ฮาร์ดคอร์แบบสุด ๆ กับการรีดประสิทธิภาพองค์กรในแบบฉบับ Elon Musk

ความบ้าของ Elon Musk นี่ต้องเรียกได้ว่าถึงขั้น Extreme สุด ๆ แต่เขาก็เป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุดลำดับต้น ๆ ของโลก แม้พฤติกรรมของเขาจะแปลกแหวกแนวขนาดไหนก็ตามที

ต้องบอกว่าในยุคของ Twitter เดิมนั้น แพลตฟอร์มต่างได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีเสรีภาพในการพูดมากที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ต

Twitter ไม่เหมือนบริษัทยักษ์ใหญ่ของ Silicon Valley รายอื่นๆ ที่หิวกระหายในเงินทอง คอยสูบเลือดสูบเนื้อจากผู้ใช้งาน รีดเงินออกมาให้ได้มากที่สุด

แต่ Twitter เรียกได้ว่ามีความแตกต่างในเรื่องอุดมการณ์มาตั้งแต่ยุคก่อตั้งของพวกเขาที่ไม่ได้สนใจเรื่องเงินเรื่องทองมากนัก เน้นไปที่อุดมกรณ์ “Free Speech” เป็นหลัก

แม้เรื่องราวภายในจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่หลายคนคิด ผู้ก่อตั้งเองก็หักเหลี่ยมเฉือนคมกันเพื่อไต้เต้าขึ้นสู่อำนาจ แย่งกันไปแย่งกันมา จนสุดท้ายกลายมาเป็น Jack Dorsey ที่ได้ควบคุม Twitter ในท้ายที่สุด

Twitter ได้สร้างอิทธิพลให้กับกลุ่มคนหลายกลุ่ม ทั้งการเคลื่อนไหวทางด้านการเมือง ล้มล้างการปกครองมานับต่อนับ โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญอย่างอาหรับสปริงที่เรียกได้ว่ามันได้แสดงศักยภาพให้โลกได้เห็นว่ามันมีอิทธิพลมากมายขนาดไหน

แต่ไม่มีใครเข้าใจอาวุธในการสร้างอิทธิพลผ่านเครือข่ายนี้ไปได้ดีกว่า Donald Trump ซึ่งในปี 2016 ได้ใช้มันเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันตัวเองเข้าสู่ทำเนียบขาวได้สำเร็จ

เมื่อ Twitter เปลี่ยนไป Elon Musk ก็เข้ามา

หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผ่านพ้นไป ทีมงาน Twitter ก็ได้เริ่มเห็นจุดอ่อนบางอย่างในแพลตฟอร์มของพวกเขา

Twitter ได้ทำการปรับนโยบายการกลั่นกรองเนื้อหาใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และมุ่งเน้นที่จะทำให้แพลตฟอร์มของพวกเขาลดความ Toxic ลงไป

Twitter อ้างว่าจะไม่มีวันปล่อยให้แพลตฟอร์มถูกใช้โดยเผด็จการเพื่อยุยงให้เกิดความขัดแย้งและทำให้มีการแบ่งขั้วของผู้คนอีกต่อไป และได้แบน account ของ Donald Trump หลังจากเกิดจราจลครั้งใหญ่ที่รัฐสภาสหรัฐฯ

และนั่นเป็นฉนวนที่สำคัญที่สะกิดใจต่อ Elon Musk เป็นอย่างมากจนเขาต้องซื้อมัน ซึ่ง Musk มองว่าแพลตฟอร์มกำลังเสียหายเมื่อยอมรับเจตนารมย์ของรัฐบาลและกลุ่มชนชั้นสูงด้านสื่อเสรีนิยม รวมถึงการเตะ Trump ออกจากระบบ

และเฉกเช่นเดียวกับ Trump ชายอย่าง Elon Musk นั้นฉลาดและรู้วิธีการใช้งาน Twitter เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเขาเองก็เป็นคนที่ละเมิดทุกกฎเกณฑ์ แต่กลายเป็นว่ามันได้ทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟน ๆ ไม่น่าแปลกใจที่บัญชีของ Musk เป็นบัญชีที่มีผู้ติดตามอันดับที่สองของโลก

Musk เองเหมือนจะหลวมตัวโดยทุ่มเงินเข้าซื้อ Twitter สูงถึง 44 พันล้านดอลลาร์ และต้องการให้ Twitter กับมาเป็นแพลตฟอร์มที่ “Free Speech” อีกครั้ง

แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาต้องการให้เกิดขึ้นในแพลตฟอร์มนั้นจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาทำกับเหล่าพนักงาน Twitter เพราะใครที่ไม่เห็นด้วยหรือวิจารณ์แนวทางของ Musk ผู้นั้นก็จะถูกเลิกจ้างอย่างรวดเร็ว

ในการปฏิบัติหน้าที่เต็มตัวในฐานะ CEO วันแรก เขาได้สั่งให้ผู้บริหารส่งข้อความไปยัง Slack เพื่อส่งสัญญาณถึงเหล่าวิศวกรว่า Musk ต้องการดู Source Code ทั้งหมด ให้เหล่าโปรแกรมเมอร์พิมพ์โค้ด 50 หน้าที่ทำให้ช่วง 30 วันที่ผ่านมา

ซึ่งก็เหตุชุลมุนวุ่นวานเกิดขึ้น เหล่าวิศกรแตกตื่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชะตากรรมของตน ต่างลุกลี้ลุกลนเพื่อหาเครื่องพิมพ์ไปทั่วสำนักงาน แต่อุปกรณ์จำนวนมากแทบจะใช้งานไม่ได้เนื่องจากไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลาสองปีหลังการระบาดของ COVID-19

ภายในสองชั่วโมงถัดมา เกิดการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ให้หยุดการพิมพ์โค้ดทั้งหมด และให้แสดง Souce Code ล่าสุดบนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวแทน

การตรวจสอบ Source code เหล่านี้ ยิงไปตรงกลางหัวใจของแพลตฟอร์ม เพื่อค้นหาว่าพนักงานคนใดจะต้องถูกไล่ออกไป และคนกลุ่มใดต้องอยู่ต่อเพื่อให้แพลตฟอร์มสามารถทำงานต่อไปได้

หลังจากนั้นก็ได้กระทำการอย่างโหดเหี้ยม สั่งให้ผู้บริหารค้นหาว่าพนักงานส่วนอื่นๆ คนใดยังจำเป็นบ้างเพื่อให้แพลตฟอร์มยังทำงานได้ต่อไป ใครที่ไม่เข้าข่ายก็จะถูก lay-off อย่างไม่ใยดี และคำสั่งของ Musk ก็ทำให้พนักงานหายไปเกินครึ่ง

Musk ทำการยกเลิกสิทธิประโยชน์หลักต่างๆ ของ Twitter แทบจะทั้งหมด ทั้งเรื่องการเบิกค่ารักษาสุขภาพ ชั้นเรียนต่าง ๆ หรือเรื่องของอาหารกลางวัน และบีบให้พนักงานทำงานเพิ่มมากขึ้น

Musk ได้นำทีมงานวิศวกรหลายสิบคนจากองค์กรอื่นๆ ที่เขาดูแล รวมถึง Tesla , Neuralink และ Boring Company เพื่อช่วยดูแล Twitter และคัดแยกพนักงาน แม้กระทั่งลูกพี่ลูกน้องเขาสองคนอย่าง Andrew และ James Musk ก็ถูกนำเข้ามาช่วยเหลือในภารกิจนี้

เลือดที่ไหลออกไม่หยุด

มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของพนักงานที่ถูกเลิกจ้างไปเป็นจำนวนมากเพียงเท่านั้น เพราะแหล่งรายได้หลักของ Twitter อย่างการโฆษณาก็ค่อย ๆ ทยอยหายไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

แบรนด์ยักษ์ใหญ่หลายๆ แบรนด์เริ่มที่จะยกเลิกการลงโฆษณากับ Twitter มันทำให้แม้กระทั่งเงินจ่ายค่าเช่าสำนักงาน Musk ยังไม่มีปัญญาที่จะจ่าย ถึงกับต้องเร่ขายเฟอร์นิเจอร์ภายในออฟฟิศออกไป

หรือการปิดศูนย์ข้อมูลบางส่วนอย่างกะทันหัน ซึ่งคุกคามสเถียรภาพของแพลตฟอร์มเป็นอย่างยิ่ง นั่นทำให้แพลตฟอร์มล่มเป็นระยะ ๆ บางครั้งนานกว่า 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว

แม้จะพยายามกู้วิกฤติด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ๆ อย่าง Twitter Blue ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแหล่งรายได้จากการโฆษณาไปสู่การสมัครสมาชิก แต่ดูเหมือนมันจะทดแทนไม่ได้เลย ซึ่งทำให้สุดท้าย Twitter เริ่มเสนอค่าโฆษณาฟรีหลายแสนดอลลาร์เพื่อดึงดูดเหล่านักการตลาดใก้กลับมาสนใจแพลตฟอร์มของพวกเขาอีกครั้ง

แม้เขาจะพยายามบอกว่าจะเป็น CEO เพียงชั่วคราวเพียงเท่านั้น แต่ความเสียหายที่เขาทำในสามเดือนมันส่งผลต่อความมั่นคงของบริษัท และเสี่ยงที่จะทำให้ Twitter ล้มละลายได้เลย

อัจฉริยะหรือคนบ้า

ในโลกธุรกิจบางครั้งแรกก็แยกคนอัจฉริยะกับคนบ้าแทบไม่ออก ซึ่งมันมีประวัติศาสตร์มากมายที่คนที่มีพฤติกรรมไม่ต่างจาก Musk แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างสูงในโลกของธุรกิจ

มันกลายเป็นว่าแม้พนักงานจะหายไปกว่าครึ่ง แพลตฟอร์มอาจะล่มบ้างเป็นระยะๆ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ดำเนินงานต่อไปได้ มุ่งสู่ทิศทางใหม่ที่ Musk ต้องการให้ Twitter เป็น (สุดท้ายเปลี่ยนเป็น X)

มันเป็นแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจว่าบางสิ่งที่ Elon Musk ทำนั้นมันก็ได้พิสูจน์ว่ามัน Work และถึงขั้นที่ว่าเหล่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายๆ แห่งต้องทำตามโดยเฉพาะนโยบายในการลดคน

Mark Zuckerberg คู่รักคู่แค้นของ Musk เองยังออกมากล่าวชมในเรื่องการรีดประสิทธิภาพขององค์กร ด้วยแนวทางแบบ Musk ซึ่งถึงแม้มันจะโหดเหี้ยม แต่มันเป็นการรีดประสิทธิภาพองค์กรได้อย่างสูงสุด และเขาก็พยายามทำตามกับ Meta เช่นเดียวกันด้วยการปลดพนักงานล็อตใหญ่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน

สุดท้ายเราก็ไม่มีทางรู้ว่า Elon Musk นั้นเป็นอัจฉริยะหรือคนบ้าที่ทำสิ่งเหล่านี้กับ Twitter ซึ่งกาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอีกหนึ่งธุรกิจของ Musk มันจะประสบความสำเร็จเหมือนที่เขาเคยทำกับธุรกิจอื่นๆ มาแล้วได้หรือไม่นั่นเองครับผม


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube