Samsung จากร้านขายของชำ สู่ ยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีระดับโลก

Samsung ก่อตั้งขึ้นในปี 1938 โดย Lee Byung-Chull นักธุรกิจท้องถิ่นที่เปิดร้านขายของชำในเมือง Daegu ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นร้านค้าขายก๋วยเตี๋ยว ปลาแห้ง ผลไม้ และผัก รวมถึงผลผลิตอื่น ๆ ในท้องถิ่น และรอบ ๆ เมือง และมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน

หลังจากสงครามเกาหลีในช่วงต้นปี 1950 Byung-Chull ได้ขยายธุรกิจการค้าขาย จากธุรกิจของชำ เป็นธุรกิจสิ่งทอ ได้ทำการเปิดโรงงานผลิตขนสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ในเวลานั้นเกาหลีถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก และ Byung-Chull มีส่วนช่วยสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ 

และด้วยนโยบายรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่มีการสนับสนุน บริษัทในประเทศขนาดใหญ่ มีการปฏิบัติที่รู้จักกันในชื่อ chaebol โดยรัฐบาลจะช่วยจัดหาเงินทุน และป้องกันพวกเขาจากการแข่งขัน Samsung ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจาก chaebol มาตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1960 มีหลักประกันสินเชื่อและการสนับสนุนทางธุรกิจอื่น ๆ จากรัฐบาลช่วยให้พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งปี 1969 ที่ Samsung เข้าสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โดยเปิดแผนกอิเล็กทรอนิกส์ที่มุ่งเน้นขายภายในประเทศ หนึ่งในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชิ้นแรกคือโทรทัศน์ขาวดำ ซึ่งมันเป็นครั้งแรกของบริษัท และได้เริ่มมีการส่งออกไปยังปานามาในปี 1971 โดยในช่วงกลางปี 1970, Samsung ได้ทำเครื่องซักผ้าและตู้เย็น เพิ่มขึ้นมา

Samsung ไม่อยากตกขบวนในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอื่น ๆ ในทศวรรษ 1970 ได้ทำการ สร้าง บริษัทย่อยของ Samsung เช่น Samsung Shipbuilding, Samsung Heavy Industries และ Samsung Precision Company และ Samsung ก็เริ่มลงทุนในอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมี

Samsung ไม่อยากตกขบวนอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอื่น ๆ
Samsung ไม่อยากตกขบวนอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอื่น ๆ

ในปี 1974 Samsung Electronics ได้เข้าซื้อกิจการ Hankook Semiconductor และทำให้ Samsung กลายเป็นผู้นำตลาดในชิปหน่วยความจำในช่วงต้นปี 1990 และยังคงตำแหน่งในฐานะผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของโลกจนถึงทุกวันนี้ แม้แต่ Apple iPhones คู่แข่งของโทรศัพท์ Galaxy ของ Samsung ก็ใช้ชิปหน่วยความจำของ Samsung เช่นเดียวกัน

ปี 1970 เป็นทศวรรษที่สำคัญสำหรับ Samsung โดยเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้านออกไปต่างประเทศ และในปี 1978 สามารถผลิตทีวีขาวดำ 4 ล้านเครื่อง ซึ่งเป็นจำนวนการผลิตโทรทัศน์ที่มากที่สุดในโลกในเวลานั้น 

ในปีเดียวกันนั้น Samsung เปิดสำนักงานในต่างประเทศแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาและส่งออก เครื่อง VCR ไปยังอเมริกาในปี 1984 และในช่วงเวลานั้น บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น Samsung Electronics Co Ltd และมียอดขายเกิน 1 ล้านล้านวอน ซึ่งเทียบเท่า 3.4 ล้านล้านวอน ณ ปัจจุบัน

ในปี 1987 Byung-Chull กลายเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเกาหลีใต้ และเขาก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอด Lee Kun-Hee ลูกชายของ Byung-Chull เข้ามารับตำแหน่งของพ่อเขา ในปีต่อ ๆ มา Kun-Hee เปลี่ยนโฉมซัมซุงให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้

เขาเบื่อหน่ายกับชื่อเสีย ๆ ของบริษัทในการทำสินค้าคุณภาพต่ำในปี 1993 Kun-Hee บอกพนักงานของเขาว่า “จงเปลี่ยนแปลงทุกอย่างยกเว้นภรรยาและลูก ๆ ของคุณ” ต่อมา บริษัท ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมีการเปลี่ยนโฉมและสร้างนวัตกรรมใหม่ในฐานะผู้เล่นหลักในการผลิตสินค้าทางเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ 

เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นก่อน ๆ โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกของ Samsung นั้นเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของ บริษัท เกิดขึ้นเมื่อ Kun-Hee ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตโทรศัพท์และสั่งให้พนักงานสร้างกำลังการผลิตโทรศัพท์ให้ได้ 100,000-150,000 เครื่อง

ไม่น่าแปลกใจที่เขากลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การเปลี่ยนโฉมใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงซึ่ง Samsung แสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขาทำให้โทรศัพท์มือถือดีขึ้นจริง ๆ ในปี 1999 ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือ MP3 เครื่องแรกของโลก ในขณะที่ Nokia ครองตลาดโทรศัพท์มือถือในช่วงปี 1990 Samsung ยังคงคิดค้นนวัตกรรมสำหรับโทรศัพท์มือถือ ในปี 2002 มือถือรุ่น SGH T100 ของ Samsung เป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกที่ใช้หน้าจอ LCD และได้กลายเป็นหนึ่งในโทรศัพท์ที่ขายดีที่สุด โดยมียอดขาย 12 ล้านเครื่องทั่วโลก 

Kun-Hee ผู้พลิกโฉม Samsung เข้าสู่ยุค Digital
Kun-Hee ผู้พลิกโฉม Samsung เข้าสู่ยุค Digital

ในขณะเดียวกันเมื่อเข้าสู่ยุคปี 2000 Samsung พัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับอุตสาหกรรมโทรทัศน์โดยออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสบการณ์การรับชมของลูกค้า ในปี 2007 Samsung มียอดขายทั่วโลกเกินกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 78.3 พันล้านปอนด์) และในปลายปี 2008 Samsung กลายเป็นผู้ผลิตโทรทัศน์อันดับหนึ่งของโลก

แต่ในปีเดียวกันนั้น (2008) ก็ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับ Kun-Hee หลังจากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดในเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีและการยักยอกเงิน ทำให้ Kun-Hee ต้องลาออกจาก Samsung 

อย่างไรก็ตามความโดดเด่นของ Samsung ในฐานะบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกยังคงดำเนินต่อไป ในปี 2009 ซัมซุงเปิดตัวอุปกรณ์ที่ใช้ระบบ Android เป็นครั้งแรก  สมาร์ทโฟนที่รู้จักกันในชื่อ Samsung Galaxy i7500

สมาร์ทโฟน Android เครื่องแรกของ Samsung ที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างยอดเยี่ยม ที่สำคัญคือ Galaxy S ซึ่งเปิดตัวเพียง 9 เดือนหลังจาก Galaxy รุ่นแรกออกวางจำหน่าย โดยขายได้มากกว่า 25 ล้านเครื่อง 

Samsung Galaxy กับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในวงการมือถือโลกของ Samsung
Samsung Galaxy กับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในวงการมือถือโลกของ Samsung

Kun-Hee ได้รับการอภัยโทษจากเรื่องประธานาธิบดี Lee Myung-bak ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ หลังจากได้รับการนิรโทษกรรมเป็นพิเศษ อดีตประธานของ Samsung ก็กลับไปช่วย บริษัท หลังจากต้องรับโทษนาน 2 ปี เขากลับมาหลังจากที่ Samsung สามารถทำยอดขายได้สูงสุดในปี 2009 

Samsung ยังคงทำสิ่งที่ดีที่สุดมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยมีความกระตือรือร้นที่จะแข่งขันกับ iPad ใหม่ของ Apple ในปี 2010 Samsung เปิดตัว Galaxy Tab  “สมาร์ทโฟนขนาดใหญ่” โดยใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.2 โดยไม่มีการเพิ่มคุณสมบัติของแท็บเล็ตเข้าไป ทำให้ Galaxy Tab ออกสตาร์ทได้ไม่ดีเท่าที่ควร 

ในฤดูใบไม้ผลิ 2011 Apple เริ่มฟ้องร้อง Samsung ในคดีละเมิดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ การออกแบบสมาร์ทโฟนของ Samsung ภายในเดือนตุลาคมปีนั้น ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีทั้งสองต้องฟ้องร้องคดีกันกว่า 19 คดีต่อเนื่องใน 10 ประเทศ

ข้อพิพาททางกฎหมายที่ยืดเยื้อระหว่าง Samsung และ Apple ในที่สุดก็สิ้นสุดลงเสียที ในปี 2012 ศาลสหรัฐตัดสินว่า Samsung ละเมิดลิขสิทธิ์การออกแบบ iPhone ของ Apple และ Apple ได้รับเงิน 548.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (426 ล้านปอนด์) ในอีกสามปีต่อมา 

แม้จะมีการตัดสินคดีละเมิดลิขสิทธิ์ที่น่าอับอาย แต่ในปี 2013 Samsung ได้รับการขนานนามว่าเป็น บริษัท เทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของโลกโดยมีรายชื่อติดอันดับ Fortune 500 ซึ่งเป็นการจัดอันดับ บริษัท ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยวัดจากรายได้ 

ความพ่ายแพ้อีกครั้งของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของเกาหลีใต้เกิดขึ้นในปี 2016 บริษัท ได้หยุดการผลิตสมาร์ทโฟน Galaxy Note 7 มือถือระดับไฮเอนด์อย่างถาวร หลังจากมีรายงานว่าโทรศัพท์ติดไฟเนื่องจากความผิดพลาดของแบตเตอรี่ การเรียกคืนครั้งใหญ่นี้ คาดการณ์ว่า Samsung ต้องสูญเสียเงินสูงถึง 5.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (4 พันล้านปอนด์) และพิสูจน์แล้วว่าสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงของบริษัท

Note 7 กับความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Samsung
Note 7 กับความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Samsung

ความยากลำบากของ Samsung ยังคงดำเนินต่อไปในปี 2017 เมื่อรองประธานและทายาทของอาณาจักร Samsung ลีแจงยอง ถูกตัดสินว่ามีความผิดในเรื่องการติดสินบน เขาถูกตัดสินจำคุกห้าปีในเดือนสิงหาคมของปีนั้นแม้จะปฏิเสธข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตามหกเดือนต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 โทษของแจยองก็ลดลงครึ่งหนึ่ง และส่วนที่เหลือของคำสั่งจำคุก ได้ถูกศาลยกเลิกไป

หลังจากล้มเหลวจาก Galaxy Note 7, Samsung พยายามที่จะก้าวไปข้างหน้าและเปิดตัวต้นแบบของสมาร์ทโฟนที่สามารถพับเก็บได้เป็นครั้งแรกของโลกในปลายปี 2018 อย่างไรก็ตามเพียงไม่กี่วันก่อนวันที่จะเปิดตัว Galaxy Fold มือถือจอพับได้ บริษัทได้ทำการขอเลื่อนการเปิดตัว เนื่องจากยังมีปัญหากับตัวเครื่องที่ยังไม่สมบูรณ์

แต่แม้จะเต็มไปด้วยข้อพิพาท เรื่องอื้อฉาว และความพ่ายแพ้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Samsung ก็เป็น บริษัท ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก โดยมียอดขายถึง 225,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไร 41,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินทรัพย์และมูลค่าตลาดของ Samsung กว่า 326,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2018

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับบริษัท Samsung ที่เดิมนั้นขายปลาตากแห้ง หรือสินค้าของชำ เพียงเท่านั้น ที่ในปัจจุบันสามารถเติบโตกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีของโลกอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ถือเป็น case study ทางธุรกิจที่น่าสนใจที่สุด case หนึ่งในวงการธุรกิจโลกเลยก็ว่าได้ ในการที่ Samsung ก้าวมาได้ถึง ณ จุดนี้ครับผม

References : https://www.lovemoney.com/Topics/household-money https://www.britannica.com/topic/Samsung-Electronics https://www.lovemoney.com/gallerylist/80663/samsungs-incredible-success-story-from-grocery-store-to-tech-titans

 

งานวิจัยใหม่กับความสามารถในการปลูกถ่ายผิวหนัง ด้วยเทคโนโลยี 3D Printing

นักวิจัยจากสถาบันโพลีเทคนิค Rensselaer ในนิวยอร์กอ้างว่ามีผิวหนังที่สร้างจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่สามารถมีชีวิตอยู่และมีเส้นเลือดเหมือนกับผิวหนังจริง ๆ ของมนุษย์

เทคนิคใหม่นี้สามารถเร่งกระบวนในการเยียวยารักษาได้อย่างมากสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการการปลูกถ่ายผิวหนังเช่น ผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้

“ตอนนี้มันยังไม่สามารถใช้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทางคลินิกจริง ๆ ” หัวหน้านักวิจัย Pankaj Karande ศาสตราจารย์วิศวกรรมเคมีที่ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพและสหวิทยาการศึกษา กล่าวว่า “มันช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นได้จริง แต่ผิวหนังเหล่านี้มันยังไม่สามารถรวมเข้ากับเซลล์ของผู้ป่วยจริงได้ในตอนนี้”

ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร  Tissue Engineering นักวิจัยได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเพิ่มเซลล์ที่สำคัญต่อการพัฒนาหลอดเลือดไปสู่คอลลาเจนของสัตว์ ภายในเครือข่ายที่ซับซ้อนของเนื้อเยื่อที่ทำการสร้างออกมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

“ เรารู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าเมื่อเราเริ่มเข้าใกล้ในการสร้างสิ่งที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ในการสร้างอวัยวะทางชีววิทยาขึ้นมาใหม่ ซึ่งในที่สุดจะเข้ามาแทนที่และตอนนี้มันเริ่มเข้าใกล้สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ ” Karande กล่าว

ผิวหนังที่ผลิตมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติของพวกเขา เริ่มมีความเชื่อมโยงและสามารถสื่อสารกับเส้นเลือดของหนูได้ในการทดลองกับสัตว์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันพร้อมสำหรับการใช้งานกับผู้ป่วยในระดับคลินิกจริง ๆ  

ซึ่งเซลล์ของผู้บริจาคจะต้องได้รับการแก้ไขโดยใช้เทคนิคการแก้ไขยีนเช่น CRISPR เพื่อป้องกันร่างกายของผู้ป่วยจริงที่ได้รับไม่ให้ ปฏิเสธเซลล์เนื้อเยื่อที่ผลิตจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติเหล่านี้

ถึงกระนั้นมันก็ถือเป็นทางออกที่ดี ที่ช่วยให้ร่างกายทำสิ่งที่มันทำตามรูปแบบของธรรมชาติของมนุษย์ แต่ด้วยอาจจะเพิ่มเติมด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยโดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง CRISPR นั่นเอง

References : https://futurism.com/neoscope/3d-printed-skin-blood-vessels

Geek Monday EP27 : วิธีที่น่าอัศจรรย์ที่ Samsung ใช้กับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาสร้างกลยุทธ์ในธุรกิจ

Samsung ได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นคู่แข่งด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระดับโลก โดยจากกิจกรรมต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมไปจนถึงการตั้งเป้าหมายกับ AI ในระดับแนวหน้าไปจนถึงการอัปเดตผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ปัญญาประดิษฐ์

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ดูเหมือนว่า Samsung จะเต็มไปด้วยพร้อม ในการเตรียมการสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่กำลังใกล้เข้ามา

ด้วยชื่อเสียงและความสำเร็จกับ Android และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และบทเรียนก่อนหน้านี้กับ AI และกลยุทธ์ที่แน่วแน่ที่มีต่อการเติบโตและความเป็นเลิศของ AI ในอนาคตของ Samsung จะช่วยปิดช่องโหว่ของตัวเองและสร้างความได้เปรียบคู่แข่งในการแข่งขันของธรุกิจของพวกเขาได้ในอนาคต นั่นเองครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/2K4DXGs

ฟังผ่าน Apple Podcast :   https://apple.co/2Q4ARpq

ฟังผ่าน Google Podcast : http://bit.ly/2qC3csE

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/34LBkB5

ฟังผ่าน Youtube :   https://youtu.be/6ql5rAjbD8E

References : http://www.businesskorea.co.kr/news/articleView.html?idxno=20610 https://www.lifewire.com/history-of-samsung-818809 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B5_%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%A5

Movie Review : Doctor Sleep ลางนรก

หลังที่ได้ย้อนกลับไปดู ความสยองขวัญของ The Shining ที่ผมได้รีวิวไปก่อนนี้นั้น ก็ทำให้ผมค่อนข้างตั้งความไว้กับภาคต่ออย่าง Doctor Sleep ค่อนข้างสูง แถมภาคใหม่นี้ยังได้ ผู้กำกับและเขียนบทอย่าง ไมค์ ฟลานาแกน ที่เคยฝากผลงานสุดสะพรึ่งที่ผมประทับใจมากใน Series อย่าง The Haunting of Hill House ใน Netflix

โดยในภาค ใหม่ “Doctor Sleep” จะเป็นเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ใน The Shining ในอีก 40 ปีถัดมาจากเหตุการณ์สยอง ณ โรงแรมโอเวอร์ลุค ที่ยังคงทำให้แดน (รับบทโดย ยวน แม็คเกรเกอร์ ) รู้สึกหวาดกลัวจนถึงทุกวันนี้

แดนพยายามหาวิธีให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่สุด แต่ความสงบสุขนั้นกลับพังทลายลงเมื่อแดนได้เจอกับ แอบรา หญิงสาวจิตใจกล้าหาญเจ้าของพลังวิเศษเรียกว่า “ไชน์” ที่เดินทางออกตามหาแดนเพื่อขอความช่วยเหลือให้ร่วมต่อสู้กับ โรส เดอะ แฮท (รับบทโดย  รีเบคก้า เฟอร์กูสัน ) ผู้เหี้ยมโหด และเดอะ ทรู น็อต กลุ่มลัทธิคัลต์ลูกสมุนของเธอ ที่ออกตามล่าเด็กผู้บริสุทธิ์เพื่อชีวิตอมตะของตัวเอง

จากคนแปลกหน้ากลายเป็นพันธมิตร ในระหว่างที่แดนและแอบราต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงอันตรายในสงครามใหญ่กับโรส จิตใจอันบริสุทธิ์และกล้าหาญของแอบรากลับปลุกพลังลึกลับภายในตัวของแดนขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่นั่นทำให้เหล่าภูติผีวิญญาณร้ายในอดีตฟื้นคืน และทำให้แดนต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวอีกครั้ง

จะเห็นได้ว่า จากเรื่องย่อที่เล่ามานั้น มันดูเหมือนว่า Doctor Sleep จะกลายเป็นหนังในแนวที่แตกต่างจาก The Shining อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ในประเภทเดียวกัน (หนังสยองขวัญ) ก็ตาม เพราะการเข้ามาของ โรส เดอะ แฮท นี่เองที่ทำให้ Doctor Sleep เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

แน่นอนว่า เมื่อดูจบ ความสยองขวัญสั่นประสาท มันเทียบไม่ได้กับภาคแรกเลยด้วยซ้ำ เพราะ Doctor Sleep มันกลายเป็นหนังสไตล์ ฮีโร่ เสียอย่างงั้น การสู้กันด้วยพลังจิต หรือพลังวิเศษนั้น ทำให้ผมนึกถึงหนังจำพวก X-men เสียมากกว่า เข้าใจว่าทำเพื่อการเพิ่มฐานแฟน ๆ ให้มากขึ้น

ด้วยความยืดยาวของหนังกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งนั้น เป็นอะไรที่ยาวเกินไป เพราะ 2 ชั่วโมงแรก เป็นการดำเนินเรื่องที่แทบจะไม่มีอะไร มาสนุกจริง ๆ ก็ตอนครึ่งชม.สุดท้ายเพียงเท่านั้น ซึ่งความเห็นส่วนตัว ควรจะตัดหนังให้มันกระชับมากกว่านี้

และส่วนที่ดูแปลก ๆ อย่างยิ่งคือ การพยายามยัดซาวด์แบบเดิม ๆ เข้ามาในหนังยุคนี้ ซึ่งมันมันดูไม่เข้ากันเลย เพราะ เป็นหนังคนละสไตล์อย่างที่ผมได้กล่าวไป ซาวด์แบบเดิมนั้น มันเหมาะกับ The Shining มากกว่า ไม่เหมาะมาใช้ในหนังเรื่องนี้เลย ทำให้ความรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล

สรุปก็คือสำหรับคนที่ได้ดู The Shining มาแล้วมาดูภาคนี้นั้น อาจจะทำให้คุณผิดหวังได้ แต่หากดูแบบไม่รู้อะไรเลย ก็อาจจะสนุกในแบบของหนังพลังจิตทั่วไป ที่ไม่ค่อยสยองขวัญเท่าที่เราได้คาดหวังไว้ มันคือหนัง mass ดี ๆ นี่เอง แค่มาเพิ่มความสยองขวัญในตอนท้ายเรื่องเพียงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายเพียงเท่านั้น สำหรับความเห็นส่วนตัว ถือเป็นภาคต่อที่น่าผิดหวัง แม้จะดูสนุก แต่มันไม่ใช่หนังสยองขวัญ คลาสสิก เหมือน The Shining ตามที่ผมคาดหวังไว้นั้นเองครับ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol