Geek Story EP217 : เปิดกล่องดำ Tesla กลยุทธ์เด็ดพลิกเกมอุตสาหกรรม กับการแจกสิทธิบัตรฟรีของ Elon Musk

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นความหวังสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มักต้องใช้เวลาและทรัพยากรมหาศาล ดังนั้นเมื่อ Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ประกาศเปิดเผยสิทธิบัตรทั้งหมดของบริษัทในปี 2014 จึงสร้างความฮือฮาให้กับวงการอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอย่างมาก

การตัดสินใจครั้งนี้ของ Musk ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นการท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในโลกธุรกิจ Musk ประกาศอย่างชัดเจนว่า “สิทธิบัตรทั้งหมดของเราเป็นของคุณ” โดยเขาอธิบายว่า Tesla จะไม่ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ต้องการใช้เทคโนโลยีของบริษัทโดยสุจริต นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญและสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างมาก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mps8jna7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5bv6da57

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mrytue9x

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/LGsaGPvm1Is

เปิดกล่องดำ Tesla : กลยุทธ์เด็ดพลิกเกมอุตสาหกรรม กับเบื้องหลังการแจกสิทธิบัตรฟรีของ Elon Musk

ในปี 2014 โลกต้องตะลึงกับการประกาศครั้งสำคัญของ Elon Musk สุดยอดซีอีโอแห่ง Tesla เขาได้เปิดเผยว่าสิทธิบัตรทั้งหมดของบริษัทจะกลายเป็น “open source” ซึ่งต้องบอกว่านี่ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางธุรกิจธรรมดา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อวงการยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

Elon ประกาศด้วยความมุ่งมั่นว่า “สิทธิบัตรทั้งหมดของเราเป็นของคุณ” เขาอธิบายว่า Tesla จะไม่ฟ้องร้องใครที่ต้องการใช้เทคโนโลยีของบริษัทโดยสุจริต

ต้องบอกว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญและน่าประหลาดใจเป็นอย่างมากสำหรับผู้คนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะโดยทั่วไปแล้วบริษัทมักจะปกป้องสิทธิบัตรของตนอย่างเข้มงวด แต่ Elon มีเหตุผลที่น่าสนใจ

เขาเชื่อว่าการเปิดเผยสิทธิบัตรจะช่วยเร่งการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืน ในมุมมองของ Elon คู่แข่งที่แท้จริงของ Tesla ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออื่น แต่เป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินที่ผลิตออกมามหาศาลทุกวัน เขาต้องการให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตเร็วขึ้น เพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แต่การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ได้หมายความว่าใครก็สามารถทำอะไรก็ได้กับเทคโนโลยีของบริษัท มีเงื่อนไขสำคัญ คือผู้ที่ใช้เทคโนโลยีของ Tesla ต้องทำด้วยความสุจริต ไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของ

Tesla ไม่ท้าทายการใช้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทอื่น และไม่ขายหรือช่วยขายผลิตภัณฑ์ Tesla ปลอม นี่เป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการแบ่งปันความรู้ แต่ยังคงปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท

น่าสนใจที่ Elon ไม่ได้เชื่อมั่นในระบบสิทธิบัตรมาตลอด ในช่วงแรกของอาชีพ เขาเคยคิดว่าสิทธิบัตรเป็นสิ่งที่ดีและได้รับสิทธิบัตรมากมาย แต่ประสบการณ์ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เขาเปรียบเทียบสิทธิบัตรกับการซื้อสลากกินแบ่งเพื่อการฟ้องร้อง โดยอ้างถึงคดีความระหว่าง Apple และ Samsung ที่ในที่สุดแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือทนายความเท่านั้น

แต่ทำไม Elon ถึงกล้าเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla? คำตอบอยู่ที่ปรัชญาของเขาเกี่ยวกับนวัตกรรม Elon เชื่อว่าวิธีที่แท้จริงในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาคือการสร้างนวัตกรรมให้เร็วพอต่างหาก

เขากล่าวว่าถ้าอัตราการสร้างนวัตกรรมของคุณสูง คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เพราะคู่แข่งจะกำลังลอกเลียนแบบสิ่งที่คุณทำเมื่อหลายปีก่อน ไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน

นี่เป็นมุมมองที่น่าสนใจและท้าทายเป็นอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างสูงในความสามารถของทีมงานและวิสัยทัศน์ของบริษัท Tesla ไม่กลัวที่จะแบ่งปันความรู้ เพราะเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมต่อไป

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของ Elon ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศ มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมยานยนต์

ในปี 2014 เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน Toyota ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของ Tesla ได้หันไปสนใจการผลิตรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนแทน

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจาก Toyota ประกาศยุติความร่วมมือกับ Tesla และเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ Toyota จะเปิดตัวรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรุ่นแรก นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตอบโต้เชิงกลยุทธ์ของ Elon เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ส่งผลให้บริษัทได้เปรียบในระยะยาว เพราะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีของ Tesla ไปใช้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนและบริษัทพลังงานลงทุนในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วย นี่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม

แต่กลยุทธ์นี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เสี่ยงเลยซะทีเดียว เราสามารถเห็นตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ของ IBM PC ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบเปิดเช่นกัน ในตอนแรก IBM ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ในที่สุดก็สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่ผลิตคอมพิวเตอร์ที่เข้ากันได้กับ PC จนต้องขายธุรกิจ PC ทั้งหมดให้กับ Lenovo ในปี 2005

แต่ Elon และทีมงานของ Tesla ดูเหมือนจะไม่กังวลกับความเสี่ยงนี้ พวกเขามีความมั่นใจในความสามารถและเทคโนโลยีของตนเอง และเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป นี่คือความมั่นใจที่มาจากการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริง

การตัดสินใจของ Elon ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เป็นการเดิมพันที่กล้าหาญ มันแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลที่มองเห็นประโยชน์ของการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมมากกว่าผลประโยชน์ระยะสั้นของบริษัท นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการคิดนอกกรอบและการกล้าท้าทายแนวปฏิบัติทางธุรกิจแบบเดิมๆ

แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่บริษัทอื่นๆ จะทำตามแนวทางนี้ เพราะระบบสิทธิบัตรยังคงมีข้อได้เปรียบหลายประการ แต่การกระทำของ Elon ก็ได้จุดประกายการสนทนาที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของทรัพย์สินทางปัญญาในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว มันท้าทายให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถส่งเสริมนวัตกรรมและความร่วมมือ โดยยังคงรักษาแรงจูงใจสำหรับการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจของ Elon Musk ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทเดียว แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมและได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า มันแสดงให้เห็นว่าบางครั้งการแบ่งปันความรู้และการร่วมมือกันอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างให้เกิดขึ้นได้นั่นเองครับผม

Geek Story EP212 : ความท้าทายใหม่ของ Elon Musk เมื่อ Tesla กำลังจะสิ้นมนต์ขลังในตลาดรถ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสถานการณ์ของ Tesla โดยเฉพาะในตลาด EV อันดับหนึ่งของโลกอย่างประเทศจีน

เหล่าพนักงานที่แสนภาคภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์รถยนต์ผู้บุกเบิก EV แต่กลับมารู้ตัวว่าชะตาพวกเขากำลังจะขาดก็เมื่อเสียบบัตรพนักงานเพื่อเข้าสู่การทำงานที่ไซต์งาน แต่พบว่าบัตรของพวกเขานั้นใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกเขากำลังถูกเลิกจ้าง!

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bduca62b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/stpwd2tn

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ycxea3n6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/_MFXnBIW7Qs

Geek Life EP12 : จาก ‘ขี้เกียจ’ สู่ ‘สำเร็จ’ วิธีปลดล็อคศักยภาพสมองให้ทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ

มนุษย์เรามีความสามารถพิเศษที่เรียกว่า “top-down mechanisms” ซึ่งเป็นหนึ่งในความงดงามของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ลองนึกภาพถึงสถานการณ์ที่คุณรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียงในตอนเช้า คุณจะเอาชนะความขี้เกียจนั้นได้อย่างไร? นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ top-down mechanisms ที่คุณบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะเอาชนะความขี้เกียจนี้ให้ได้”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2znw6k5s

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yya6tk2u

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/D6x9d2qLJKI

จาก ‘ขี้เกียจ’ สู่ ‘สำเร็จ’ : วิธีปลดล็อคศักยภาพสมองให้ทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ

มนุษย์เรามีความสามารถพิเศษที่เรียกว่า “top-down mechanisms” ซึ่งเป็นหนึ่งในความงดงามของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ลองนึกภาพถึงสถานการณ์ที่คุณรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียงในตอนเช้า คุณจะเอาชนะความขี้เกียจนั้นได้อย่างไร? นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ top-down mechanisms ที่คุณบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะเอาชนะความขี้เกียจนี้ให้ได้”

David Goggins อดีตทหารหน่วยซีลของกองทัพเรือสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่สามารถเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า “limbic friction” ได้อย่างน่าทึ่ง แรงเสียดทานนี้เปรียบเสมือนเสียงที่ดังก้องอยู่ในสมองและร่างกายของเรา คอยบอกให้เราทำในสิ่งที่ง่ายกว่า สบายกว่า แต่อาจไม่ดีต่อเราในระยะยาว การเอาชนะแรงเสียดทานดังกล่าวนี้เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้

