ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 5 : The Art of War

สำหรับมอสโก ในฤดูของปี 1999 มันได้เกิดความเงียบสงัดขึ้นที่เครมลิน สำนักงานที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยผู้คนที่มายื่นคำร้องในเรื่องราวต่าง ๆ นา ๆ บัดนี้กลับว่างเปล่า “มันเหมือนกับอยู่ในสุสาน” Sergi Pugachev นายธนาคารของเครมลินที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของเสนาธิการเครมลินกล่าว “มันเหมือนกับบริษัทที่ล้มละลาย ทันใดนั้นทุกคนก็หายสาปสูญ”

สำหรับ Pugachev และสมาชิกคนอื่น ๆ ของคนวงในของ Yeltsin ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนาม ‘Family’ ซึ่งเป็นผู้พักอาศัยที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในเครมลิน

มันเป็นความจริงใหม่ที่เริ่มตึงเครียดขึ้นอย่างชัดเจน Yeltsin เข้าและออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เดือนตุลาคม และนอกกำแพงเครมลิน ดูเหมือนว่ากำลังมีการเตรียมการรัฐปรหาร

รากฐานของการปกครองของ Yeltsin กำลังจะถูกรื้อถอน ซึ่งเป็นผลมาจากการลดค่าเงินรูเบิลในหน้าร้อนที่ผ่านมา และการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลจำนวน 40,000 ล้านดอลลาร์

ธนาคารของผู้มีอำนาจหลายแห่งได้พังทลายลงในช่วงวิกฤตินี้ เงินออมของประชาชนทั่วไปก็แทบจะสูญสิ้น รัฐสภาซึ่งยังคงถูกคอมมิวนิสต์ครอบงำอยู่นั้น อยู่ในความโกลาหล

Yeltsin ถูกบังคับให้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนของ KGB Yevgeny Primakov อดีตสายลับที่อยู่ในหน่วยข่าวกรองต่างประเทศและเป็นเหมือนยามของเครือข่าย KGB มานานแล้ว

สมาชิกขององครักษ์เก่าของคอมมิวนิสต์ได้ควบคุมรัฐบาล เรื่องราวอื้อฉาวทางการเงินต่าง ๆ มุ่งเป้าไปที่ความตะกละของฝ่ายตรงข้ามในกลุ่มของ Yeltsin เริ่มถูกขุดคุ้ยอย่างหนัก

Yevgeny Primakov ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหวังล้ม Yeltsin (CR:Wikipedia)
Yevgeny Primakov ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหวังล้ม Yeltsin (CR:Wikipedia)

การสอบสวนที่คุกคามไปยังตัว Yeltsin โดยตรงเริ่มดำเนินการ หนึ่งคือกรณีของบริษัทที่ชื่อ Mabetex ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักตั้งอยู่ในเมืองลูกาโนในแถบเทือกเขาแอลป์ของสวิตเซอร์แลนด์ ใกล้ชายแดนอิตาลี

ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1990 บริษัทแห่งนี้ได้สัญญามูลค่าหลายพันล้านในการบูรณะเครมลิน ทำเนียบขาวของรัสเซีย และโครงการอันทรงเกียรติอื่น ๆ อีกมากมาย

กลุ่มนายธนาคารทั้ง 7 ที่เป็นพันธมิตรที่สำคัญของ Yeltsin เอง พวกเขาก็แทบไม่สนใจความสำเร็จในระบอบประชาธิปไตยของ Yeltsin

ในมุมมองของพวกเขา Yeltsin เป็นคนติดเหล้าที่ไม่สามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศได้ รวมถึงกลุ่มพันธมิตรบางคนที่ได้รับอำนาจไปใช้อย่างไร้ค่าและทำบางสิ่งบางอย่างที่มันผิดกฎหมาย และกำลังจะนำประเทศไปสู่การล่มสลายอีกครั้ง

และศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมดคือ Sergei Pugachev นายธนาคารเครมลินที่จะหนีไปลอนดอนและปารีสในเวลาต่อมา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงและเป็นคนสำคัญในข้อตกลงลับ ๆ มากมายที่เกิดขึ้นในเครมลิน

ธนาคารที่เขาร่วมก่อตั้งคือ Mezhprombank ซึ่งเป็นเจ้าหนี้หลักของแผนกทรัพย์สินที่เครมลิน

ในสมัยนั้นแผนกทรัพย์สินเป็นอาณาจักรที่แผ่ขยายออกไป ควบคุมทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่รัฐเก็บไว้หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

ตลอดเวลา Pugachev ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Behdjet Pacolli เจ้าของ Mabetex เขาดูแลโครงการฟื้นฟูเครมลินทั้งหมดเป็นการส่วนตัว นับตั้งแต่การลงนามในสัญญาไปจนถึงการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทั้งหมด

จากจุดเริ่มต้นมันเป็นการดำเนินการที่ฟุ่มเฟือยแบบสุด ๆ แม้ว่าเขาจะยืนยันว่าเขาพยายามทำให้แน่ใจว่าเครมลินได้ราคาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม

จากต้นไม้ 23 ชนิดถูกนำมาใช้เพื่อสร้างลวดลายอันวิจิตรของพื้นพระราชวังเครมลิน มีการซื้อทองคำบริสุทธิ์มากกว่า 50 กิโลกรัมเพื่อประดับห้องโถง และผ้าไหมที่ดีที่สุด 662 ตารางเมตรสำหรับปูผนัง

เครมลินจะถูกเปลี่ยนเป็นความรุ่งโรจน์ในยุคซาร์หลังจากทศวรรษของการปกครองของคอมมิวนิสต์ซึ่งสมบัติทั้งหมดของยุคก่อนการปฏิวัติ ทั้งพื้นโมเสก เครื่องประดับล้ำค่า กระจกสีทองและโคมไฟระย้า ถูกนำออกไปและแทนที่ด้วยการตกแต่งที่เรียบง่ายที่สุด

มันเป็นงบประมาณการก่อสร้างที่สูงมาก ซึ่งกว่า 700 ล้านดอลลาร์ เป็นส่วนหนึ่งของเงินที่รัสเซียได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ รวมถึง Yeltsin ได้ลงนามสำหรับกู้เงินต่างประเทศอีกจำนวน 300 ล้านดอลลาร์ และมีการอนุมัติจากรัฐบาลเพิ่มอีก 492 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการฟื้นฟูเครมลิน

นั่นเองเมื่อเริ่มมีการสอบสวนเรื่องดังกล่าว ที่นำโดยอัยการ Yury Skuratov เป็นเวลาที่ Pugachev ต้องเริ่มเดินเกมใหม่ ตอนนั้นเองที่ Pugachev และตระกูล Yeltsin เริ่มเดินเกมเพื่อความอยู่รอดของพวกเขาที่จะช่วยผลักดันให้ Vladimir Putin สู่อำนาจ

มันเป็นทางเลือกสุดท้ายของพวกเขา หาก Primakov อดีต KGB ขึ้นสู่อำนาจจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเสรีภาพของ Yeltsin เขาได้กลิ่นตุ ๆ ของเรื่องทุจริตทันทีที่ Primakov และทีมของเขาได้เข้ามามีอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

Yeltsin ที่ต้องเข้าและออกโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้เขาดูอ่อนแอลงไปเมื่อเทียบกับ Primakov ซึ่งถูกมองว่ากำลังเข้ามาโค่นล้มเขา

แต่ในเดือนเมษายน Yeltsin ได้รวบรวมกำลังพลเพื่อประลองครั้งสุดท้าย Yeltsin มีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดเหมือนสัตว์ป่าและเก่งในเรื่องกลอุบายทางการเมืองเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องลงมือแล้ว

เขาเรียก Primakov ไปที่เครมลินและบอกว่าเขาถูกไล่ออก เขาจะถูกแทนที่ด้วย Sergei Stepashin รัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับ Yeltsin ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของขบวนการประชาธิปไตยและเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าคนแรกสุดของ FSB

แม้ว่าสื่อจะคาดการณ์มานานแล้วว่า Yeltsin จะทำการเคลื่อนไหวในรูปแบบดังกล่าว แต่ก็ยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น Yeltsin รอจนถึงวินาทีสุดท้ายแล้วจัดการเผด็จศึก Primakov

ทางสภา Duma (สภาผู้แทนราษฎร) ไม่คิดว่า Yeltsin จะกล้าทำสิ่งนี้ สิ่งที่เหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะเป็นการทำให้สภา Duma ต่อต้านเขามากยิ่งขึ้นเนื่องจากส่วนใหญ่ควบคุมโดยอดีตกลุ่มคอมมิวนิสต์

แต่ต้องบอกว่าในความจริง มันตรงกันข้าม มันเป็นการแสดงความแข็งแกร่งทั้งหมดของ Yeltsin เขาทำลายกองกำลังอันทรงพลังของ Primakov อย่างสงบ และดูเหมือน สภา Duma รู้สึกกลัวกับท่าทีที่แข็งกร้าวของ Yeltsin ในครั้งนี้ นั่นทำให้แผน A ของ KGB ล้มเหลวทันที

Pugachev เองนั้นเดินหน้าหาคนที่เหมาะสมมานานแล้ว ผู้ชายที่เขาเชื่อว่าเป็นคู่หูที่ปลอดภัยที่สุด และมีความจงรักภักดีที่สุด เขาสนับสนุน Vladimir Putin ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่า Putin ควรจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง

Pugachev พบกับ Putin ครั้งแรกในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กช่วงสั้น ๆ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 และได้รู้จักกันดีขึ้นเมื่อ Putin ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้ว่าการในแผนกทรัพย์สินที่เครมลิน ซึ่งที่่นั่นเขาทำงานร่วมกันแทบจะทุกวัน

Mezhprombank ของ Pugachev มีส่วนร่วมในการระดมทุนสำหรับแผนกอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศที่ Putin เป็นหัวหน้า จากสำนักงานเล็ก ๆ ของเขาที่จตุรัสเก่า Putin ได้รับมอบหมายให้สืบสวนการถือครองสินทรัพย์ในต่างประเทศจำนวนมากที่รัสเซียได้รับสืบทอดมาจากการล่มสายของสหภาพโซเวียต

มีทั้งอาคารอันโอ่อ่าของสำนักงานตัวแทนการค้าพิเศษ มีสถานทูตและฐานทัพยุทธศาสตร์ คลังอาวุธ และเซฟเฮาส์ลับของ KGB

การถือครองเหล่านี้จำนวนมากถูกปล้นในช่วงความสับสนวุ่นวายของการล่มสลายโดย KGB และกลุ่มอาชญากร มันควรอยู่ในงบดุลของกระทรวงการต่างประเทศ แต่ไม่เคยมีการทำบัญชี งานของ Putin คือนำทรัพย์สินเหล่านี้กลับมาให้หมด

ทั้ง Pugachev และ Putin อยู่ใกล้ชิดกัน ครั้งแรกในฐานะหัวหน้าแผนกควบคุมทรัพย์สิน จากนั้นเมื่อ Putin ขึ้นเป็นหัวหน้าของ FSB Pugachev กล่าวตลอดเวลาว่า Putin เป็นลูกบุญธรรมของเขา เสน่ห์ของเขาคือ Putin อยู่ในฐานะคนที่เขาสามารถสั่งได้ ‘

“เขาชื่อฟังเหมือนสุนัข” Pugachev กล่าว

Sergi Pugachev ผู้ปลุกปั้น Putin ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด (CR:Hello Magazine)
Sergi Pugachev ผู้ปลุกปั้น Putin ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด (CR:Hello Magazine)

ด้วยความที่การสอบสวนเรื่อง Mabetex กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มันได้กลายเป็นความเร่งรีบของครอบครัว Yeltsin เองในการปกป้องกลุ่มอำนาจของตัวเองให้ได้เร็วที่สุด

นั่นคือเหตุของการผงาดขึ้นมาของ Putin เหนือตัวเลือกอื่นใดที่ Yeltsin มีอยู่ พวกเขาต้องการผู้ชายที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา และพวกเขาต้องสามารถต่อรองได้

ตอนแรก Yeltsin ก็ยังลังเลใจ แต่ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม กลุ่มกบฎเชเชนเริ่มโจมตีด้วยอาวุธที่ชายแดนของดาเกสถาน พื้นที่ภูเขาที่อยู่ติดกับสาธารณะรัฐเชเชนที่กำลังแตกแยก ทำให้ Yeltsin ต้องรีบตัดสินใจ

เมื่อ Yeltsin ได้ประกาศในท้ายที่สุด ประเทศชาติก็ตกตะลึงกับตัวตนของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของพวกเขา Putin เป็นข้าราชการที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เป็นคนสีเทาที่ไม่ค่อยปรากฎในข่าว

สำนักข่าวต่างประเทศพยายามรวบรวมชีวประวัติของเขา สิ่งที่ทำให้คนในชาติตกใจที่สุดคือการที่ Yeltsin เปิดเผยชื่อเขาอย่างเป็นทางการว่าเป็นคนที่เขาหวังว่าจะประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากเขา

Yeltsin ได้ประกาศในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ โดยประกาศว่า

“ผมตัดสินใจตั้งบุคคลในความคิดของผมที่จะสามารถรวมรัสเซียกลับมาเป็นหนึ่งเดียว เขา (Putin) มีกองกำลังทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิรูปรัสเซียจะดำเนินต่อไป เขาจะสามารถรวมกลุ่มคนที่อยู่รอบตัวเขาซึ่งมีหน้าที่ในการรื้อฟื้นรัสเซียให้เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 บุคคลนี้เคยเป็นเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคง ผู้อำนวยการ Federal Security Service (FSB)”

นันทำให้ Putin ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดในหน้าที่การงานของเขา รัฐสภารัสเซียต่างตกตะลึง Putin ที่ดูเหมือนเด็กอ่อนด้อยในตอนนั้นเมื่อเทียบกับ Primakov

ดูเหมือนสิ่งที่ Pugachev มองเห็นว่า Putin ดูมีความจงรักภักดีและเชื่อฟังง่าย เปรียบเสมือนสุนัขรับใช้ แต่สิ่งที่ Pugachev ไม่รู้ก็คือ Putin เคยทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มที่พยายามล้มล้างระบบ Yeltsin

Pugachev แทบจะไม่รูัตัวว่า อดีตเจ้าหน้าที่ KGB อยู่เบื้องหลังการรั่วไหลของบัญชี Mabetex ที่กำลังไล่ล่า Yeltsin อยู่ โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานระดับบนสุดของแผนก black-ops ในตำนานของ KGB ที่ได้ช่วย Putin ในการจัดตั้ง
โครงการแลกเปลี่ยนน้ำมันสำหรับอาหารในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

Pugachev ไม่รู้ว่า Putin เล่นเกมการเมืองทุกด้านมาโดยตลอด Pugachev คงไม่รู้เสียแล้วว่า Putin คือ แผน B ของ KGB หลังจากแผนการผลักดัน Primakov ล้มเหลว

Pugachev มักอ้างว่าเขาคิดว่า Putin เป็นคนที่เขาสามารถควบคุมได้ เขาแทบจะไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่า Putin กำลังเล่นบทสองหน้าและหลอกลวงพวกเขา

“สงครามอยู่บนพื้นฐานของการหลอกลวง และนี่คือกลยุทธของซุนวู” จากหนังสือ Art of War

มันคือการเรียนรู้จากศาสตร์การรบแบบจีนโบราณ ซึ่งดูเหมือนว่า Putin จะเรียนรู้บทเรียนนี้ได้อย่างถ่องแท้ จากการผงาดขึ้นมากุมอำนาจได้สำเร็จในครั้งนี้นั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 6 : The Inner Circle

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 4 : Submariner, Soldier, Trader and Spy

หมู่เกาะต่าง ๆ เป็นที่ตั้งของท่าเรือในเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก และประวัติศาสตร์อันวุ่นวายของรัสเซียผ่านช่องทางต่างเหล่านี้เกิดขึ้นมาโดยตลอด ตั้งแต่ปีเตอร์มหาราชก่อตั้งเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 18

พระองค์ทรงทำเช่นนั้นด้วยความหวังว่าจะเป็นท่าเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างแผ่นดินยูเรเชียนของประเทศอันกว้างใหญ่กับตลาดตะวันตก

เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กจึงถูกทำให้กลายเป็นหน้าต่างทางทิศตะวันตกของรัสเซียเสมอมา ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ยกระดับประเทศจากยุคกลาง ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม

เมื่อระบอบคอมมิวนิสต์ของรัสเซียล่มสลาย ท่าเรือเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กก็กลับมามีบทบาทที่สำคัญอีกครั้ง มันกลายเป็นศูนย์กลางของพันธมิตรระหว่าง KGB และกลุ่มอาชญากรที่จะขยายอิทธิพลไปทั่วรัสเซีย

มันเป็นจุดเริ่มต้นของพันธมิตรทางธุรกิจของรองนายกเทศมนตรี Vladimir Putin ซึ่งทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้นำกลุ่มอาชญากรที่ควบคุมเมืองอยู่ รวมถึงผู้ค้าน้ำมันที่ถูกผูกขาดในการส่งออกผ่านคลังน้ำมัน ความสัมพันธ์ที่หลอมรวมเข้าด้วยกันของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนและการส่งออก กลายเป็นต้นแบบที่สำคัญสำหรับการบริหารรัสเซียของ Putin

กลุ่ม KGB ได้เข้ามายึดครองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กในทศวรรษที่ 1990 โดยมี Putin เป็นศูนย์กลางของกลุ่ม แม้ในมอสโก KGB จะอยู่ในเงามืดเป็นส่วนใหญ่ แต่ในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กพวกเขาจะปรากฎกายชัดเจนมากยิ่งขึ้น

แม้เศรษฐกิจของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กจะเล็กกว่ามอสโกมาก แต่สำนักงานของนายกเทศมนตรีก็ควบคุมธุรกิจส่วนใหญ่ของเมือง และที่สำคัญนายกเทศมนตรี Anatoly Sobchak ไม่ค่อยสนใจในการดำเนินงานประจำวันของเมือง เขาปล่อยให้ Putin เป็นผู้บริหารคณะกรรมการความสัมพันธ์ต่างประเทศ ซึ่งดูแลการค้าทั้งหมดและธุรกิจส่วนใหญ่ของเมือง

สิ่งที่เกิดขึ้นจากความโกลาหลหลังการล่มสลาย และความไร้ประสิทธิภาพของ Sobchak มันได้สร้างพันธมิตรใหม่ระหว่าง Putin และ KGB ของเขารวมถึงกลุ่มอาชญกรที่พยายามบริหารเศรษฐกิจของเมืองส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ของตนเอง

ซึ่งแทนที่จะพยายามกำหนดกฎระเบียบเพื่อประโยชน์ของประชาชนที่กำลังลำบากในเมือง ระเบียบที่เกิดขึ้นที่พวกเขากำหนดส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อพวกพ้องของเขาเองแทบจะทั้งสิ้น

การล่มสลายหมายถึงโอกาสใหม่ ๆ ของเครือข่ายเหล่านี้ สำหรับการสร้างกองทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะรักษาเครือข่ายของพวกเขาและรักษาตำแหน่งของพวกเขาในอนาคต

โดยกองทุนเหล่านี้มีรากฐานมาจากแผนการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของบริษัทที่เป็นมิตรกับ KGB ต่อมาก็ขยายไปถึงท่าเทียบเรือ รวมถึงคลังน้ำมัน ทุกอย่างดำเนินการผ่านเครือข่ายนี้ และที่สำคัญมันคือธุรกิจที่ทำรายได้มหาศาลอีกด้วย

ต้องบอกว่าเหล่า KGB ที่เข้ายึดครองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก และ Putin มีความเข้าใจในตลาดเชิงพาณิชย์มากกว่ารุ่นก่อน ๆ เป็นอย่างมาก

Putin ยอมรับหลักการของระบบทุนนิยมอย่างรวดเร็วและแทบจะลืมความเชื่อเดิม ๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ไปทันที

พันธมิตรของ Putin เริ่มย้ายมาควบคุมท่าเรือ ซึ่งทั้งคลังน้ำมันและกองเรือถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อกองเรือเลนินกราดบอลติก หรือ BMP ซึ่งสำหรับ KGB แล้วนั้น BMP เป็นทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์มาช้านาน

ในสมัยโซเวียต KGB ได้ควบคุมเรือเดินสมุทรในฐานะผู้ช่วยทางการค้า พวกเขารู้ดีถึงเส้นทางการค้า สินค้า ของเถื่อน และการไหลเวียนของเงิน

ในยุครุ่งเรือง เรือหลายร้อยลำได้ออกเดินทางจากเมืองแห่งนี้ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ทั้ง น้ำมัน โลหะ และเมล็ดพันธุ์พืช ในขณะที่ฝั่งขาเข้า เรือที่เดินทางไกลที่สุดจากอเมริกาใต้ มีการบรรทุกผลไม้ น้ำตาล และสินค้าลักลอบน้ำเข้า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานใต้ดิน

ในสมัยนั้น BMP เป็นตัวแทนของกระแสเงินสดเชิงกลยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมือง แม้กระทั่งในปี 1991 ซึ่งเป็นปีแห่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียต กำไรสุทธิของ BMP ก็อยู่ที่หลายร้อยล้านดอลลาร์

BMP ไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของเรือโดยสารและสินค้าเกือบสองร้อยลำเท่านั้น แต่ยังควบคุมท่าเรือน้ำในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กทั้งหมด รวมทั้งคลังน้ำมัน เช่นเดียวกับท่าเรือใกล้เคียงในวีบอร์กและคาลินินกราด ซึ่งได้กลายเป็นกุญแจสู่ความมั่งคั่งของเมือง

ต้องบอกว่าในเวลานั้น Tambov กำลังกลายเป็นกลุ่มอาชญกรที่มีอำนาจที่สุดของเมือง Vladimir Kumarin ผู้นำของกลุ่ม Tambov เคยรับโทษจำคุกในปี 1991 หลังจากการสู้รบที่รุนแรงกับกลุ่มมาเฟียอีกกลุ่มหนึ่งของเมือง

หลังจากที่เขาออกมาจากคุกด้วยความช่วยเหลือของ Putin กองกำลังของ Tambov ก็เริ่มเข้าควบคุมธุรกิจเชื้อเพลิงและพลังงานทั้งหมดของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

Vladimir Kumarin ผู้นำของกลุ่ม Tambov  (CR:eng.agromassidayu.com)
Vladimir Kumarin ผู้นำของกลุ่ม Tambov (CR:eng.agromassidayu.com)

การต่อสู้กับแก๊งคู่แข่งยังดำเนินต่อไป ในปี 1994 Kumarin สูญเสียแขนข้างหนึ่งจากการถูกโจมตีด้วยระเบิด เขาได้ก่อตั้งบริษัทด้านพลังงานเชื้อเพลิงแห่งเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก หรือ PTK ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้ผูกขาดการค้าขายน้ำมันของเมือง

ดูเหมือนว่า Putin จะเป็นศูนย์กลางของแผนปฏิบัติการเหล่านี้ เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านลอจิสติกส์จากสำนักงานของนายกเทศมนตรี และเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้กลุ่ม Tambov เข้ามาควบคุมท่าเรือและคลังน้ำมัน รวมถึงให้สัญญาพิเศษแก่ PTK ของ Kumarin ในการจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับ รถพยาบาล รถประจำทาง รถแท็กซี่ และรถตำรวจของเมือง

อีกคนที่มีบทบาทมาก ๆ ก็คือ Gennady Timchenko อดีตเจ้าหน้าที่ KGB ที่รู้จักกับ Putin ตั้งแต่สมัยเรียนสายลับด้วยกันที่ Red Banner Academy

การควบคุมการส่งออกผ่านท่าเทียบเรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีความสำคัญมากจน Timchenko หันไปขอความช่วยเหลือจาก Putin ในเดือนมกราคม 1992 โดยพวกเขาได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ Putin ในชื่อ ‘Golden Gates’

ต้องบอกว่าฝ่ายบริหารของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กที่เป็นพันธมิตรกับกลุ่ม Tambov ได้ฝังตัวอยู่ลึกเข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานของเมืองด้วยความช่วยเหลือจากคนของ Putin ในศาลากลาง

กลุ่มอาชญากรที่รวมตัวกันเป็นทีมงานที่ Putin ต้องการเพื่อช่วยเหลือในการควบคุมมวลชน ไม่ว่าคนที่อยู่บนท้องถนน หรือ คนที่อยู่ในเรือนจำก็ตามที มันเป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปของ KGB ที่ Putin เคยทำมาตั้งแต่อยู่ในเยอรมันตะวันออก นั่นคือการทำงานกับผู้คน

ด้วยความยุ่งเหยิงของความสัมพันธ์เหล่านี้ นำไปสู่โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นสำหรับ เศรษฐกิจในเงามืดของพรรคคอมมิวนิสต์ในวันสุดท้ายของการปกครอง

Bank Rossiya ซึ่งเป็นธนาคารขนาดเล็กในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวกลางที่สำคัญในข้อตกลงการแลกเปลี่ยนน้ำมันสำหรับอาหาร เช่นเดียวกับสถาบันและบริษัทหลายแห่งที่พรรคตั้งขึ้นในยุคที่ระบอบการปกครองกำลังจะล่มสลาย

เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลง การควบคุมของธนาคาร Rossiya ได้ส่งผ่านไปยังตัวแทนของ KGB อย่างเงียบ ๆ ผู้ถือหุ้นรายใหม่ของบริษัทประกอบด้วยเจ้าหน้าที่อาวุโสของ KGB และนักฟิสิกส์ที่มี connection กับ KGB ซึ่งคนเหล่านี้เชี่ยวชาญด้านโลหะหายาก วัสดุที่หายากมาก ซึ่งการค้าขายในสิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการจัดการโดยสมาชิกของ KGB เท่านั้น

Vladimir Yakunin เจ้าหน้าที่อาวุโสของ KGB กลับมาที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กในเดือนกุมภาพันธ์ 1991 เขาย้ายมาจากการเป็นสายลับที่องค์กรสหประชาชาติในนิวยอร์ก

Yakunin ได้เข้ามาร่วมงานที่สถาบันเทคโนโลยีและฟิสิกส์ Ioffe อันทรงเกียรติของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเขาเคยทำงานดูแลงานระหว่างประเทศของสถาบันก่อนที่จะถูกส่งไปนิวยอร์ก

ในกลุ่มของพวกเขาคือ Yury Kovalchuk ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ชั้นนำในสมัยนั้น ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Andrei Fursenko ซึ่งทั้งคู่เป็นรองผู้อำนวยการของสถาบัน Ioffe ในด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งจะนำไปใช้ในระบบเลเซอร์และดาวเทียม

มันเป็นสาขาที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจาก KGB ความเชี่ยวชาญของพวกเขาทำให้ได้รับข้อตกลงจากนายพลอาวุโสของ KGB ซึ่งหนึ่งในกิจการร่วมค้าที่พวกเขาสร้างขึ้นสามารถทำกำไรได้สูงถึง 24 ล้านรูเบิล ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลในยุคนั้น และช่วยผลักดันให้พวกเขาเข้ามาดูแล Bank Rossiya

ตั้งแต่ต้น Bank Rossiya มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดำเนินการโดย Putin สำนักงานอยู่ในสถาบัน Smolny ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสำนักงานใหญ่ของนายกเทศมนตรี

และที่แห่งนี้เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการสร้างกระแสเงินสดให้กับ Putin การร่วมทุนทั้งหมดได้รับการจัดตั้งขึ้นตามการอนุมัติของคณะกรรมการของ Putin และส่วนใหญ่ถูกสั่งให้เปิดบัญชีกับ Bank Rossiya

มีเงินหลายล้านดอลลาร์ถูกดูดออกจากงบประมาณของเมืองผ่านบัญชีของ Bank Rossiya ไปยังเครือข่ายของบริษัทที่เชื่อมโยงกับ Putin เงินสดถูกส่งผ่านกองทุนที่เรียกว่า Twentieth Trust เรียกได้ว่าตอนนั้นทั้ง Putin และ KGB ได้ควบคุมเศรษฐกิจของทั้งเมืองไว้ในกำมือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Bank Rossiya หนึ่งในสถาบันทางการเงินที่สำคัญของเครือข่าย Putin (CR:TASS)
Bank Rossiya หนึ่งในสถาบันทางการเงินที่สำคัญของเครือข่าย Putin (CR:TASS)

Putin มักจะเลือกไปพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์ บนชายฝั่งของทะเลสาป Komsomolskoye ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการตกปลาที่ยอดเยี่ยม ก่อนที่ Putin จะย้ายเข้าไป ถนนเส้นดังกล่าวเคยเป็นถนนลูกรังมาก่อน แต่ไม่นานหลังจากนั้นมันก็ถูกปูด้วยยางมะตอยและติดตั้งไฟฟ้าอย่างดี

ชาวบ้านแถวนั้นถูกบีบบังคับให้ย้ายออกไปทีละคน Putin ได้พาพันธมิตรของเขามาสร้างกระท่อมสไตล์ฟินแลนด์อันโอ่อ่าบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ริมทะเลสาบแห่งนี้

พวกเขาก่อตั้งกลุ่มที่กลายเป็นที่รู้จักกันในนามสหกรณ์ Ozero dacha และเปลี่ยนพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่มีรั้วลวดหนามสูงใหญ่กั้นไม่ให้คนภายนอกเข้ามา

ซึ่งทั้ง Yakunin , Fursenko และ Kovalchuk คนเหล่านี้ที่ใกล้ชิด Putin ก็ได้ย้ายเข้ามา ซึ่งกลุ่มพันธมิตรจาก Ozero dacha นี่เองที่ในตอนหลังที่ Putin ขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี ได้กลายเป็นกลุ่มก้อนที่สำคัญในการควบคุมเศรษฐกิจของประเทศ โดยมี Bank Rossiya เป็นแกนหลักของอาณาจักรการเงินที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มนี้

ในฤดูร้อนปี 1996 Anatoly Sobchak ได้พ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งใหม่ในฐานะนายกเทศมนตรีของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก Putin ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานหาเสียงของ Sobchak ต้องมีส่วนรับผิดชอบ

มีเสียงกระซิบกระจายไปทั่วว่าความพ่ายแพ้ของ Sobchak นั้นมาจากประธานาธิบดี Boris Yeltsin ผู้ซึ่งต้องการให้เขาออกไป เพราะความมีสเน่ห์ของ Sobchak นั้นสามารถท้าทายอำนาจของ Yeltsin ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าได้

Putin ตกงานแทบจะไม่ถึงเดือน ก่อนที่เขาจะถูกเชิญไปที่มอสโก เพื่อรับตำแหน่งในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารเครมลิน

แม้ว่าการแต่งตั้งของ Putin จะถูกขัดขวางโดย Anatoly Chubais รองนายกรัฐมนตรีคู่ใจของ Yeltsin แต่กลายเป็นว่า Putin ได้ถูกขอให้เป็นหัวหน้าแผนกทรัพย์สินต่างประเทศในตำนานของเครมลินแทน

เรียกได้ว่ามันเป็นการเลื่อนตำแหน่งที่ทรงเกียรติอย่างแท้จริง เพราะได้ดูแลทรัพย์สินในต่างประเทศจำนวนมหาศาลของสหภาพโซเวียตหลังจากการล่มสลาย

ไม่ว่าจะเป็นกิจการร่วมค้า เครือข่ายฐานทัพอาวุธและสถานที่ปฏิบัติงานนอกชายฝั่งอื่น ๆ ที่เป็นความลับ แม้ว่ามันจะเป็นอาณาจักรที่หลายสิ่งหลายอย่างได้สูญหายไปแล้ว แต่มันก็เป็นแกนกลางเชิงกลยุทธ์ของความมั่งคั่งของประเทศ

และเพียงหนึ่งปีต่อมา เขาได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองเสนาธิการคนแรกของเครมลินที่ได้ดูแลภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นบทบาทที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับสามในเครมลินรองจากประธานาธิบดี

หลังผ่านไปอีกสามเดือนเขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า FSB ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สืบทอดจาก KGB สำหรับทั่วทั้งรัสเซีย ตอนนั้นเขาเป็นเพียงแค่ผู้พันเท่านั้น และแทบจะไม่มีใครเคยได้รับตำแหน่งนี้ทั้งที่ยังไม่ขึ้นเป็นนายพล นั่นทำให้เหล่านายพลใน FSB ต่างตกตะลึง

ซึ่งหลังจากขึ้นครองตำแหน่งสูงสุดของ FSB Putin ก็ได้ใช้อำนาจของเขาในการจัดการศัตรูเก่าที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทั้งนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน ที่ชอบออกมาต่อต้านเรื่องการทุจริจในเมือง หรือ อดีตคู่แค้นทางการเมืองของ Putin

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการผงาดของ Putin เป็นลางไม่ดีเลย ประเทศก็กำลังเผชิญกับวิกฤติทางการเงินครั้งใหม่ และไม่มีใครสังเกตเห็นสัญญาณเตือนที่ปรากฎขึ้น สุขภาพของ Yeltsin ก็กำลังย่ำแย่ ประเทศกำลังจะถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

ไม่นานหลังจากความผิดพลาดทางการเงินที่ทำลายเศรษฐกิจรัสเซียในเดือนสิงหาคม 1998 เจ้าหน้าที่ KGB กลุ่มเล็ก ๆ และชาวอเมริกันคนหนึ่งมารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารค่ำแบบส่วนตัว

ในหมู่พวกเขามีอดีตหัวหน้า KGB อย่าง Vladimir Kryuchkov , Robert Engineer อดีตหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของโมนาโกผู้ซึ่งขลุกอยู่ในฐานะผู้แจ้งข่าวของ FBI และ Igor Prelin ผู้ช่วยของ Kryuchkov

Prelin บอกกับแขกคนอื่นๆ ว่าในไม่ช้า KGB จะกลับสู่อำนาจ โดยเขาได้กล่าวว่า

“เรารู้จักใครบางคน คุณไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเขา เราจะไม่บอกคุณว่าเป็นใคร แต่เขาเป็นหนึ่งในพวกเรา และเมื่อเขาเป็นประธานาธิบดี พวกเรา (กลุ่ม KGB) จะกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง”

–> อ่านตอนที่ 5 : The Art of War

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 3 : Where’s the Money

การพยายามทำรัฐประหารโดยกลุ่มหัวรุนแรงคอมมิวนิสต์ที่พยายามรักษาอำนาจของสหภาพโซเวียตได้พังทลายลงด้วยความล้มเหลว

การเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาเพียงแค่ 4 วันสั้น ๆ นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง Boris Yeltsin ผู้นำรัสเซียที่สนับสนุนประชาธิปไตยได้ลงนามในพระราชกฤษฎีกา ถ่ายทอดสด ระงับบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต และยุติการปกครองนานหลายทศวรรษของพวกเขา

Yeltsin โทษพรรคคอมมิวนิสต์ว่าควรได้รับโทษฐานก่อรัฐประหารโดยผิดกฎหมาย Yeltsin จึงสั่งให้ปิดสำนักงานใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วรัสเซียของคณะกรรมการกลางของพรรคที่จตุรัสเก่าของมอสโกในทันที

ความลับของอาณาจักรการเงินอันกว้างใหญ่ไพศาลของสหภาพโซเวียตถูกจัดเก็บไว้ในห้องต่างๆ หลายร้อยห้อง เครือข่ายที่ครอบคลุมอาคาร โรงแรม และสถานพยาบาลหลายพันแห่ง เช่นเดียวกับบัญชีธนาคารของพรรคและบริษัทต่างชาตินับร้อยนับพันที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกิจการร่วมค้าในช่วงที่ระบอบการปกครองกำลังเรืองอำนาจ

การดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ในต่างประเทศ และของพรรคการเมืองพันธมิตร ได้รับการสนับสนุนทางการเงินให้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ของโซเวียตเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับตะวันตก

และนี่คืออาณาจักรที่ถูกดูแลโดย Nikolai Kruchina , Georgy Pavlov และ Dmitry Lissovolik ที่ Kruchina บริหารงานในฐานะหัวหน้าแผนกทรัพย์สินของพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปี 1983

โดย Pavlov และ Lissovolik เสียชีวิตอย่างปริศนาในหนึ่งเดือนถัดมาหลังการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งสองถูกระบุว่าได้ทำการฆ่าตัวตายที่บ้านพักของตนเอง

สิ่งที่เชื่อมโยงกันของชายทั้งสามคือ ความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับระบบการเงินที่เป็นความลับของพรรคคอมมิวนิสต์ ในขณะที่ KGB กำลังเตรียมการสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจแบบตลาดภายใต้การปฏิรูป perestroika ของ Gorbachev

แผนกทรัพย์สินที่ Kruchina และ Pavlov ดูแลนั้นเข้าใจกันว่ามีทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ผู้ปกครองคนใหม่ของรัสเซียอย่าง Yeltsin รู้สึกงุนงงเมื่อพบว่ากองทุนของพรรคที่เหลืออยู่จริงนั้นแทบจะว่างเปล่า

มีข่าวลือมากมายว่า Kruchina ได้ทำการโอนเงินรูเบิลและสกุลเงินอื่น ๆ หลายพันล้านรูเบิลผ่านกองทุนการร่วมทุนจากต่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็วในปีสุดท้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ก่อนล่มสลาย

แต่เจ้าหน้าที่อัยการก็ได้ทำการขุดคุ้ยเอกสารจนพบหลักฐานของเงินที่รั่วไหลมากมายที่เกิดขึ้นก่อนการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่มีการติดต่อกับทั้งนายธนาคารในอิตาลี รวมถึงเครือข่ายบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ มากมายที่ทำงานร่วมกับสหภาพโซเวียต

บริษัทเหล่านั้นรวมถึงยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยุโรป ไมว่าจะเป็น Fiat , Merloni , Olivetti , Siemens และ Thyssen บริษัทเหล่านี้ได้จัดหาสินค้าทางการทหารภายใต้การแอบอิงว่าเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเบื้องหลังนั้นบริษัทเหล่านี้ได้ผลิตยุทโธปกรณ์ทางการทหารแบบจริงจังมาก ๆ

แม้จะมีการพยายามสอบสวนถึงเส้นทางการเงิน โดยมีการจ้างบริษัทจากต่างชาติเข้ามาร่วมสืบสวนสอบสวน แต่ดูเหมือนจะไม่มีความคืบหน้าเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัสเซียเอง

หน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของ KGB ซึ่งอยู่เบื้องหลังหลากหลายโครงการที่เกิดขึ้นในยุคคอมมิวนิสต์ ได้ถือกุญแจลับแห่งความมั่งคั่งที่ซ่อนอยู่ ซึ่งในท้ายที่สุด เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ทุกอย่างเหมือนดูหยุดลง แต่สายลับ KGB เหล่านี้รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน

และ ในคืนสุดท้ายของ Kruchina ก่อนตายนั้นมีเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ เกิดขึ้นเมื่อเริ่มมีการโอนความมั่งคั่งของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ถูกโอนไปยังชนชั้นสูงองค์กรใหม่ และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันตกเป็นของหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของ KGB นั่นเอง

Kruchina รู้ตัวดีว่ากำลังต่อสู้กับความสิ้นหวังที่ว่าต่อจากนี้คนที่จัดการกองทุนจะไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป เขาอาจจะถูกฆ่าโดยกลุ่มคนเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่มีวันบอกเรื่องนี้ได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย

ซึ่งเรื่องราวของอัยการที่ค้นหาเงินที่หายไปนั้นถูกลืมไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความโกลาหลของการล่มสลาย แต่สิ่งที่อัยการพบในตอนนั้นคือพิมพ์เขียวสำหรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง

ไม่ว่าจะเป็นแผนการลักลอบนำเข้า บริษัทที่เป็นมิตร และผู้รับฝากทรัพย์สินที่สามารถไว้ใจได้ กลายเป็นแบบจำลองของระบอบการปกครองของ Putin ซึ่งระบอบใหม่นี้กำลังสร้างตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ต้องบอกว่าเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตเริ่มที่จะขาดแคลนทรัพยากรเนื่องจากในยุคคอมมิวนิสต์มีการผลักดันให้ผลิตเครื่องมือทางการทหารเพื่อแข่งขันกับโลกตะวันตกโดยแลกกับสิ่งอื่น ๆ

ในทางทฤษฎีแล้วนั้น รัฐคอมมิวนิสต์เดิมประสบความสำเร็จในการให้คำมั่นว่าจะให้การศึกษาและการรักษาพยาบาลกับคนงานทุกคนในประเทศโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

แต่ในทางปฏิบัติ เศรษฐกิจที่วางแผนไว้ไม่ได้ผล ในทางกลับกัน กลับมีระบบที่เสียหายซึ่งประชาชนทั่วไปที่รัฐคอมมิวนิสต์ควรจะปกป้องกลับกลายเป็นคนที่แทบจะไม่มีอันจะกิน

รัฐคอมมิวนิสต์สามารถเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แต่ก็ล้มเหลวในการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่แข่งขันได้

ในทางกลับกันรัฐบาลได้มอบโควต้าการผลิตให้กับแต่ละองค์กร ควบคุมรายได้ทั้งหมดและกำหนดราคาที่คงที่สำหรับทุกสิ่ง ไม่มีแรงจูงใจให้เกิดการแข่งขันและระบบดังกล่าวก็ไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคตกต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ

ด้วยเหตุนี้มันส่งผลให้เกิดการขาดแคลนทุกอย่างตั้งแต่ขนมปัง ไส้กรอก และอาหารอื่น ๆ ไปจนถึง รถยนต์ โทรทัศน์ ตู้เย็น หรือแม้แต่อพาร์ทเมนท์

อำนาจที่มากล้นเกินไปของระบบราชการของสหภาพโซเวียตได้สร้างการทุจริตอย่างลึกซึ้งในระบบ ในขณะที่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ ตลาดมืดกลับเจริญรุ่งเรือง

และนั่นเองที่กลายเป็นว่าเหล่าสมาชิกหน่วยข่าวกรองต่างประเทศนั้นมองเห็นจุดอ่อนของโครงสร้างเดิมเหล่านี้ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาเป็นคนที่สามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกและมองเห็นว่าเศรษฐกิจตลาดดำเนินการอย่างไรในโลกตะวันตก ซึ่งระบบสังคมนิยมล้มเหลวในการติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกตะวันตกโดยสิ้นเชิง

ซึ่งในขณะที่ Putin อยู่ในเดรสเดน กลุ่มหัวก้าวหน้าของ KGB ในมอสโกก็เริ่มขั้นตอนที่สองของการทดสอบตลาด พวกเขาเริ่มปลูกฝังและสร้างผู้ประกอบการของตนเองจากกลุ่มเยาวชนคอมมิวนิสต์รุ่นใหม่ (Komsomol )

แม้ว่าในเดือนตุลาคม 1991 Yeltsin ได้ลงนามในคำสั่งให้ยกเลิก KGB และแบ่งแยกองค์กรออกเป็นสี่องค์กรย่อยภายในประเทศ และได้แต่งตั้ง Vadim Bakatin ให้เป็นหัวหน้าองค์กรคนใหม่

แต่ Bakatin เป็นคนนอกที่ไม่มีประสบการณ์ เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในช่วงเวลาสั้น ๆ ในช่วงปีสุดท้ายของระบอบการปกครองของโซเวียต ซึ่งเขาก็ไม่สามารถที่จะควบคุม KGB ที่แท้จริงได้เลย

แม้บริการหน่วยข่าวกรองต่างประเทศที่ทรงพลังจะถูกกเปลี่ยนชื่อเป็น SVR ถึงขั้นที่ว่าเจ้าหน้าที่หลายหมื่นคนจะลาออกจากราชการ แต่ส่วนหนึ่งของระบบก็ลงไปอยู่ใต้ดินแทน เช่นเดียวกับที่ Putin ทำกับ Sobchak พวกเขาเข้าไปอยู่ในเงามืด

สุดท้ายมันแทบไม่ได้กำจัดอะไรเลยจริง ๆ พวกเขาแค่เปลี่ยนป้ายชื่อ แต่ข้างในไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยจริง ๆ แม้งบประมาณของ SVR จะถูกลดลงไปมาก แต่ในไม่ช้ามันก็มีแหล่งเงินทุนที่ไม่เป็นทางการที่เป็นปริศนาเข้ามาสวมแทน

แม้ว่ารัฐบาลรัสเซียกำลังดิ้นรนอยู่ในความโกลาหลของการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเพื่อจ่ายเงินบำนาญและค่าจ้างของครู แพทย์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น ๆ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ Yegor Gaidar ยังคงหาเงินทุนเพื่อรักษาด่านยุทธศาสตร์สำหรับข่าวกรองต่างประเทศ

Yegor Gaidar นายกรัฐมันตรีของรัสเซียในยุคของ Yeltsin (CR:Novinite.com)
Yegor Gaidar นายกรัฐมันตรีของรัสเซียในยุคของ Yeltsin (CR:Novinite.com)

หนึ่งในการจ่ายเงินดังกล่าวคือ การจ่ายเงินจำนวน 200 ล้านดอลลาร์ในปี 1992 ให้กับระบอบการปกครองของฟิเดล คาสโตรในคิวบาสำหรับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของรัสเซียเพื่อใช้เป็นสถานีดักฟังข้อมูลในสหรัฐอเมริกาต่อไป

ในช่วงครึ่งแรกของยุค 90 KGB ยังคงเป็นกำลังสำคัญอยู่เบื้องหลัง ผู้ปฏิบัติงานยังมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นที่ปรึกษาด้านการค้าหรือมีความสัมพันธ์กับรัฐบาล หรือเป็นหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ภาคน้ำมันส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในมือของรัฐ

เมื่อรัฐบาลของ Yeltsin ประกาศปล่อยราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้เป็นไปตามกลไกตลาดในวันที่ 1 มกราคม 1992 ซึ่งยกเลิกการควบคุมราคาของสินค้าที่สหภาพโซเวียตทำมานานหลายทศวรรษ

นั่นทำให้เกิดบรรดามหาเศรษฐีรุ่นใหม่ขึ้นมามากมาย ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่และรัฐบาลกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด การยกเลิกการควบคุมราคาสินค้าทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง เกิดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง เนื่องจากซัพพลายเออร์และผู้ผลิตพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชนะปัญหาการขาดแคลนที่สร้างขึ้นมาเป็นเวลานานในเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต

มหาเศรษฐียังได้รับประโยชน์เต็ม ๆ จากการปฏิรูปตลาดครั้งต่อไป โดยนายกรัฐมนตรี Gaidar นั่นก็คือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเฉพาะผู้ที่มีเงินทุนจะมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมในการแปรรูปครั้งใหญ่นี้ ซึ่งก็คือกลุ่มชนชั้นนำที่ได้ควบคุมกระแสเงินสดขององค์กรส่วนใหญ่ภายใต้การปฏิรูป perestroika ของ Gorbachev ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหนุ่มจากเยาวชนคอมมิวนิสต์ , นักธุรกิจในตลาดมืด , องค์กรอาชญกรรม กลุ่ม KGB และเหล่าผู้อำนวยการของรัฐ

จุดเปลี่ยนที่แท้จริงเมื่อการควบคุมเศรษฐกิจดูเหมือนจะโอนไปอยู่ในมือของมหาเศรษฐีหน้าใหม่ คือในช่วงกลางปี 1995 รัสเซียกำลังเข้าสู่ช่วงปีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกในยุคหลังโซเวียต ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นเงินทุนของรัฐบาลเริ่มร่อยหรอ

Vladimir Potanin ลูกชายที่พูดจาอย่างคล่องแคล่วของนักการทูตอาวุโสของสหภาพโซเวียต ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในนายธนาคารคนใหม่ที่สำคัญของประเทศได้คิดค้นสิ่งที่ดูเหมือนเป็นแผนการที่แยบยล

เขาเสนอช่วยรัฐบาล Yeltsin ด้วยการให้กู้ยืมเงินจำนวนหนึ่ง โดยมีหลักประกันคือ บรรดามหาเศรษฐีจะเลือกถือหุ้นในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจำนวนหนึ่ง พวกเขาจะจัดการวิสาหกิจ และสามารถขายหุ้นออกได้หากรัฐบาลไม่สามารถชำระเงินกู้คืนได้

ซึ่งเหล่านักธุรกิจรุ่นเยาว์มีเพื่อนที่มีอำนาจในรัฐบาลของ Yeltsin นั่นก็คือ Anatoly Chubais รองนายกรัฐมนตรีผมสีแดงและเป็นคู่หูที่ใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรี Gaidar เป็นหนึ่งในทีมงานคนสำคัญในโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมาก่อน

นั่นทำให้เหล่าผู้ประกอบการรุ่นเยาว์สามารถเอาชนะกลุ่ม KGB ซึ่งกองกำลังที่รวมกันของ KGB และอดีตกรรมการในยุคโซเวียตสามารถเอาชนะการประมูลเพื่อถือหุ้นในบริษัทน้ำมันได้เพียงสองแห่งเท่านั้น นั่นคือ 5% ของบริษัทน้ำมันชื่อ Lukoil และ 40% ของ Surgutneftegaz และส่วนใหญ่ผู้ชนะคือนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีสายสัมพันธ์กับ Chubais

นั่นทำให้อุตสาหกรรมที่เหลือส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือนายธนาคารรุ่นเยาว์เหล่านี้ Potanin ได้ครอบครองสิ่งที่เขาอยากได้มานาน ซึ่งรวมถึง Norilsk Nickel ผู้ผลิตนิกเกิลและแพลตตินั่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการให้เงินกู้กับรัฐเพียงแค่ 170 ล้านดอลลาร์เพียงเท่านั้น

รวมถึงพันธมิตรคนอื่น ๆ ของ Patanin ที่ได้ Yukos ผู้ผลิตน้ำมันในไซบีเรียตะวันตกซึ่งควบคุมแหล่งน้ำมันสำรองที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียมานานแล้ว โดยให้รัฐกู้ยืมเงิน 159 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้น 45% จากนั้นจ่ายเงินลงทุนเพิ่มอีก 150 ล้านดอลลาร์ เพื่อขอหุ้นเพิ่มอีก 33% ส่วน Sibneft บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อีกรายตกเป็นของ Boris Berezovsky ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในรัสเซีย โดยจ่ายเงินเพียงแค่ 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกมาก ๆ

Vladimir Potanin หนึ่งในนายธนาคารคนใหม่ที่สำคัญของประเทศในยุคนั้น (CR:Business Insider)
Vladimir Potanin หนึ่งในนายธนาคารคนใหม่ที่สำคัญของประเทศในยุคนั้น (CR:Business Insider)

นายธนาคารรุ่นเยาว์เหล่านี้อายุยังไม่ถึงสามสิบปี แต่ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐนั่นเองที่ทำให้ในไม่ช้า Berezovsky ได้ออกมากล่าวว่า กลุ่มนายธนาคารเจ็ดนายได้ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศร้อยละ 50 พวกเขาสามารถสร้างอาณาจักรของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่แห่งใหม่ที่ภายในระยะเวลาอีกไม่กี่ปีจะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์

การปล่อยเงินกู้จากนายทุนธนาคารครั้งใหญ่นี้แลกกับบริษัทในอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของประเทศรัสเซียซึ่งได้กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการควบคุมเศรษฐกิจ เป็นช่วงเวลาที่เหล่าผู้ประกอบการเปลี่ยนจากแค่นายธนาคารมาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

แต่ในมุมกลับกันฝั่งของ KGB มันคือความพ่ายแพ้ที่พวกเขาไม่มีวันให้อภัย แม้ในเงามืด เหล่า KGB ยังคงสามารถควบคุมกระแสเงินสดส่วนใหญ่ผ่านความมั่งคั่งจากน้ำมันของประเทศได้ แต่ตอนนี้พวกเขาถูกหลอก และถูกกลุ่มเด็กรุ่นใหม่แซงหน้า กระแสเงินสด เครื่องผลิตเงินส่วนใหญ่ถูกพรากไปจากมือของพวกเขาเสียแล้ว

แต่มหาเศรษฐีในระเบียบใหม่ของรัสเซียต่างวิตกกับความมั่งคั่งใหม่ของพวกเขา พวกเขากลายเป็นผู้มีอำนาจอย่างรวดเร็วซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อรัฐบาลของ Yeltsin ที่อ่อนแอลงเรื่อย ๆ เหล่า KGB เก่าซึ่งเคยรับราชการในรัฐบาลถูกขับออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนมาก

Potanin รับตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีของ Yeltsin ในขณะที่ Berezovsky ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคง Chubais เป็นเสนาธิการของ Yeltsin ดูเหมือนว่าตอนนี้ประเทศจะเป็นของพวกเขา และอิทธิพลของ KGB กำลังเริ่มถดถอย

แต่นั่นคือที่เฉพาะที่ศูนย์กลางอำนาจในเมืองหลวงอย่างมอสโก เหล่ามหาเศรษฐีหน้าใหม่ หลงระเริงกับอำนาจที่ได้มาแสนง่ายดาย พวกเขาไม่ได้สังเกตว่าบริเวณใกล้เคียงในเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก สิ่งต่าง ๆ กำลังดำเนินการในทางตรงกันข้ามที่นั่น

การแยกตัวออกจากความรุ่งโรจน์ของเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูของมอสโก ทำให้กองกำลังของ KGB ได้ถอยทัพมาคุมเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในเมืองที่เศรษฐกิจเริ่มแข็งแกร่งขึ้น แต่เต็มไปด้วยความมืดมน ในการแย่งชิงทรัพยากรของชาติอย่างรุนแรง และที่สำคัญ ชายที่ชื่อ Vladimir Putin กำลังสะสมอำนาจแบบเงียบ ๆ ในเมืองทางตอนเหนือแห่งนี้และเตรียมพร้อมที่ก้าวขึ้นมาท้าทายศูนย์กลางอำนาจที่มอสโกอีกครั้ง

–> อ่านตอนที่ 4 : Submariner, Soldier, Trader and Spy

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 2 : Operation Luch

ที่มหานครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเวลาหกสัปดาห์แล้วที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย นับตั้งแต่วันที่ประธานาธิบดี Boris Yeltsin และผู้นำของสาธารณรัฐโซเวียตอื่น ๆ ได้เข้ามาร่วมลงนามอย่างเป็นทางการ

ในท้องถนนทั่วเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ชาวเมืองพยายามหาเงินจากการขายรองเท้าและสิ่งของอื่น ๆ จากบ้าน สถานการณ์ในตอนนั้นทั้งขาดแคลนอาหาร ต้องใช้บัตรปันส่วน ผู้คนเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงอย่างสุดขีดกำลังทำลายเงินออมของพวกเขา บางคนถึงกับออกมาส่งเสียงว่าพวกเขากำลังอดอยาก โดยมีการส่งเสียงกระดิ่งเตือนไปทั่วทั้งเมือง มันคล้ายกับภาพจำที่เกิดขึ้นจากการปิดล้อมของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ผู้คนหลายพันคนต้องอดอาหารตายในทุก ๆ วัน

ในเวลาเดียวกันนั้น Vladimir Putin ชายผู้ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองนายกเทศมนตรีเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในวัย 39 ปี กำลังถ่ายทำสารคดีชุดใหม่เกี่ยวกับการบริหารเมืองของเขา

เป็นสารคดีที่เน้นไปที่รองนายกเทศมนตรีที่ดูอ่อนเยาว์ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลการนำเข้าอาหารอย่างเพียงพอ ซึ่งตอนนั้นมีเมล็ดธัญพืชจำนวนมากมายที่ได้รับจากการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ส่งมาจากเยอรมนี อังกฤษและฝรั่งเศส

Putin เป็นคนที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาใหญ่ในเรื่องเศรษฐกิจที่เมืองกำลังเผชิญปัญหาอยู่ เขาพูดด้วยความคล่องแคล่วเกี่ยวกับความจำเป็นในการพัฒนากลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางให้เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในตลาดใหม่ของรัสเซีย

Putin ได้กล่าวว่า “ชนชั้นผู้ประกอบการควรเป็นพื้นฐานสำหรับความเจริญรุ่งเรืองของสังคมเราโดยรวม”

เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาในการเปลี่ยนหน่วยงานป้องกันประเทศยุคโซเวียตขนาดใหญ่ให้กลายเป็นฐานการผลิตช่วยเหลือพลเรือนเพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น

เขาได้พูดเกี่ยวกับอันตรายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในการตัดขาดสหภาพโซเวียตออกจากความสัมพันธ์กับตลาดเสรีที่เชื่อมโยงกับส่วนที่เหลือของโลกที่พัฒนาแล้ว

“ลัทธิมาร์กซ์และเลนิน นำความสูญเสียมหาศาลมาสู่ประเทศของเรา” เขากล่าว

“อันที่จริงกลุ่มปฏิวัติบอลเชวิคในปี 1917 ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นในตอนนี้ โศกนาฎกรรมของการล่มสลายของรัฐของเรา” เขากล่าวในการสัมภาษณ์เพื่อทำสารคดีอย่างกล้าหาญ

นั่นคือเรื่องราวจุดเริ่มต้นของความเท็จและความสับสนในอาชีพ KGB ของ Putin หลังจากที่เขากลับมาจากเดรสเดน Putin ได้เห็นจุดจบของการควบคุมเยอรมันตะวันออก ของจักรวรรดิโซเวียต การล่มสลายของความฝันที่เรียกว่าสังคมนิยม

กลุ่มอำนาจสนธิสัญญาวอร์ซอของสหภาพโซเวียตได้แตกสลาย ขณะที่พลเมืองของตนก่อกบฎต่อผู้นำคอมมิวนิสต์

มันได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกที่เริ่มส่งเสียงก้องไปทั่วสหภาพโซเวียต การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน ขบวนการชาตินิยมจึงแพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว บังคับให้ผู้นำคอมมิวนิสต์ Mikhail Gorbachev ประนีประนอมกับผู้นำประชาธิปไตยรุ่นใหม่

ซึ่งหนึ่งในผู้นำรุ่นใหม่เหล่านั้นก็คือ Boris Yeltsin ที่ได้รับชัยชนะจากการพยายามทำรัฐประหารอย่างหนักหน่วงในเดือนสิงหาคม 1991 ซึ่ง Yeltsin ได้เข้ามาจัดการกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ระบอบเก่าที่จะถูกกวาดล้างให้สิ้นซากไปในที่สุด

แต่ต้องบอกว่าสิ่งที่มาแทนที่นั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับ KGB ทาง Yeltsin เองก็ได้กำจัดผู้นำระดับบนสุดของ KGB แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับกลายเป็นว่าเกิดสัตว์ประหลาดหัวไฮดราขึ้นมาแทนที่

เจ้าหน้าที่ KGB หลายคน เช่น Putin ได้หลบหนีไปยังเงามืดและยังทำภารกิจแบบใต้ดิน ในขณะที่หน่วยข่าวกรองต่างประเทศที่ทรงพลังก็ยังคงไม่บุบสลาย มันยังอยู่ในดินแดนเงามืดที่ถูกฉาบด้วยภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังพร้อมที่จะกลับมาเปล่งประกายในทุก ๆ เมื่อ

และเรื่องราวของ Putin ที่เป็นทางการที่ออกมาจริง ๆ นั้น จะฉายภาพเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ KGB ที่เริ่มเข้ามาเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยของประเทศ

เรื่องราวของกลุ่ม KGB โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนหนึ่งของหน่วยงานข่าวกรองต่างประเทศ ได้เตรียมเอกสารอย่างลับ ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในความวุ่นวายของการปฏิรูป perestroika ของสหภาพโซเวียต

Putin ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ในขณะที่เขาอยู่ในเดรสเน ต่อมาหลังจากเยอรมนีรวมตัวกันอีกครั้ง หน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศสงสัยว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ทำงานปฏิบัติการพิเศษ ‘Operation Luch’

มันเป็นปฏิบัติการที่มีการเตรียมการมาอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ปี 1988 ในกรณีที่ระบอบการปกครองของเยอรมันตะวันออกล่มสลาย ซึ่งวิธีการดำเนินการก็คือการจัดหาเครือข่ายตัวแทนที่สามารถดำเนินการต่อไปสำหรับรัสเซียยุคใหม่หลังจากการล่มสลาย

Vladimir Putin ใฝ่ฝันที่จะประกอบอาชีพด้านข่าวกรองต่างประเทศมานานแล้ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อของเขาเคยรับใช้ใน NKVD ตำรวจลับของสหภาพโซเวียต ที่ได้พยายามทำลายล้างทหารเยอรมัน พ่อของเขาหลบหนีได้อย่างหวุดหวิด แต่ท้ายที่สุดก็ถูกจับเข้าคุก และทนทุกข์ทรมานกับบาดแผลที่ร้ายแรง

หลังจากที่พ่อของเขาเป็นวีรบุรุษ Putin ก็หมกมุ่นอยู่กับการเรียนภาษาเยอรมันตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ และในช่วงวัยรุ่นเขาก็มีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม KGB มากจนเขาโทรหาสำนักงานเลนินกราด (ชื่อของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในตอนนั้น) เพื่อให้เขาได้เข้าทำงานก่อนที่จะเรียนจบ

เมื่อถึงวัย 30 ต้น ๆ ในที่สุดเขาก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนชั้นนำสำหรับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองต่างประเทศ มันเป็นความสำเร็จที่ดูเหมือนว่าจะช่วยให้เขารอดพ้นจากการต่อสู้อันเลวร้ายในชีวิตวัยเด็กของเขา

ในช่วงวัยเด็ก เขาต้องทนกับวัยเด็กที่ต้องไล่ตามหนูรอบ ๆ บันไดของอาคารอพาร์ตเมนต์ส่วนกลางของครอบครัว และทะเลาะกับเด็กคนอื่น ๆ บนถนน

เขาได้เรียนรู้ที่จะถ่ายทอดความกระหายในการต่อสู้บนท้องถนนด้วยวิชายูโด ซึ่งเป็นศิลปะการป้องกันตัวที่มีพื้นฐานมาจากหลักการอันละเอียดอ่อนในการทำให้คู่ต่อสู้เสียสมดุล

เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของสำนักงาน KGB ในพื้นทีอย่างใกล้ชิดว่าควรเรียนหลักสูตรใดเพื่อจะให้ก้าวหน้าในอาชีพการงาน เขาได้เข้าไปศึกษาที่คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเลนินกราด จากนั้นเมื่อเขาสำเร็จการศึกษาในปี 1975 เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกต่อต้านข่าวกรองของเลนินกราด ในท้ายที่สุด

โดยในตอนแรกเขาจะได้รับหน้าที่เป็นสายลับ แต่เมื่อในที่สุดเขาก็ได้บรรลุเป้าหมายตามความฝันของเขาโดยได้เริ่มงานในต่างประเทศครั้งแรกที่เมืองเดรสเดนในเยอรมันตะวันออก

เมื่อ Putin มาถึงเดรสเดน มีเจ้าหน้าที่ KGB เพียงแค่ 6 คนอยู่ที่นั่น เขาร่วมสำนักงานกับเพื่อนร่วมงานที่มีอายุมากกว่าคือ Vladimir Usoltsev ซึ่งเรียกเขาว่า Volodya และทุกวันเขาจะพาลูกสาวตัวน้อยสองคนไปโรงเรียนเยอรมันจากอาคารอพาร์ตเมนต์ที่เขาอาศัยอยู่กับ Lyudmilla ภรรยาของเขา

งานแรกในฝันของ Putin ที่เมืองเดรสเดน เยอรมันตะวันออก (CR:GettyImage)
งานแรกในฝันของ Putin ที่เมืองเดรสเดน เยอรมันตะวันออก (CR:GettyImage)

มันดูเหมือนชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายในช่วงแรก ๆ เขามักมาเล่นกีฬากับเพื่อนร่วมงานรวมถึงกลุ่ม Stasi ซึ่งคือหน่วยสอดแนมตัวพ่อแห่งยุคสงครามเย็นของเยอรมันตะวันออก งานหลักของ Stasi คือการสอดแนมศัตรูของรัฐ อันหมายรวมถึงประชาชนของตนเอง

กลุ่มเหล่านี้จะรู้จักทุกคนในเมืองและรับผิดชอบในการจัดระเบียบบ้านที่ปลอดภัยและอพาร์ทเมนต์ลับสำหรับตัวแทนและผู้ให้ข้อมูลและสำหรับจัดหาสินค้าใหักับสหายชาวโซเวียตของพวกเขา

ต้องบอกว่าเดรสเดนเป็นมากกว่าพื้นที่แสนสงบของเยอรมันตะวันออก เพราะเป็นสถานที่ตั้งของอาณาจักรลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องช่วยชีวิตสำหรับเศรษฐกิจของเยอรมันตะวันออก มาเป็นเวลานาน

ที่นั่นเป็นสถานที่ตั้งของ Robotron ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในเยอรมันตะวันออกที่ผลิตเมนเฟรมและคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งศูนย์กลางของการต่อสู้ของโซเวียตและเยอรมันตะวันออก คือ การได้มาซึ่งพิมพ์เขียวและส่วนประกอบของสินค้าไฮเทคของตะวันตกอย่างผิดกฎหมาย

มันได้ทำให้กลายเป็นกุญแจสำคัญ ใช้ในการดิ้นรนเพื่อแข่งขันทางการทหารกับเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วของตะวันตก

Robotron ประสบความสำเร็จในการโคลน IBM ของตะวันตก และพัฒนาความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับซีเมนส์ของเยอรมนีตะวันตก

Franz Sedelmayer ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของชาวเยอรมันตะวันตกซึ่งต่อมาทำงานร่วมกับ Putin ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้กล่าวว่า การลักลอบสินค้าไฮเทคส่วนใหญ่มาจากเมืองเดรสเดน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการลักลอบขนสินค้าไฮเทคของชาวเยอรมันตะวันออก

เดรสเดนได้กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าขายของเถื่อนนี้ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางของ Kommerzielle Koordinierung ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการค้าต่างประเทศของเยอรมันตะวันออกที่เชี่ยวชาญด้านการลักลอบนำเข้าสินค้าไฮเทคภายใต้การคว่ำบาตรจากตะวันตก

งานหลักอย่างหนึ่งของ Putin คือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ NATO ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้หลัก และเดรสเดนเป็นด่านหน้าที่สำคัญสำหรับการเกณฑ์ทหารในมิวนิกและในบาเดน-เวิร์ทเทมแบร์ก ซึ่งอยู่ห่างออกไป 500 กิโลเมตร และเป็นบ้านของบุคลากรทางทหารของสหรัฐ และกองทหาร NATO

ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 สมาชิก KGB หัวก้าวหน้า 2-3 คนได้ทำงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสถาบันเศรษฐกิจโลกในกรุงมอสโก พวกเขาเริ่มทำงานในการปฏิรูปที่สามารถนำองค์ประกอบบางอย่างของตลาดเสรีมาสู่เศรษฐกิจโซเวียตเพื่อสร้างการแข่งขัน

เมื่อ Mikhail Gorbachev เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1985 ความคิดเหล่านี้จึงกลายเป็นแรงผลักดัน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การค่อย ๆ คลายการควบคุมระบบการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ

มันเป็นวิธีเดียวที่จะนำพาประเทศให้อยู่รอด ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นทั่วทั้งกลุ่มตะวันออกทั้งอารมณ์ของการประท้วงเพิ่มขึ้นในการต่อต้านการขดขี่ของผู้ปกครองคอมมิวนิสต์ เมื่อตระหนักได้ว่าการล่มสลายอาจจะเกิดขึ้น บรรดา KGB หัวก้าวหน้าเพียงไม่กี่คนก็เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการล่มสลายที่กำลังจะเกิดขึ้น

ความตระหนักเรื่องความเสี่ยงของการล่มสลายของคอมมิวนิสต์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ในช่วงกลางทศวรรษที่ 80 KGB ได้เปิดตัว Operation Luch อย่างเงียบ ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ในปี 1986 Markus Wolf หัวหน้าสปายระดับสูงผู้ที่เป็นที่เคารพนับถือของ Stasi ลาออก สิ้นสุดการครองอำนาจใน Hauptverwaltung Aufklärung – HVA (หน่วยข่าวกรองต่างประเทศที่น่าเกรงขามของเยอรมนีตะวันออก)

มันเป็นเวลา 30 ปีที่เขาดำเนินการปฏิบัติการต่าง ๆ อย่างไร้ความปราณี Stasi ที่กลายเป็นที่รู้จักมาจากความสามารถของเขาในการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของมนุษย์เพื่อทำการแบล็กเมล์ และขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่ ภายใต้การดูแลของ Wolf HVA ได้เจาะลึกเข้าไปในรัฐบาลเยอรมันตะวันตก และได้เปลี่ยนสายลับจำนวนมากที่คิดว่าจะทำงานให้กับ CIA ให้มาเป็นพวกของตน

ทาง KGB ได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูง Boris Laptev ไปยังสถานทูตโซเวียตในเบอร์ลินตะวันออกเพื่อดูแลอย่างเป็นทางการ ภารกิจของ Laptev คือการสร้างกลุ่มผู้ปฏิบัติการที่จะทำงานอย่างลับ ๆ เพื่อเจาะกลุ่มฝ่ายค้านของเยอรมันตะวันออก และป้องกันไม่ให้มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในการรวมเยอรมัน

นั่นเองที่ทำให้ Putin ถูกเกณฑ์ให้มีส่วนร่วมในปฏิบัติการดังกล่าวนี้ เนื่องจากเมืองเดรสเดนที่ Putin อาศัยอยู่เป็นศูนย์กลางของการเตรียมการเหล่านี้

กลุ่ม Stasi ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Martin Schlaff นักธุรกิจชาวออสเตรีย ซึ่ง Schlaff ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องการลักลอบนำเข้าชิ้นส่วนประกอบสำหรับก่อสร้างโรงงานฮาร์ดดิสก์ในเมือง Thuringen ใกล้กับเมืองเดรสเดน

โครงการดังกล่าวกลายเป็นโครงการที่แพงที่สุดที่เคยดำเนินการภายใต้ Stasi แต่โรงงานไม่เคยสร้างเสร็จ ส่วนประกอบหลายๆ อย่างไม่เคยมาถึง แต่มีเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ จากข้อตกลงอื่น ๆ ที่ผิดกฎหมาย ถูกโอนไปยังบริษัทของ Schlaff ใน ลิกเตนสไตน์ สวิตเซอร์แลนด์ และ สิงค์โปร์

ซึ่งเส้นทางการโอนเงินเหล่านี้เกิดขึ้นในขณะที่ Putin ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานหลักระหว่าง KGB และ Stasi ในเมืองเดรสเดน

หลายปีต่อมา สายสัมพันธ์ของ Schlaff กับ Putin ก็เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อนักธุรกิจชาวออสเตรียปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งในเครือข่ายของบริษัทต่าง ๆ ในยุโรปที่เป็นศูนย์กลางในการดำเนินงานที่มีอิทธิพลของระบอบการปกครองของ Putin หลังขึ้นสู่อำนาจ

เมื่อ Putin เดินทางกลับรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผลกระทบของการพังทลายของกำแพงเบอร์ลินยังคงดังก้องไปทั่วสหภาพโซเวียต ขบวนการชาตินิยมกำลังเพิ่มสูงขึ้น และมีการขู่ว่าจะแยกประเทศออกจากกัน

Mikhail Gorbachev ถูกกดดันอย่างหนัก ถูกบังคับให้ยอมยกอำนาจให้กับผู้นำประชาธิปไตยที่มาใหม่ พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตเริ่มสูญเสียการผูกขาดอำนาจอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งความชอบธรรมของพรรคกำลังถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในเดือนมีนาคม 1989 เกือบหนึ่งปีก่อนที่ Putin จะกลับมาที่รัสเซีย Gorbachev ตกลงที่จะจัดการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โซเวียตเพื่อเลือกผู้แทนราษฎรในรัฐสภาชุดใหม่

กลุ่มประชาธิปไตยซึ่งนำโดย Andrei Sakharov นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ซึ่งกลายเป็นเสียงที่ไม่เห็นด้วยในอำนาจทางศีลธรรมของคอมมิวนิสต์ และ Boris Yeltsin ได้กลายมาเป็นคู่ต่อสู้ใหม่ในวิถีแห่งประชาธิปไตย ซึ่งมันใกล้จะถึงจุดจบของช่วงเวลาเจ็ดทศวรรษของการปกครองของคอมมิวนิสต์เต็มทีแล้ว

ท่ามกลางความโกลาหล Putin พยายามปรับตัว แต่แทนที่จะหาเลี้ยงชีพเป็นคนขับแท็กซี่หรือเดินตามเส้นทางดั้งเดิมหลังจากกลับจากต่างประเทศ กลับมีไปรษณีย์ลึกลับมาที่ศูนย์ของสำนักงานใหญ่ของหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของ KGB ในมอสโก

เขาได้รับคำสั่งจากอดีตที่ปรึกษาและเจ้านายของเขาในเดรสเดน ให้ไม่ต้องไปไหนมาไหนในมอสโก แต่ให้กลับบ้านที่เลนินกราด ที่ซึ่งการเลือกตั้งสภาเทศบาลจะมีการจัดขึ้นครั้งแรกภายใต้การปฏิรูปของ Gorbachev

ตำแหน่งแรกของ Putin ที่เลนินกราดคือเป็นผู้ช่วยอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเลนินกราด ซึ่งในวัยหนุ่มเขาได้ศึกษากฎหมายอยู่ที่นั่นมาก่อน

เขามีหน้าที่ในการดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยและจับตาดูนักศึกษาต่างชาติและบุคคลสำคัญที่มาเยี่ยม

Anatoly Sobchak เป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่มีเสน่ห์ของมหาวิทยาลัย สูงส่ง เก่งกาจ และหล่อเหลา เขาชนะใจนักเรียนด้วยแนวร่วมต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์มาช้านาน และได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักพูดที่ปลุกเร้าขบวนการประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ที่สุด ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะท้าทายพรรคคอมมิวนิสต์และ KGB ในทุก ๆ ทาง

Sobchak เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ปรึกษาอิสระและนักปฏิรูปที่เข้าควบคุมสภาเมืองหลังการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 1990 และภายในเดือนพฤษภาคมเขาได้รับตำแหน่งให้กลายเป็นประธานสภาเมือง และ Putin ได้รับแต่งตั้งให้เป็นมือขวาของเขาแทบจะในทันที

Anatoly Sobchak ที่ให้ Putin มาเป็นมือขวาแทบจะในทันที (CR:Alchetron)
Anatoly Sobchak ที่ให้ Putin มาเป็นมือขวาแทบจะในทันที (CR:Alchetron)

Putin ได้มาช่วยเหลือ Sobchak ในการเป็นผู้ประสานงานและดูแลเรื่องความปลอดภัย Franz Sedelmayer ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของเยอรมันซึ่งต่อมาทำงานร่วมกับ Putin กล่าวว่า ‘KGB บอก Sobchak ว่า “นี่ (Putin) คือคนของเรา เขาจะดูแลคุณ”

ตำแหน่งในคณะนิติศาสตร์เป็นเพียงการปกปิดข้อมูลบางอย่างเท่านั้น Sedelmayer เชื่อว่า Sobchak เองได้ทำงานอย่างไม่เป็นทางการกับ KGB มานานแล้ว ซึ่งการปกปิดตัวตนที่ดีที่สุดสำหรับคนเหล่านี้คือปริญญาทางกฎหมาย

และเมื่อถึงเวลาที่เมืองเลนินกราดจัดการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในเดือนมิถุนายน 1991 Sobchak ก็เป็นผู้นำและชนะการเลือกตั้งได้อย่างง่ายดาย

แต่เมื่อถึงเดือนสิงหาคม ก็ได้เกิดการก่อรัฐประหารต่อผู้นำโซเวียตขึ้น เหล่าผู้ก่อการรัฐประหารได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และประกาศว่าพวกเขากำลังเข้าควบคุมสหภาพโซเวียต และได้จับตัว Gorbachev เป็นตัวประกันที่บ้านพักฤดูร้อนของเขาที่ Foros บนชายฝั่งทะเลดำ

แต่ในเลนินกราด เหล่าผู้นำที่สนับสนุนประชาธิปไตยของเมืองได้ก่อกบฎต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งสมาชิกสภาเมืองทำหน้าที่ป้องกันสำนักงานใหญ่ของพรรคในห้องโถงที่ขาดรุ่งริ่งของพระราชวัง Marinsky

Putin และ Sobchak ได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าตำรวจท้องที่และทหารหกสิบคนจากกองกำลังพิเศษ พวกเขาร่วมกันเกลี้ยกล่อมให้เจ้าของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นอนุญาติให้ Sobchak ออกอากาศในเย็นวันแรกหลังการทำรัฐประหาร

สุนทรพจน์ของ Sobchak ที่กล่าวในคืนนั้นผ่านโทรทัศน์ประณามผู้นำรัฐประหารว่าเป็นอาชญากร และได้นำประชาชนออกมารวมตัวกันหลายแสนคนในวันรุ่งขึ้นที่พระราชวังฤดูหนาวของโรมานอฟเพื่อแสดงการต่อต้านการรัฐประหาร

Sobchak ระดมฝูงชนด้วยการเรียกร้องอันทรงพลัง แต่เบื้องหลังนั้นเขาได้ทิ้งภารกิจที่สำคัญที่สุดและยากที่สุดให้กับ Putin และทีมงานทางด้านการทหารของเขา

Putin ได้ทำการเข้าเจรจากับหัวหน้า KGB ของเมืองและผู้บัญชาการทหารของภูมิภาคเลนินกราดเพื่อให้แน่ใจว่าแนวทหารกลุ่มที่ก่อรัฐประหารจะไม่เข้ามาในเมือง

ในขณะที่ Sobchak ปลุกระดมฝูงชนที่รวมตัวกันที่ Palace Square ในวันรุ่งขึ้นการเจรจาของ Putin และทีมงานของเขาก็ยืดเยื้อต่อไป และเมื่อรถถังมาหยุดที่เขตเมืองในวันนั้น Putin ก็หายตัวไปพร้อมกับ Sobchak

Putin ได้พา Sobchak และกลุ่มกองกำลังพิเศษไปยังบังเกอร์ที่อยู่ลึกลงไปใต้โรงงานในแนวป้องกันหลักของเมือง ที่ซึ่งพวกเขาสามารถพูดคุยกับ KGB ต่อไปได้

เมื่อ Putin และ Sobchak ออกมาจากบังเกอร์ในเช้าวันรุ่งขึ้น การรัฐประหารก็สิ้นสุดลง ความพยายามในการยึดอำนาจของกลุ่มก่อรัฐประหารพ่ายแพ้ ในกรุงมอสโก หน่วยงานพิเศษของ KGB ได้ปฏิเสธคำสั่งยิงทำเนียบของกลุ่มก่อรัฐประหาร

Boris Yeltsin ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งของสาธารณรัฐรัสเซียในขณะนั้น ได้รวบรวมผู้สนับสนุนหลายหมื่นคนเพื่อต่อต้านการรัฐประหารที่กำลังจะยกเลิกเสรีภาพที่ประชาชนชาวรัสเซียกำลังจะได้รับ

เมื่อการรัฐประหารล้มเหลว สิ่งที่เหลืออยู่ของความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์ก็พังทลายลง ผู้นำระบอบประชาธิปไตยใหม่ของรัสเซียพร้อมที่จะก้าวขึ้นมา ไม่ว่าแรงจูงใจของเขาจะเป็นอย่างไร Putin กลายเป็นกำลังสำคัญในการนำชัยชนะมาสู่กลุ่มประชาธิปไตย

Putin ได้สะท้อนมุมมองของทุกคนกลับมาที่เขาเหมือนกระจกเงา อย่างแรกคือแนวความคิดของเจ้านายฝ่ายประชาธิปไตยใหม่ของเขา ส่วนที่เหลือก็คือกลุ่มองครักษ์ KGB เก่าที่เขาเคยทำงานด้วย มันเป็นส่วนผสมใหม่ที่ทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างออก

“ดูเหมือนว่าเขา (Putin) จะเปลี่ยนสีได้เร็วจนคุณไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนยังไงกันแน่” Sedelmayer กล่าว

–> อ่านตอนที่ 3 : Where’s the Money

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 1 : Prologue

ณ ทาวน์เฮาส์สามชั้นในย่านเชลซี แสงยามเย็นส่องเข้ามาทางหน้าต่างขนาดเท่าโบสถ์ เสียงนกร้องจากต้นไม้ด้านนอก กับความแออัดของจราจรบนถนนคิงส์ที่อยู่ใกล้เคียง

Sergei Pugachev ชายที่เคยมีความสุขในมอสโก สุดยอดนักเจรจาข้อตกลงในเครมลิน ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะห่างไกลจากจุดนั้นมามาก

ไม่กี่วันที่ผ่านมา Pugachev ถูกบังคับให้หาวิธีการปกป้องหน่วยต่อต้านการก่อการ้ายของสหราชอาณาจักร บอดี้การ์ดของเขาพบกล่องที่่น่าสงสัยพร้อมสายไฟที่ยื่นออกมาติดอยู่ที่ช่วงล่างของรถโรลส์-รอยซ์ของเขา

มันเป็นรถที่ใช้ขนส่งลูกคนสุดท้องในสามคนของเขา ซึ่งมีอายุ เจ็ด ห้า และสามขวบไปโรงเรียน ซึ่งตอนนี้ที่ผนังห้องนั่งเล่นของ Pugachevs หลังม้าโยกและตรงข้ามกับภาพครอบครัว กองกำลังต่อต้านก่อการร้ายของลอนดอน SO15 ได้ติดตั้งกล่องสีเทาทีมีสัญญาณเตือนที่สามารถเปิดใช้งานได้ในกรณีที่มีการโจมตี

เมื่อ 15 ปีก่อน Pugachev เคยเป็นคนวงในของเครมลินมาก่อน ซึ่งเคยอยู่เบื้องหลังเพื่อช่วยนำ Vladimir Putin ขึ้นสู่อำนาจ

ครั้งหนึ่ง Pugachev เคยเป็นที่รู้จักในนามนายธนาคารของเครมลิน เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข้อตกลงลับ ๆ เป็นสุดยอดมือทำงานของ Putin ในยุคนั้น

เป็นเวลาหลายปีที่เขาแทบไม่มีใครกล้าหือ เป็นสมาชิกคนหนึ่งของวงในที่จุดสุดยอดของอำนาจที่สร้างกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับตัวเอง ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย ศาล หรือแม้กระทั่งผลการเลือกตั้งที่สามารถเสกได้ตามความต้องการของเขา แต่ตอนนี้สถานการณ์มันกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง

คนของ Putin ได้ตำหนิเขาสำหรับการล่มสลายของ Mezhprombank ซึ่งเป็นธนาคารที่เขาร่วมก่อตั้งในยุค 90 ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นกุญแจสู่อำนาจของเขา ทางเครมลินได้ยัดคดีอาญาให้กับเขาโดยอ้างว่า Pugachev ได้ทำให้ธนาคารล้มละลาย และกล่าวหา Pugachev ว่ามีการโอนเงินจำนวน 700 ล้านดอลลาร์จากธนาคารไปยังบัญชีของสวิสในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินในปี 2008

Putin เริ่มกวาดล้างอำนาจวงในอย่างบ้าคลั่ง และ Pugachev เป็นคนวงในคนแรกที่ถูกทำลายล้าง เครมลินได้พยายามไล่ล่าเขาในทุกวิถีทาง จากศาลเตี้ยในมอสโก ไปจนถึงกระบวนการในศาลสูงที่ลอนดอน

ตั้งแต่ Pugachev ออกจากรัสเซีย เครมลินก็ไล่ล่าตามเขา ตั้งแต่ที่บ้านของเขาในฝรั่งเศส เขาเคยถูกคนร้ายที่เป็นสมาชิกของกลุ่มมาเฟียในมอสโกพาเขาออกไปที่เรือยอทช์นอกชายฝัั่งเมืองนีซ และเรียกร้องให้เขาจ่ายเงิน 350 ล้านดอลลาร์เพื่อรับประกันความปลอดภัยของครอบครัว

ในศาลของสหราชอาณาจักร Pugachev เปรียบเสมือนปลาที่ขาดน้ำโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามกฎและขั้นตอนที่เคยแทบจะไม่คุ้นเคยกับมัน

เขาเคยชินกับข้อตกลงลับ ๆ ในอดีตของเครมลิน เขาคุ้นเคยกับการแหกกฎระเบียบ เพราะตำแหน่งและอำนาจที่มากล้นของเขาในอดีต แม้เขาจะเชื่อมั่นในความชอบธรรมในทรัพย์สินต่าง ๆ ของเขา ว่าเขาตกเป็นเหยื่อของการยึดทรัพย์สินจากเครมลิน

ครั้งแรกที่เครมลินเรียนรู้วิธีการจัดการผ่านระบบศาลของสหราชอาณาจักรคือการเอาชนะ Boris Berezovsky อดีตวงในที่ถูกเนรเทศ ซึ่งได้กลายเป็นนักวิจารณ์ที่ดุร้ายที่สุดของ Putin

Berezovsky เป็นคนวงในเครมลินที่เคยพยายามและล้มเหลวในการฟ้องร้อง Roman Abramovich ผู้ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในอดีตของเขา ในเรื่องที่ว่าเขาได้ร่วมเป็นเจ้าของ Sibneft ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญที่สุดของรัสเซีย

Berezovsky เป็นคนวงในเครมลินที่เคยพยายามและล้มเหลวในการฟ้องร้อง Roman Abramovich (CR:Business Insider)
Berezovsky เป็นคนวงในเครมลินที่เคยพยายามและล้มเหลวในการฟ้องร้อง Roman Abramovich (CR:Business Insider)

เครมลินได้ปรับปรุงการดำเนินงานในระบบศาลของสหราชอาณาจักรเพิ่มเติมผ่านการไล่ล่า Mukhtar Ablyazov มหาเศรษฐีชาวคาซัค ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประธานาธิบดีคาซัคซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของเครมลิน

Ablyazov ถูกไล่ล่าในข้อหาที่เขาขโมยเงินมากว่า 4 พันล้านดอลลาร์จากธนาคาร BTA ของคาซัคสถาน ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งประธาน และมีสาขาอยู่ทั่วรัสเซีย

หน่วยงานของรัสเซียว่าจ้างทีมทนายความจากสำนักงานกฎหมายชั้นนำของลอนดอนอย่าง Hogan Lovells ซึ่งได้ฟ้องคดีแพ่ง 11 คดีกับ Ablyazov ในสหราชอาณาจักร รวมถึงคำสั่งอายัดทรัพย์สินของเขา โดยนักสืบเอกชนได้ติดตามเงินจำนวน 4 พันล้านดอลลาร์ไปยังเครือข่ายบริษัทนอกอาณาเขตที่ควบคุมโดยผู้ประกอบการชาวคาซัคสถาน

ส่วน Pugachev นั้นถูกบีบบังคับให้มอบหนังสือเดินทางของเขาให้กับศาล และถูกสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกจากสหราชอาณาจักร ซึ่ง Pugachev เชื่อว่า Putin เป็นคนบงการที่แท้จริงในการจัดการกับเขา

Pugachev กล่าวว่าในสหราชอาณาจักรนั้น สิ่งสำคัญคือเงินเสมอ ยิ่งในลอนดอนนั้นเคยชินกับการหลั่งไหลเข้ามาของเงินสดจากรัสเซีย ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้น เจ้าหน้าที่ของรัสเซียซื้อคฤหาสน์ระดับไฮเอนด์ในไนท์สบริดจ์ เคนซิงตัน และเบลกราเวีย ย่านหรูของลอนดอน

ต้องบอกว่าอิทธิพลของรัสเซียมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง Alexander Lebedev อดีตเจ้าหน้าที่และนายธนาคารของ KGB ได้กลายมาเป็นเจ้าพ่อสื่อในลอนดอน ซึ่งเขาได้เข้าซื้อกิจการ Evening Standard หนังสือพิมพ์รายวันที่มีอิทธิพลมากที่สุดในลอนดอน

อีกคนหนึ่งคือ Dmitry Firtash มหาเศรษฐีชาวยูเครนที่กลายมาเป็นผู้ค้าก๊าซรายใหญ่ของเครมลิน มีความเชื่อมโยงกับนักเลงรัสเซียรายใหญ่ที่ FBI ต้องการอย่าง Semyon Mogilevich ซึ่งเขาได้กลายเป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้กับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

Robert Shetler-Jones หัวหน้าสมุนของ Firtash ในลอนดอนได้บริจาคเงินหลายล้านปอนด์ให้กับพรรคอนุรักษ์นิยม (Tory Party) และเป็นเพื่อนสนิทของ Boris Johnson ซึ่งอดีตเคยเป็นนายกเทศมนตรีของลอนดอน ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษในปัจจุบัน

หลังจากที่ Pugachev พบอุปกรณ์ที่ดูน่าสงสัยในรถของเขา เขาเริ่มได้รับสัญญาณว่ารัสเซียจะทำการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจากสหราชอาณาจักร และกลัวว่าจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับ Boris Berezovsky ซึ่งถูกพบว่าเสียชีวิตในเดือนมีนาคม 2013 บนพื้นห้องน้ำในคฤหาสน์ส่วนตัวของเขา

แม้ว่า Pugachev ไม่ได้เป็นคนบริสุทธิ์ 100% ก็ตามที ยังไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเงิน 700 ล้านดอลลาร์ที่เขาถูกกล่าวหาว่าขโมยไปจาก Mezhprombank ซึ่งท้ายที่สุดเขาได้ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี

Pugachev เชื่อว่าเขาถูกจับเพราะความอาฆาตพยาบาทของรัสเซียที่ไล่ล่าเขาผ่านกระบวนการศาลของสหราชอาณาจักร

ต้องบอกว่า Pugachev เคยทำงานอยู่ใจกลางอำนาจของเครมลิน และเคยรู้ความลับอันลึกล้ำบางอย่าง รวมถึงวิธีการที่ Putin เข้ามามีอำนาจ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่สำคัญที่เครมลินตั้งใจจะไล่ล่าเขา

ในช่วงเวลาที่เร่งรีบของเที่ยวบินจากสหราชอาณาจักรที่เขาได้หนีไปที่ฝรั่งเศส Pugachev ได้ทิ้งร่องรอยไว้มากมาย นักสืบที่ทำงานให้กับทนายของเครมลินได้บุกเข้าไปในสำนักงานของเขา

ในบรรดารีมเอกสารนั้นมีดิสก์ไดรฟ์จำนวนหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีการบันทึกจากหัวหน้าความปลอดภัยของรัสเซียที่แอบบันทึกการประชุมทุกครั้งที่เขาจัดขึ้นที่สำนักงานในตัวเมืองมอสโกตั้งแต่ปลายยุค 90

บันทึกหนึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาและน่าเศร้าของ Pugachev เกี่ยวกับ Putin และบทบาทของเขาในการนำพา Putin ขึ้นสู่อำนาจ

ในเทปได้บันทึก Pugachev กำลังนั่งอยู่นห้องทำงานของเขากับ Valentin Yumashev ซึ่งเป็นลูกเขยและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของอดีตประธานาธิบดี Boris Yeltsin พูดคุยกันเรื่องอาหารค่ำและไวน์ชั้นดีเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียด

Sergei Pugachev ผู้ที่ช่วยปลุกปั้น Putin ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด (CR:Business Insider)
Sergei Pugachev (กลาง) ผู้ที่ช่วยปลุกปั้น Putin ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด (CR:Business Insider)

ในตอนนั้นมอสโกกำลังเผชิญวิฤติทางการเมืองอีกครั้ง ในเดือนพฤศจิกายน 2007 และเหลือเวลาเพียงอีกไม่กี่เดือนก่อนที่ Putin จะสิ้นสุดวาระที่สองของเขาในฐานะประธานาธิบดี ซึ่งเป็นจุดที่รัฐธรรมนูญของรัสเซียกำหนดให้เขาต้องลงจากตำแหน่ง

Pugachev และ Yamashev ชนแก้วกันอย่างเงียบ ๆ ขณะพูดคุยถึงความขัดแย้ง ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งเมื่อย้อนกลับไปในช่วงปี 1999 ที่พวกเขาช่วยให้ Putin ผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจ

แต่กลายเป็นว่า Putin ได้ถีบส่งทั้งคู่ และหันไปหาพันธมิตร KGB ของ Putin เองจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ระบบอำนาจได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และทั้งคู่ก็พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“คุณจำได้ไหมตอนที่เขา (Putin) เข้ามามีอำนาจได้อย่างไร” Pugachev กล่าวในเทป

“ผมเป็นผู้จัดการเรื่องราวทั้งหมด ผมสร้าง Putin ขึ้นมากับมือ”

ในสมัยนั้น Putin ดูไม่เต็มใจนักที่จะรับบทนำ และดูเหมือนจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนให้กับผู้ที่จัดการให้เขาขึ้นมามีอำนาจอย่าง Pugachev

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปสี่ปีของการเป็นประธานาธิบดีเทอมแรก เขาเข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งมันไม่มีวันที่จะทำให้ Putin ก้าวลงจากตำแหน่งอีกต่อไป

การก้าวขึ้นสู่อำนาจของ Putin ในวาระแรกนั้นเปียกโชกไปด้วยเลือดและการโต้เถียง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารประเทศอย่างกว้างขวาง เขาเผชิญกับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายหลายครั้ง รวมถึงการล้อมโรงละคร Dubrovka ในมอสโกโดยผู้ก่อการร้ายชาวเชเชนในเดือนตุลาคม 2002

‘ผมคิดว่าเขาจะจากไปอย่างมีความสุขหลังจากผ่านไปสี่ปี’ Pugachev กล่าวต่อ แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป การมีปัญหากับตะวันตกก็เริ่มต้นขึ้น ในอดีตเคยมีความขัดแย้งที่รุนแรงจนเกือบจะเป็นวิกฤติขีปนาวุธของคิวบา แต่ตอนนี้เขาทำให้มันยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก Putin เข้าใจดีกว่าถ้ามันไปไกลกว่านี้ เขาจะไม่มีวันสูญสิ้นอำนาจ

Putin มักจะให้เหตุผลในการรวมอำนาจทั้งหมดของเขา ซึ่งรวมถึงยุติการเลือกตั้งผู้ว่าการ และนำระบบศาลใหม่ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเครมลิน โดยกล่าวว่ามาตรการดังกล่าวจำเป็นต่อการสร้างยุคใหม่ของรัสเซีย

Putin และกลุ่ม KGB ที่บริหารเศรษฐกิจผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่มีความจงรักภักดี บัดนี้ได้ผูกขาดอำนาจ และได้แนะนำระบบใหม่ซึ่งตำแหน่งของรัฐถูกใช้เพื่อเสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง

‘คนเหล่านี้ พวกเขากลายพันธ์ุ’ Pugachev กล่าว

‘พวกเขาเป็นส่วนผสมของ homo-soveticus กับนายทุนที่คลั่งไคล้ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา พวกเขาขโมยของมามากมายจนเต็มกระเป๋า ครบครัวของพวกเขาทั้งหมดอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งในลอนดอน

‘นักธุรกิจที่แท้จริงเหลืออยู่น้อยมาก’ Yumashev เห็นด้วย ส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อย ‘บรรยากาศในประเทศเปลี่ยนไปมาก’

ความสำเร็จของยุค Putin จนถึงตอนนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของรายได้ ความร่ำรวยของมหาเศรษฐีที่เปลี่ยนมอสโกให้กลายเป็นมหานครที่เปล่งประกายซึ่งมีรถยนต์หรูจากต่างประเทศอยู่เต็มถนนและร้านกาแฟบรรยากาศสบาย ๆ เปิดตามมุมถนน

ต้องบอกว่าการปฏิวัติกระแสเงินสดเชิงกลยุทธ์ของ Putin เป็นมากกว่าการควบคุมเศรษฐกิจของประเทศสำหรับการปกครองของ Putin ความมั่งคั่งมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมืองรัสเซียและการรักษาอำนาจของเขา

ระบบที่ชายอย่าง Putin สร้างขึ้นนั้นเป็นระบบทุนนิยม KGB แบบลูกผสมที่พยายามสะสมเงินสดเพื่อซื้อและฉ้อโกงเจ้าหน้าที่ในฝั่งตะวันตก

ตลาดตะวันตกได้เปิดรับความมั่งคั่งใหม่ที่มาจากรัสเซีย และให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยต่ออาชญากรและกองกำลัง KGB ที่อยู่เบื้องหลัง

เมื่อธุรกิจน้ำมันมีค่ามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ น้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ถูกโอนจากรัฐไปยังบริษัทที่เชื่อมโยงกับ KGB ซึ่งพวกเขาพยายามที่จะสมสมเงินสดสีดำเพื่อรักษาอิทธิพลของเครือข่ายที่คิดมานานแล้วว่าเคยพังยับเยินจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

ในช่วงเวลาหนึ่งภายใต้การนำของ Yeltsin กองกำลังของ KGB ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง แต่เมื่อ Putin ขึ้นสู่อำนาจ พวกเขาก็พร้อมที่ก้าวเข้ามาสู่เบื้องหน้า

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นทั้งหมดของมัน สำหรับชายที่ช่วยนำ Putin ขึ้นสู่อำนาจ ทั้ง Pugachev และ Yamashev ที่ได้เริ่มถ่ายโอนอำนาจอย่างรวดเร็ว ในช่วงที่ Yeltsin กำลังประสบกับปัญหาด้านสุขภาพ

อดีตเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยอย่าง Putin ที่พวกเขานำขึ้นสู่อำนาจ กำลังเสพติดกับอำนาจอย่างบ้าคลั่ง และไม่เคยที่จะหยุดนิ่งเพื่อยืดอายุในการปกครองของเขาให้เกินขอบเขตของสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปได้

‘เราควรจะได้พูดกับเขามากกว่านี้’ Yamashev ถอนหายใจ

‘แน่นอน’ Pugashev กล่าว ‘แต่มันแทบไม่มีเวลาเหลือให้คนอย่างเราแล้วในตอนนี้’

–> อ่านตอนที่ 2 : Operation Luch

Credit แหล่งข้อมูลบทความ