เมื่อ VC เข็ดขยาดวงการ Crypto ทำให้เม็ดเงินอัดฉีดเข้าลงทุนในวงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

Founder Fund ของ Peter Thiel , Vision Fund ของ Softbank เรียกได้ว่าคงเข็ดกับการลงทุนใน crypto ไปไม่ใช่น้อยนะครับ เมื่อสถานการณ์ในตอนนี้พวกเขาเริ่มที่จะดึงเงินกลับจากการลงทุนในวงการ crypto จากที่มันเคยเป็นกระแส Buzzword ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ย้อนไปเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว Peter Thiel ปรากฎตัวที่งาน Bicoin 2022 ในไมอามีบีช เขาเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความรวดเร็ว ด้วยความศรัทธาปลอม ๆ ใน Bitcoin เขาได้หยิบธนบัตรมูลค่า 100 ดอลลาร์ ออกมาปึกหนึ่ง

“มันแปลกจริง ๆ นี่คืออะไร?” Thiel ถามกับฝูงชนพลางโบกมือไปมา

“มันแทบจะไร้ค่ามากกว่ากระดาษชำระ เพราะมันเป็นเงินเฟียตที่เส็งเคร็ง”

จากนั้นเขาก็ขยำธนบัตรเป็นก้อนกลม ๆ โยนเข้าไปในฝูงชน และเยอะเย้ยใครก็ตามที่หยิบมันขึ้นมา “ผมคิดว่าพวกคุณควรจะเป็น Bitcoin Maximalists (คนที่มีความเชื่อมั่นเหนือ Bitcoin และไม่ยอมรับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ)”

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ Thiel จะมีทัศนคติเช่นนั้น เพราะก่อนหน้านั้นในเดือนตุลาคม 2021 ตัวเขาเองได้ทุ่มเงินอย่างบ้าคลั่งในแวดวงของ crypto

Founders Fund ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Thiel ได้ทำการเทขายก่อนที่ตลาด crypto จะพัง Founders Fund ได้ดึงเงินออกจากพอร์ดโฟลิโอ crypto ทั้งหมดภายในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2022

ฝั่ง Masayoshi Son แห่ง Softbank ก็รู้สึกสยดสยองไม่แพ้กันกับการลงทุนในวงการ crypto รายงาน ผลประกอบการรายไตรมาสที่น่าสยอง ซึ่งรวมถึงการขาดทุน 5.9 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท และการลงทุนใน startup ที่ลดลงกว่า 90% เมื่อรวมกับมูลค่าตลาด crypto ที่ลดลงได้ทำลายความคาดหวังของผลตอบแทนที่สูงในวงการนี้อย่างหมดสิ้น

บริษัทไม่ได้ลงทุนสาธารณะในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ crypto เลยตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2022 เมื่อ Vision Fund 2 ของบริษัทร่วมเป็นผู้นำในการระดมทุน 66 ล้านดอลลาร์สำหรับ InfStones ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน 

Vision Fund 2 ซึ่งเป็นบริษัทที่มีพอร์ตโฟลิโอในวงการ crypto และบล็อกเชนส่วนใหญ่ของ SoftBank ได้สูญเสียไปราวๆ 16.7 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ก่อตั้งในเดือน มิถุนายน 2019 ด้วยเงินลงทุน 49.9 พันล้านดอลลาร์ บริษัทได้สูญเสียเงิน 34.5 พันล้านดอลลาร์จาก Vision Funds

ธุรกิจบางแห่งที่เคยระดมทุนจาก SoftBank ได้หันไปหาแหล่งอื่น Candy Digital ซึ่งเป็นเจ้าของคอลเลกชัน NFT อย่างเป็นทางการของเมเจอร์ลีกเบสบอล ระดมทุนได้ 100 ล้านดอลลาร์จาก SoftBank ในรอบการระดมทุนซีรีส์ A ในเดือนตุลาคม 2021 ซึ่งบริษัทระบุว่าประเมินมูลค่าไว้ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์ 

