HongMeng OS กับทางรอดของ Huawei

การขึ้นบัญชีดำของสหรัฐฯบังคับให้ Google ยุติความร่วมมือทางธุรกิจกับหัวเว่ย หมายความว่าจะไม่มีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่เปิดตัวโดย Huawei ที่จะสามารถเข้าถึง Play สโตร์ของ Google และแอปพลิเคชั่นที่เป็นทางการของ Google ได้อีกต่อไป

โทรศัพท์มือถือของ Huawei จะยังคงได้รับการสนับสนุนจาก Android Open Source Project (AOSP) แต่มันแทบจะไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจให้ลูกค้าใช้อุปกรณ์ต่อโดยไม่มีที่บริการหลักของ Google Service เหลืออยู่

หัวเว่ยอ้างว่าพวกเขาคาดหวังว่าจะมีการเคลื่อนไหวเช่นนี้และพวกเขาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะบรรเทาลงให้ได้มากที่สุด หนึ่งในขั้นตอนเหล่านั้นคือการพัฒนาระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนของตัวเองซึ่งมีรายงานว่าตอนนี้มีชื่อ HongMeng OS ซึ่งมีรายงานว่าอยู่ในช่วงทดลองและมีข่าวลือว่าจะค่อยๆเปลี่ยนจากระบบปฏิบัตการ Android แบบเป็นค่อยเป็นค่อยไป

ตามทวีตจาก Global Times ด้วยข่าวลือที่มาจากรายงานสื่อจีนสามฉบับ HongMeng OS อาจเป็นชื่อที่ของระบบปฏิบัติการมือถือของ Huawei ในช่วงแถลงการณ์ครั้งแรกของหัวเว่ย ไม่นานหลังจากที่ Android สั่งห้าม บริษัท พยายามประคองสถานการณ์ และดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด โดยระบุว่าจะยังคง ‘สร้าง Ecosystem ของซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืน’ คำว่า ‘ยั่งยืน’ อาจหมายถึงว่าในกรณีที่มีการห้ามใช้งาน Android ขึ้นมาจริง ๆ  Huawei จะดำเนินการเปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองสำหรับโทรศัพท์มือถือ เป็นแผนต่อไป

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 ผลประกอบการของ Huawei มีรายรับ26.8 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยมียอดขาย 59 ล้านเครื่อง บริษัท แสดงให้เห็นว่าแผนกโทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจทำเงิน  เริ่มแรกมีรายงานว่าแพลตฟอร์มมือถือของ Huawei จะเรียกว่า Kirin OS ขณะเดียวกันก็ระบุว่าตั้งแต่พูดถึงข่าวลือที่กล่าวมาข้างต้นนั้นยังไม่มีการติดตามเกี่ยวกับชื่อของแพลตฟอร์ม 

Richard Yu ซีอีโอ ผู้ดูแลธุรกิจมือถือของ Huawei ไม่ได้พูดถึงชื่อของระบบปฏิบัติการใหม่ในที่สาธารณะแต่อย่างใด และผู้บริหารคนอื่น ๆ ได้เน้นถึงความท้าทาย  ในการสร้างระบบปฏิบัติการของหัวเว่ยเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นจะให้สิ่งจูงใจแก่นักพัฒนาและให้กำลังใจพวกเขาในการเริ่มต้นสร้างแอพสำหรับแพลตฟอร์มนี้ซึ่งจะเป็นการหลุดพ้นจากแพลตฟอร์ม Android อีกด้วย Google ที่ไม่ได้ทำธุรกิจกับหัวเว่ยอีกต่อไป ซึ่งมีโอกาสสูงที่หัวเว่ยเองนั้นจะเดินหน้าเต็มสูบในการพัฒนาระบบปฏิบัติการ HongMeng ขึ้นมาให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด

References : 
https://wccftech.com/huawei-hongmeng-os-for-smartphones/

Rare Earth น้ำมันแห่งศตวรรษที่ 21

Rare Earth เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตชิปเซ็ต คอมพิวเตอร์และบรรดาเหล่าอุปกรณ์ไฮเทคอีกมากมาย รวมถึงอาวุธ และมันเป็นสินค้าสำคัญอีกอย่างนึงยังไม่ได้ถูกขึ้นบัญชีเพิ่มภาษีนำเข้าโดยสหรัฐ จากสงคราม Trade War ครั้งนี้ เนื่องจากสหรัฐมีความจำเป็นต้องนำเข้าแร่ดังกล่าวจากจีนถึงถึง 80% จากปริมาณนำเข้าทั้งหมด

ธาตุโลหะหายากหรือที่เรียกภาษาอังกฤษว่า Rare Earth Element หรือ Rare Earth Metal คือธาตุ 17 ธาตุที่จริงๆ พบได้ในดินทั่วไปไม่ยากนัก แต่มักจะมีลักษณะกระจัดกระจาย โดยที่ทั้ง 17 ธาตุยังมีลักษณะคล้ายคลังกันอีก ซึ่งมันทำให้ส่งผลต่อการสกัดธาตุออกจากกันในระบวนการถลุงแร่นั้นต้องใช้ทั้งเทคนิคขั้นสูงและสร้างของเสียทางเคมีออกมาอย่างมหาศาล

และด้วยสาเหตุนี้ทำให้ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐที่เคยเป็นผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากในยุคทศวรรษที่ 60-80 ยอมถอยให้กับจีนที่มีแรงงานราคาถูก และไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเสียเท่าไหร่นัก

สำหรับสินแร่หายากที่นำมาใช้ในทางอุตสาหกรรมมีอยู่ 5 ประเภท คือสแคนเดียม (Scandium) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมัน โพรมีเทียม (Promethium) ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ แลนทานัม (Lanthanum) ใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และกล้องถ่ายรูป อิตเทรียม (Yttrium) ใช้ในการผลิตโทรทัศน์และเตาอบไมโครเวฟ และเพรซีโอดีเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้อุตสาหกรรมผลิตใยแก้วนำแสงและเครื่องยนต์ของเครื่องบิน

แรงงานราคาถูก รวมถึงของเสียออกจากโรงงานเยอะ ทำให้จีนกลายเป็นเจ้าตลาดธาตุโลหะหายากพวกนี้
แรงงานราคาถูก รวมถึงของเสียออกจากโรงงานเยอะ ทำให้จีนกลายเป็นเจ้าตลาดธาตุโลหะหายากพวกนี้

ความยากเห็นในการได้มาซึ่งธาตุโลหะหายากนี้ก็ดูจะบ่งว่ามันมีความสำคัญไม่น้อยต่อโลกยุคปัจจุบัน ที่กำลังนำโดยเทคโนโลยี รวมถึงอุปกรณ์ไฮเทค Gadget ต่าง ๆ  โดยธาตุโลหะเหล่านี้ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ของอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีทั้งหลายในปัจจุบันเช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เลนส์กล้องถ่ายรูป ทีวีจอแบน เครื่องยิงแสงเลเซอร์สารพัด แบตเตอร์รี่รถยนต์แบบลิเธี่ยม แผงโซล่าร์เซลล์ กังหันลม แม่เหล็ก เซรามิค ระบบนำวิถีของจรวดมิสไซล์ เป็นต้น

ซึ่ง ณ ขณะนี้ จีนกลายเป็นเป็นผู้ผลิตธาตุโลหะหายากกว่า 90% ในโลก จีนได้ขยายการผลิตธาตุโลหะหายากส่วนใหญ่ของโลกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ดังที่เติ้ง เสี่ยว ผิง ประกาศในขณะเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1992 ว่า “ตะวันออกกลางมีน้ำมัน แต่จีนเรามีธาตุโลหะหายาก” และอัตราส่วนแบ่งตลาดก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาเป็นกว่า 90% ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการครองตลาดแทบจะเบ็ดเสร็จของจีนในการผลิตธาตุโลหะหายากเหล่านี้

แม้สถานการณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะทำให้จีนมีอำนาจในตลาดอย่างมหาศาล จนในปี 2010 จีนตัดสินใจจำกัดการส่งออก “ธาตุโลหะหายาก” จริงๆ เป็นครั้งแรก โดยขู่จะตัดการส่งออกแร่หายากให้กับญี่ปุ่น เพื่อกดดันให้ญี่ปุ่นปล่อยตัวกัปตันเรือชาวจีนที่ขับเรือชนเรือยามฝั่งของญี่ปุ่น และการข่มขู่ดังกล่าวก็เหมือนจะได้ผลเมื่อญี่ปุ่นปล่อยตัวกัปตันเรือในทันที

ซึ่งเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้ ในสงคราม Trade War ระหว่างจีนกับสหรัฐ จีนอาจใช้ Rare Earth เพื่อเป็นมาตรการตอบโต้ในช่วงเวลาที่สงครามการค้ากำลังดุเดือดมากขึ้น ซึ่งหากจีนใช้ Rare Earth เป็นตัวต่อรอง ด้วยการระงับการส่งออกหรือเพิ่มภาษีในอัตราที่สูงมาก ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศเช่นกัน แต่ก็อาจเป็นผลดีให้จีนเริ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้แร่ชนิดนี้ เพื่อเพิ่มระดับความต้องการภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น

ซึ่งทางฝั่งอเมริกาเอง ก็ได้เตรียมรับมือกับแผนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยช่วงที่เกิดสงครามการค้า สหรัฐก็ได้เริ่มทำการรื้อฟื้นอุตสาหกรรม Rare Earth ในประเทศ หรือมองหาทางเลือกอื่นในการนำเข้าจากเวียดนามหรือเม็กซิโก  แถมยังมีแหล่งผลิตอีกมากมายทั่วโลก และมีช่องทางในการหลีกเลี่ยงการผูกขาดของจีนในอีกหลายทางนั่นเอง

References : 
https://thediplomat.com/2013/01/the-new-prize-china-and-indias-rare-earth-scramble/?allpages=yes&fbclid=IwAR1XnaGBNxA3gaY57PFLHSQTjrTqqshS70QEaKI4GsimDpWmFSIuMRVZazU

แค่นี้ขี้ประติ๋ว สีจิ้นผิง ประกาศกร้าว ศึกนี้พร้อมสู้กันอีกนาน

เนื่องจากข้อพิพาททางการค้าทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาเปรียบย้อนไปในภาพยนตร์จีนแบบคลาสสิกที่เกี่ยวกับ “สงครามต่อต้านอเมริกาและช่วยเหลือชาวเกาหลี” ของสงครามเกาหลีในปี 1950 ซึ่งเป็นสงครามที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีของชาวจีน

นี่เป็นหนึ่งในสัญญาณหลายอย่างในประเทศจีนที่บ่งบอกถึงสิ่งที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าตอนนี้จะเป็นข้อขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐ และทางจีนเต็มใจที่จะยอมรับ  เงื่อนไขที่โดนัลด์ทรัมป์เรียกร้องเพื่อยุติการทะเลาะวิวาทกันทางการค้าที่มีมากว่า 2 ปี

สีจิ้นผิง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และผู้นำสูงสุดของจีน กำลังเตรียมการที่จะนำประเทศของเขาสู่ความขัดแย้งทางการค้าที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์พลังงานและความเกี่ยวข้องกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก เช่น เดียวกับเมื่อคราวที่เหมาเจ๋อตงส่ง “อาสาสมัคร” ของจีนไปสู้รบกับกองกำลังสหรัฐในช่วงสงครามเกาหลีในช่วงปี 1950 เป็นเวลากว่าสี่ปี 

เช่นเดียวกับการตัดสินใจของเหมาเพื่อเข้าสู่ความขัดแย้งของเกาหลี เมื่อหกสิบปีก่อนกองทหารที่มีอาวุธที่ไร้ประสิทธิภาพของเหมาต้องเผชิญกับกองกำลังทหารอเมริกันที่เหนือกว่าในเรื่องเทคโนโลยีในสงครามเกาหลี 

ทุกวันนี้เศรษฐกิจของจีนขึ้นอยู่กับการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามากกว่าสหรัฐอเมริกาที่จะส่งออกไปยังประเทศจีน หลังจาก 30 ปีของการเติบโตใกล้ตัวเลขสองหลักจนเศรษฐกิจของจีนก้าวขึ้นมาจนใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

แต่ในขณะที่กองกำลังจีนที่กำลังจนตรอกต่อสู้กับสหรัฐในสงครามเกาหลีในท้ายที่สุด ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับกองกำลังติดอาวุธของอเมริกา

ทหารจีนที่ส่งไปช่วยรบในสงครามเกาหลี ต้องล้มตายเป็นจำนวนมากด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่าของสหรัฐ
ทหารจีนที่ส่งไปช่วยรบในสงครามเกาหลี ต้องล้มตายเป็นจำนวนมากด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่าของสหรัฐ

แต่ในศึก Trade War ครั้งนี้ สีจิ้นผิง แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถควบคุมการต่อสู้ในศึกครั้งนี้ให้สามารถประสบความสำเร็จได้ และ กองกำลังจากจีนจะไม่มีทางซ้ำรอยเดิมในเหตุการณ์สงครามเกาหลี อย่างแน่นอน

โดยเจ้าหน้าที่จีนเชื่อว่าพวกเขามีข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันสองอย่างเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามในช่วงสงครามการค้า สิ่งแรกคือ การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ ที่ สีจิ้นผิงนั้น ต้องการเพียงแค่นิ้วมือของเขาและรัฐบาลที่ควบคุมโดยพรรค, ฝ่ายนิติบัญญัติ, สื่อและระบบธนาคารของจีน ซึ่งเขาควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ต่างจากทรัมป์ ที่สามารถควบคุมได้แค่ใน Twitter ของเขาเพียงเท่านั้น

สีจิ้นผิง นั้นสามารถควบคุมทุกอย่างในประเทศจีนได้แบบเบ็ดเสร็จเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ
สีจิ้นผิง นั้นสามารถควบคุมทุกอย่างในประเทศจีนได้แบบเบ็ดเสร็จเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ

พรรคคอมมิวนิสต์จีนมี “ทีมชาติ” ของนายหน้าธนาคารและ บริษัท ยักษ์ใหญ่ในการจัดการเพื่อ “ซื้อ” แบบทุ่มตลาดในจีนเมื่อมีความจำเป็น เมื่อดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ร่วงลงเกือบ 6% มาอยู่ที่ 2,906 จุดในวันนี้หลังจากการเพิ่มขึ้นของสงครามการค้าครั้งล่าสุดของนายทรัมป์ การตอบสนองของรัฐบาลจีนโดยเหล่าทีมชาติของพวกเขาสามารถเสก ให้วันรุ่งขึ้น ดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ ดีดตัวขึ้นได้ทันที เพราะพวกเขาพร้อมจะรบในศึกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ข้อได้เปรียบที่สองของ สีจิ้นผิง คือความรู้สึกเดือดดาลในอดีตที่เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจในอดีตต่ออำนาจจากต่างประเทศที่ก่อนหน้านี้เขามองว่าจีนนั้น “ถูกกลั่นแกล้ง” และ “ถูกทำให้ดูต่ำต้อย” เกินไปเมื่อเทียบกับสภาพความเป็นจริงของจีนในปัจจุบัน

เมื่อความต้องการการเจรจาการค้าของทรัมป์เริ่ม  รั่วไหลในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วความโกรธเคืองที่คนจีนหลายคนรู้สึกได้ ฟรีดริชวู ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางแห่งสิงคโปร์ สรุปความรู้สึกของหลาย ๆ คนเมื่อเขาอธิบายว่าสิ่งที่ทรัมป์ และ สหรัฐต้องการนั่นก็คือ “การบังคับให้จีนนั้นยอมรับความพ่ายแพ้”

“ซึ่งมันเหมือนการดูถูกจีนในยุคปัจจุบัน ภาพแบบนั้นมันต้องมองย้อนกลับไป ถึงศตวรรษที่ 19 เมื่ออำนาจของตะวันตกและญี่ปุ่นกำหนดเงื่อนไขทั้งหมดในสนธิสัญญาไม่เท่าเทียมกันที่น่าอับอายต่อราชวงศ์ชิงของจีนที่กำลังอ่อนแออยู่ในขณะนั้น” 

ดูเหมือนว่าศึกนี้ คงจะไม่จบลงง่ายๆ  อย่างแน่นอน การควบรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จของ สีจิ้นผิง นั้น ต้องเรียกได้ว่า มีพลังมากกว่าที่ ทรัมป์มีเยอะ แม้อเมริกาจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ทรัมป์ ยังมีแผลเบื้องหลังที่คอยทิ่มแทงเขา หากสงครามครั้งนี้ ทรัมป์แพ้ มันส่งผลโดยตรงต่อ ตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้าอย่างแน่นอน ต้องเรียกว่าศึกครั้งนี้มีการเดิมพันสูง กับอนาคตทางการเมืองของทั้งทรัมป์ และ สีจิ้นผิง เลยก็ว่าได้

References : 
https://www.ft.com/content/52a6731c-7882-11e9-be7d-6d846537acab 

Paypal Mafia ตอนที่ 13 : Russel Simmons

Russel Simmons เป็นหนึ่งใน Paypal Mafia ชาวอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CTO ของ Yelp, Inc ร่วมกับ กับ Stoppelman ในปี 2004 ก่อนที่เขาจะออกไปในเดือนมิถุนายน 2010 

Simmons จบการศึกษาปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ Urbana-Champaignในปี 1998 สาขาวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์

Simmons นั้นได้เริ่มต้นเป็นวิศวกร PayPal คนแรกในตำแหน่ง CTO (Chief Technology Officer) โดยเขาได้ช่วยออกแบบและพัฒนาระบบ PayPal ตั้งแต่เริ่มต้น ในฐานะผู้นำด้านซอฟต์แวร์ ซึ่งตอนนั้นเป็นทีมเล็ก ๆ โดยตัวเขานั้นถือเป็นวิศวกรที่มีอาวุโสสูงที่สุดในช่วงเริ่มแรกของ Paypal

งานรวมถึงซอฟต์แวร์ด้านความสามารถใน Scale ขนาดของเว๊บไซต์ให้รองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น รวมถึงงานด้านการรักษาความปลอดภัย รวมถึงการปรับ paypal ให้มีความพร้อมใช้งานในระดับสากล เขายังทำการการจัดการเรื่อง Sourcecode ของเหล่าวิศวกรภายในทีม และเป็นที่ปรึกษาเหล่าผู้บริหารยุคแรก ๆ ในการการตัดสินใจทางด้านเทคโนโลยี

หลังจาก Paypal ถูกขายให้กับ Ebay เขาก็ยังอยู่ทำงานกับ Paypal ก่อนที่ในปี 2004 จะมาร่วมกับ Stoppelman เพื่อนร่วมงานสร้างบริการของ Yelp ซึ่งเริ่มแรกเป็นบริการแนะนำอีเมล โดยเขาได้ปรับเปลี่ยนเป็นเว็บไซต์ Yelp ให้กลายเป็นบริการที่ใช้ในการค้นหาธุรกิจท้องถิ่นสำหรับพื้นที่ในเมือง ซานฟรานซิสโกในเดือนตุลาคม 2004 

ร่วมกับ Stoppelman ก่อตั้ง Yelp
ร่วมกับ Stoppelman ก่อตั้ง Yelp

นอกจาก Yelp แล้ว Simmons ยังเปิดเว็บไซต์ Learnirvana ในปี 2012
เพื่อเชื่อมโยงครูที่ต้องการสอนพิเศษภาษาต่างประเทศและผู้ที่ต้องการเรียนภาษาเพิ่มเติมเข้าด้วยกัน เป็นรูปแบบ Education Tech Startup ที่เขาได้สร้างขึ้นมา โดยยังทำงานอยู่ที่ Lernirvana มาจวบจบถึงปัจจุบัน

บทบาทของเหล่า Paypal Mafia ต่อ Silicon Valley และวงการเทคโนโลยีโลก

เราจะเห็นได้ว่า จาก Blog Series ชุดนี้นั้น เราจะเห็นได้ถึง บทบาทของเหล่า Paypal Mafia ที่มีอิทธิพลอย่างชัดเจนต่อ Startup ในยุคหลัง ๆ ของ Silicon Valley หลาย ๆ บริการที่กลายมาเป็นบริการโด่งดังในปัจจุบัน ล้วนผ่านมือพวกเขาเหล่านี้ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งมาแล้วแทบจะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Uber , Instragram , Youtube , Kiva.org , AirBnb หรืออีกหลายธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ส่วน Elon Musk นั้น แม้จะเป็นหนึ่งใน Paypal Mafia อีกคนที่บทบาทสำคัญ และกำลังสร้างธุรกิจหลาย ๆ อย่างที่กำลังเปลี่ยนโลกเราให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Tesla ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น Solarcity ที่สร้าง Solution ด้านพลังงานทดแทนให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึง โปรเจคใหญ่อย่าง SpaceX ที่ Musk นั้นมีเป้าหมายที่ใหญ่อย่างยิ่ง ที่ในอนาคต เราอาจจะสามารถย้ายถิ่นฐานไปยังดาวดวงอื่นได้จริง ๆ จัง ๆ เหมือนในหนัง Hollywood เสียทีครับ

ก็ ต้องบอกว่า ทุก ๆ  คนใน Paypal Mafia เหล่านี้ ตัวตนจริง ๆ นั้นพวกเขาต้องการที่จะเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นแทบจะท้้งสิ้น พวกเขาพร้อมจะสนับสนุนทุก ๆ ธุรกิจเกิดใหม่ที่มีโอกาสเติบโต และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ซึ่งสุดท้ายแล้วนั้น ธุรกิจต่างๆ  เหล่านี้ก็จะมาช่วยเหลือมนุษย์เราให้ใช้ชีวิตได้ดีและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ 

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Jawed Karim *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Huawei P30 Pro/Mate 30 กับอนาคตบนความไม่แน่นอน

จากรายงานข่าวสุด Hot ในวันนี้ที่ Google ได้ระงับการทำธุรกิจกับ Huawei เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐ ที่นำโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งผลที่เกิดขึ้นั้นไม่ดีสำหรับ Huawei อย่างแน่นอน

เหล่าผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ Huawei นอกประเทศจีน จะไม่สามารถเข้าถึงการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android ของ Google ได้ทันที รวมถึง สมาร์ทโฟน Huawei รุ่นใหม่ในอนาคตที่รันบน Android จะเสียสิทธิ์การเข้าถึงบริการหลักยอดนิยมของระบบปฏิบัติการ Android เช่น Google Play Store และ Gmail และแอพ YouTube

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลโดยตรงกับผู้ใช้งานโทรศัพท์ Huawei ทั่วโลก ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ :

1.จากที่ Huawei สัญญาไว้ว่าโทรศัพท์รุ่น P30 และ Mate 30 จะได้รับการอัพเดทเป็นเวอร์ชั่นใหม่นั้น จากสถานการณ์ปัจจุบันดูแล้วน่าจะไม่ได้รับการ update เป็น Android Q เนื่องจาก Google จะไม่ได้ทำธุรกิจกับ Huawei อีกต่อไป โทรศัพท์รุ่นที่ทำการขายอยู่ (เช่น P30) จะไม่ได้รับการอัปเดต Android OS หรือแพตช์ความปลอดภัยอย่างเป็นทางการจาก Google ขณะที่เราโทรศัพท์รุ่นต่อไปของ Huawei ในอนาคตจะไม่สามารถเข้าถึงเวอร์ชันทางการของ Google Android ได้อีกต่อไป

2. สำหรับรุ่น Mate 30 (ที่ยังไม่ได้วางจำหน่าย) จะไม่สามารถใช้ Google Android เวอร์ชันทางการได้เลย จะใช้ใน version Android แบบโอเพ่นซอร์สw  ได้เพียงเท่านั้น แน่นอนว่าแม้ว่าโทรศัพท์ในอนาคตเหล่านี้จะสามารถเปิดใช้งาน Android เวอร์ชันโอเพ่นซอร์ส แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงแอพหรือบริการใด ๆ ของ Google รวมถึง Google Play Store 

หมายเหตุ: มีความเป็นไปได้ว่า Huawei มีข้อตกลงสิทธิ์ใช้งานอยู่แล้วสำหรับรุ่น Mate 30 และ Mate X เพื่อใช้งาน Android เวอร์ชันทางการซึ่งในกรณีนี้อุปกรณ์เหล่านั้นจะมาพร้อมกับ Android 9 Pie เป็นอย่างน้อย แต่ถ้ามีการตกลงไว้ก่อนจริง ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการพิจารณาของรัฐบาลสหรัฐอีกครั้งหนึ่ง

3.โทรศัพท์ Huawei ที่มีอยู่ทั้งหมดจะยังคงสามารถเข้าถึง Android เวอร์ชันที่เป็นทางการที่ใช้อยู่ได้ตามปรกติ และตามที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการในทวีตด้านล่างจากบัญชี Android Twitter อย่างเป็นทางการ  ซึ่งรวมถึง Google Play และ Google Play Protect ด้วย  โดยที่จะไม่มีมือถือรุ่นใดของ Huawei ที่มีการใช้งานอยู่จะได้รับการอัพเดทใด ๆ ทั้งกับระบบปฏิบัติการหรือเพื่อความปลอดภัยผ่านทางแพตช์อย่างเป็นทางการของ Google

4.เราสามารถสรุปได้ว่าผลกระทบของเหตุการณ์นี้นั้น รวมถึง Honor ด้วยเช่นกันเนื่องจาก Honor เป็นแบรนด์ย่อยของ Huawei ซึ่งสร้างขึ้นในปี 2011

5.ในขณะที่ยังไม่มีการยืนยันในเวลานี้ Microsoft อาจถูกบังคับให้เพิกถอนการเข้าถึงระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่ใช้โดยระบบแล็ปท็อปของ Huawei ด้วยเช่นกัน ซึ่งมีในหลายรุ่น เช่น Huawei MateBook X Pro รวมถึงการอัพเดทใด ๆ ของ ระบบปฏิบัติในเวอร์ชั่นหน้า

6.ราคาของสมาร์ทโฟน Huawei ที่ใช้งานอยู่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะลดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเนื่องจากการไม่สามารถอัปเดตคุณสมบัติและความสามารถล่าสุดของ Android Q ได้ และที่สำคัญจะไม่ได้รับแพตช์รักษาความปลอดภัยใด ๆ อย่างเป็นทางการจาก Google อาจจะไม่สามารถอัปเดตผ่านการแก้ไขในเวอร์ชั่นปัจจุบันเช่นกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าการปรับปรุงในแอพหรือคุณสมบัติใหม่ใด ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ใช้โทรศัพท์ Huawei 
จะไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างแน่นอน

เกิดผลกระทบอย่างแน่นอนกับผู้ใช้งาน Huawei ทั่วโลก
เกิดผลกระทบอย่างแน่นอนกับผู้ใช้งาน Huawei ทั่วโลก

อย่างไรก็ดีนั้น  หัวเว่ยได้ตอบโต้ด้วยแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ: “หัวเว่ยได้มีส่วนร่วมอย่างมากต่อการพัฒนาและการเติบโตของ Android ทั่วโลกในฐานะหนึ่งในหุ้นส่วนหลักระดับโลกของ Android เราได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สเพื่อพัฒนาระบบนิเวศที่เป็นประโยชน์ ทั้งกับผู้ใช้งานและอุตสาหกรรมมือถือทั้งหมด

“Huawei จะยังคงให้บริการอัปเดตความปลอดภัยและบริการหลังการขายแก่ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของ Huawei และ Honor ที่มีอยู่ทั้งหมดซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่ขายไปและยังมีวางจำหน่ายไปแล้วทั่วโลก

“เราจะสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืนต่อไปเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ทุกคนทั่วโลก”

น่าสนใจจริง ๆ สำหรับผู้ใช้งาน อุปกรณ์มือถือของ Huawei ตัวผมเองนั้นก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ Huawei ก็ต้องรอดูท่าทีที่ชัดเจนต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ แต่ดูแล้วเรื่องนี้อาจจะลุกลามบานปลาย ไม่ใช่แค่เฉพาะมือถืออีกต่อไป อาจจะลามไปถึง Laptop ที่ใช้ระบบปฏิบัติการของ  Microsoft ที่มีโอกาสที่จะโดนด้วยเหมือนกันครับ หากรัฐบาลสหรัฐใช้มาตรฐานเดียวกัน

References : 
https://www.t3.com/news/huawei-p30-and-mate-30-just-got-dealt-a-devastating-blow