสรรคต่าง ๆ ในการเดินทางซึ่งไม่มีแอปไหนเคยทำมาก่อน

ผู้ใช้จะได้รับคะแนนจากการสร้างเส้นทางบนแอป รวมถึงมีการสร้างอาสาสมัครกว่า 1,500 คน เพื่อช่วยในการทำแผนที่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของอิสราเอลและแน่นอนว่า Amir Shinar เป็นหนึ่งในอาสาสมัครเหล่านั้น  ซึ่งในปี 2009 Shabtai ได้เปลี่ยนชื่อ บริษัท เป็น Waze Mobile Ltd. ในที่สุด

ในรอบของการระดมทุนในปี 2010 บริษัท ระดมทุนได้ถึง 25 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยการระดมทุนอีก 30 ล้านดอลลาร์ในปีถัดไป ในปีเดียวกันนั้น Waze ได้รับการอัพเกรดด้วยฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้ผู้คนรายงานเหตุการณ์ในท้องถนน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นได้

หลังจากสร้างความแข็งแกร่งได้ในอิสราเอล บริษัทได้เริ่มขยายตลาด โดยได้เปิดสำนักงานแห่งใหม่ในแคลิฟอร์เนีย โดยมีพนักงานเริ่มต้นที่แคลิฟอร์เนียเพียง 10 คน เพียงเท่านั้นในช่วงเริ่มต้น แต่บริการของพวกเขาก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจากชาวอเมริกา

Waze ยังได้รับการโปรโมตแบบฟรี ๆ อย่างเหลือเชื่อ เมื่อถนนหมายเลข 405 ในรัฐแคลิฟอร์เนียต้องปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาเรื่องการจราจร จากนั้นรายการทีวีท้องถิ่นได้เชิญทีม Waze เพื่อมาช่วยให้ผู้ขับขี่ได้เจอเส้นทางใหม่ ๆ ในการไปถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งนี่ถือเป็นการโปรโมตแบบฟรี ๆ ที่ Waze แทบจะไม่ต้องเสียตังค์ในการโฆษณาเลยด้วยซ้ำ 

บริษัท ยังได้สร้างเว็บอินเตอร์เฟสสำหรับสถานีข่าวทีวีและอีกกว่า 25 สถานีโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกาเพียงใช้อินเทอร์เฟซเดียวกันเพื่อออกอากาศข้อมูลการจราจรสดทางทีวี ในปี 2013 ในปีเดียวกันนั้นแอป Waze ได้รับ รางวัล Mobile App ยอดเยี่ยมจากสมาคม GSM

แม้ว่า บริษัท จะปฏิเสธที่จะขายเทคโนโลยีให้กับ Mapa Ltd ในปี 2006 แต่สุดท้าย Shabtai ก็ได้ตกลงขายกิจการให้กับยักษ์ใหญ่ทางด้าน Search Engine อย่าง Google ในราคา 966 ล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายนปี 2013

ถูก Google ซื้อกิจการและรวมเป็นหนึ่งใน Features ของ Google Map
ถูก Google ซื้อกิจการและรวมเป็นหนึ่งใน Features ของ Google Map

ซึ่งในเวลานั้น Waze มีพนักงาน 100 คนเพียงเท่านั้น และตั้งแต่นั้นมา Google ได้เพิ่มฟีเจอร์ของ Waze ลงในแผนที่ของ Google Map 

ในปี 2017 ด้วยการร่วมมือกับ Spotify ทำให้ Waze เสนอตัวเลือกในการเล่นเพลง บน Spotify และในทำนองเดียวกันผู้ใช้สามารถค้นหาเส้นทางผ่าน Waze บน Spotify ได้โดยตรง 

ในปี 2018 บริษัท ได้เปิดตัวเทคโนโลยีสำหรับการใช้งานใน Apple CarPlay ซึ่ง Waze อัพเดทแพลตฟอร์มบน iOS ให้สามารถใช้งานด้วย Siri Shortcuts ได้ในปี 2019

โดยทั้ง Pandora, Deezer, iHeart Radio, NPR One, Scribd, Stitcher และ TuneIn ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ที่สำคัญของ Waze สำหรับส่วนของ Audio Player ซึ่งด้วยการที่ Waze ได้ควบรวมกับ Google ทำให้ Waze มีการผสานรวมกับ Google Assistant รวมถึงการรวม YouTube Music ไว้บนแพลตฟอร์มของพวกเขาด้วยนั่นเอง

วันนี้เทคโนโลยีของ Waze นั้นได้ถูกใช้ในการรายงานและติดตามการจราจรเหตุการณ์อื่น ๆ ทั่วทุกมุมโลก เช่น ถนนที่เสียหาย การปิดกั้นถนน กิจกรรมต่าง ๆ บนท้องถนน ฯลฯ ซึ่งแอพเปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วสามารถแก้ไขข้อมูลต่าง ๆ ในแอปได้โดยเพียงแค่ลงทะเบียนเข้ามาใช้งานง่าย ๆ เพียงเท่านั้น ก็จะสามารถสร้างเส้นทางใหม่ ๆ ในแอป ได้แล้ว 

ต้องเรียกได้ว่าความสำเร็จของ Waze ถือว่าเป็นการเดินทางที่ไกลมาก ๆ จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ อิสราเอลจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนใช้งานบนท้องถนนทั่วโลกกว่า 130 ล้านคนในทุก ๆ เดือน อย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ

References : https://knowtechie.com/google-maps-iphone-widget/ https://www.cmswire.com/cms/customer-experience/how-waze-grew-from-startup-to-billion-dollar-google-acquisition-demo2013-022835.php http://www.israel1.org/waze-a-brilliant-israeli-invention/ https://en.wikipedia.org/wiki/Waze

Marc Benioff กับการสร้างอาณาจักร Saleforce บริการ CRM อันดับหนึ่งของโลก

เรื่องราวของ Salesforce เริ่มต้นในเดือนมีนาคม 1999 ในอพาร์ทเมนต์หนึ่งห้องนอนถัดจากบ้านของ Marc Benioff แถบ Telegraph Hill เมืองซานฟรานซิสโก โดยชายกลุ่มเล็ก ๆ ที่ประกอบไปด้วย Mark ,  Parker Harris, Frank Dominguez และ Dave Moellenhoff ซึ่งได้เริ่มต้นธุรกิจใหม่ในสำนักงานเล็ก ๆ ในเมืองซานฟรานซิสโก  

แน่นอนว่าพวกเขากำลังจะสร้างแอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ธุรกิจในรูปแบบใหม่ที่ในขณะนั้นแทบจะไม่มีใครเคยทำมาก่อน ผ่านรูปแบบที่รู้จักในชื่อ Software-as-a-Service (SaaS) โดยการระดมทุนครั้งแรกได้รับการระดมทุนจาก Larry Ellison ของ Oracle (อดีตหัวหน้าของ Marc ที่ Oracle นั่นเอง)

ซึ่งซอฟต์แวร์รูปแบบใหม่นี้ จะทำให้เหล่าลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายล้านดอลลาร์สำหรับความซับซ้อนในเรื่องของการบำรุงรักษาของซอฟต์แวร์ในอดีต ซึ่งพวกเขาได้สร้างต้นแบบตัวแรกที่ทำงานได้ภายในหนึ่งเดือน และได้สร้างแบบจำลองตัวต้นแบบให้มีลักษณะคล้ายกับ Amazon.com ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ Marc ใช้เป็นแรงบันดาลใจในการคิดว่าทำไมแอปพลิเคชันทางธุรกิจไม่สามารถใช้งานผ่านเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายเหมือน Amazon.com

