Blog Series : Netscape Time The True Legend of Internet

ต้องบอกว่า internet นั้นถือเป็นนวัตกรรมครั้งสำคัญของโลกเรา ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์เราไปตลอดกาล ข้อมูลข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลกที่สามารถเข้าถึงได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส

แน่นอนว่าพื้นฐานในการเข้าสู่ internet นั้นต้องใช้โปรแกรมท่องเว๊บอย่าง Web Browser ที่มีอยู่อย่างมากมายในปัจจุบัน แต่การปฏิวัติครั้งสำคัญจน เราสามารถท่องโลก internet ได้อย่างง่ายดายเหมือนปัจจุบันนั่นก็คือ การเกิดขึ้นของ NetScape

แต่การเป็นผู้บุกเบิก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป เมื่อเราแทบจะไม่ได้เห็นชื่อของ NetScape มานานมากแล้ว แต่การต่อสู้กับพวกเขาในยุคนั้น ที่ต้องต่อสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft นั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ที่ผมจะมาเล่าผ่าน Blog Series ชุดนี้นั่นเองครับ

NetScape Time : JIM CLARK
Speeding The Net : Joshua Quittner and Michelle Slatalla

โดยเรื่องราวจะมาจากหนังสือหลักสองเล่ม คือ NetScape Time โดย JIM CLARK และ Speeding The Net โดย Joshua Quittner and Michelle Slatalla ที่มาเรียบเรียงใหม่ผ่านสไตล์ของผมเหมือนเช่นเคย ครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 1 : Billion Dollar Company

ประวัติ Michael Dell ตอนที่ 8 : Direct Sales Revolution

Michael นั้นรอคอยอยู่เสมอว่า พัฒนาการใหม่ ๆ แบบไหนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดที่พลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ได้อีกครั้งหนึ่ง และตัวเขาเองมองว่า การที่ Dell จะกลายเป็นบริษัทชั้นนำได้นั้น ต้องสามารถที่จะรับมือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้ได้ เขารู้แน่ ๆ ว่ามันต้องเกิดขึ้น แต่ตอนนั้นเพียงแค่ยังไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหน และเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

และในที่สุด เทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปตลอดกาล ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งเทคโนโลยีทีว่านั่น ก็คือ อินเทอร์เน็ตนั่นเอง

อินเทอร์เน็ตนั้น ทำให้เหล่าลูกค้าสามารถที่จะค้นหาข้อมูลทุกอย่างที่ต้องการได้ ผ่านคอมพิวเตอร์ได้แบบตลอด 24 ชม. และแน่นอนว่ามันเข้าถึงได้ทุกคน อินเทอร์เน็ตทำให้เหล่ากลุ่มคนหัวก้าวหน้านั้นหันมาสนใจ และที่สำคัญคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มลูกค้าที่ Dell ขายสินค้าให้อยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า Michael นั้นรู้ทันทีว่า บรรดาลูกค้าเก่า รวมถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเขานั้น จะตรงเข้าไปที่อินเทอร์เน็ตเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน

และตัว Michael นั้นก็รู้ดีตั้งแต่แรกแล้วว่า อินเทอร์เน็ตนั้นจะเป็นช่องที่ทำให้พวกเขาเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพได้อย่างไร้ขีดจำกัด และเป็นการสร้างแบรนด์ให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น เขาต้องเข้าไปสู่ตลาดที่ศักยภาพแห่งนี้ให้สำเร็จเป็นรายแรก ๆ ให้ได้

ในเดือนมิถุนายม ปี 1994 Dell ได้ทำการเปิดตัวเว๊บไซต์ www.dell.com ซึ่งมีการนำข้อมูลต่าง ๆ ของเครื่อง PC และที่อยู่ email ที่เกี่ยวข้องกับการ support ลูกค้าขึ้นไปไว้บนอินเทอร์เน็ต โดยหลังจากนั้นอีก 1 ปีถัดมา ก็ได้เพิ่มบริการให้ลูกค้าสามารถสั่งประกอบคอมพิวเตอร์ได้ตามต้องการ

เว๊บไซต์ของ Dell ในยุคแรก ๆ
เว๊บไซต์ของ Dell ในยุคแรก ๆ

ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาในเว๊บไซต์ สามารถเลือกเพิ่มส่วนประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Ram Disk Display Card, Modem , Network card หรือแม้กระทั่งลำโพง ได้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการ และในท้ายที่สุดมันจะคำนวณราคาออกมาให้กับพวกเขาได้แบบทันที

Direct Sales Revolution

ต้องบอกว่าการขายเครื่องผ่านระบบออนไลน์ด้วยเว๊บไซต์ www.dell.com ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของ Dell ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเลยก็ว่าได้ Michael นั้นได้รับความช่วยเหลือจาก Scott Eckert ซึ่งเป็นผู้ช่วยกรรมการในขณะนั้น และกลายมาเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการพัฒนาระบบออนไลน์ของ Dell ในภายหลัง

และแน่นอนว่า อินเทอร์เน็ต นั้นเกิดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมระบบ Direct Sales ของ Dell ที่เป็นจุดเด่นอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ Dell นั้นใกล้ชิดกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่ลูกค้าต้องการนั้นสามารถค้นหาได้อย่างรวดเร็ว ราคาถูก และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมมาก ๆ

Scott Eckert ผู้มีบทบาทสำคัญในระบบออนไลน์ของ Dell
Scott Eckert ผู้มีบทบาทสำคัญในระบบออนไลน์ของ Dell

และมันตรงกับความต้องการของ Michael ที่ต้องการลดขนาดโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทลงพอดิบพอดี วิธีสั่งของแบบตัวต่อตัวที่เกิดจากโลกอินเทอร์เน็ตนั้น ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายโดยแทบจะไม่ต้องเพิ่มจำนวนพนักงานแต่อย่างใด

เมื่อ Michael นั้นมองว่าระบบสั่งออนไลน์เริ่มที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอแล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจเริ่มทุ่มทุนในการโฆษณาทันที ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ Dell ได้เจอกับกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่พวกเขาแทบไม่เคยเจอมาก่อน โดยเมื่อถึงช่วงสิ้นปี 1996 Dell สามารถทำยอดขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ถึง 1 ล้านเหรียญต่อวัน

ด้วยระบบการส่งตรงที่เป็นทุนเดิมมาอยู่แล้วนั้น ทำให้ Dell ได้เปรียบทันทีเมื่อเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต ซึ่งพวกเขาสามารถทำกำไรได้ทันที ต้องเรียกได้ว่าเป็นเว๊บไซต์ ecommerce แรก ๆ ของโลกที่สามารถทำกำไรได้ทันทีเมื่อเข้าสู่ยุคของการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต

ซึ่งแม้ในช่วงนั้นเว๊บไซต์ดัง ๆ อย่าง Amazon กำลังเกิดขึ้น และเริ่มสร้างรายได้มหาศาล แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ธุรกิจที่สามารททำกำไรได้ เหมือนอย่างที่ Dell ทำสำเร็จ เมื่อเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ Dell ก็ได้กลายเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้สำเร็จในที่สุด

เป้าหมายอีกอย่างของ Michael ก็คือ เขาต้องการให้ Dell สามารถทำยอดขายจากระบบออนไลน์ให้ได้เกิน 50% และเพื่อทำให้เป้าหมายนั้นเกิดขึ้นจริงได้ Michael จึงสั่งการให้ทุก ๆ ส่วนของบริษัทนั้นให้มาใช้บริการบนระบบอินเทอร์เน็ต

มีการส่งเสริมให้อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในทุก ๆ แผนกของ Dell ซึ่ง Michael ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ในการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ร่วมกับระบบข้อมูลข่าวสารของบริษัททั้งหมด เพื่อทำให้การติดต่อสื่อสารกับลูกค้า และผู้จัดส่งชิ้นส่วนนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

แน่นอนว่าในช่วงแรกนั้นธุรกิจของ Dell บนอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่ลูกค้าขนาดเล็ก และ ขนาดกลางเท่านั้น เนื่องจากลูกค้ากลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่นั้น ยังมีระบบการจัดซื้อแบบโบราณมาก ๆ และเป็นเรื่องยากที่จะมาซื้อขายกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่ต้องตัดสินใจ ณ ขณะนั้นทันที

วิธีการแก้ปัญหาของ Dell คือ การออกแบบเว๊บไซต์แบบพิเศษสำหรับลูกค้ารายใหญ่แต่ละรายบนเว๊บไซต์แทน โดยเรียกมันว่า “Premier Page” ซึ่งจะมีการติดต่อกันด้วยรหัสลับพิเศษ เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการของ Dell โดยเฉพาะ และสามารถตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รายการสินค้าคงคลัง ภูมิภาค สถานที่ และการให้บริการ เป็นต้น และทุก ๆ อย่างจะสามารถตรวจสอบได้ทันทีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

แต่ต้องบอกว่าสำหรับ Dell นั้นการค้าในระบบ Ecommerce ผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งการที่ Michael สามารถมองเห็นได้ทันทีว่าอินเทอร์เน็ตจะกลายเป็นส่วนสำคัญต่อกลยุทธ์ของบริษัท ทำให้ Dell เริ่มมองเห็นข้อมูลในลักษณะที่แตกต่างไปจากคู่แข่งอื่น ๆ

ซึ่งจากการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต แทนที่เขาจะพยายามป้องกันฐานข้อมูลที่ Dell เก็บข้อมูลมานานหลายปี แต่พวกเขากลับเลือกที่จะชักจูงให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์นั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในระบบนี้แทน ซึ่งการเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้การส่งผ่านข้อมูลระหว่างบริษัทนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องบอกว่า Dell นั้นถือเป็นต้นแบบสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของการทำธุรกิจในเศรษฐกิจดิจิตอลตั้งแต่ยุคแรก ๆ ก็ว่าได้

