Email & Bulletin Board กับการถือกำเนิดขึ้นของชุมชนออนไลน์ครั้งแรกของโลก

ย้อนกลับไปในยุคแรก ๆ ที่เครือข่ายเน็ตเวิร์กอย่าง ARPANET ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ๆ เหล่านักวิจัยต่างสรรหาแนวคิด เพื่อที่จะให้มันกลายเป็นเครือข่ายสำหรับการใช้ทรัพยากรทางด้านคอมพิวเตอร์ร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ความจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับยุคแรก ๆ ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ก็คือ ความปรารถนาที่จะสื่อสารเชื่อมต่อทำงานร่วมกัน และ จัดตั้งชุมชนออนไลน์นั้น มีแนวโน้มที่จะสร้างแอปที่มีความน่ากลัวสำหรับในยุคนั้น

แต่ ARPANET ก็ได้สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำค่าขึ้นมาสำเร็จในปี 1972 ซึ่งสิ่ง ๆ นั้นก็คือ email ที่เราได้ใช้กันมาจวบจนถึงทุกวันนี้

ในยุคนั้นโปรแกรมที่มีชื่อว่า SNDMSG อนุญาตให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนกลางขนาดใหญ่ สามารถที่จะส่งข้อความไปยังโฟลเดอร์ส่วนตัวของผู้ใช้รายอื่นที่ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกันร่วมกันได้

ในช่วงปลายปี 1971 Ray Tomlinson วิศวกรจาก MIT ที่ BBN ได้ตัดสินใจ hack เพื่อสร้างสิ่งที่น่าสนใจซึ่งจะช่วยให้สามารถส่งข้อความดังกล่าวไปยังโฟลเดอร์บนเครื่องเมนเฟรมอื่น ๆ ได้

ซึ่งเขาได้ทำการรวม SNDMSG เข้ากับโปรแกรมถ่ายโอนไฟล์ และเรียกมันว่า CPYNET ซึ่งสามารถที่จะแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลกันบน ARPANET ได้ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ๆ ในยุคนั้น

ตัวอย่างการส่ง email ในยุคแรก ๆ
ตัวอย่างการส่ง email ในยุคแรก ๆ

ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ได้คิดสิ่งที่เราได้ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ @ ชื่อโฮสต์ ซึ่ง Tomlinson ไม่เพียงแต่สร้าง email เท่านั้น แต่เขาเป็นคนคิดค้นสัญลักษณ์ @ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของโลกเราที่ใช้ในการเชื่อมต่อกัน ที่ใช้มาจวบจนถึงทุกวันนี้อีกด้วย

ซึ่งการเกิดขึ้นของ email นี่เองที่ทำให้ กลายเป็นวิธีการหลักในการทำงานร่วมกัน ของคนในยุคนั้น มันได้เปลี่ยนการสื่อสารของมนุษย์เราไปตลอดกาล

Stephen Lukasik ผู้อำนวยการของ ARPA ก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ติด email รายแรก ๆ จึงทำให้นักวิจัยทุกคนที่ต้องการติดต่อกับเขา ต้องปฏิบัติตามไปด้วย ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ในช่วงปี 1973 เพียงไม่ถึง 2 ปี หลังจากการคิดค้นของ email ข้อมูลในเครือข่าย ARPANET กว่า 75% เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันผ่านระบบ email

email ไม่เพียงแค่อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่มันได้นำไปสู่การสร้างชุมชนออนไลน์ครั้งแรกของโลกเรา ซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

ซึ่งชุมชนออนไลน์ยุคแรก ๆ นั้น เป็นกลุ่มของ email ที่กระจายไปยังสมาชิกในกลุ่ม ตัวอย่างกลุ่ม email ยอดฮิตในยุคแรก ๆ ได้แก่ SF-Lovers ซึ่งเป็นกลุ่มของแฟนนิยายวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องบอกว่าในตอนแรกผู้อำนวยการ ARPA ต้องการที่จะปิดมัน ด้วยความกลัวว่าวุฒิสมาชิกบางคนอาจไม่สนุกด้วยที่รู้ว่า มีการเกิดขึ้นของชุมชมออนไลน์ Sci-Fi ที่ใช้งบจากทางการทหาร

แต่ในไม่ช้า วิธีการอื่น ๆ ในการสร้างชุมชนออนไลน์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีเบื้องหลังของอินเทอร์เน็ต

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1978 พนักงานบริษัทคอมพิวเตอร์สองคนในเมืองชิคาโก Ward Christensen และ Randy Suess ได้พบว่าตัวเองกำลังถูกถล่มจากหิมะที่กำลังตกหนัก

พวกเขาจึงได้ใช้เวลาช่วงดังกล่าวที่ไม่สามารถออกไปไหนได้ สร้างระบบ Bulletin Board System ซึ่งอนุญาตให้ hacker มือสมัครเล่น หรือ ผู้ดูแลระบบ สามารถตั้งค่า Forum ออนไลน์ของตัวเองขึ้นมาได้ โดยมีการนำซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์มาปล่อย และ สร้างระบบโพสต์ข้อความออนไลน์ขึ้นมาให้แลกเปลี่ยนไฟล์กัน

Bulletin Board System ชุมชนออนไลน์ที่สามารถใช้ PC เครื่องเดียวเชื่อมต่อคนทั้งโลก
Bulletin Board System ชุมชนออนไลน์ที่สามารถใช้ PC เครื่องเดียวเชื่อมต่อคนทั้งโลก

และใครก็ตามที่สามารถเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ในยุคนั้น ก็สามารถที่จะเข้ามาร่วมใน Board ดังกล่าวได้

ซึ่งในปีต่อมานักศึกษาจาก Duke University และ University of North Carolina ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ได้พัฒนาอีกระบบ ที่ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งมี Forum สนทนาแบบข้อความและการตอบกลับ ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อง “Usenet” โดยมีผู้เข้ามาร่วมใช้งานกว่าพันแห่งในมหาวิทยาลัยและสถานบันต่าง ๆ ทั่วประเทศ

ต้องบอกว่าการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีทั้งสองนี้ทั้ง email และ Bulletin Board ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการสื่อสารของมนุษย์เราไปตลอดกาล ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไปสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารผ่านชุมชนออนไลน์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในภายหลังได้อย่างง่ายดาย

ซึ่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้นั้นเดิมทีมนุษย์เราต้องทำการค้นคว้าในห้องสมุดเพียงอย่างเดียว เรียกได้ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ส่งผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกเราให้ก้าวหน้าขึ้น อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่แผ่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ที่ทุก ๆ คนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้ผ่านทางคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวนั่นเองครับ

References : https://spectrum.ieee.org/tech-history/cyberspace/social-medias-dialup-ancestor-the-bulletin-board-system
https://www.networkworld.com/article/3220488/history-of-computers-part-1-the-bulletin-board-system.html
หนังสือ The Innovators How a Group of Hackers, Geniuses, and Geeks Created the Digital Revolution โดย Walter Isaacson

Chinapages กับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของ Jack Ma

หลายคนน่าจะทราบกันดีว่าเดิมทีนั้น Jack Ma เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่เมืองหังโจว ของประเทศจีน แต่ ครูสอนภาษาอย่างเขา เจอจุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้ กลายมาเป็นเจ้าพ่อบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Alibaba ที่เราได้เห็นกันในวันนี้

เรื่องมันเริ่มต้นจากในต้นปี 1995 นั้น เมืองหังโจวเกิดดีความสัญญากับต่างประเทศขึ้นมาคดีหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนสร้างทางด่วนกับบริษัทในอเมริกา ซึ่งมีข้อพิพาทกัน ทำให้เทศบาลเมืองหังโจวต้องตัดสินใจส่งตัวแทนไปติดต่อกับฝ่ายอเมริกัน เพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ซึ่งมันกลายเป็นภารกิจของแจ๊ค ที่ขณะนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษาอังกฤษที่สุดแห่งสำนักแปลไห่โป่ ที่ต้องไปช่วยเหลือเทศบาล โดยเขาต้องเดินทางไปยังอเมริกาที่เมือง ลอสแองเจลลิส

ตอนอยู่ประเทศจีนมีครูต่างชาติคนหนึ่งที่ชื่อฟิล ซึ่งเคยเล่าเรื่องลูกเขยของเขาให้ฟัง ว่ากำลังทำอะไรบางอย่างกับ “internet” อยู่ที่เมือง ซีแอตเทิล

นั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่แจ๊ค ได้ถือโอกาส ไปทำความรู้จักกับ internet โดยหลังจากภารกิจเสร็จ แจ๊คไปตามที่อยู่ที่ฟิลได้ให้ไว้ และไปพบกับลูกเขยของเพื่อนอย่างรวดเร็ว เขาคือแซม ที่ขณะนั้น กำลังก่อตั้งบริษัท VBN บริษัทขนาดเล็ก ซึ่งตอนนั้นกำลังให้บริการ ISP เจ้าแรกแห่ง Silicon Valley แถมยังเป็นบริษัทแรกที่ทำธุรกิจนี้ในอเมริกาอีกด้วย

และนี่เป็นครั้งแรกที่แจ๊ค ได้เห็นเจ้า internet กับตาตัวเอง ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่แจ๊คเห็นตอนนั้นคือเครื่อง PC386 ที่ทันสมัยที่สุดในโลกของยุคนั้น ซึ่งมีราคาอยู่ที่ประมาณ 600-700 เหรียญ

PC 386 เครื่องคอมพิวเตอร์สุดแรงในยุคนั้น
PC 386 เครื่องคอมพิวเตอร์สุดแรงในยุคนั้น

แจ๊คซึ่งตอนนั้นแทบจะไม่เคยเห็นเจ้าคอมพิวเตอร์มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึง internet ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มากในยุคนั้น และเริ่มทดลองใช้มัน โดยลองพิมพ์คำว่า “Beer” ลงใน Search Engine ของ Yahoo ซึ่งต้องบอกว่าตอนนั้น Yahoo ในยุคก่อนการเกิดของ Google นั้นถือเป็น Search Engine ที่ทันสมัยที่สุดในโลก internet เลยก็ว่าได้

แต่สิ่งที่ทำให้แจ๊คสงสัยมากที่สุด คงจะเป็น ทำไมถึงไม่มีเบียร์จีนโผล่ขึ้นมาเลย แจ๊คนึกในใจว่า หรือเบียร์ฝรั่ง จะมีชื่อเสียงมากกว่าเบียร์จีน พวกฝรั่งคงรู้จักแต่เหมาไถของกุ้ยโจว แต่ไม่รู้จักเบียร์จีนกันอย่างแน่แท้

แต่เขาก็คิดอีกว่า ต่อให้ไม่พบเบียร์จีนใน internet แต่ถ้าจะหา ประเทศจีน ที่มีประชากรถึง 1 ใน 5 ของโลกและมีเนื้อที่ใหญ่โตมหาศาล คงจะหาเจอละมั๊ง

และแล้ว เขาจึงบรรจง คีย์คำว่า “China” ลงในช่อง search engine ของ yahoo อีกครั้ง ผลปรากฏว่าบนจอขึ้นคำที่เหลือมากคือ “no data” หรือไม่มีข้อมูล

และจุดนี้นี่เองที่ทำให้เขาได้ปิ๊งไอเดียที่จะทำการขยายธุรกิจของสำนักแปลไห่โป๋ได้แล้ว โดยจะให้ทีมงานของแซม ช่วยสร้างเว๊บเพจสำนักแปลไห่โป๋เสร็จ และอัพโหลดขึ้น internet ทันที

มันเป็นหน้าเว๊บที่เรียบง่าย จนเข้าขั้นน่าเกลียดเลยด้วยซ้ำ ไม่มีภาพ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีโฆษณา Flash มีแต่คำอธิบายเป็นตัวอักษรไม่กี่ตัวอักษร คือ เป็นการแนะนำสำนักแปลไห่โป๋ บวกกับรายการค่าจ้างแปล เช่น 1,000 ตัวอักษร คิด xx หยวน เป็นต้น พร้อมกับ email ในการติดต่อ

เมื่อแจ๊คเดินทางกลับจากซีแอตเทิลถึงหังโจว ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของแจ๊คนั้นได้นำเอาของวิเศษหนึ่งอย่างมาจากอเมริกาด้วย มันคือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คอินเทล 386 ซึ่งเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนั้นเลยก็ว่าได้

เพียงแค่คืนแรกที่กลับถึงหังโจว แจ๊ค เขาก็เริ่มเดินหน้าธุรกิจที่เขาได้คิดไว้อย่างทันที เขาเชิญเพื่อนสนิทที่สุด 24 คนมากินข้าวที่บ้าน และเริ่มบรรเลงโชว์ ของวิเศษ (คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คอินเทล 386) ทุกคนที่ถูกเชิญมาต่างอ้าปากค้าง และรู้สึกทึ่งกับเจ้าสิ่งนี้ ซึ่งไม่ต่างจากตอนที่แจ๊ค นั้นเห็นคอมพิวเตอร์สุดแรงนี้ ครั้งแรกที่อเมริกา

Jack Ma กับเพื่อนสนิท 24 คนของเขา
Jack Ma กับเพื่อนสนิท 24 คนของเขา

เขากล่าวกับเพื่อนว่า ๆ จะลาออกจากงานมาเริ่มธุรกิจ internet แต่มันกลับกลายเป็นว่าเพื่อน ๆ ของเขาทั้งหมดแทบจะคัดค้านกับแนวคิดของ แจ๊ค หลาย ๆ คนก็พยายามถามรายละเอียดของ internet จากแจ๊ค 

แต่ก็อย่างที่ทราบ แจ๊ค นั้นก็มีความรู้ทางด้าน internet แบบผิวเผินเท่านั้น ไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ จากเพื่อน  ๆ เขาได้เลย ซึ่งหลังจากให้ทำการโหวตปรากฏว่า 23 คันค้าน และมีคนเห็นด้วยกับแจ๊ค เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

และแม้จะแทบไม่มีเสียงสนับสนุน แต่ สัญชาติญาณของแจ๊ค นั้นก็สั่งให้เขาเริ่มธุรกิจนี้แบบทันที ก้าวแรกของการสร้างธุรกิจคือหาเงินทุน ซึ่งแจ๊คและภรรยานั้นได้ทุ่มเงินหมดตัว 6,000 หยวน และทำการรวบรวมจากญาติพี่น้องได้อีกราว  ๆ 40,000 หยวน และ อีกส่วนคือการนำเอาสินทรัพย์ของสำนักแปลภาษาไห่โป๋ธุรกิจแรกของเขาออกเทขายทั้งหมด ซึ่งได้มาอีก 30,000 หยวน รวมเป็นส่วนของตัวเขาและภรรยาทั้งสิ้น 80,000 หยวน

และเพื่อนที่สนับสนุนแนวคิดนี้ของแจ๊คอย่าง เหออิปิง นั้น ก็ได้ร่วมลงทุน 10,000 หยวน ส่วนอีก 10,000 หยวนสุดท้ายได้มาจากเพื่อนอีกคนที่ชื่อ ซ่งเว่ยชิง  ซึ่งทำให้มีเงินลงทุนตั้งต้นของธุรกิจใหม่ของแจ๊คนั้น มีรวมแล้วประมาณ 100,000 หยวน

และในที่สุดบริษัทเทคนิคอินเตอร์เน็ตไห่โป๋ เจ้อเจียง ที่ดำเนินการกิจการไดเร็กทอรี่อุตสาหกรรมการค้าออนไลน์ และเป็นเว๊บไซต์ internet แห่งแรกของประเทศจีน – เยลโล่เพจเจส ประเทศจีน ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อเดือน เมษายน ปี 1995

และในวันที่ 9 พฤษภาคม 1995 ไชน่าเพจเจส (http://www.chinapages.com) ก็ได้ขึ้นออนไลน์อย่างเป็นทางการ และเป็นเว๊บไซต์ธุรกิจเว๊บแรกในประวัติศาตร์ของ internet ของประเทศจีนในที่สุด

Chinapages ธุรกิจ internet แรกของ Jack Ma
Chinapages ธุรกิจ internet แรกของ Jack Ma

แม้ช่วงแรก ๆ จะล้มลุกคลุกคลาน แต่เขาก็พาบริษัทฝ่าวิกฤติ จนสุดท้ายได้หันมา ทำธุรกิจ ecommerce อย่าง alibaba และพาบริษัทก้าวขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการเทคโนโลยีในประเทศจีนอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับ

–> อ่าน Blog Series : Jack Ma Rise of the Dragon

References : https://socket3.wordpress.com/tag/386/
https://www.alibabagroup.com/en/about/history?year=1999

NetScape Time ตอนที่ 7 : Into The New World

เมื่อถึงเดือนกันยายน ปี 1994 ซึ่งเป็นเวลาเพียงแค่ 3 เดือนครึ่งหลังจากที่ทีมโปรแกรมเมอร์ของ Marc เริ่มทำงานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ทีมงานของ Marc แทบจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน พวกเขาคุ้นเคยกับอาหารเช้ากลางดึก และ การใช้บริการ Delivery สั่งพิซซ่าเข้ามาทานกันในออฟฟิส

แน่นอนว่า งานของพวกเขาเป็นงานที่หนัก ต้องใช้ความทุ่มเทและความอดทนค่อนข้างสูง แถมยังต้องแบกรับความกดดันเพื่อผลิตซอฟต์แวร์ให้ได้ตามความคาดหวังของทุก ๆ คนในบริษัท

ตัว Marc เองก็ยังจุดยืนเดิมของโปรแกรมที่ต้องแจกให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันฟรี ๆ ซึ่งเป็น trend ที่เริ่มเกิดขึ้นบนโลก internet แต่ตัว Jim นั้น ก็ยังคงกังวลอยู่ว่า แล้วจะสร้างรายได้จากโปรแกรมนี้ได้อย่างไร

แต่เขาก็ได้คิดถึงแผนการคร่าว ๆ ไว้แล้ว เพราะเขามอง Browser ตัวใหม่นี้เปรียบเสมือนสื่อ ที่อาจจะสร้างรายได้จากค่าโฆษณา ซึ่งหากโปรแกรมกลายเป็นที่นิยมและมีผู้ใช้งานมหาศาล ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ว่าจะขายพื้นที่โฆษณาได้ ซึ่งต้องบอกว่าในยุคนั้น การขายโฆษณาบน internet ยังไม่เคยมีปรากฏขึ้นมาก่อน

ในเดือนกันยายนนี้เองที่ Jim ได้ไปเข้าร่วมงานสัมนา inter-ops ในเมือง ลาสเวกัส และประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่างเป็นทางการ นั่นก็คือ โปรแกรม Browser ที่ถูกเรียกชื่อว่า “NetScape”

และนั่นได้กลายเป็นแรงกดดันให้กับทีมโปรแกรมเมอร์เพิ่มมากขึ้น ที่ต้องเร่งผลิตภัณฑ์ให้ทันแผนการปล่อย Software เวอร์ชั่นใช้งานจริงอย่างเป็นทางการ

สำหรับ NetScape รุ่นแรกจะเป็น NetScape 0.9 ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ผลิตขึ้นมาใหม่แทบจะทั้งหมด และมีความสามารถรวมถึงประสิทธิภาพที่สูงกว่าโปรแกรม Mosaic เดิมมาก

ซึ่งทำให้เหล่าโปรแกรมเมอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ กดแป้น Keyboard และลาก Mouse ทำอย่างงี้วนเวียนไปตลอดช่วงหน้าร้อน มีการประชุมสั้นๆ 10 นาทีทุกครั้งที่มีใครเจอปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และทีมงานก็จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาก่อนที่จะแยกย้ายกลับไปทำงานในส่วนของตัวเอง

ไม่เพียงเท่านั้น การแข่งขันมันได้เริ่มต้นตั้งแต่พวกเขาเริ่มพัฒนาโปรแกรม เนื่องจากศูนย์ NCSA ได้ทำการมอบลิขสิทธิ์ Mosaic ให้กับบริษัท Spyglass เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Spyglass ที่ได้รับลิขสิทธิ์ Mosaic ถือเป็นคู่แข่งโดยตรง
Spyglass ที่ได้รับลิขสิทธิ์ Mosaic ถือเป็นคู่แข่งโดยตรง

แต่เรื่องที่ดีหลังจากการโปรโมตผลิตภัณฑ์ NetScape อย่างเป็นทางการก็คือ มีลูกค้าหลายรายเริ่มติดต่อเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก และนั่นเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าโปรแกรมของพวกเขาได้รับการตอบสนองที่ดีเพียงใด และทำให้เกิดโอกาสทางด้านธุรกิจเกิดขึ้นมากมายทั้งที่ตัวโปรแกรมยังไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าความตื่นเต้นทั้งหมดอยู่ในช่วงที่บริษัทกำลังจะเผยแพร่โปรแกรม NetScape 0.9 ออกสู่สายตาโลก มีการทำงานอย่างหนักทั้งเรื่องความคิด การแก้ไข Bug และผู้ที่จะทดสอบโปรแกรมได้ดีที่สุด ก็คือสาธารณชนเมื่อโปรแกรมถูกปล่อยออกไปนั่นเอง ซึ่งคนเหล่านี้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หลังจากได้ใช้งานจริง ๆ เพื่อมาปรับปรุงแลพัฒนาโปรแกรมให้ดียิ่งขึ้น

แผนการสุดท้ายที่จะปล่อยโปรแกรมออกไปคือ ช่วงกลางเดือนตุลาคม และสำหรับเหล่าทีมงานโปรแกรมเมอร์ แล้ว ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง เป็นช่วงเวลาที่จะพิสูจน์ว่าโปรแกรมของพวกเขา จะสร้างธุรกิจหลายล้านเหรียญสหรัฐได้อย่างที่คาดหวังไว้หรือไม่

มีการนำเอาจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่ติดตั้งไว้กับเครื่อง Server มาไว้ในห้องประชุม เพื่อแสดงข้อมูลการดาวน์โหลด โปรแกรมรวมถึง tracking ข้อมูลต่าง ๆ ว่า มีการดาวน์โหลดเกิดขึ้นที่ไหนอย่างไร

เหล่าโปรแกรมเมอร์เข้ามามุงดูเหมือนการถ่ายทอดสดกีฬาครั้งสำคัญ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ณ ฝั่งตะวันตกของสหรัฐ NetScape ก็ได้ถูกปล่อยให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ

NetScape 0.9 เวอร์ชั่นแรกที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ
NetScape 0.9 เวอร์ชั่นแรกที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ

แทบจะทันทีทันใดหลังจากปล่อยโปรแกรมออกมา มีการดาวน์โหลดเข้ามาแบบทันทีราวกับว่าพวกเขากำลังรอโปรแกรมนี้อยู่ มีผู้ใช้งานจากญี่ปุ่นเป็นคนแรกที่เข้ามาดาวน์โหลดโปรแกรม เพราะว่าเวลาในช่วงนั้นของญี่ปุ่นคือช่วงบ่าย

เรื่องประสิทธิภาพการใช้งานนั้น ทีมงานโปรแกรมเมอร์ของ Marc ไม่กังวัลแต่อย่างใด เพราะ มันดีกว่า Mosaic แน่นอน มันทำงานได้เร็วกว่า เชื่อมต่อกับ internet ได้เร็วกว่า และมีรูปแบบลักษณะการใช้งานที่หลากหลายมายิ่งขึ้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ๆ ของโลกมนุษย์เราที่ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญไปสู่อนาคตของ World Wide Web

ต้องบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจากจุดเล็ก ๆ ของทีมงานของ Marc นั้นกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กับโลกเรา กลุ่มเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยจินตนาการ กำลังเฝ้ามองสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขา ที่กำลังถูกดาวน์โหลดไปใช้โดยผู้ใช้งานจากทั่วโลก และนับจากวันนั้นเองที่ NetScape 0.9 ได้ถูกปล่อยออกมา โลกใบเดิม ๆ ของมนุษย์เรากำลังจะถูเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

–> อ่านตอนที่ 8 : Break The Law

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : https://guardianlv.com/2014/05/the-rise-and-fall-of-netscape/

NetScape Time ตอนที่ 3 : Dream Team

มันเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางด้านคอมพิวเตอร์ที่เรื่องของประสบการณ์นั้นไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจเสมอไป เนื่องจากบริษัทด้านเทคโนโลยีส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ถูกผลักดันด้วยพลังของคนอายุน้อย ๆ ที่ มีมันสมอง และพลังงานที่เหลือล้น

และทีมงานคนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทเกิดใหม่ของ Jim และ Marc โดยทั้งสองได้บินด่วนไปที่ อิลลินอยส์ เพื่อไปดึงตัวเหล่าทีมงานเก่าที่เคยร่วมงานกับ Marc ที่ NCSA เพื่อรีบจูงใจทีมงานให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกเขาจะถูกดึงตัวโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ

แม้ทีมบริหารของศูนย์ NCSA นั้นจะพยายามบอกว่า มีทีมงานที่ร่วมกันพัฒนาโปรแกรม Mosaic กว่า 40 คน แต่เมื่อ Jim ได้พบกับเพื่อน ๆ ของ Marc ก็รู้ได้ทันทีว่า มีเพียงกลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นตัวหลักในการพัฒนาโปรแกรม Mosaic ที่ NCSA

Jim และ Marc ได้ปรึกษากันและตกลงที่จะยื่นข้อเสนอให้กับเหล่าเพื่อน ๆ ของเขา 7 คน โดยเสนอรายได้ 65,000 เหรียญ/ปี บวกกับหุ้นของบริษัทจำนวน 1 แสนหุ้น เพื่อชักจูงพวกเขาให้กลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทใหม่นี้

ซึ่งรูปแบบ Model ทางด้านการบริหารบริษัทใหม่นั้น Jim เสนอให้มูลค่าโปรแกรมจากทีมงานของ Marc ที่ 3 ล้านเหรียญ ซึ่งจะเป็นมูลค่าซอฟต์แวร์ที่มีอายุ 1 ปี ออกแบบและพัฒนาโดยทีมงาน 7 คน จากนั้นก็นำเงินจำนวน 3 ล้านเหรียญเข้ามาในบริษัท เพื่อแลกกับหุ้นจำนวน 50% ของบริษัท ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะถูกลดสัดส่วนลงเรื่อย ๆ เมื่อมีการจ้างงานพนักงานคนอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มในภายหลัง

ซึ่งต้องบอกว่าการมาที่อิลลินอยส์ ของ Jim และ Marc เป็นเวลาที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแค่ทีมงานของ Marc กำลังจะจบจากการศึกษาเพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเหล่านี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่พวกเขาถูกขโมยสิ่งประดิษฐ์อย่าง Mosaic ไปนั่นเอง และมันได้กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาพร้อมที่จะมาลุยกับ Jim และ Marc เพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

Larry Smarr ซึ่งเป็น ผู้บริหารของศูนย์ NCSA ที่ต้องการให้ผลงาน Mosaic เป็นของสถาบัน เพราะมันกำลังเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง มันจึงเป็นแรงเย้ายวนใจให้ Smarr ต้องการเข้ามาครอบครองโครงการ Mosaic ดังกล่าว เพื่อต้องการที่จะระดมทุนได้อย่างไม่สิ้นสุด เพื่อสร้างรายได้ให้แก่สถาบันและมหาวิทยาลัยของเขา

Larry Smarr ผู้บริหารของศูนย์ NCSA
Larry Smarr ผู้บริหารของศูนย์ NCSA

และในวันที่ 4 เมษายน ปี 1994 Jim ได้ทำการจดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft กำลังจัดสัมนาวางแผนอนาคตในการเข้ามาสู่ธุรกิจ internet

และในที่สุดเวลาสำหรับการออกลุยจริง ๆ จัง ๆ ก็มาถึงเสียที หลังจากการได้ทีมงานที่พร้อมจะรบแล้ว บริษัทเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว Jim ก็ได้เริ่มจัดการหาสำนักงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ โต๊ะ โทรศัพท์ เก้าอี้ ห้องประชุม และอื่นๆ เพื่อเตรียมรองรับทีมงานที่จะมาเริ่มงานในตอนสิ้นเดือนเมษายน

Jim มั่นใจว่าทีมงานยอดอัจฉริยะของเขาสามารถสร้างโปรแกรม Browser ที่ดีกว่า Mosaic ได้ จึงได้เลือกเช่าสำนักงานขนาดใหญ่เพื่อรองรับการขยายตัว โดยเลือกห้องเช่าขนาด 11,699 ตร.ฟุต บนชั้น 4 ของตึกแห่งหนึ่งบนถนนแคสโตร ใน Moutain View ซึ่งเป็นห้องเรียบ ๆ ง่าย ๆ มีฉากกั้นที่เคลื่อนย้ายได้ ปูด้วยพรมตลอดทั้งห้อง

โดยสถานการณ์ในตอนนั้น ศูนย์ NCSA ได้ให้ลิขสิทธิ์โปรแกรม Mosaic ไปกับบริษัทต่าง ๆ ถึง 9 ราย และผู้ใช้งาน internet กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทีมงานของ Jim ก็ต้องเร่งทุกอย่างให้ทัน ก่อนที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft จะมองเห็นถึงความเคลื่อนไหวในธุรกิจนี้

Bill Gates ที่ยังมองไม่เห็นถึงพลังของ internet ในขณะนั้น
Bill Gates ที่ยังมองไม่เห็นถึงพลังของ internet ในขณะนั้น

ต้องบอกว่าโอกาสทางธุรกิจคราวนี้ไม่ใช่แค่เพียงจุดเล็ก ๆ แต่เป็นมุมมองที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก ๆ ของ internet ที่สถานการณ์ในตอนนั้น มีเหล่า Geek ทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ ได้เคยใช้ internet เพื่อการสื่อสารมาแล้ว และเริ่มเห็นถึงศักยภาพของมัน

แต่แทบจะไม่มีใครตระหนักถึงความเป็นไปได้ทางธุรกิจของ internet เลยด้วยซ้ำ ซึ่งต้องบอกว่า สำหรับ Jim และ Mark นั้น มันเป็นโอกาสที่น้อยมาก ๆ สำหรับพวกเขา ที่จะเข้าไปจับต้องบางสิ่งบางอย่างที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เหล่าคู่แข่งยังมองไม่เห็น

แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เนื่องจากตอนที่ Jim และ Marc ไปชักชวนทีมงานจากอิลลินอยส์นั้น พวกเขาก็แทบจะไม่ทันได้คิดว่า การดึงทีมงานเหล่านี้มาร่วมบริษัทจะส่งผลอย่างไรต่อ NCSA ซึ่ง Jim มองเพียงแค่ว่า กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้กำลังจะเรียนจบเพียงเท่านั้น และคิดว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งอย่างเป็นทางการกับ NCSA

แต่ Larry Smarr เมื่อได้รับรู้เรื่องราวว่าอดีตทีมงานของเขากำลังจะไปสร้างบริษัทใหม่มาแข่งกับ Mosaic ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยผ่านการสัมภาษณ์กับนิตยสารหลาย ๆ ฉบับ ที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ ซึ่งแน่นอนว่า ประเด็นดังกล่าว มันกำลังจะนำไปสู่ปัญหาในอนาคตกับทีมงานของ Jim และ Marc ในที่สุด

ดูเหมือนเรื่องราว กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่ทีมงานของ Jim และ Marc เหมือนจะต้องเจอปัญหาบางอย่างเสียแล้ว และปัญหานั้นมันคืออะไร พวกเขาจะสามารถสร้าง Browser ที่ดีกว่า Mosaic ได้ดีขนาดไหน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 4 : The Navigator

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

NetScape Time ตอนที่ 1 : Billion Dollar Company

ช่วงทศวรรษ 1990 แม้ว่าตลาดหุ้น Wallstreet นั้นจะตอบรับบริษัทเทคโนโลยี อย่างดียิ่ง เป็นหุ้นกลุ่มที่ร้อนแรงที่สุดของตลาดในขณะนั้น แต่นักวิเคราะห์หลาย ๆ คนก็คิดว่ามันกำลังเริ่มที่จะร้อนแรงเกินไปเสียแล้ว มันกำลังจะเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

วันที่ 9 สิงหาคม 1995 เป็นวันที่ หุ้นของ NetScape จะถูกนำมา IPO เปิดขายให้กับสาธารณชนเป็นครั้งแรกในตลาดหุ้น Nasdaq ของอเมริกา โดย NetScape ที่สร้างโดย Marc Andreessen และ Jim Clark ที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาจะกลายเป็นธุรกิจพันล้านใหม่ในตลาดหุ้นในวันนั้น

สิ่งที่ NetScape ได้สร้างมาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนทุกอย่างของโลกเราไปตลอดกาล โปรแกรม Nevigator ที่ช่วยให้ผู้คนเข้าสู่ Internet นั้นถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ ที่ไม่มีใครเคยได้พบเจอมาก่อน

มันทำให้ผู้คนสามารถเข้าสู่โลกของ World Wide Web ได้อย่างง่ายดาย NetScape ได้ฉีกแนวธุรกิจใหม่ขึ้น เมื่อสร้างสินค้าที่เผยแพร่ไปบน Internet ไปสู่ผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านชั้นวางสินค้า ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือนหลังจาก่อตั้ง มีผู้ดาวน์โหลดไปใช้งานกว่า 6 ล้านชุด

แน่นอนว่าในตอนแรก พวกเขาก็ยังไม่มี Business Model ที่ชัดเจนนัก ว่าจะทำกำไรจาก NetScape Navigator นี้ได้อย่างไร และต้องบอกว่ามันเป็นครั้งแรก ๆ ที่มีการคิด Model ปล่อยให้ใช้ฟรี แล้วค่อยมาทำเงินจากมันในภายหลัง ให้เกิดขึ้นบนโลกของเทคโนโลยีก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องปรกติในยุคปัจจุบันนั่นเอง

แน่นอนว่ามันเป็นการพนันครั้งยิ่งใหญ่ของ Marc Andreessen และ Jim Clark สองผู้ก่อตั้ง ที่จะไม่ขายให้ผู้ใช้โดยตรงตั้งแต่ครั้งแรก แต่พวกเขามองว่ารายได้จะเข้ามาเองเมื่อผู้ใช้เหล่านั้นพอใจกับสินค้าที่พวกเขาเสนอ ซึ่งถือเป็นแนวคิดใหม่มาก ๆ ในยุคนั้น

James Barksdale หนึ่งในผู้บริหารของ NetScape ในขณะนั้น ก็ยังมองว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป ที่จะนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพราะสถานการณ์ในขณะนั้น NetScape แทบจะยังไม่สามารถสร้างกำไรจากธุรกิจได้เลยด้วยซ้ำ

3 ทีมงานคุณภาพของ NetScape  James Barksdale , Marc Andreessen , Jim Clark
3 ทีมงานคุณภาพของ NetScape James Barksdale , Marc Andreessen , Jim Clark

แต่ตัวเร่งที่สำคัญที่ทำให้ NetScape ต้องลุยเข้า IPO โดยด่วนก็คือ บริษัทอย่าง Spyglass ที่เป็นบริษัทขนาดเล็กในอิลลินอยส์ เช่นเดียวกัน และได้รับลิขสิทธิ์จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ในการเผยแพร่โปรแกรม Mosaic ซึ่งเป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดย Marc Andreessen และเพื่อร่วมงานของเขา (สมัยที่ยังศึกษาอยู่) และสามารถระดมเงินทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญ และกำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ NetScape อีกด้วย

แน่นอนว่า Spyglass เองพยายามพูดถึง NetScape ในแง่ลบ ในการขโมยความคิดมาจากหน่วยงาน National Center of Supercomputer Application (NCSA) แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ในขณะนั้น ซึ่ง Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้ง NetScape เคยทำงานวิจัยอยู่ที่นั่น

และในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงในเวลา 11.30 ของเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 1995 ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการเปิดตัวหุ้น NetScape นั้น ราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1 เท่าตัว ได้เกิดบันทึกหน้าใหม่ให้กับตลาดหุ้น Wallstreet เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และนั่นเอง มันได้ทำให้ NetScape ที่ยังแทบจะไม่มี model ในการสร้างรายได้ในระยะยาว และไม่ต้องพูดถึงกำไรที่ยังแทบจะไม่มี ได้กลายเป็นบริษัทที่มูลค่าตลาดพุ่งไปสูงกว่า 1 พันล้านเหรียญ ได้สำเร็จ ทำให้ Jim Clark สร้างบริษัทที่สองให้กลายเป็นบริษัทพันล้านเหรียญได้สำเร็จ และหุ้นที่เขาถืออยู่ในมือ ก็กำลังมีมูลค่าสูงถึง 663 ล้านเหรียญด้วยเช่นเดียวกัน

ซึ่งการพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วของหุ้น NetScape นี่เอง เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของตลาดหุ้น Wallstreet และสร้างความประทับใจให้กับสื่อมวลชนเป็นอย่างยิ่ง มีการพาดหัวในหนังสือพิมพ์ Newyorktime ว่า “ด้วยกระแสของ internet แม้จะไม่มีกำไร หุ้นของบริษัทใหม่ก็เป็นที่ต้องการของ Wallstreet”

และเพียงแค่วันแรกของการเปิดตลาด IPO ของ NetScape นั้น เมื่อสิ้นสุดวัน ราคาหุ้นของพวกเขาก็ได้ปรับตัวขึ้นไปสูงถึง 58.25 เหรียญ และนี่คือจุดเริ่มต้นครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเขา ที่ทำให้เหล่าพนักงาน รวมถึงผู้ก่อตั้งกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านไปได้ในชั่วข้ามคืนในที่สุดนั่นเองครับ

ต้องบอกว่า เรื่องราวของ NetScape นั้นถือเป็นอีกหนึ่ง Story ทางธุรกิจที่น่าสนใจ กับธุรกิจเทคโนโลยี ที่สุดท้ายต้องมาประมือกับยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ผมจะพาย้อนไปตั้งแต่พวกเขาเริ่มต้น ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งต้องบอกว่าเรื่องราวของ NetScape นั้น ไม่แพ้การต่อสู้ในหลาย ๆ ธุรกิจที่ผมเคยเล่าผ่าน Blog Series ชุดต่างๆ มาเลยทีเดียวครับ โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : Mosaic Killer

References : https://www.britannica.com/topic/Netscape-Communications-Corp