Cyberwar ตอนที่ 7 : Social Bias

รัสเซียอาจจะไม่ใช่ชาติแรกที่ทำการติดอาวุธให้กับข้อมูล พวกเขาไม่ใช่ประเทศแรก ๆ ที่เปลี่ยนโซเชียลมีเดียสมัยใหม่ ให้กลายเป็นแพล็ตฟอร์มโฆษณาชวนเชื่อ แต่หน่วยข่าวกรองของรัสเซียนั้นได้หลอมรวมเอาเทคนิคของพวกเขาเข้ากับมรดกทางการเมืองเกือบศตวรรษจาก KGB และทำให้มันมีประสิทธิภาพสูงสุด

เป้าหมายของรัสเซีย คือการควบคุมพลังการเข้าถึงส่วนบุคคลอย่ารวดเร็วที่โซเชียลมีเดียสามารถทำได้ และทำทุกวิถีทางที่แม้กระทั่งประชากรที่เป็นประเทศของศัตรู ยังหันมาต่อต้านรัฐบาลของพวกเขาเองได้

ต้องบอกว่า การสำรวจความคิดเห็น การรายงานข่าว การพูดคุยบนท้องถนน ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถที่จะเปลี่ยนได้ โดยการเปลี่ยนการรับรู้ของประชาชน โซเชียลมีเดียไม่เพียง แต่เป็นอาวุธในการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้โจมตี สามารถเข้าครอบงำจิตใจของคนในชาตินั้น ๆ ได้อีกด้วย

“โทรลล์” คือบุคคลที่เข้าร่วมในการสนทนา โดยมีเจตนาร้าย การโทรลล์ทางอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ช่วงยุคเริ่มต้นของการเริ่มแพร่ของอินเทอร์เน็ต

ชีวิตของพวก มนุษย์โทรลล์ คือ การเอาแต่ใจ ล่วงล้ำ และมีความกล้าหาญ นอกจากนี้ยังออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้คุณทำกิจกรรมแบบปกติ ๆ บนเว็บได้

การใช้โทรลล์ในมาตรการปฏิบัติการสมัยใหม่คล้ายกับการใช้ตัวยั่วยุ ตัวแทนที่เป็นมนุษย์ในช่วงก่อนยุคบอลเชวิค เพื่อปลุกระดมให้เกิดการจราจล ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฏหมายเพื่อต้อต้านการปฏิวัติ

สำนักงานใหญ่ของกิจกรรมโทรลล์ระดับโลกภายใต้การควบคุมของปูติน คือ สำนักวิจัยทางอินเทอร์เน็ตแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (RF-IRA) ซึ่งเดิมตั้งอยู่ในเมือง เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

โดยสำนักงานใหญ่ของ RF-IRA ถือได้ว่าเป็นโรงงานโทรลล์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ดำเนินการในรัสเซียเพื่อกระตุ้นให้เกิดความวุ่นวายในสหรัฐอเมริกา และอยู่ภายใต้การบริหารของ พริโกซิน ผู้ภักดีของปูติน ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการด้านพลเรือนในพื้นที่สีดำ และ สีเทา ซึ่งทำงานโดยตรงให้กับเครมลิน

ที่ RF-IRA จะมีแผนกสำคัญที่มีชื่อว่า “แผนกอเมริกา” ซึ่งมีรายงานว่าเริ่มต้นด้วยพนักงานประจำ 80-90 คน และมีการขยายไปอีกหลายร้อยคนในภายหลัง ซึ่งกลุ่มนี้นี่เองที่จะทำการผลิตข่าวปลอม และ โฆษณาชวนเชื่อหลายพันรายการต่อสัปดาห์

หน่วยผลิตข่าวปลอม และ โฆษณาชวนเชื่อหลายพันรายการต่อสัปดาห์ (CR:War on the rocks)
หน่วยผลิตข่าวปลอม และ โฆษณาชวนเชื่อหลายพันรายการต่อสัปดาห์ (CR:War on the rocks)

ภายในปี 2015 พวกเขาสามารถสร้างยอดเข้าชมข่าวปลอมได้ถึง 20-30 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ และมีการเชื่อมโยงกับบอท ที่สามารถส่งข้อความได้แบบอัตโนมัติ หลายล้านข้อความต่อชั่วโมง

ในคำฟ้องจากที่ปรึกษาพิเศษ Mueller เช่นเดียวกับภาษารัสเซียและอื่น ๆ นักข่าวได้พบเงินเดือนและโครงสร้างของสำนักงานวิจัยทางอินเทอร์เน็ต โดยผู้สร้างเนื้อหาในระดับต่ำสุดของ RF-IRA มีรายได้ 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน ส่วนหัวหน้าแผนกทำรายได้ 2,051 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งการสืบสวนของ Mueller นั้นพบว่ามีการใช้จ่ายเงินมากถึง 1,200,000 ดอลลาร์ต่อเดือนในการดำเนินงาน

มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก Alex Stamos หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ Facebook กล่าวกับสภาคองเกรสว่า RF-IRA ใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ไปกับโฆษณาทางการเมืองผ่านแพล็ตฟอร์ม facebook ระหว่างเดือนมิถุนายน 2015 ถึง เดือนพฤษภาคม ปี 2017

ซึ่งโฆษณา ทั้งทวีต และ โพสต์ Facebook เหล่านี้ เข้าถึงชาวอเมริกันมากถึง 150,000,000 คนในการเลือกตั้งในปี 2016 โดย Oxford Internet Institute ศึกษาการเลือกตั้งและพบว่าใน Twitter และ Facebook ผู้คนแชร์ข่าวปลอมเกือบเท่ากับที่พวกเขาแชร์ข่าวที่เป็นข้อเท็จจริง

ซึ่งความร้อนแรงจากประเด็นที่ RF-IRA เข้ามาแทรกแซงระหว่างการเลือกตั้งทั้งในอเมริกา ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ทำให้ บริษัทต้องเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเองใหม่เป็น “TEKA” และย้ายไปที่ตั้งบนถนน Beloostrovskaya ในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กแทน

ต้องบอกว่าเมื่อโลกเราเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 โซเชียลมีเดีย ได้กลายเป็นสื่อที่มีอิทธิพลสูงกว่าสื่อแบบเก่า ๆ อย่าง โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือ วิทยุ เสียแล้ว นักวิเคราะห์ทางการเมืองที่เข้าใจระบบสังคมสมัยใหม่จะมีความเข้าใจเพียงพอในเรื่องอิทธิพลของสื่อเหล่านี้

พื้นฐานทั้งหมดของมันคือการกระจายแบบปากต่อปาก ทั้งเครือข่ายที่มีการแบ่งปันทางสังคมอย่าง Facebook หรือ Twitter ซึ่งโลกมุสลิม ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของโซเชียลมีเดียในช่วงอาหรับสปริงในปี 2011 มาก่อนหน้านี้แล้ว

ผู้ประท้วงชาวอียิปต์ได้สร้างการชุมนุม โดยใช้แอปพลิเคชั่นอย่าง Facebook , WhatsApp และ Viber พวกเขาสตรีมวีดีโอสดของการเดินขบวน เมื่อรัฐบาลอียิปต์ปิดการออกอากาศทางโทรทัศน์ และความไม่พอใจของสาธารณชนเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้กองทัพเข้ามาแทรกแซงและกำจัดครอบครัวมูบารัคในท้ายที่สุด และเหตุการณ์ก็มาเกิดซ้ำ ๆ กันในลิเบีย ซีเรีย และ ตูนิเซีย

แต่ในโลกตะวันตกต้องใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนมากกว่า ในปี 2013 บริษัทของอังกฤษชื่อ Strategic Communications Laboratories ได้ก่อตั้ง Cambridge Analytica เพื่อทำสัญญากับพรรครีพับรีกันซึ่งท้ายที่สุดมันได้กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์

Cambridge Analytica ยังช่วยเหลือในแคมเปญ Brexit ซึ่งบริษัทได้รับเงินทุนบางส่วนจากตระกูล Mercer ที่มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมสุดโต่งเป็นอย่างมาก

ในรายการการสอบสวนของ Mueller นั้น ระบุว่า ทรัมป์ทำงานร่วมกับ Cambridge Analytica เพื่อสร้างไซโคไทป์ [ข้อมูลทางจิตวิทยา] ของมนุษย์ที่มีอยู่กว่า 5,000 ชนิด ซึ่งมันได้กลายเป็นภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ของผู้สนับสนุนที่เป็นไปได้ของทรัมป์ จากนั้น ก็จะนำภาพดังกล่าวมาใส่ใน [โปรไฟล์ทางจิตวิทยา] ทั้งหมด และด้วยเหตุนี้มันจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญอีกอย่างนึง ที่ทำให้ทรัมป์สามารถเอาชนะในเขตที่มีการแข่งขันที่สูสีได้

Cambridge Analytica กล่าวว่า พวกเขาสามารถทำนายประเภทบุคลิกภาพและความเอนเอียงทางการเมืองของแต่ละบุคคลได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยข้อมูลที่เรียกว่า OCEAN – Openness , Conscientiousness, Extentionion , Agreeableness และ Neuroticism ด้วยข้อมูลพวกนี้นี่เองที่ทำให้เขาสามารถกำหนดเป้าหมายบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่งด้วยการโฆษณาที่เหมาะสมได้

Cambridge Analytica สามารถกำหนดเป้าหมายบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่งด้วยการโฆษณาที่เหมาะสมได้ (CR:MiSciWriters)
Cambridge Analytica สามารถกำหนดเป้าหมายบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่งด้วยการโฆษณาที่เหมาะสมได้ (CR:MiSciWriters)

คำถามที่ยังไม่มีคำตอบก็คือ Cambridge Analytica มีการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มรณรงค์ของทรัมป์ กับ กลุ่มข่าวกรองรัสเซียเหรือไม่ การสืบสวนของ Mueller กำลังพยายามตรวจสอบว่า Cambridge นั้นให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ทีม RF-IRA หรือ ทรัมป์ โดยเจตนาหรือไม่

ซึ่งมันเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถที่จะกำหนดเป้าหมายไปยังผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 77,000 คน ในรัฐเพนซิลวาเนีย , มิชิแกน และ วิสคอนซิน ซึ่งส่งผลให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้สำเร็จ

และไม่เพียงแค่องค์กรใหญ่ ๆ เหล่านี้เท่านั้น ที่สามารถสร้างผลกระทบกับแนวคิดทางการเมืองของชาวอเมริกัน ในการเลือกตั้งปี 2016 การตรวจสอบของสื่อพบว่ามีชายหนุ่มที่พูดภาษาอังกฤษได้ในมาซิโดเนีย ได้สร้างข่าวปลอมจำนวนมากเพื่อหนุนทรัมป์ ซึ่งพวกเขาได้แชร์ไปยัง facebook และรับรายได้ผ่านทางระบบ Adsense ของ Google

พวกเขายังได้สร้างเว็บไซต์ สนับสนุนทรัมป์อย่าง DonaldTrumpNews.com , WorldPolititcus.com และ USADailyPolitics.com ซึ่งเต็มไปด้วยข่าวปลอมจากแหล่งข้อมูลมากมายจากทางรัสเซีย

ซึ่งชายคนนี้พบว่า การโพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับทรัมป์ซึ่งเป็นข่าวปลอมนั้น เป็นสิ่งที่ทำกำไรให้กับเขาได้มากที่สุดอีกด้วย เนื่อจากอัลกอริธึมของโซเชียลมีเดียต่าง ๆ นั้นชอบนักกับการแพร่กระจายของข่าวปลอม

ต้องบอกว่าแรงจูงใจในการสร้างข่าวปลอมมีตั้งแต่ความปรารถนาส่วนตัวที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจผิดด้วยเหตุผลทางด้านการเมือง ไปจนถึงความต้องการเงินจากรายได้โฆษณาที่เกิดจากการคลิกโฆษณา

ในเว็บตัวอย่างเช่น เว็บที่มีลักษณะ click bait ซึ่งหมายถึงเว็บที่มีเนื้อหาที่ผลิตขึ้นเพื่อให้ผู้ชมคลิกลิงก์ เพื่อ อ่านเพิ่มเติม เนื้อหาอาจจะเป็นจริงแค่บางส่วน และทำให้เข้าใจผิด หรือเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาทั้งหมด

ซึ่งรายได้จากโฆษณานั้น สามารถสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์ให้กับเจ้าของเว็บไซต์ที่สร้างข่าว หรือ รวบรวมข่าวปลอมเหล่านี้ ซึ่งพวกเขาอาจจะมีการซื้อโฆษณาใน Facebook เพื่อดึงดูดผู้ชมที่มีความเอนเอียงทางการเมืองมาที่เนื้อหา โฆษณาข่าวปลอมสามารถสร้างยอดวิวบน Facebook ได้มากมาย ด้วยเงินเพียงแค่ 33 ดอลลาร์ โฆษณาเดียว สามารถเข้าถึงผู้ใช้ Facebook ได้ถึง 60,000 คนต่อวัน

และในแง่ของโลกโซเชียลมีเดีย “บอท” นั้นหมายถึงการใช้ซอฟท์แวร์ที่โพสต์ หรือ รีโพสต์ และ โต้ตอบเช่นเดียวกับผู้ใช้ที่เป็นมนุษย์จริง ๆ

ซึ่งในสงครามโฆษณาชวนเชื่อ บอท เหล่านี้เป็นอาวุธที่สำคัญ ที่ออกแบบมาเพื่อกระจายการโฆษณาชวนเชื่อ พวกมันเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของสงครามที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก บอทเป็นพาหนะของการจัดการกับการรับรู้ของผู้คน มันเปรียบเหมือนแมลงสาบของการโฆษณาชวนเชื่อทางคอมพิวเตอร์

และด้วยการใช้เทคโนโลยีในการปรับใช้บอทในยุคปัจจุบัน มันได้สร้างอิทธิพลต่อกลุ่มผู้ชมเป้าหมาย มันเป็นตัวเร่งที่สำคัญในการกระจายข้อมูลผิด ๆ เหล่านี้ในสงครามยุคใหม่ แน่นอนว่า หากย้อนไปในยุคที่ สตาลิน หรือ ฮิตเลอร์ ยังมีอำนาจ หากพวกเขามีอาวุธทีทรงพลังเฉกเช่นเดียวกับพวกบอทเหล่านี้ เราอาจจะยังได้เห็นโลกของเราถูกปกครองด้วยกลุ่มพวกเขามาจวบจนถึงปัจจุบันก็เป็นได้ครับ

–> อ่านตอนที่ 8 : The Hashtag War

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