ในเดือนกรกฎาคม 1999 เมื่อ Marc ออกจากงานประจำที่ Oracle และเข้ามาลุยแบบเต็มเวลาที่ Salesforce.com ภารกิจแรกของเขาคือค้นหาสำนักงานที่สามารถปรับขนาดได้เหมือนกับซอฟต์แวร์รูปแบบใหม่ของเขา 

Marc ได้เลือกสำนักงานที่ Rincon Centre ที่มีพื้นที่แปดพันตารางฟุต แต่ช่วงแรกนั้นมีพนักงานเพียง 10 คนเท่านั้น  และเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน 1999 เริ่มมีโต๊ะทำงานในโถงทางเดิน เหล่าพนักงานหน้าใหม่ก็มาสุมหัวรวมกันจนเต็มพื้นที่ออฟฟิศแรกของพวกเขาในที่สุด

เมื่อเข้าสู่ปี 2000 Salesforce ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมออกมาได้สำเร็จ รวมถึงได้มีการย้ายไปยังสำนักงานแห่งใหม่ที่ One Market Street และ ณ ตอนนั้น มันก็ถึงเวลาที่ต้องเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของพวกเขาแล้ว 

ต้องบอกว่า Salesforce ได้ทำสิ่งที่แตกต่างมากและเมื่อเทียบกับพฤติกรรมของยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ Salesforce ในขณะนั้นที่เปรียบเสมือนเป็นปลาตัวเล็ก ๆ ในสระน้ำขนาดใหญ่ แน่นอนว่าพวกเขาต้องทำสิ่งที่โดดเด่นกว่าใครในการเปิดตัว เพื่อให้เป็นที่จดจำ

Salesforce ได้ทำการเปิดตัวที่โรงละครรีเจนซี่ และสร้างความประหลาดใจให้แขกทุกคนที่เข้าร่วม พวกเขาเปลี่ยนโรงละครระดับล่างให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะคล้ายกับ Enterprise Software หรือที่เรียกว่า“ Hell” ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมาก ๆ ในการเปิดตัวซอฟต์แวร์

และพวกเขาได้สร้างแคมเปญโฆษณาที่แข็งแกร่งมาก ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ใช้จุดเด่นของเครื่องบินขับไล่ไอพ่น โดยเครื่องบินขับไล่ไอพ่นถือเป็นตัวแทนของ Salesforce ซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และปฏิวัติสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ส่วนเครื่องบินปีกสองชั้นเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัยและไม่เหมาะสมสำหรับงานในธุรกิจยุคใหม่อีกต่อไป

สัญลักษณ์เครื่องบินไอพ่น แสดงออกถึงความแตกต่างของ Saleforce
สัญลักษณ์เครื่องบินไอพ่น แสดงออกถึงความแตกต่างของ Saleforce

ในปี 2003 ถือเป็นจุดกำเนิดของหนึ่งในกิจกรรมทางการตลาดที่โดดเด่นที่สุดของ Salesforce ก่อนหน้านี้ Salesforce ได้จัดกิจกรรมมากมายทั่วประเทศที่เรียกว่า“ City Tours” ซึ่งมักใช้เวลาราว ๆ 2-3 ชั่วโมง ในการแสดงคุณสมบัติและแผนที่ในการปฏิบัติงานของ Salesforce ล่าสุด รวมถึงให้ลูกค้าในเครือข่ายของพวกเขาได้พบปะพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้ประโยชน์จาก ผลิตภัณฑ์ 

โดยกิจกรรมใหม่นี้ถูกเรียกว่า Dreamforce และแทนที่จะใช้เวลานานสองสามชั่วโมง แต่มันถูกจัดขึ้นในเวลาถึง 2-3 วันแทน โดยงาน Dreamforce ครั้งแรกจัดขึ้นที่ใจกลางเมืองซานฟรานซิสโกที่โรงแรม Westin St. Francis และมีผู้เข้าร่วมลงทะเบียนกว่า 1,000 คนที่มาร่วมงาน และในงานดังกล่าวถูกใช้ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อย่าง Sforce 2.0

ในปี 2005 Salesforce พัฒนาบริการที่จะเปลี่ยนซอฟต์แวร์ธุรกิจไปตลอดกาล BusinessWeek เรียกมันว่า“ eBay for business software” และ Forbes อธิบายว่าเป็น ‘iTunes ของซอฟต์แวร์ธุรกิจ’ Salesforce เรียกบริการนี้ว่า AppExchange

AppExchange ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะมีชุมชนที่ใช้งานผลิตภัณฑ์ ที่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดอยู่เสมอ  AppExchange เปรียบเสมือนสถานที่ให้เหล่าคู่ค้า สามารถที่จะพัฒนาแอปพลิเคชันของตนเองและเปิดบริการให้กับลูกค้าของ Salesforce ทุกคนได้ ซึ่ง Salesforce มองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการส่งเสริมวิสัยทัศน์ของ บริษัท และขยายขีดความสามารถและบริการของ Saleforce นั่นเอง

แต่ Salesforce ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น Parker Harris พัฒนาเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Visualforce ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้สร้างส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ที่พวกเขาต้องการเองได้ ซึ่งพวกเขาสามารถสร้างฟอร์มปุ่มลิงก์และฝังปุ่มต่าง ๆ ที่พวกเขาชอบได้ ซึ่งนี่ถือเป็นการปูทางสำหรับส่วนขยายแบบลอจิคัลของแพลตฟอร์ม Salesforce SaaS ที่มุ่งสู่การเป็น Platform-as-a-Service

พวกเขาเรียกมันว่า Force.com และเปิดตัวใน Dreamforce 2008 ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถสร้างแอปพลิเคชันของพวกเขาเองบนแพลตฟอร์ม Force.com ไม่เพียง แต่อนุญาตให้ผู้ใช้เข้าถึงโซลูชัน CRM ที่แข็งแกร่งและปรับขนาดได้ตามที่ลูกค้าชื่นชอบเท่านั้น

แต่ยังช่วยให้เหล่าลูกค้าของ Saleforce สามารถเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาต้องการได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลโดยตรงต่อเหล่าลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Salesforce เช่น Citigroup, Morgan Stanley, Thomson Reuters และ Japan Post ซึ่งทั้งหมดใช้ Force.com เพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่ต้องการได้ และที่สำคัญมันยังสามารถทำได้เร็วกว่าวิธีการเขียนโปรแกรมแบบทั่วไปถึงสี่เท่าในการสร้างแอปพลิเคชันบน Force.com

และเมื่อโลกได้เปลี่ยนไปขับเคลื่อนด้วยพลังของมือถือสมาร์ทโฟน ผู้คนกว่า 55% ในโลกที่เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนในปี 2013 แน่นอนว่ามันเป็นเวลาที่ Salesforce ต้องหันมาให้ความสำคัญกับมือถือ

โดยก่อนปี 2013 นั้น Salesforce มีแอปพลิเคชันบนมือถือที่ชื่อว่า Salesforce Mobile ซึ่งให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลจำนวนหนึ่งจากโทรศัพท์ได้  แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ลูกค้าต้องการวิธีที่ดีกว่าในการจัดการกับข้อมูลลูกค้าทั้งหมดผ่านแอพบนมือถือ

ในปี 2013 Salesforce เปิดตัวแพลตฟอร์ม Salesforce1 โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดการเข้าถึงข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถเข้าถึงได้บนคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงแอป Salesforce ที่ชื่นชอบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแอปพลิเคชันและการผนวกรวมกับโปรแกรมที่สร้างเอง รวมถึง AppExchange ที่ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดจาก App Store Salesforce1 ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ถูกเรียกว่า Lightning