ต้องบอกว่าการที่ Dell สามารถก้าวมาได้ถึงจุดนี้นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญแต่อย่างใด Michael ล้วนแล้วแต่สร้างกลยุทธ์ที่สำคัญที่มีผลต่อบริษัทเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งตรง การบริการลูกค้า การสร้างสินค้าที่มีคุณภาพ รวมถึงการกระโจนเข้าสู่ธุรกิจ Ecommerce เป็นรายแรก ๆ แต่พวกเขายังมีอีกหนึ่งเป้าหมายที่สำคัญ คือ การก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดในการผลิตคอมพิวเตอร์ในระดับโลกให้ได้ แล้วพวกเขาจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : Moving Beyond (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Life’s Choices *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : https://www.interesticle.com/entertainment/10-richest-people-who-did-not-finish-college/3

Xerox พลาดอย่างไรในยุค Digital Revolution

หลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อของ Bell Labs และวิธีการที่ Bell Labs ปฏิวัติโลก โดย Bell Labs เป็นสถานที่ที่คนฉลาด ๆ บางคนรวมตัวกันและคิดค้นสิ่งต่าง ๆ เช่น ทรานซิสเตอร์เลเซอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ภาษาซี รวมถึงสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายที่เปลี่ยนแปลงโลก

ด้วยผลงานการันตีคุณภาพด้วย รางวัลโนเบล 8 รางวัล มอบให้แก่ผู้ที่ทำงานที่นี่ Bell Labs จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 แต่มันไม่ได้เป็นเพียงสถานที่เดียวที่มีการวิจัยเทคโนโลยีที่สำคัญ  เมื่อซิลิคอน แวลลีย์ได้เริ่มถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษ 1960

Xerox ได้ตัดสินใจสร้างศูนย์วิจัยในพื้นที่ซิลิกอน วัลเลย์ และมุ่งเน้นการวิจัยด้านคอมพิวเตอร์ พวกเขามีกลุ่มคนฉลาดยอดอัจฉริยะเต็มไปหมด และพวกเขาก็คิดค้นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ทันสมัยอย่างที่เราได้รู้กัน 

พวกเขาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีหน้าจอ คีย์บอร์ด เมาส์ และ GUI ที่เรียกว่า Xerox Alto ซึ่งในปี 1973 ในช่วงเวลาที่ผู้คนยังคงคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเมนเฟรมขนาดใหญ่ในห้องคอมพิวเตอร์ Xerox ได้สร้างเครื่องจักรที่ปฏิวัติวงการอย่างบ้าคลั่งในยุคนั้น และมันทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เปลี่ยนแปลงโลกเราอย่างที่ไม่เคยเป็นมากก่อน

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่พวกเขาทำ พวกเขายังประดิษฐ์วิดีโอเกมแบบ Multi Player เป็นคนแรก โดยใช้เครือข่ายเน็ตเวิร์ก รวมถึงซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ (Word Processing) เทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยเลเซอร์  

GUI หรือ Graphic User Interface ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ผลงานจาก Xerox
GUI หรือ Graphic User Interface ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ผลงานจาก Xerox

ที่สำคัญพวกเขายังคิดค้นการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุผ่านภาษา Smalltalk สิ่งนี้ทำให้โปรแกรมเมอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเขียนโปรแกรมที่สามารถขยายได้อย่างง่ายดายและจำลองโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งภาษาทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ที่ใช้ในปัจจุบันยังคงใช้พื้นฐานหลักของโปรแกรมเชิงวัตถุที่ Xerox ได้ทำการสร้างไว้มาจวบจนถึงปัจจุบัน

พวกเขายังมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งอินเทอร์เน็ต พวกเขาคิดค้นเครือข่ายอีเธอร์เน็ต ซึ่งถูกใช้อย่างกว้างขวางโดย Workstation ของ DARPA ซึ่งแน่นอนว่า Xerox มีส่วนร่วมในการช่วยคิดค้นอินเทอร์เน็ต และในปัจจุบันเรายังคงใช้สายเคเบิลอีเธอร์เน็ตในวันนี้เพื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่นั่นเอง

แล้วเกิดอะไรขึ้น? ทำไม Xerox จึงไม่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อสร้างรายได้และครอบครองอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ปัญหาใหญ่ก็คือเหล่า ผู้บริหารระดับสูง ในนิวยอร์กไม่สนใจเรื่องคอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ 

ตอนนั้นพวกเขามุ่งเน้นไปที่เครื่องถ่ายเอกสารซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ Xerox ในเวลานั้น สิ่งนี้เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางความพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่พัฒนาโดย PARC ของ Xerox เอง  ซึ่ง Xerox ได้ใช้ความพยายามอย่างเดียวในการหารายได้จากงานวิจัยเหล่านี้ โดยในปี 1981 กับเครื่อง Xerox Star แต่มันก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด

Xerox Star ที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด
Xerox Star ที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ พวกเขาปล่อยให้สตีฟ จ็อบส์และบิล เกตส์ เข้าไปในสถาบันวิจัยของพวกเขาเพื่อดูสิ่งที่เป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมทั้งหมดที่พวกเขามี 

คงไม่กล่าวเกินเลยไปนักที่จะบอกว่า Xerox ได้มอบเทคโนโลยีทั้งหมดให้กับ Bill Gates และ Steve Jobs ซึ่งทั้งสองต่างประหลาดใจกับความอัจฉริยะของเหล่านักวิจัยของ Xerox ที่คิดค้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา

จ๊อบส์ ชอบ GUI และ เม้าส์จริงๆ ส่วน เกตส์ นั้นชอบทุกอย่าง เพราะมันเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ แทบจะทั้งสิ้นที่คิดค้นโดยเหล่าอัจฉริยะ จนทำให้ Apple ตัดสินใจสร้าง Macintosh ตามนวัตกรรมที่พวกเขาสังเกตเห็น

ส่วน Microsoft เปิดตัว Microsoft Word ซึ่งได้ใช้ตัวแก้ไขข้อความที่ PARC พัฒนาขึ้น และ Windows ก็ตามมาในปี 1985 ทั้งสอง บริษัท ประสบความสำเร็จอย่างน่าขัน บิลล์เกตส์ และสตีฟ จ็อบส์กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน และนำพาบริษัท Apple และ Microsoft ขึ้นสู่จุดสูงสุดของบริษัททางด้านเทคโนโลยี

ซึ่งแน่นอนว่าความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาทั้งสอง ก็คือ การจดจำเอานวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่พวกเขาเห็นที่ Xerox และมันดูเหมือนการขโมย และไปสร้างขึ้นและนำไปขายในเชิงพาณิชย์ 

แต่เนื่องจากความล้มเหลวของการจัดการของ Xerox เพื่อมาดูแลเหล่านวัตกรรมชั้นยอดที่เป็นผลงานของ PARC ซึ่งถึงตอนนี้นี้ เราได้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน Microsoft และ Apple ที่ได้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ๋ที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ภาพของ Xerox ยังคงเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารอย่างง่าย ๆ อยู่เหมือนเดิม เปรียบดังที่ สตีฟ จ็อบส์ เคยกล่าวไว้ว่า “good artists copy; great artists steal “ นั่นเอง

References : https:// https://www.theodysseyonline.com/xerox-bad-decisions-hurt

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 5 : The Meaning of Life

ความหมายของชีวิตคืออะไร? สำหรับ มัสก์  มันแทบจะเป็นคำถามของเขามาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ มันเกิดจากช่วงชีวิตวัยเด็กของเขาที่แทบจะเป็นวิกฤติสำหรับชายอย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งกว่าที่เขาจะผ่านพ้นช่วงนั้นมาเริ่มชีวิตใหม่ในประเทศแคนาดา มันก็เป็นช่วงเวลายาวนานสำหรับเขา

มัสก์นั้นอ่านหนังสือมามากมาย ซึ่ง หนังสือเกี่ยวกับปรัชญานั้น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่อ่านมาหลายเล่มมาก มันไม่ควรเป็นหนังสือที่เด็กน้อยอย่างมัสก์อ่านเลยตอนยังเยาววัย

หนึ่งในหนังสือเชิงปรัชญาที่เขาชอบมากที่สุดคือ The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy โดย Douglas Adams ซึ่งเป็นหนังสือที่เสนอมุมมองเชิงปรัชญาในหลาย ๆ ด้าน เนื้อหานั้นเป็นเหมือนการรวมเอาหนังสืออย่าง Monty Python และ Star Wars มารวมกัน

หนังสือ The Hitchhiker's Guide to the Galaxy
หนังสือ The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy

สิ่งสำคัญที่ มัสก์ ได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้คือ แนวคิดในการตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ มนุษย์ทุกคนนั้นมักจะมีคำถามอยู่เสมอ หากไม่เข้าใจในสิ่งใด ซึ่งเหมือนมัสก์ ที่กำลังตั้งคำถามกับชีวิตตัวเอง ว่าความหมายในการคงอยู่ของชีวิตเขานั้นมีไว้เพื่ออะไร?

ตอนที่เขาเรียนอยู่ University of Pennsylvania นั้น เขาได้เริ่มตั้งคำถามว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ผลกระทบมากที่สุดต่ออนาคตของมนุษย์เราในวันข้างหน้า?

ทำไมเขาจึงต้องคำถามเหล่านี้ ส่วนนึงก็มาจากหนังสือนวนิยายที่เขาชอบอ่านของ Isaac Asimov ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนในดวงใจของมัสก์เลยก็ว่าได้  ซึ่งนวนิยายวิทยาศาสตร์ของ Isaac Asimov นี่เองเป็นแรงบัลดาลใจให้มัสก์คิดเรื่องใหญ่ ๆ ที่ผลกระทบต่อโลกเราที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

หลาย ๆ ไอเดียของมัสก์ ก็มาจากนวนิยายของ Asimov เนี่ยแหละ แต่เขาไม่ได้คิดแบบเพ้อฝันแบบนวนิยาย เขาคิดโดยพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมที่เขาได้ร่ำเรียนมา ทั้งเรื่องของกระสวยอวกาศ หรือ เรื่องพลังงานที่จะใช้ขับเคลื่อนมัน มัสก์ เปรียบเทียบกับความเป็นจริงอยู่เสมอโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคิด

หลายแนวคิดของ มัสก์ ได้มาจากนวนิยายของ Isaac Asimov
หลายแนวคิดของ มัสก์ ได้มาจากนวนิยายของ Isaac Asimov

มี 3 สิ่งที่มัสก์ นั้นคิดเสมอว่าจะเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของมนุษย์เรามากที่สุด  สิ่งแรกนั้นคือ อินเตอร์เน็ต ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปยังผู้ใช้งานทั่วโลกในขณะนั้น สิ่งที่สองก็คือ พลังงานที่ยั่งยืน และสิ่งสุดท้ายก็คือการสำรวจอวกาศ

มันเป็น 3 สิ่งหลักที่อยู่ในใจมัสก์เสมอ สิ่งที่ impact ต่อโลกเราในอนาคตอย่างแน่นอน แต่มัสก์ ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ 3 ไอเดียดังกล่าวเท่านั้น เขายังคิดถึงเรื่อง Artificial intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ และ ความรู้ด้านชีววิทยา เช่น การถอดรหัส DNA ของมนุษย์ที่เขามองว่าตอนนี้เทคโนโลยีที่มีอยู่นั้นยังไม่สมบูรณ์นัก มันยังมีความผิดพลาดอยู่อีกมาก เขาเปรียบเทียบการพยายามทำการอ่านรหัส DNA ของมนุษย์นั้นก็เปรียบเสมือนการอ่าน code ดี ๆ นี่เองซึ่งมักจะมี error อยู่เสมอ

สำหรับโลกของ อินเตอร์เน็ตนั้น มัสก์ ได้เริ่มใช้งานแบบจริง ๆ จัง ๆ เมื่อตอนเรียนในสาขาฟิสิกส์ ซึ่งเขาต้องใช้ อินเตอร์เน็ตในการค้นคว้าหางานวิจัย ตอนนั้นคือปี 1994 เขามองเห็นศักยภาพของอินเตอร์เน็ตทันที และคิดว่าอินเตอร์เน็ตมันต้องเปลี่ยนโลกได้อย่างแน่นอน

ช่วงที่มัสก์เริ่มใช้งานอินเตอร์เน็ตมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน เดิมนั้นโลกของการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ต้องพึ่งพาห้องสมุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ อินเตอร์เน็ตมันได้เปลี่ยนโลกของข้อมูลข่าวสารทั่วโลกทั้งหมดให้มาสู่ที่ปลายนิ้วเพียงเท่านั้น

ในวัยเด็กนั้น การที่จะหาข้อมูลต่าง ๆ แบบที่หาได้ใน wikipedia.org ในปัจจุบันนั้น ต้องอ่านผ่าน encyclopedias เล่มหนาเต๊อะ ต่างจาก wikipedia ในโลก อินเตอร์เน็ตที่มีการอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทันสถานการณ์อยู่ตลอด ต่างจากการอ่าน encyclopedias ที่มีการอัพเดทข้อมูลอย่างเร็วที่สุดปีละครั้งเพียงเท่านั้น

ส่วนเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น มัสก์ เติบโตขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งพบปัญหากับวิกฤติทางด้านพลังงานอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งปัญหาน้ำมันซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักที่สำคัญที่สุดของแอฟริกาใต้ หนักหนาถึงขั้นที่ว่าในประเทศแอฟริกาใต้มีพลังานเหลือให้ประชากรใช้ได้เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น

และไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องในแอฟริกาใต้เท่านั้น แนวคิดเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น มาจากหนังสือนวนิยายของ Isaac Asimov นักเขียนคนโปรดของเขาอีกด้วย มัสก์ นั้นมองปัญหาใหญ่ ๆ อยู่สม่ำเสมอ เรื่องพลังงานนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของโลก

ซึ่งมัสก์นั้นคิดว่าโลกเรามีความเป็นไปได้ที่ แหล่งพลังงานและแหล่งอาหาร นั้นจะอยู่ได้อีกไม่กี่สิบปี หากไม่ทำอะไรซักอย่าง มันจะเป็นปัญหาระดับโลกในอนาคต มันอาจจะส่งผลให้ เกิดความตื่นตระหนกวุ่นวายกันทั่วโลกเมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ การใช้ความรุนแรง การปล้น นั้นจะกลายเป็นทางเดียวที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

ซึ่งในนวนิยายของ Asimov ก็มีการกล่าวถึงในเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน มันอาจจะเกิดสงครามระหว่างประเทศ เพื่อแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะด้านพลังงานและอาหาร และเมื่อนั้นอาจจะมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้นจริงก็ได้

มัสก์ ได้กล่าวถึงการบริโภคพลังงานของมนุษย์เราในยุคปัจจุบัน นั้นสูงขึ้นกว่า 9 เท่า เมื่อเทียบกับในยุคปี 1850 หากไม่แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจรัง มันก็จะเกิดปัญหาระดับโลกได้ กระบวนการผลิตน้ำมันมันนั้นก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

Peak Oil คือ จุดที่การผลิตน้ำมันดิบอยู่ในอัตราสูงสุด ซึ่งเจ้าขอทฤษฏี Peak Oil คือ ดร.เอ็ม คิง ฮับเบิร์ต นักธรณีวิทยาชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปี 1956 เขาได้พยากรณ์ไว้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกาจะถึงจุดสูงสุดในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เลยจากจุดนั้นปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้จะลดลงเรื่อย ๆ 

กราฟแสดง ทฤษฏี Peak Oil
กราฟแสดง ทฤษฏี Peak Oil

ซึ่งพยากรณ์ดังกล่าวของ ดร.ฮับเบิร์ต นั้นเป็นจริง ถึงแม้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐ ขึ้นถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1970 หลังจากนั้นก็ลดต่ำลงมาโดยตลอด จึงมีผู้นำทฤษฏี Peak Oil ไปใช้ทำนายแนวโน้มการผิลตน้ำมันดิบของโลกจะลดลง เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่คุ้มค่าในการผลิต ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น

ซึ่งมัสก์ นั้นก็เป็นคนสนใจในทฤษฏีดังกล่าวนี้เป็นอย่างมาก เขาคาดการณ์ว่า Peak Oil จะเกิดขึ้นในปี 2020 และน้ำมันจะเริ่มหมดไปในช่วงปี 2050 โลกเรานั้นใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนโดยเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 87 ล้านบาร์เรล ในปี 2010 ซึ่งมันทำให้เราจะมีน้ำมันใช้จนถึงแค่เพียง 40 ปีเท่านั้น

แนวคิดสำคัญของมัสก์ ก็คือ ก่อนที่น้ำมันจะหมดโลก เราควรที่จะเก็บมันไว้ใช้ในอนาคต ในวันที่เราต้องการใช้มันจริง ๆ มากกว่า ในเมื่อในตอนนี้ เราสามารถใช้พลังงานทางเลือกอื่น ๆ ได้อยู่ มันไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ที่เราต้องนำน้ำมันที่กำลังจะหมดไปมาใช้ให้หมดในยุคของเราแบบทันที

เรื่องของน้ำมันที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นเป็นเรื่องนึงที่มัสก์ ใส่ใจ แต่อีกประเด็นเขาก็ยังสนใจประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหานี้ คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม เขามองว่าโลกที่ไม่ใช่พลังงานจากน้ำมันเหล่านี้นั้น จะเป็นโลกที่สะอาดขึ้น ปัญหาใหญ่คือเรื่องก๊าซ CO2 ที่ถูกปล่อยออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาโลกร้อนที่จะเกิดกับโลกเราในอนาคต

ส่วนอีกเรื่องที่มัสก์ สนใจนั้นคือ การอพยพ ย้ายไปอยู่ในดาวดวงอื่นนั้น หลายคนอาจจะมองเป็นสิ่งที่เพ้อฟัน เป็นเรื่องในนวนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ มัสก์ นั้นก็มองว่า ทุกเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสื่อสาร การแพทย์ หรือ อาวุธสงครามต่าง ๆ นั้น ล้วนเกิดจากจินตนาการที่เคยเป็นเรื่องที่เพ้อฟันแทบจะทั้งสิ้น

ความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ทั้งเรื่องปัญหาโลกร้อน หรือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าโลกใบนี้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ มัสก์มองว่ามันเป็นการเตรียมตัวรับอนาคตที่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น

เขาได้กล่าวถึง หากมนุษย์เราสามารถที่จะมีชีวิตในดาวดวงอื่นได้ เราก็ต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และสภาพอากาศ และ รู้จักที่จะทำให้มันเกิดความสมดุล ไม่งั้นมันสุดท้ายมันก็จะกลายสภาพให้เป็นโลกเราที่เห็นในปัจจุบันอยู่ดี

แนวคิดเรื่องการย้ายไปดาวดวงอื่น ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
แนวคิดเรื่องการย้ายไปดาวดวงอื่น ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

ซึ่งสุดท้ายคิดเสมอว่า โครงการด้านอวกาศใหม่ ๆ นั้นถือเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญให้กับมนุษย์โลก ซึ่งการที่เขาได้สร้างบริษัทอย่าง spaceX ขึ้นมาในภายหลังนั้น มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ ต่อยุคใหม่ของเทคโนโลยีทางด้านอวกาศ ซึ่งอาจจะทำให้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์เราไปตลอดกาลก็เป็นได้

–> อ่านตอนที่ 6 : The Outsider

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Jeff Bezos แห่ง Amazon ตอนที่ 1 : My name is Jeff Bezos

เจฟฟรีย์ เพรสตัน เบซอส (Jeff Bezos) หรือ เจฟฟ์ นั้น เกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษในการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ ในสมัยที่เรียนประถมนั้น มันดูเหมือนเขาเป็นคนดื้อรั้นในสายตาคุณครูประจำชั้นอยู่เสมอ แต่หารู้ไม่ว่าความดื้อรั้น นั้นเป็นส่วนสำคัญในสายเลือดของผู้ประกอบการที่อยู่ในตัวเขามาตั้งแต่เด็ก

เขาอยู่กับแม่และตาของเขาในเมืองเท็กซัส ส่วนพ่อที่แท้จริงนั้นแทบจะไม่มีใครรับรู้กันเท่าไหร่ ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม หลังจากหย่ากับพ่อที่แท้จริงของเจฟฟ์ แม่ของเขาได้พบรักคร้้งที่สองกับ ไมค์ เบซอส ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยมาจากประเทศคิวบา ไมค์นั้นมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า จนเรียนจบปริญญาและเข้าทำงานเป็นวิศวกรปิโตรเลียมที่เอ็กซอน บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา

เจฟฟ์นั้นสนใจเทคโนโลยีมาตั้งแต่เล็ก และมักจะหมกมุ่นกับการซ่อมแซมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เรียกได้ว่าเขาสวมวิญญาณของนักประดิษฐ์มาตั้งแต่วัยเด็กเลยด้วยซ้ำ ในวัยเด็กเขาสามารถใช้เวลาหลายชั่วโมงขลุกอยู่ในโรงรถ เพื่อประกอบวิทยุ สร้างหุ่นยนต์ หรือสร้างอุปกรณ์ทดลองต่าง ๆ 

เขาเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ ทั้งนิยายเพ้อฝัน ไปจนถึงเรื่องราวของผู้ประกอบการระดับตำนานอย่าง โทมัส เอดิสัน หรือ วอลต์ ดิสนีย์

ด้วยความที่พ่อเลี้ยงของเขาเป็นวิศวกรที่ต้องย้ายถิ่นฐานอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาได้ย้ายไปอยู่ในหลาย ๆ เมือง ตอนมัธยมนั้นเขาต้องย้ายไปอยู่ที่ฟลอริดา หลังจากจบมัธยมปลายเขาก็ก่อตั้งธุรกิจแรกของตัวเองขึ้นมาภายใต้ชื่อ สถาบันดรีม โดยเป็นค่ายวิชาการสำหรับนักเรียน โดยเก็บเงินค่าบริการคนละ 150 ดอลล่าร์ ถึงขึ้นที่ว่า ธุรกิจเขาเขานั้นได้ไปเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เลยทีเดียว

หนุ่มน้อย เจฟฟ์ เบซอส ที่ฉายแววอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็ก

สำหรับเส้นทางเริ่มต้นที่เข้ามาสู่วงการคอมพิวเตอร์นั้น น่าจะมาจากการได้มีโอกาสไปเรียนทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาลัยพรินซ์ตัน เจฟฟ์นั้นเริ่มสนใจคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก เขาเป็นเด็กเรียนดีที่หมกมุ่นอยู่กับการเขียนโปรแกรม จนสามารถเรียนจบได้เกียรตินิยมที่มหาลัยพรินซ์ตันได้สำเร็จ 

เจฟฟ์นั้นคิดไว้เสมอว่าเขาจะต้องเป็นผู้ประกอบการในซักวันหนึ่ง  เขาคิดถึงขนาดว่าจะมาเป็นผู้ประกอบการทันทีหลังจากเรียนจบ แต่สุดท้ายเขาอยากได้ความรู้เรื่องการทำธุรกิจ และหาประสบการณ์การทำงานภายในบริษัทก่อนน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ด้วยความเก่งระดับอิจฉริยะ เขาได้รับการเสนองานจากบริษัทใหญ่ ๆ มากมาย แต่เขาเลือกไปอยู่กับบริษัทฟิเทล ในนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบริษัทเปิดใหม่ โดยกำลังสร้างระบบที่เรียกว่าอีควิเน็ต เพื่อเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของเหล่าบริษัทค้าหลักทรัพย์ บริษัทจัดการลงทุน และธนาคารให้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถที่จะดำเนินการซื้อขายหุ้นได้อย่างสะดวก

ถ้าย้อนไปในสมัยนั้น แนวคิดนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ เจฟฟ์เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโปรแกรมหลักของโปรเจ็คนี้ ลูกค้าหลาย ๆ รายไม่เชื่อว่าระบบดังกล่าวจะสามารถทำงานได้จริง อีควิเน็ตช่วยให้สามารถที่จะส่งข้อมลการซื้อขายนับหเจมื่นครั้งระหว่างคอมพิวเตอร์ของธนาคารหลายแห่งในเครือข่าย

ซึ่งภายในเวลาเพียงไม่ถึงปี เจฟฟ์ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้จัดการฝ่ายพัฒนา ไปเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท ด้วยวัยเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้น แต่เขาต้องการความท้าทายในอาชีพการงานมากกว่านั้น และอยากได้มุมมองที่กว้างขึ้นรวมถึงสามารถที่จะเรียนรู้เคล็ดลับการเป็นผู้ประกอบการ

สามารถไต่เต้าตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วในทุกงานที่ทำ
เจฟฟ์ นั้นมีความรู้ทั้งทางด้านเทคโนโลยี และ ทางด้านการเงิน ที่หาตัวจับยากคนหนึ่งในวงการขณะนั้น

เขาจึงตัดสินใจย้ายไปทำงานกับธนาคารแบงเกอร์ส์ทรัสต์ ทำให้เขาได้ความรู้ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและเรื่องของการเงิน โดยสามารถเลื่อนขึ้นไปตำแหน่งรองประธานที่อายุน้อยที่สุดของแบงเกอร์ทรัสต์เมื่ออายุได้ 26 ปีเพียงเท่านั้น

จากนั้นเขาก็ได้มีโอกาสสำคัญที่ได้ไปทำงานกับ บริษัท ดี.อี.ชอว์ ที่สร้างระบบอัตโนมัติสำหรับซื้อขายหุ้นให้แวดวงการเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เจฟฟ์ ถนัดอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่ ดี.อี.ชอว์ นั้นต่างจากบริษัทก่อนหน้าที่เจฟฟ์เคยได้ร่วมงานมา เพราะ น้อยคนนักที่จะได้ผ่านการคัดเลือกเข้าไปทำงานกับ ดี.อี.ชอว์ นิตยสารชื่อดังอย่างฟอร์จูน ยกย่องให้ ดี.อี.ชอว์นั้นเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีมากที่สุดในวอลล์สตรีต

และเหมือนทุก ๆ ครั้งด้วยความอัจฉริยะของเจฟฟ์ เพียงไม่กี่ปีเขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานอาวุโส ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เจฟฟ์ นั้นไม่เหมือนกับผู้บริหารทั่ว ๆ ไป ความคิดของเขาค่อนข้างซับซ้อน และเป็นขั้นเป็นตอน คุณสมบัติที่พาให้เขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วคือความสามารถในการมองเห็นภาพรวมและรับมือกับปัญหายิบย่อยได้อย่างดีนั่นเอง

ด้วยความอัจฉริยะที่หาตัวจับยากทำให้ขึ้นตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยความอัจฉริยะที่หาตัวจับยากทำให้ขึ้นตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว

และที่ ดี.อี.ชอว์ นี่เองที่ทำให้เจฟฟ์ นั้นได้พบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า internet ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มากในขณะนั้น ซึ่งเป็นปี 1994 เจฟฟ์ นั้นถูกมอบหมายให้มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จากเทคโนโลยี internet เจฟฟ์ เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับ internet และรู้สึกประทับใจกับเจ้า internet ทันที ตอนนั้น อัตราการเติบโตของ internet สูงถึง 2,300% ต่อปีเลยทีเดียว 

ซึ่งทำให้ตอนนี้เจฟฟ์ เริ่มมองข้ามการทำงานให้กับ ดี.อี.ชอว์ การเติบโตของ internet ในระดับนี้นั้นเขามองว่ามันจะทำให้ใครหลาย ๆ คนหาเงินได้อย่างมหาศาล และตัวเขาก็อยากเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

เขาอยากสร้างบริษัทที่ประสบความสำเร็จโดยใช้ทักษะทางธุรกิจและเทคโนโลยีของเขาเอง ซึ่งอาจจะเป็นธุรกิจประเภทใดก็ได้ ขอให้สามารถทำกำไรได้มากพอ เขาเล็งเห็นทันทีว่า internet จะกลายเป็นพื่นที่ขนาดมหึมา ที่มีคนเข้ามาใช้บริการ นั่นย่อมทำให้มีโอกาสในการขายสินค้าตามมา

ตอนนั้นเขาเริ่มฝันถึงการเป็นผู้ค้าปลีกทาง internet รายใหญ่ที่สุดของโลกแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าควรเริ่มจากตลาดแบบเดียวก่อน ต้องเป็นสินเค้าที่ตลาดต้องการแล้วนำไปหลอมรวมกับความสามารถของ internet ในการกระจายไปยังผู้คนได้ทั่วอเมริกา หรือแม้กระทั่งทั่วโลกเลยด้วยซ้ำ แล้วสิ่ง ๆ นั้นมันคือ อะไร เจฟฟ์ จะเริ่มธุรกิจค้าปลีกครั้งแรกกับผลิตภัณฑ์อะไรดี ตอนนี้โอกาสมันเข้ามาถึงเจฟฟ์แล้วที่จะได้ทำตามความฝันในการเป็นผู้ประกอบการเสียที จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ เจฟฟ์ เบซอส โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : Online Book Store

Credit แหล่งข้อมูลบทความ