ประวัติ Michael Bloomberg กับชายที่พร้อมท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก Donald Trump

นักการเมืองชาวอเมริกัน Michael Bloomberg  มีชื่อเสียงในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Bloomberg LP ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการข้อมูลทางการเงินชื่อดัง รวมถึงบริษัทสื่อที่ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

โดย Bloomberg นั้นได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีของนครนิวยอร์กในปี 2001 Buzz Bissinger นักเขียนในสื่อชื่อดังอย่าง Vanity Fair เรียกเขาว่า “เป็นหนึ่งในนายกเทศมนตรีที่น่าสนใจที่สุดในนครนิวยอร์กที่เคยมีมา – ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นมหาเศรษฐีคนแรกที่ดำรงตำแหน่ง แต่เป็นเพราะในนิสัยของเขานั่นเองที่ทำให้เขาน่าสนใจเป็นอย่างมาก”

Michael Bloomberg เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1942 เติบโตขึ้นในครอบครัวชนชั้นกลางในพื้นที่เมืองบอสตัน พ่อของเขา (Bill) เป็นผู้ทำบัญชีและแม่ของเขา ( Charlotte ) เป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยของผู้หญิงอเมริกันในยุคนั้น ที่ยังได้รับปริญญาในระดับมหาวิทยาลัย 

พวกเขาเป็นหนึ่งในครอบครัวชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองบอสตัน โดยในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 พ่อแม่ของ Bloomberg ตัดสินใจย้ายที่อยู่อาศัยไปอยู่ใกล้กับที่ทำงานของ Bill ในซอเมอร์วิลล์ใกล้กับเมืองเคมบริดจ์ 

Bloomberg เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมเมดฟอร์ดและทำผลการเรียนได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins และได้รับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้าในปี 1964 จากนั้นเขาก็ไปเรียนต่อ MBA ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลังจากจบหลักสูตรการศึกษาที่นั่นเขาได้สมัครเข้าเรียนที่โรงเรียน Candidate School แห่งกองทัพสหรัฐฯในปี 1966 แต่เขาได้ถูกปฏิเสธเนื่องจากสาเหตุว่ามีเท้าที่แบนแบบผิดรูป

Bloomberg จึงมุ่งตรงไปทำงานด้านการเงินที่ Wall Street แทน โดยเข้าร่วมงานกับธนาคารเพื่อการลงทุนซาโลมอนบราเธอร์ ซึ่งถือเป็นผู้ค้าหลักทรัพย์รายใหญ่ รวมถึงดำเนินการในการซื้อขายพันธบัตรในตลาดสหรัฐอเมริการวมถึงตลาดต่างประเทศ 

ในเวลานั้นซาโลมอนบราเธอร์เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของวัฒนธรรมการทำงานที่ประเมินผลงานจากความสามารถของพนักงานโดยแท้จริง ซึ่งหมายความว่า บริษัท บริษัทจะพิจารณาในการรับพนักงาน รวมถึงเลื่อนตำแหน่งจากความสามารถของพนักงาน โดยไม่ได้สนใจสถาบันการศึกษาที่จบมาอย่าง แม้จะเป็น Ivy League เหมือนที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้นมักจะทำกันแต่อย่างใด 

Micheal Bloomberg สมัยเพิ่งเริ่มเข้าสู่ Wallstreet ใหม่ ๆ
Micheal Bloomberg สมัยเพิ่งเริ่มเข้าสู่ Wallstreet ใหม่ ๆ

งานแรกของ Bloomberg คือพนักงานในห้องซื้อขาย ได้รับเงินเดือนช่วงแรกเพียงแค่ 9,000 ดอลลาร์ เท่านั้น “มันเป็นการเริ่มต้นที่ค่อนข้างต่ำมาก ๆ สำหรับดีกรีปริญญาโทบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างฮาร์วาร์ด” เขาเขียนไว้ในอัตชีวประวัติของเขาในปี 1997

“เราแทบจะใช้ห้องนิรภัยของธนาคารเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ที่นั่นไม่มีแม้กระทั่งเครื่องปรับอากาศ  ทุกบ่ายเราต้องมานั่งนับเงินดอลลาร์และพันธบัตรที่มีอยู่ ซึ่งมีมูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์เพื่อนำไปใช้กับธนาคารในการเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อในเช้าวันรุ่งขึ้น”

ในที่สุด Bloomberg ก็ได้ไต่เต้าจนกลายมาเป็นผู้ค้าตราสารหนี้และเป็นหุ้นส่วนของบริษัทได้สำเร็จในปี 1972 และเขาได้แต่งงานกับหญิงชาวอังกฤษ Susan Brown ในปี 1976

Bloomberg ได้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของบริษัทโดยสามารถทำกำไรได้เกือบทุกครั้งในตลาด แต่ Bloomberg กลับรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเขาได้รับสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการลดระดับหน้าที่การงานลง โดยเขาได้รับตำแหน่งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของ บริษัท  ในปี 1979

ต้องบอกว่าการค้าขายหลักทรัพย์ทางอิเล็กทรอนิกส์ในขณะนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และงานดังกล่าวก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับตำแหน่งก่อน ๆ ของเขาที่ได้รับแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามเนื่องจากการที่ระบบภายในของซาโลมอนบราเธอร์มีข้อบกพร่องมากมาย เขาจึงได้เริ่มทำการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่เขาได้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจกับระบบใหม่นี้

หลังจากนั้นเขาได้ออกจากซาโลมอนบราเธอร์ เพื่อมาเริ่มสร้างธุรกิจ โดยตั้งบริษัท Innovative Market Systems โดยเขามีลูกค้ารายแรกคือ เมอร์ริลลินช์ซึ่งถือเป็น บริษัท ชั้นนำของวอลล์สตรีทในขณะนั้น

ในช่วงเริ่มต้นนั้นเขาทำงานกับทีมงานเพียงสี่คนเท่านั้น โดย Bloomberg ได้ทำการออกแบบ และสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบสแตนด์อโลนที่ช่วยให้ผู้ค้าของเมอร์ริลลินช์ได้รับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับตลาดตราสารหนี้ ซึ่งหลังจากนั้น บริษัทได้ขยายบริการโดยเริ่มพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่แสดงข้อมูลราคาพันธบัตรและราคาหุ้นเพิ่มเติม และยังสามารถทำการคำนวณพันธบัตรรัฐบาลที่มีความซับซ้อนสูงได้อย่างรวดเร็ว

ในปี 1986 ระบบของเขาได้พัฒนาจนกลายมาเป็น Bloomberg LP ซึ่งได้กลายเป็นที่แพร่หลายใน Wall Street บริษัท ได้ทำสัญญากับธนาคารเพื่อการลงทุนและนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่หลายราย

โดย Bloomberg Terminals ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าถึงราคาตลาดปัจจุบันและอนุญาตให้ผู้ใช้ดำเนินการซื้อขายได้ทันที ซึ่งมีค่าติดตั้งเริ่มต้นที่สูงมาก แถมยังมีค่าบริการรายเดือนที่คิดราคาต่อเทอร์มินัลอีกต่างหาก ซึ่งโมเดลธุรกิจดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้กิจการของ Bloomberg นั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว 

Bloomberg Terminal เครื่องจักรทำเงินของ Micheal Bloomberg
Bloomberg Terminal เครื่องจักรทำเงินของ Micheal Bloomberg

ด้วยการที่มีลูกค้าใหม่ ๆ จาก บริษัทใน Wall Street มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่หันมาใช้เครื่องเทอร์มินัลของ Bloomberg รวมถึงรายได้จากค่าธรรมเนียมผู้ใช้รายเดือนสำหรับแต่ละบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 1,500 ดอลลาร์ต่อเดือน ทำให้ Bloomberg ได้กลายมาเป็นมหาเศรษฐีในที่สุด หลังจากนั้นเขาได้เริ่มลงทุนในธุรกิจอื่นๆ โดยใช้บางส่วนของผลกำไรมาลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ โดยในช่วงต้นปี 1990 เขาได้เข้าสู่ธุรกิจสื่อ ที่ให้บริการทั้งสถานีวิทยุ รวมถึงสร้างบริการสำนักข่าว Bloomberg  ชื่อดังอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเอง

และจากข่าวล่าสุด เขาได้ประกาศลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2020 อย่างเป็นทางการ โดยเขาจะมาในฐานะหนึ่งในผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต เพื่อไปต่อสู้กับประธานาธิบดี Donald Trump ต้องบอกว่าถือเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจมาก ๆ ของนักธุรกิจเสือเฒ่าทั้ง 2 คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจที่ตัวเองทำ และจะต้องมาห้ำหั่นกันเองอีกครั้งในศึกชิงประธานาธิบดีปี 2020 ที่จะถึงนี้นั่นเองครับ

References : https://www.biography.com/political-figure/michael-bloomberg https://www.britannica.com/biography/Michael-Bloomberg https://en.wikipedia.org/wiki/Michael_Bloomberg

Geek Monday EP29 : UPS กับการใช้ AI Machine Learning และ Big Data ในธุรกิจ

UPS ยักษ์ใหญ่ด้านโลจิสติกส์จัดสรรงบประมาณกว่าพันล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ บริษัท มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับเทคโนโลยีอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Big Data 

UPS ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายของ UPS เอง ไปจนถึงการปรับปรุงการดำเนินงานข้อมูลขนาดใหญ่ (BIG Data) และปัญญาประดิษฐ์ ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ UPS ในอนาคต

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/2OIKtUL

ฟังผ่าน Apple Podcast : https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast : http://bit.ly/2riMFKy

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/2KOCFzr

ฟังผ่าน Youtube : https://youtu.be/ZsjGcnLwgv4

References : https://www.marketingaiinstitute.com/blog/how-ups-uses-artificial-intelligence-to-save-200-million-per-year https://www.supplychain247.com/article/ups_launches_chatbot_and_accelerates_path_toward_use_of_ai

Movie Review : Frozen 2 โฟรเซ่น 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ

น่าจะเป็นหนังภาคต่อที่หลาย ๆ คนรอคอย โดยเฉพาะ เด็ก ๆ ที่ต่างหลงรักภาพยนต์ animation เรื่องนี้ ซึ่งเผลอแป๊บเดียวก็ผ่านมา 6 ปี เหล่าแฟนๆ รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ก็ยังคงรอคอยกันอย่างเหนียวแน่นเหมือนเดิม สำหรับ Frozen 2 โฟรเซ่น 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ

สำหรับในภาค 2 นี้จะกล่าวถึงเรื่องราว ว่าทำไมเอลซ่าถึงเกิดมาพร้อมกับพลังวิเศษ? คำตอบกำลังเรียกหาเธอและกำลังคุกคามอาณาจักรของเธอ เธอจึงเริ่มการเดินทางสุดอันตรายแต่แฝงไว้ด้วยความน่าพิศวง ไปกับ อันนา, คริสตอฟฟ์, โอลาฟ และสเฟน ใน “โฟรเซ่น – ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” เอลซ่ากลัวว่าพลังของเธอรุนแรงไปสำหรับโลกใบนี้ “โฟรเซ่น 2 – ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ” เธอเพียงได้แค่หวังว่าพลังของเธอจะรุนแรงพอ

ซึ่งในภาค 2 นี้ เป็นผลงานจากทีมผู้สร้างเจ้าของรางวัลออสการ์ – ผู้กำกับ เจนนิเฟอร์ ลี และคริส บัค ผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ เดล เวโค่ และผู้เขียนเพลง คริสเทน แอนเดอร์สัน-โลเปซ และโรเบิร์ต โลเปซ และนักแสดงผู้ให้เสียงพากย์ อิดิน่า เมนเซล คริสเทน เบลล์ โจนาธาน กรอฟฟ์, และ จอช แกด “โฟรเซ่น 2 – ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ” จากวอลท์ ดิสนีย์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ 

สารภาพตามตรง แม้ตัวผมเองจะไม่ค่อยอิน กับหนังแนว ๆ นี้ซักเท่าไหร่ น่าจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักของหนัง

แต่เท่าที่ได้ดูในภาคนี้ ก็ต้องบอกว่า ผลงานการสร้าง animation ของ ดิสนีย์ นั้น พัฒนาขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับหลาย ๆ เรื่อง แม้จะเป็นการ์ตูน แต่ก็ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ดีมาก ถามคนใกล้ตัวที่ไปดูด้วยกัน ก็บอกว่าชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรก

ทำให้เราอินไปกับการผจญภัยของสาวน้อย เอลซ่า เหมือนในภาคแรก แต่แถมด้วยเทคนิคต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะมีมากกว่าในภาคแรก แน่นอน เรื่องเพลงประกอบที่เป็นส่วนสำคัญของหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดี มีการตัดผสมผสานกับบทเพลงได้อย่างลงตัวมาก ๆ

ถือว่าเป็นหนังที่ดูแล้วไม่ผิดหวังจริง ๆ สำหรับภาคต่อของ Frozen ในภาคนี้ เป็นหนังครอบครัว ที่ทุก ๆ คนไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะดูได้ทุกเพศทุกวัยจริง ๆ ไม่น่าเบื่อเลย สามารถอินกับทั้งบท และ เพลงในภาพยนต์ animation ชุดนี้จนจบเรื่องอย่างมีความสุขครับ

สุดล้ำ! นักวิจัยกำลังสร้างภาพ Holograms ที่สามารถรับความรู้สึกได้

ในปัจจุบันเราได้เห็นภาพสามมิติของอวัยวะมนุษย์ , ช้างในละครสัตว์ หรือ แม้แต่นักดนตรีดนตรีชื่อดังที่ตายไปนานแล้วผ่านเทคโนโลยี Holograms แต่ตอนนี้นักวิจัยกำลังสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เราสามารถรับรู้ความรู้สึกได้

แต่ตอนนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซัสเซ็กซ์ได้ค้นพบวิธีการสร้างโฮโลแกรมที่ทันสมัยที่คุณไม่เพียงแค่สามารถมองเห็นได้เท่านั้นแต่ยังได้ยินและรู้สึกถึงมันได้อีกด้วย โดยพวกเขาสามารถถ่ายทอดมันออกมาโดยใช้เทคโนโลยีบางอย่าง

นักวิจัยได้ตีพิมพ์บทความลงบนอุปกรณ์ซึ่งเรียกว่า Multimodal Acoustic Trap Display (MATD) ในวารสาร Nature  เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

อุปกรณ์ทำงานโดยใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เพื่อดักจับและเคลื่อนย้ายเม็ดสไตรีนที่มีความกว้างสองมิลลิเมตร โดยจะมีลูกปัดคอยแกะรูปร่างของวัตถุออกเป็นสามมิติ ในขณะที่จะมีไฟ LED คอยส่องแสงสีแดงสีเขียวและสีน้ำเงิน

เนื่องจากลูกปัดกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วดวงตาของมนุษย์จึงเห็นเฉพาะรูปร่างที่สมบูรณ์เท่านั้น ภาพที่เกิดขึ้นมีความน่าสนใจไม่เหมือนกับวิธีแบบเดิม ๆ ในการสร้างภาพ Holograms ที่จะใช้ภาพนิ่งเป็นชุดต่อเนื่องแบบรวดเร็ว ที่ทำให้ดูเหมือนภาพมีการเคลื่อนไหว

“เทคโนโลยีใหม่ของเราใช้แรงบันดาลใจจากทีวีรุ่นเก่าที่ใช้การสแกนลำแสงสีเดียว บนหน้าจออย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้สมองของเรานั้นเห็นมันเป็นภาพเดียว” นักวิจัย Ryuji Hirayama กล่าวในการแถลงข่าว “ต้นแบบของเราทำในรูปแบบเดียวกันกับทีวีรุ่นเก่า ๆ โดยใช้อนุภาคสีที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ทุกที่ในพื้นที่ 3 มิติ สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า”

การใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ช่วยให้อุปกรณ์สร้างเสียงที่ได้ยินเช่นเดียวกับความรู้สึกทางกายภาพทำให้เราสามารถรับรู้ในความรู้สึกได้

“ แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงจริง ๆ ก็ตาม แต่อัลตร้าซาวด์ก็ยังเป็นคลื่นที่นำพลังงานผ่านอากาศ” นักวิจัย Diego Martinez Plasencia กล่าวในการแถลงข่าว “ ต้นแบบของเราจะมุ่งเน้นไปที่พลังงานดังกล่าวนี้ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้หูของคุณให้ได้ยินเสียงหรือกระตุ้นผิวหนังของคุณให้รู้สึกพอใจกับสิ่งที่เห็นได้”

นักวิจัยคาดการณ์ว่าอุปกรณ์รุ่นอนาคตใช้ประโยชน์จากเพื่อสร้างโฮโลแกรมที่มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น และบางทีอาจจะน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าต้นแบบเสียอีก

“ MATD ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ส่วนประกอบที่มีราคาต่ำและมีวางจำหน่ายในร้านค้าทั่วไป” ฮิรายามะกล่าวในการแถลงข่าว “ เราเชื่อว่ามีพื้นที่ทางการตลาดเหลือเฟือ ที่จะเพิ่มศักยภาพของอุปกรณ์ดังกล่าวในอนาคตได้”

References : https://www.theguardian.com/technology/2019/nov/13/hologram-like-device-animates-objects-using-ultrasound-waves

Movie Review : Countdown เคาท์ดาวน์ตาย

ต้องบอกว่าถือเป็นหนังที่มีไอเดีย ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับหนังเข้าใหม่ในสัปดาห์นี้อย่าง Countdown เคาท์ดาวน์ตาย ที่ดูเหมือนจะคล้ายหนังภาคต่อชุดดังอย่าง Final Destination ที่ถือเป็นหนังยอดนิยมที่มีแฟน ๆ เฝ้าติดตามมากมาย

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าต่อจากนี้เราสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะตาย เมื่อไหร่! สำหรับเรื่องราวในหนังนั้นเริ่มต้นขึ้น เมื่อนางพยาบาลสาวดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่สามารถพยากรณ์เวลาตายได้ และมันแจ้งว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 3 วันเท่านั้น เธอต้องพยายามหาวิธีเอาตัวรอดก่อนที่จะไม่หลงเหลือเวลาแม้แต่วินาทีเดียว

โดย “Countdown” ได้นักแสดงสาวอย่าง “เอลิซาเบ็ท เลล” (Elizabeth Lail) มารับบทนำ ซึ่งหากใครเคยได้ดู Series ใน Netflix อย่าง You น่าจะจำภาพของเธอได้ดี และแน่นอนว่า หนังเรื่องนี้เป็นแนวสยอง-ระทึกขวัญ ที่ผมชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่พลาดด้วยประการทั้งปวงที่จะเข้าไปชมทันทีหลังจากหนังเพิ่งเข้าโรง

เอาจริง ๆ มันคือการดำเนินเรื่องที่ไม่ต่างจาก Final Destination แต่อย่างใดสำหรับหนังเรื่อง Countdown เพราะเป็นเรื่องที่เล่นกับความตายของมนุษย์เราเหมือนกัน แต่จุดต่างคือ การที่ใช้เรื่องราวของ แอป ที่มานับถอยหลังการมีชีวิตอยู่ว่าเราจะเหลืออยู่อีกกี่ปีนั่นเอง

ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องผสมผสานความสยองขวัญ สั่นระทึก กับ หนังแนวภูติผีปีศาจ ที่เอาเรื่องราวมาผูกกัน มีการดำเนินเรื่องที่ถือว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เป็นหนังที่ค่อนข้างที่จะดูง่าย ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย

ฉากระทึกตื่นเต้น กระตุกขวัญนั้น ก็มีเป็นระยะ ๆ ซึ่งก็ถือว่าทำได้โอเคในระดับนึง แต่โดยรวมนั้น เป็นหนังที่เดาเรื่องอะไรได้ไม่ยากนัก การดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงแบบชัดเจน ผสมความ ดราม่าของเรื่องในที่ทำงานของนางเอกเพียงนิดหน่อย

สรุป หากใครเป็นแฟน ๆ ของ Final Destination ก็คงจะชอบกัน เพราะมันเหมือนภาคหนึ่งของ Final Destination นั่นเองสำหรับหนังเรื่องนี้ และ ใครที่เป็นแฟน ๆ ของ Elizabeth Lail จาก Series “You” ก็ไม่ควรพลาดกับงานใหม่ของเธอในหนังเรื่องนี้ครับ หนังก็ดูได้แบบโอค ถือว่า ไม่ได้ผิดหวัง แต่ถามว่าประทับใจมากมั๊ย ก็ต้องบอกว่า เฉย ๆ ครับกับผลงาน Countdown เคาท์ดาวน์ตาย ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ได้แย่ สำหรับการดูหนังในช่วงสุดสัปดาห์นี้ครับผม