ผนวกรวมทุกอย่างและเรียกมันว่า Lightning
ผนวกรวมทุกอย่างและเรียกมันว่า Lightning

ต้องบอกว่า เรื่องราวความสำเร็จของ Salesforce.com นั้นน่าประทับใจมาก แต่ผลกระทบของพวกเขาที่มีต่อชุมชนและโลกที่พวกเขาพยายามสร้างนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่องมากกว่า โดยผ่านรูปแบบของโมเดล 1/1/1 ของการทำบุญแบบบูรณาการ (1% ของผลิตภัณฑ์, 1% ของเวลาและ 1% ของทรัพยากร) ของพวกเขานั่นเอง

ซึ่งพวกเขาได้บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ ยังรวมถึงจำนวนเงินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ของผลิตภัณฑ์ของพวกเขาที่ใช้เพื่อการกุศลทั่วโลก  ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรสำหรับ Salesforce และชุมชนที่พวกเขาสร้างขึ้น แต่จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมานั้นดูเหมือนอนาคตของพวกเขาดูจะสดใสอยู่คู่กับวงการธุรกิจไปอีกนาน

ซึ่ง Marc Benioff ได้กล่าวไว้ในปี 2018 ว่ามันยังเร็วไปที่จะกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของ Salesforce เพราะเป้าหมายของเขา คือการเป็น บริษัทมูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์ ให้ได้ภายในปี 2034 นั่นเองครับ

References : https://www.j2interactive.com/blog/brief-history-salesforce/ https://usefyi.com/salesforce-history/ https://www.computerworld.com/article/3427741/a-brief-history-of-salesforce-com.html https://en.wikipedia.org/wiki/Salesforce.com https://en.wikipedia.org/wiki/Marc_Benioff https://fortune.com/2019/10/15/wisdom-of-marc-benioff-ceo-daily/

Series Review : เคว้ง The Stranded (Netflix)

ถือเป็น Series ไทย Original by Netflix เรื่องแรกเลยทีเดียวสำหรับ เคว้ง The Stranded ที่ได้ ผู้กำกับ มือดีอย่าง จิม-โสภณ ศักดาพิศิษฏ์  ผู้กำกับลัดดาแลนด์และเขียนบทหนังผีในตำนานอย่างชัตเตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้กำกับชั้นแนวหน้าของเมืองไทยที่มารับงานใหญ่ เพื่อสร้างชื่อให้กับ Series จากไทย ให้กับ Netflix เป็นครั้งแรก

ซึ่งเคว้ง The Stranded เริ่มต้นเรื่องราวด้วยเหตุการณ์ ก่อนจบการศึกษาของกลุ่มนักเรียนเอกชนไฮโซที่กำลังปาร์ตี้ฉลองเรียนจบกันอยู่บนเกาะ แล้วก็มีฉากสึนามิถล่มเกาะตามมาทันที หลังจากนั้นก็ได้มีการตัดฉากข้ามเรื่องไป 25 วันต่อมาบนเกาะเลย และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวพิศวงทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น

เรื่องราวของ Series เรื่องนี้เกิดขึ้นจาก คราม (บีม-ปภังกร ฤกษ์เฉลิมพจน์) เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ชาวเกาะโดยกำเนิดเพียงคนเดียวที่เกาะปินตูในท้องเรื่องนี้ ซึ่งเนื่องจากเขาเป็นคนท้องที่ ทำให้มีความสามารถในการหาอาหารเพื่อช่วยเหล่าเพื่อน ๆ ที่ประสบชะตากรรมเดียวกับเขาให้เอาชีวิตรอดจากเกาะที่โดดเดี่ยวแห่งนี้ได้

โดยมี “อนันต์”  (จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล) ผู้นำของกลุ่มนักเรียนที่มักขัดแย้งกับครามในหลายเรื่อง โดยมี “เมย์” (ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช) แฟนสาวของอนันต์ พยาบาลประจำกลุ่มที่ครามแอบหลงรักมาเกี่ยวข้องกลายเป็นปม Drama หนึ่งของ Series ชุดนี้

แม้ Series ชุดนี้จะมีตัวละครมากมาย ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิครั้งใหญ่ แต่เนื้อเรื่องหลัก ๆ ของ Series จะโฟกัสไปที่สามตัวละครหลักซะเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงการตัดภาพย้อนกลับไปในอดีตเพื่อถ่ายทอดที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัว ให้เราได้เข้าใจตัวละครมากขึ้นทีละน้อย

ต้องบอกว่า มีหลายตัวละครที่มีความน่าสนใจ มีความลึกลับ น่าค้นหา ซึ่งส่วนนี้ต้องบอกว่า Series เรื่องนี้ทำได้ดีมาก ๆ ในการเรียบเรียงบท รวมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ให้เราคิดไปตลอดแทบจะทั้งเรื่อง ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

แม้หลายคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องนี้ มันแทบจะถอดแบบมาจาก LOST Series ทริลเลอร์ขึ้นหิ้งของ เจ เจ เอบรามส์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของผู้โดยสารเครื่องบินตกที่ต้องติดเกาะและมีเผชิญสิ่งลี้ลับเหมือนกัน

แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่ามีส่วนผสมหลายอย่างที่เราได้กลิ่นอายของ Series ดังของ Netflix มาก ๆ ทั้งซาวด์ประกอบที่แทบจะถอดแบบมาจาก Series ขึ้นหิ้งอย่าง The Stranger Things หรือ ความลึกลับที่น่าสนใจมาก ๆ ในสไตล์ Dark ซีรี่ยส์ที่ผมชอบที่สุดเรื่องหนึ่งจากประเทศเยอรมัน

ความเห็นส่วนตัวสำหรับ Series เรื่องนี้ ต้องบอกว่าทำได้ดีเกินคาด แม้กระแสในโลกออนไลน์จะแบ่งเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน แต่ถ้ามองลงไปในรายละเอียดนั้น จะพบว่า Series เรื่องนี้ สร้างเรื่องราวมาได้ดีมาก ๆ สำหรับผลงานแรกของไทย ถือว่าไม่ขี้เหร่เลยทีเดียวเมื่อเทียบกับ อีกหลายๆ Series ใน Netflix

แม้หลาย ๆ อย่างจะถูกวิจารณ์ว่าไม่สมเหตุสมผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรายละเอียดเล็ก ๆน้อย ๆ ของคนติดเกาะ รวมถึง CG ที่อาจจะไม่อลังการงานสร้างเท่าไหร่นัก แต่หากมองไปในส่วนของเนื้อเรื่องหลักนั้น ถือว่าเป็น Series ที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

จุดด้อยของ Series ชุดนี้น่าจะเป็นเรื่องการแสดงของเหล่าเด็ก ๆ ทั้งหลายมากกว่า เพราะช่วงแรก ๆ นั้นเล่นค่อนข้างแข็งไปหน่อย และมันได้รับกลิ่นอายของ Series อย่าง ฮอร์โมนมากไปนิด เพราะตัวละครหลายๆ คนก็น่าจะมาจาก GDH เป็นหลักนั่นเอง

สรุป ผมค่อนข้างประทับใจนะกับผลงาน Series Original โดยคนไทยเรื่องแรกอย่าง เคว้ง ที่กำกับโดย คุณ จิม-โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ โดยส่วนตัวก็ค่อนข้างอินกับเรื่องราวที่ถูกผูกปมไว้ และค่อย ๆ คลายออกมาจนถึงตอนจบของ Season แรก ซึ่งก็ทิ้งปริศนาไว้อีกเช่นเคย ไม่ต่างจาก Series จากฝรั่ง ซึ่งก็หวังว่ารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผิดพลาดใน Season แรกนั้น น่าจะถูกแก้ไปไขไปได้บ้าง และน่าจะมีความสนุก และน่าติดตามขึ้นใน Season ที่สองที่ผมก็เป็นหนึ่งที่รอคอยอยู่เช่นกันครับ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol