ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 10 : The Whiteness of the Whale

ผลงานอันโดดเด่นของ ไอฟฟ์ ในการ ดีไซต์ นั้นมันเห็นผลอย่างชัดเจนกับ iMac หลากสีสัน ที่ออกสู่ตลาดในปี 1998 ใช้เวลาเพียงหยุดสัปดาห์แรกเท่านั้น ก็สามารถทำยอดขายได้สูงเกิน 150,000 เครื่อง ด้วยโครงสร้างเครื่องที่โค้งลงตัว และดูแปลกแหวกแนวกว่าคอมพิวเตอร์ที่มีขายทั่วไปในตลาดอย่างชัดเจน

ไม่เพียง iMac จะตีรูปแบบคอมพิวเตอร์แบบเดิมให้แตกกระเจิงเท่านั้น ยังสร้าง คาแร็กเตอร์ ของตนเองขึ้นมาใหม่ เป็นคาแร็กเตอร์ที่คูลสุด ๆ มันทำให้ iMac นั้นไม่ใช่ พีซี ไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ผลิตโดย Microsoft แถมการอัดแคมเปญโฆษณา “Chick , not Greek” ระดับ High Profile ส่งให้ผลให้ iMac ทะยานเป็นคอมพิวเตอร์ที่ขายดีที่สุดในอเมริการทันที

งานดีไซน์ ของ ไอฟฟ์ ประสบคามสำเร็จอย่างสูงกับ iMac
งานดีไซน์ ของ ไอฟฟ์ ประสบคามสำเร็จอย่างสูงกับ iMac

และการดีไซต์ iPod ให้ได้อยู่ในแถวหน้าระดับเดียวกับ iMac ที่ประสบความสำเร็จ นั้น  ก็ต้องถูกบรรจงสรรสร้างงานดีไซต์ โดย ไอฟฟ์ เช่นเดียวกัน  และ ไอฟฟ์ กำลังทราบดีว่าตนกำลังดีไซต์เครื่องเล่นเพลงเครื่องแรกที่เป็นตัวการสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 ซึ่งสำคัญแท้ทั้งในด้านการใช้งาน และ การปฏิวัติอุตสาหกรรมเพลงไปตลอดกาล

งานทางด้านวิศวกรรมนั้น เป็นหน้าที่ของ ฟาเดลล์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดของ iPod ที่จะทำให้แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 ที่มีในตลาดได้ คือ งานด้านการ Design ผลิตภัณฑ์ ซึ่ง ไอฟฟ์ เข้ามารับหน้าที่สานงานดังกล่าว ต่อ จาก ฟาเดลล์

จ๊อบส์ นั้น ต้องการผลิตภัณฑ์ ที่ดูเป็นธรรมชาติ และเห็นแล้วอยากเป็นเจ้าของทันที รวมถึงใช้งานง่ายในแบบที่ใครก็คิดไม่ถึงว่าจะ ดีไซน์ออกมาได้ และ ยังยืนยันว่าต้องเป็นสีขาว สีขาวในแบบของ Apple ซึ่งแตกต่างจากใคร

ไอฟฟ์ เล่นกับโมเดล เครือง iPod ที่ทำจากโฟม และพยายามนึกว่าเครื่องที่เสร็จแล้วนั้น จะมีหน้าตาอย่างไร เช้าวันหนึ่งระหว่างขับรถจากบ้านแถบซานฟรานซิสโก เขาก็เกิดความคิดว่าด้านหน้าของ iPod ควรเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่ง เป็นแนวคิดเดียวกับจ๊อบส์ และต้องเชื่อมติดกับฝาหลังเหล็กกล้ากันสนิมขัดมันอย่างแนบเนียนไร้รอยต่อ

และที่สำคัญ มันต้องทำจากการฉีดพลาสติกสองชั้น ซึ่งถือเป็นกรรมวิธีการผลิตของจากพลาสติก ที่ไม่เคยมีบริษัทใดทำมาก่อน ในการหล่อพลาสติกครั้งที่สองนั้น เป็นการขึ้นแม่พิมพ์ที่ใช้วัสดุต่างประเภทกัน อาจเป็นชนิดพลาสติกที่แตกต่างกัน หรือ ใช้พลาสติกเชื่อมกับโลหะ ซึ่งกรรมวิธีเช่นนี้เป็นการเปิดโอกาสให้วิศวกร ได้คิดค้นความเป็นไปได้ในการวางแบบแม่พิมพ์และกระบวนการทำงานอย่างที่ไม่เคยที่จะปรากฏมาก่อนในตำราไหนๆ  iPod ต้องไม่มีสลักและช่องใส่แบตเตอรี่

และสีขาวที่เขาจะใช้ไม่ใช่ขาวแบบธรรมดา แต่เป็นขาวบริสุทธิ์ และ ไม่ใช่แค่เพียงตัวเครื่องเท่านั้น แต่ หูฟัง สาย และแท่งแบตเตอรี่ก็ต้องเป็นสีขาวด้วยเหมือนกัน แม้จะมีทีมงานหลายคนเถียงว่า หูฟังนั้น ต้องเป็นสีดำเหมือนหูฟังทั่วไป แต่จ๊อบส์ เข้าใจทันที และยอมให้ใช้สีขาวอย่างเต็มใจ และ การที่สายหูฟังมีสีขาว จะทำให้ iPod กลายเป็นไอคอน ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีอยู่ในตลาด ผู้คนจะรู้ทันทีว่านี่คือ iPod

สีขาวทั้งตัวเครื่องรวมถึงหูฟัง ที่เป็นเอกลัษณ์ที่สำคัญของ iPod
สีขาวทั้งตัวเครื่องรวมถึงหูฟัง ที่เป็นเอกลัษณ์ที่สำคัญของ iPod

ทีมโฆษณา ของ ลี คลาว ที่ TBWA\Chiat\Day อยากฉลองความเป็นไอคอนแลความขาวของเครื่อง iPod แทนที่จะทำโฆษณาเปิดตัวสินค้าโดยเน้นองค์ประกอบของอุปกรณ์เป็นหลัก แบบที่ทำกันทั่วไปในตลาด

เจมส์ ิวินเซนต์ หนุ่มอังกฤษ ร่างผอมสูง ซึ่งเคยเป็นสมาชิกวงดนตรี และเคยเป็นดีเจมาก่อน จะมาทำงานกับเอเยนซี่แห่งนี้ เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากสำหรับการทำให้โฆษณา ของ apple โดนใจกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่รักเสียงเพลง ลี คลาว ได้ร่วมงาน กับ ซูซาน อลินซันกัน อาร์ต ไดเร็กเตอร์ ออกแบบบิลบอร์ดโฆษณา และ โปสเตอร์ สำหรับ iPod แล้วนำผลงานการออกแบบทั้งหมด ไปให้จ๊อบส์ดูในห้องประชุม

ด้านขวาสุดของโต๊ะ ทีมโฆษณา วางเลย์เอาต์งานที่ออกแบบตามแนวดั้งเดิมที่สุด เป็นรูปถ่ายเครื่อง iPod บนพื้นแบ็กกราวด์สีขาว เรียบง่าย และ มีความตรงไปตรงมา ด้านซ้ายสุด เป็นโฆษณา ที่ใช้ กราฟฟิก และสัญลักษณ์เข้ามาช่วยให้มากที่สุด เป็นร่างเงาทึบของใครบางคนกำลังเต้นตามจังหวะเพลงจากเครื่อง iPod อย่างสนุกสนาน จนสายหูฟังพลิ้วไหวไปตามจังหวะเพลง 

กราฟฟิก โฆษณา ที่สุดแหวกแนว เป็นชิ้นที่คลาสสิกที่สุดชิ้นนึงของ apple
กราฟฟิก โฆษณา ที่สุดแหวกแนว เป็นชิ้นที่คลาสสิกที่สุดชิ้นนึงของ apple

จ๊อบส์ ไปประดับใจตอนแรกที่เห็น เพราะไม่ได้โชว์ตัวสินค้า และก็ไม่ได้บอกด้วซ้ำว่ามันคืออะไร วินเซนต์ จึงเสนอให้เติมข้อความตบท้ายเข้าไปว่า “1,000 เพลงในประเป๋าคุณ” เท่านี้ก็สื่อความได้ครบทุกอย่างที่จ๊อบส์ต้องการ

จ๊อบส์ นั้น รู้ดีว่าการที่ apple มีระบบบูรณาการที่เอาทั้ง คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และ อุปกรณ์พกพาเข้าด้วยกัน ยังมีข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่ง คือ ยอดขาย iPod จะช่วยหนุดยอดขายเครื่อง iMac ซึ่งแปลว่าสามารถโยกงบโฆษณา 75 ล้านเหรียญ ที่ apple จัดไว้สำหรับโฆษณา iMac ไปใช้กับโฆษณา iPod และได้ผลตอบแทนเป็นสองเท่าสำหรับเงินที่ใช้โฆษณาเท่าเดิม หรือ อาจจะเป็นสามเท่าก็ได้ เพราะโฆษณา iPod จะช่วยเพิ่มราศี และ ความสดใหม่ให้กับแบรนด์ apple

การค้นหาเพลงเพื่อมาประกอบภาพยนต์โฆษณา นั้น เป็นเรื่องที่สนุกลำดับต้น ๆ ในกระประชุมเรื่องโฆษณา ของ iPod อย่างที่หลายคนรู้กันว่า จ๊อบส์ นั้นชอบศิลปิน อย่าง บ๊อบ ดีแลน หรือ ศิลปิน เก่า ๆ ในยุคเขา แต่การจะโฆษณา ให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เป็นเป้าหมายหลักของ iPod ต้องเป็นเพลงที่นำยุคสมัย

ซึ่งโฆษณา ของ iPod นั้นทำให้เกิดวงดนตรีหน้าใหม่หลายวงเลยทีเดียว ที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็น วง Black Eyed Peas เจ้าของเพลง “Hey Mama” ซึ่งใช้ประกอบโฆษณาชิ้นที่คลาสสิกที่สุดในกลุ่มที่ใช้ภาพเงาทึบ

ถึงตอนนี้ จ๊อบส์ นั้นโครตมั่นใจกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้มาก เขาเที่ยวบอกใครต่อใคร ถึงคุณสมบัติที่สุดเจ๋งของมัน  เครื่องเล่นเพลงที่จะมาเป็นตัวกำหนดตลาด เครื่องเล่นที่สามารถเก็บเพลงทุกเพลงที่มีไว้เพื่อฟัง เป็นเครื่องที่ใช้ง่าย ทั้งยังต้องเป็นสิ่งที่มีคุณภาพสุดยอดแบบ Apple อีกด้วย และ ตอนนี้มันก็พร้อม ที่จะเปิดเผยตัวต่อชาวโลกแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น กับ iPod สินค้านวัตกรรมตัวใหม่ของ apple และเป็นสินค้าที่ apple ไม่เคยทำมาก่อน เป็นการฉีก Apple ออกจากกฏเกณฑ์เดิม ๆ ที่เคยมีมา แล้วชาวโลกล่ะ จะคิดยังไงกับ iPod โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 11 : Welcome to the iPod era

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง ipod ตอนที่ 9 : Let’s Build It

MP3 เป็นผลงานการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันกลุ่มหนึ่งในปี 1987 คล้าย  ๆ กับการตัดไฟล์วีดีโอเพื่อให้เล่นได้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการตัดเอา data ที่ไม่จำเป็นออกมาให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ มันเป็นการนำ data ออกไปโดยที่ผู้ฟังไม่ทันสังเกตเห็น 

มันทำให้ไฟล์ที่ได้รับการตัดแต่งแล้วนั้น เป็นไฟล์ที่บรรจุข้อมูลน้อยที่สุด แต่ให้ผลแสดงออกมาที่เยี่ยมสมบูรณ์แบบเมื่อมนุษย์ ได้ยิน และ ได้ฟัง เป็นไฟล์ที่มีขนาดลดลงเหลือเพียง หนึ่งในสิบสองของไฟล์ต้นฉบับ ทำให้ลดจำนวนการเก็บข้อมูลได้มากโขเลยทีเดียว และมันกำลังรอคอยให้ จ๊อบส์ มาเพิ่มพูนคุณประโยชน์ให้กับมัน

ฟาเดลล์ พบจ๊อบส์ ครั้งแรกที่งานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านของ แอนดี้ เฮิร์ตซเฟลด์ เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น และเคยได้ยินกิตติศัพท์ของจ๊อบส์มามาก ซึ่งหลายเรื่องนั้นฟังแล้วน่าขนลุก แต่เพราะเขายังไม่รู้จักจ๊อบส์ดีพอ เขาจึงรู้สึกหวั่นใจพอสมควร เมื่อต้องมาประจันหน้ากับจ๊อบส์ จริง ๆ ในการประชุมงานเรื่อง iPod

เดือน เมษายน 2001 มีการประชุมนัดสำคัญ วันนั้นจ๊อบส์ ต้องตัดสินใจเลือกองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับเครื่อง iPod ซึ่ง ฟาเดลล์ เป็นคนนำเสนอ โดย มี รูบินสไตน์ ,ชิลเลอร์ , เจฟฟ์ ร็อบบิน และ สแตน อึง ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดของ apple เข้าร่วมฟังด้วย

ฟาเดลล์ เป็นผู้นำทีมสร้าง iPod
ฟาเดลล์ เป็นผู้นำทีมสร้าง iPod

การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอเรื่องของศักยภาพของตลาด และเนื้อหาทางการตลาดอื่น ๆ ที่เหล่านักการตลาดมักจะทำกัน แต่จ๊อบส์ เป็นคนที่มีความอดทนต่ำ สไลด์ชุดไหน ที่มีความยาวเกินหนึ่งนาที เขาจะไม่สนใจทันที และเมื่อถึงฟาเดลล์ ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องคู่แข่งในตลาด ที่ขณะนั้น มีทั้ง Sony  , Creative หรือ Rio  ที่่อยู่ในตลาดเครื่องเล่น MP3 เหมือนกัน

แต่จ๊อบส์ นั้น โบกมืออย่างไม่แยแส จ๊อบส์ไม่เคยสนใจคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ โปรเจค iPod ยังเป็นความลับอยู่ เหล่าคู่แข่งยังไม่รู้ว่า apple กำลังทำอะไรด้วยซ้ำ

จ๊อบส์ นั้นชอบให้เอาสิ่งที่จับต้องได้มาโชว์ เพื่อเขาจะได้ สัมผัส ลูบคลำ สำรวจ ฟาเดลล์ จึงได้นำโมเดล 3 แบบเข้ามาในห้องประชุมด้วย รูบินสไตน์ นั้นสอนเทคนิคให้จ๊อบส์ดูเรียงตามลำดับ เพื่อให้ชิ้นที่เขาชอบที่สุดเป็นชิ้นที่เด่นที่สุด ทีมงานจึงซ่อนโมเดล ที่ชอบไว้ใต้โต๊ะประชุม

จากนั้น ฟาเดลล์ เริ่มเอาโมเดลออกมาโชว์ ซึ่งโมเดลเหล่านี้ทำจากโฟมแบบเดียวกับที่ใช้ทำกล่องอาหาร ยัดไส้ตะกั่วเพื่อให้ได้น้ำหนักที่เหมาะสม ตัวอย่างแรกมีช่องใส่เมมโมรี่การ์ดสำหรับบันทึกเพลงแบบถอดได้ จ๊อบส์ตัดตัวอย่างนี้ออกทันทีมันดูซับซ้อนไป

โมเดล iPod จากโฟม เพื่อให้ จ๊อบส์ ได้ตัดสินใจ
โมเดล iPod จากโฟม เพื่อให้ จ๊อบส์ ได้ตัดสินใจ

ตัวอย่างที่สองนั้นใช้เมมโมรี่แบบ dynamic RAM ซึ่งราคาถูกกว่า แต่เพลงทั้งหมดจะถูก delete ทิ้งทันที หากแบตเตอรี่หมด ซึ่งแน่นอนว่าจ๊อบส์ไม่ปลื้มอย่างแน่นอน

จากนั้น แบบที่สามคือ ฟาเดลล์ ได้ทำการจับชิ้นส่วนต่อกันเหมือนเลโก้ เพื่อให้ดูว่าเครื่องเล่นบรรจุฮาร์ดไดร์ฟขนาด 1.8 นิ้วจะมีหน้าตาอย่างไร ซึ่ง โมเดลนี้ จ๊อบส์ดูสนใจมาก ๆ  ซึ่งสุดท้าย จ๊อบส์ ก็เลือกแบบดังกล่าว ซึ่ง ทำให้ฟาเดลล์ ถึงกับทึ่งมาก เพราะปรกติการประชุมแบบนี้ที่บริษัทอื่น จะต้องตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก แต่ กับ apple จ๊อบส์ ถือเป็นสิทธิ์ เด็ดขาด สามารถฟันธงได้ทันที ทำให้ทุกอย่างสามารถทำได้รวดเร็ว

 ต่อจากนั้นเป็นคิวของ ฟิล ชิลเลอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท มันเป็น idea ที่สำคัญที่สุดของ iPod ที่ทำให้แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 อื่น ๆ ในตลาด ชิลเลอร์ นั้นเสนอ ล้อกลม ๆ สำหรับใช้เลือกเพลง ( trackwheel ) แค่ใช้นิ้วโป้งหมุนวงล้อ ผู้ใช้จะสามารถเลือกเพลงใน Playlist ได้ ยิ่งหมุนนาน ก็ยิ่งไล่เพลงได้เร็วขึ้น ถึงจะมีเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลง ก็สามารถไล่ดูได้ง่าย ซึ่งไอเดียนี้ จ๊อบส์ร้องอุทาน “นั่นแหละใช่เลย!!!” แล้วสั่งให้ฟาเดลล์ กับทีมวิศวกร ลงมือทำทันที

ฟิล ชิลเลอร์ ผู้คิดค้น idea trackwheel ของ iPod
ฟิล ชิลเลอร์ ผู้คิดค้น idea trackwheel ของ iPod

โดยหลังจากเริ่มโครงการอย่างเป็นทางการ จ๊อบส์ ก็เข้ามาคลุกคลีด้วยทุกวัน จ๊อบส์ให้ concept หลักของ iPod คือ “ทำให้ง่ายเข้าไว้!” ทุกฟังก์ชัน ต้องทำได้ภายใน 3 click ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะบางครั้งทีมงาน ต้องพยายามแก้ไขปัญหาในส่วนของ User Interface แบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน

แต่จ๊อบส์ก็พยายามหาจุดอ่อน ไปเรื่อย ๆ และให้ทีมงานไปคิดหาวิธีแก้มา ซึ่งบางครั้งทีมงานก็คิดไม่ออกว่าจะไปถึงสิ่งที่จ๊อบส์ต้องการได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ ในหลายเรื่องที่ทีมงานต้องมานั่งแก้ไขเพื่อให้จ๊อบส์นั้นพอใจ จนตอนนั้น มันทำให้ปัญหาเล็ก ๆ ต่าง ๆ แทบมลายหายไปเลยทีเดียว เพราะจ๊อบส์ จะเห็นรายละเอียดในทุก ๆ จุด และสั่งให้แก้ไขมันทันที

แนวคิดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จ๊อบส์ได้กำหนดไว้ คือ ควรให้ ซอฟท์แวร์ iTunes ในคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือจัดการกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้มากที่สุด แทนที่จะทำในเครื่อง iPod

ให้ iTunes ช่วยจัดการ iPod ให้มากที่สุด
ให้ iTunes ช่วยจัดการ iPod ให้มากที่สุด

และมีคำสั่งอย่างนึงจากจ๊อบส์ ที่ทำให้ทีมงานต่างอึ้งกันไปเลยทีเดียว กับ ความเรียบง่ายตามความต้องการของจ๊อบส์  จ๊อบส์นั้นไม่ต้องการให้ iPod มีปุ่ม เปิด-ปิด และเราจะสังเกตได้ว่า อุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน คือ ไม่มี ปุ่ม สวิตช์ เปิด-ปิด โดยจะเข้าสู่โหมดพักทันที เมื่อไม่ได้ใช้งาน และ จะ ตื่น เมื่อแตะแป้นใด  ๆ ก็ได้

แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เริ่มเข้าทางอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ชิปที่เก็บเพลงได้เป็นพันเพลง ส่วนของ User Interface และวงล้อที่ช่วยนำทางไปหาเพลงต่าง ๆ นั้น การเชื่อมต่อผ่าน FireWire ที่ช่วยให้ดาวน์โหลดเพลง ทั้ง 1,000 เพลง ได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที และแบตเตอรี่ ก็สามารถใช้งานได้ถึง 1,000 เพลงเช่นกัน

ตอนนี้ จ๊อบส์ เริ่มรู้แล้วว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ มันเจ๋ง แค่ไหน ด้วยคอนเซ็ปต์ของเครื่องที่เรียบง่าย และงดงาม มันคือ “หนึ่งพันเพลงในกระเป๋าคุณ” 

iPod ต้องเรียบง่ายที่สุด และ เข้ากับ concept 1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ
iPod ต้องเรียบง่ายที่สุด และ เข้ากับ concept 1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ

แต่ปัญหาคือ 1,000 เพลงนั้นจะมาจากไหน จ๊อบส์นั้นรู้ดีว่าเพลงบางส่วนนั้นจะถูก คัดลอกมากจาก CD ที่ซื้อมาอย่างถูกกฏหมาย ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่อีกหลายเพลงนั้น อาจจะมาจากการดาวน์โหลดที่ผิดกฏหมาย

แต่จ๊อบส์ นั้น เชื่ออย่างนึงในเรื่องของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และเชื่อว่า ศิลปิน ควรได้รับเงินจากสิ่งที่ตนเองผลิตขึ้นมา ดังนั้น ในช่วงท้าย ๆ ของการพัฒนา iPod เขาจึงออกคำสั่งให้เครื่องสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ได้เพียงทิศทางเดียวเท่านั้น 

ผู้ใช้สามารถที่จะย้ายเพลงจากคอมพิวเตอร์ลงมาเครื่อง iPod ได้ แต่ไม่สามารถย้ายเพลงจาก iPod ไปใส่คอมพิวเตอร์ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนใส่เพลงลงเครื่อง iPod แล้วปล่อยให้เพื่อน ๆ อีกนับสิบถ่ายเพลงจากเครื่องไป นอกจากนี้เขายังตัดสินใจว่า พลาสติกใสที่หุ้มเครื่อง iPod ควรพิมพ์ข้อความเข้าใจง่ายว่า “อย่าขโมยเพลง”  ( “Don’t Steal Music”)

–> อา่นตอนที่ 10 : The Whiteness of the Whale

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