ในทางวิทยาศาสตร์ เราพบว่าวงจรประสาทของสารโดปามีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบการให้รางวัลของสมอง การทำตามเป้าหมาย และแรงจูงใจ จะมีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้ ซึ่งจะมีการปล่อยโดปามีนเมื่อเรากำลังจะไปถึงเป้าหมาย หรือเมื่อเรารู้สึกว่ากำลังจะประสบความสำเร็จ

แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่เราไม่ได้รับโดปามีนมากที่สุดเมื่อได้รับรางวัลใหญ่ แต่เราได้รับมากที่สุดเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะได้รับรางวัลนั้น (อันนี้หลายๆ คนน่าจะเคยประสบพบเจอกัน)

การใช้ top-down mechanisms นี้มาจากบริเวณ prefrontal cortex ของสมอง ซึ่งอยู่ด้านหลังหน้าผาก ส่วนนี้ทำหน้าที่ควบคุมพื้นที่สมองที่เกี่ยวข้องกับความเครียด และปฏิกิริยาอัตโนมัติต่าง ๆ การใช้กลไกนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัวมาก แต่ละคนอาจมีวิธีการที่แตกต่างกัน บางคนอาจทำเพราะความรัก บางคนอาจทำเพราะความรับผิดชอบ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด สิ่งสำคัญคือการลงมือทำ

top-down mechanisms ยังเกี่ยวข้องกับการควบคุมปฏิกิริยาตอบสนองต่าง ๆ เช่น การต่อต้านความอยากในการทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเราพักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็ยิ่งง่ายที่จะใช้การควบคุมมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อเราเริ่มคุ้นเคยกับประสบการณ์ในการเอาชนะ limbic friction เราจะเริ่มเห็นภาพของชัยชนะที่รออยู่ข้างหน้า สิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถดึงความรู้สึกของความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมาสู่ปัจจุบันได้ เพียงแค่การลุกจากเตียง เราก็เริ่มรู้สึกถึงชัยชนะแล้ว นี่คือพลังของการคาดการณ์ถึงความสำเร็จ

งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการชะลอความพึงพอใจของมนุษย์นั้นก็ถูกควบคุมด้วยโดปามีนเช่นกัน หากเรารู้ว่าการรอคอยนั้นคุ้มค่า เราจะเริ่มได้รับโดปามีนเร็วขึ้น นี่เป็นกลไกที่ช่วยให้เราสามารถอดทนต่อความรู้สึกไม่สบายในระยะสั้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว

สำหรับคนส่วนใหญ่ ความท้าทายคือพวกเขาไม่เคยประสบหรือไม่สามารถมองเห็นชัยชนะและสัมผัสมันได้ จึงยากที่จะเอาชนะ limbic friction เพราะมันเป็นเหมือนเสียงที่ดังก้องอยู่ในสมองคอยหลอกหลอนและควบคุมร่างกายของเรา คอยบอกให้เราทำในสิ่งที่ง่ายกว่า

วิวัฒนาการของวัฒนธรรมและสปีชีส์ของเรา รวมถึงการพัฒนาของปัจเจกบุคคล ล้วนถูกขับเคลื่อนโดยคนที่เต็มใจที่จะผลักดันตัวเองให้มองการณ์ไกลขึ้นเรื่อย ๆ

เราเห็นตัวอย่างนี้ในบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Elon Musk ที่มองไกลไปถึงการสำรวจอวกาศ หรือ Rich Roll (นักกีฬา Ultra Endurance) ที่ผลักดันขีดจำกัดทางร่างกายของตัวเอง ทุกครั้งที่เราเอาชนะความสงสัยและความท้าทายภายใน เราก็สามารถใช้กลไกเหล่านี้กับร่างกายเราได้ มันเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ และมีความยืดหยุ่นของระบบประสาทในวงจรนี้

สิ่งที่น่าสนใจคือ ความสามารถในการโฟกัสจะพัฒนาขึ้นเมื่อเราบังคับตัวเองให้โฟกัส ความสามารถในการนอนหลับจะดีขึ้นเมื่อเราฝึกผ่อนคลายและหยุดความคิด และความสามารถในการเอาชนะ limbic friction ก็สามารถพัฒนาได้เช่นกัน

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับที่ใช้ในการเตรียมความพร้อมทางจิตใจเพื่อเอาชนะ limbic friction

  1. บันทึกเรื่องราวที่ผ่านมา : หลายครั้งเรามักจมอยู่กับบริบทงานของเรา แต่ต้องหยุดพักแล้วกลับมาทำต่อในภายหลัง ปัญหาคือ เมื่อเรากลับมา เราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน การกลับเข้าสู่บริบทเดิมเป็นเรื่องยาก ทำให้เราเลื่อนงานออกไป เพื่อแก้ปัญหานี้ ต้องมีการบันทึกเสียงอธิบายรายละเอียดให้ตัวเองว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง อะไรที่ควรทำต่อไป งานอยู่ในไฟล์ไหน ควรทบทวนสไลด์ไหน เป็นต้น เสมือนการวางเกล็ดขนมปังไว้นำทาง เมื่อต้องการทำงานต่อ ก็มาฟังบันทึกเสียงนั้น ทำให้ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ และง่ายต่อการกลับเข้าสู่สภาวะจิตใจเดิม คล้ายกับการเกริ่นนำ “เรื่องราวก่อนหน้านี้” ในซีรีส์ของ Netflix ทำไมต้องเป็นบันทึกเสียง? ทำไมไม่จดลงในสมุดบันทึก? เพราะการบันทึกเสียง สามารถสื่อสารอารมณ์และความตื่นเต้นได้ ซึ่งไม่สามารถถ่ายทอดผ่านตัวอักษรได้ การฟังเสียงเหมือนกับการได้กลิ่นบางอย่าง มันสามารถพาคุณกลับไปสู่อารมณ์เดิมได้โดยตรง
  2. เตือนตัวเองถึงเป้าหมายสูงสุด : บางครั้งความเฉื่อยชาเกิดขึ้นเพราะคุณรู้สึกว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ไม่คุ้มค่า หรืออาจคิดว่ามันยากเกินไป การสูญเสียแรงจูงใจแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้หากเป้าหมายของคุณอยู่ไกลเกินไป – เหมือนการเริ่มวิ่งมาราธอน คุณอาจยอมแพ้ตั้งแต่ต้นเพราะเส้นชัยอยู่ไกลเกินเอื้อม ในกรณีนี้ ควรย้อนกลับไปถามตัวเองว่าทำไมคุณถึงเริ่มทำสิ่งนี้ จินตนาการถึงผลลัพธ์และความสำคัญของมัน เตือนตัวเองถึงความรู้สึกดีๆ เมื่อได้กลับเข้าสู่บริบทของงานนั้น ๆ สิ่งเหล่านี้มักช่วยกระตุ้นให้เอาชนะความยากลำบากในการเริ่มต้นได้
  3. ใช้วิธีเผาเรือทิ้ง (ทุบหม้อข้าวตัวเอง) : นี่เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุด แต่ก็ยากที่สุดในแง่ของวินัยที่ต้องใช้ ใน ค.ศ. 1519 นักสำรวจชาวสเปน Hernan Cortes ได้ขึ้นฝั่งที่เม็กซิโก เขารู้ว่าลูกเรือของเขาเหนื่อยล้าจากการเดินทางแล้ว และไม่มีแรงจูงใจที่จะประสบความสำเร็จในดินแดนแปลกถิ่นแห่งนี้ เขารู้ว่าเมื่อเผชิญอันตรายครั้งแรก ทีมของเขาจะวิ่งหนีกลับทันที ดังนั้นเขาจึงเผาเรือทิ้ง ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเผาเรือทิ้งเช่นกัน Andrew Huberman แนะนำว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด – เราควรทำให้ทุกทางเลือกอื่นที่อยู่ตรงหน้าเจ็บปวดมากกว่าทางเลือกที่เราต้องการเลือก นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะ limbic friction

เคล็ดลับเพิ่มเติม: มีอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ สร้างแรงผลักดันตัวเองด้วยงานที่ง่ายกว่าก่อน ให้ดู list รายการสิ่งที่ต้องทำของคุณและเริ่มต้นด้วยงานที่ง่ายกว่า/เร็วกว่าก่อน วิธีนี้จะสร้างแรงผลักดันที่หวังว่าจะช่วยให้คุณทำงานที่ใหญ่กว่าต่อไปได้ ถ้าคุณไม่ระวัง คุณจะจมอยู่กับงานง่ายๆ ที่ไม่สร้าง impact ใดๆ และไม่เคยได้ทำงานที่ยากกว่าเลย

ในท้ายที่สุด การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก top-down mechanisms เพื่อเอาชนะ limbic friction นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การฝึกฝนทักษะนี้อาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะมันคือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของเราในฐานะมนุษย์

References :
Neuroscientist: THIS Is How You Stay Motivated FOREVER | Andrew Huberman
https://youtu.be/vQPks6h5o1w
https://www.linkedin.com/pulse/limbic-friction-bala-girisaballa/