แต่รอบการลงทุนใหม่ในเดือนมกราคมสามารถระดมทุนได้เพียง 38.4 ล้านดอลลาร์จากบริษัทร่วมทุนสามแห่ง ได้แก่ Galaxy Digital, 10T Holdings และ ConsenSys และ Softbank ก็ไม่ได้เข้าร่วมลงทุนเพิ่มในรอบนี้แต่อย่างใด

เมื่อมองถึงสถานการณ์ในบริษัทร่วมทุนอื่น ๆ กับสตาร์ทอัพด้าน crypto ซึ่งมีมูลค่าลดลงเหลือเพียง 548 ล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว ลดลงอย่างมากจาก 6 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2022 ซึ่งจำนวนธุรกรรมลดลงเหลือ 62 จาก 166 รายการ และข้อตกลงส่วนใหญ่ในปี 2023 เป็นของบริษัทขนาดเล็กที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นเพียงเท่านั้น

ก็ต้องบอกว่ามันมองเห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนเมื่อ VC เริ่มเข็ดขยาดกับการลงทุนในแวดวงนี้ คงส่งผลกระทบกับวงการไม่ใช่น้อย ซึ่งสาเหตุสำคัญก็คงมาจากการล่มสลายของ FTX ซึ่งสถานการณ์คงยังไม่ดีขึ้นหากไม่หาวิธีกำจัด หรือกำกับดูแลเหล่ายอดอัจฉริยะในคราบของโจรให้หมดสิ้นไปนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/digital-assets/2023/02/23/softbank-puts-blockchain-investments-on-ice-as-part-of-startup-pullback
https://www.coindesk.com/business/2023/02/02/crypto-winter-led-to-91-plunge-in-vc-and-other-investments-for-january/
https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2023-01-24/peter-thiel-is-not-a-crypto-true-believer

Peter Thiel จอมปลิ้นปล้อนตัวจริงแห่งวงการ crypto

ย้อนไปเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว Peter Thiel ปรากฎตัวที่งาน Bicoin 2022 ในไมอามีบีช เขาเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความรวดเร็ว ด้วยความศรัทธาปลอม ๆ ใน Bitcoin เขาได้หยิบธนบัตรมูลค่า 100 ดอลลาร์ ออกมาปึกหนึ่ง

“มันแปลกจริง ๆ นี่คืออะไร?” Thiel ถามกับฝูงชนพลางโบกมือไปมา

“มันแทบจะไร้ค่ามากกว่ากระดาษชำระ เพราะมันเป็นเงินเฟียตที่เส็งเคร็ง”

จากนั้นเขาก็ขยำธนบัตรเป็นก้อนกลม ๆ โยนเข้าไปในฝูงชน และเยอะเย้ยใครก็ตามที่หยิบมันขึ้นมา “ผมคิดว่าพวกคุณควรจะเป็น Bitcoin Maximalists (คนที่มีความเชื่อมั่นเหนือ Bitcoin และไม่ยอมรับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ)”

หัวใจสำคัญของการคุยโม้โอ้อวดของ Thiel ในวันนั้นคือ กลุ่มศัตรู ของผู้ที่เขามองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจสูงสุดของ Bitcoin

ศัตรูหมายเลข 1 : Warren Buffet ส่วนศัตรหมายเลข 2 และ 3 คือ Jamie Dimon ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JPMorgan Chase และ Larry Fink CEO ของ BlackRock ชายทั้งสามคิดเหมือน ๆ กัน ที่ไม่ได้ลงเงินใน Bitcoin ซึ่งในเวลานั้นมีมูลค่าประมาณ 43,000 ดอลลาร์ แต่ Thiel กล่าวว่าในท้ายที่สุดแล้วมูลค่ามันจะพุ่งขึ้นไป 10 ถึง 100 เท่า

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ Thiel จะมีทัศนคติเช่นนั้น เพราะก่อนหน้านั้นในเดือนตุลาคม 2021 ตัวเขาเองได้ทุ่มเงินอย่างบ้าคลั่งในแวดวงของ Bitcoin

Founders Fund ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Thiel ได้ทำการเทขายเพื่อทำกำไรก่อนที่ตลาด crypto จะพัง Founders Fund ได้ดึงเงินออกจากพอร์ดโฟลิโอ crypto ทั้งหมดภายในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2022

ซึ่ง Thiel ควรที่จะระบุว่าตัวเองคือ ศัตรูหมายเลขหนึ่งในวงการนี้เช่นเดียวกัน

เหล่าบริษัท crypto ที่ถูก Thiel เท นั้น รวมถึงแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนอย่าง FTX และ BlockFi ซึ่งล้วนเป็นบริการที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก Thiel

FTX และ BlockFi ซึ่งล้วนเป็นบริการที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก Thiel  (CR:Forbes)
FTX และ BlockFi ซึ่งล้วนเป็นบริการที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก Thiel (CR:Forbes)

Thiel ได้พยายามโน้มน้าวให้ผู้คนถอนเงินออกบัญชีออมทรัพย์ของพวกเขาแล้วนำไปใส่ใน crypto แทน แต่อย่างที่เราทราบกัน ตอนนี้ ทั้ง FTX และ BlockFi ถึงคราล่มสลาย

Thiel เองเกือบจะสูญเสียเงินจากการล่มสลายของวงการ crypto ครั้งนี้เช่นเดียวกัน แต่การไหวตัวทันในเวลาที่เหมาะสม Founders Fund ได้เงินคืนมา 13,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา

ต้องบอกว่า Thiel เองนั้นเป็นคนที่สร้างตัวตนขึ้นมาด้วยความเจ้าเล่ห์ทางการเงิน ซึ่งจุดยืนหรืออุดมการณ์ของเขานั้นแทบจะตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ทางการเงินที่เขาได้รับมา

เขาลาออกจาก Paypal หลังจากขายบริษัทให้ eBay ส่วนหนึ่งเพราะเขาต้องการเดิมพันกับ eBay ในตลาดหุ้น เขาก่อตั้ง Palantir ซึ่งรับเหมางานจากรัฐ แม้ว่าเขาจะเป็นนักเสรีนิยมที่ต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ยอมใครง่าย ๆ และเขาสนับสนุนผู้รักชาติ “อเมริกาต้องมาก่อน” ในขณะที่เขาพยายามที่จะซื้อสัญชาติในประเทศอื่นก็ตาม

Thiel ไม่ใช่คนเดียวที่มีลักษณะนิสัยดังกล่าวนี้ คำทำนาย Bitcoin 100 เท่าเกือบจะเหมือนกับคำทำนายของสองพี่น้อง Winklevoss ที่พยายามส่งเสริมการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลให้กับเหล่านักลงทุนรายย่อย

Marc Andreessen และบริษัทร่วมทุนของเขา Andreessen Horowitz ใช้เวลาหลายปีในการปั้นภาพลักษณ์ของ web3 ขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็ขายเหล่า token ขยะที่มีมูลค่าลดลงไปเรื่อย ๆ ทิ้งอย่างไม่ใยดี

ต้องบอกว่า crypto เองเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเพ้อฝันของนักลงทุนรายย่อยเพื่อสร้างมูลค่าที่ไม่มีอยู่จริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มันเริ่มขึ้นไม่นานหลังจากที่ Thiel ได้กล่าวคำปราศรัยที่ทรงพลังในไมอามี

การล้มละลายของ FTX , Genesis , BlockFi … ได้แสดงให้เห็นว่าอุดมการณ์ที่หลอกลวงโดยเหล่านักลงทุน crypto เช่น Thiel นั้นมันไร้สาระเพียงใด

เพราะฉะนั้นจงอย่าเชื่อคำลวงของคนพวกนี้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งของ Pether Thiel การกระจายอำนาจผ่าน web3 ของ Marc Andreessen หรือ พ่อนักบุญอย่าง Sam Bankman-Fried

เพราะสุดท้ายแล้วนั้นกลุ่มคนพวกนี้เพียงแค่ขายขยะ Token ให้กับคุณ และทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่คุณศรัทธาพวกเขาอยู่เสมอนั่นเองครับผม

References :
https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2023-01-24/peter-thiel-is-not-a-crypto-true-believer
https://www.youtube.com/watch?v=ko6K82pXcPA
https://coinmercury.com/th/all-you-need-to-know-about-bitcoin-maximalist/
https://www.semafor.com/article/11/16/2022/andreessen-passed-on-ftx-while-venture-firms-early-crypto-investors-are-up

ศึกตามล่าหาขุมทรัพย์ที่สูญหายไปของ FTX

วันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา Sam Bankman-Fried ปรากฏตัวขึ้นต่อสาธารณชนในสหรัฐอเมริกา เขายื่นคำร้องต่อ กระบวนการล้มละลายของ FTX โดยเรียกร้องขอเงิน 500 ล้านดอลลาร์ในทรัพย์สินของเขาที่ถูกอายัดไว้ 

Bankman-Fried ต้องการเงินเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมทางกฎหมายสำหรับการพิจารณาคดีทางอาญาของเขา ซึ่งเขาถูกกล่าวหาว่าขโมยเงินฝากของลูกค้าหลายพันล้านดอลลาร์จากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตของเขาเองเพื่อมาใช้ส่วนตัว

ความต้องการ Bankman-Fried คือเพื่อหาทุนในการต่อสู้ทางกฎหมายที่คาดว่าจะยาวนาน กฎหมายล้มละลายของอเมริกามีวิวัฒนาการมาหลายศตวรรษเพื่อแยกธุรกิจปกติออกจากกัน ตอนนี้นักกฎหมายต้องหาวิธีนำมันไปใช้กับบริษัทคริปโต 

ในเดือนพฤศจิกายน 2022 FTX ยื่นฟ้องล้มละลายภายใต้ Chapter 11 ซึ่งอนุญาตให้บริษัทที่ล้มละลายสามารถจัดตั้งบริษัทใหม่แทนที่จะเลิกกิจการ กระบวนการนี้มักจะมีลักษณะเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างบริษัทกับเจ้าหนี้ 

FTX เองพยายามโน้มน้าวให้เจ้าหนี้ยอมรับส่วนแบ่งในธุรกิจมากกว่าเงินสด หากประสบความสำเร็จและมีแผนการเติบโตใหม่ที่สดใส แต่ถ้าไม่สำเร็จก็อาจจะต้องปิดกิจการถาวร 

การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่อาจมีเจ้าหนี้เป็น 100 ราย แต่สิ่งที่มีความซับซ้อนเหล่านี้ใช้เวลาอย่างน้อยอีกหลายปีเมื่อพิจารณาจากจำนวนนักลงทุนและผู้ฝากเงิน

FTX มีเจ้าหนี้กว่าล้านราย ทำให้ตามมาตรการนี้มันได้กลายเป็นซากองค์กรธุรกิจที่น่าเกลียดที่สุดที่โลกเราเคยประสบพบเจอมา การล่มสลายของอาณาจักร Bankman-Fried ทำให้ 134 ธุรกิจต้องล้มละลาย ซึ่งอยู่ใน 27 เขตอำนาจศาล มีตั้งแต่  FTX Zuma แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนในชนบทของไนจีเรีย ไปจนถึง Good Luck Games ผู้พัฒนาการ์ดเกมออนไลน์ 

การดำเนินคดีอาจใช้เวลานานนับสิบปี และอาจนำไปสู่การกล่าวหาว่ากระทำผิดมากขึ้น ขณะที่เขาจัดการเรื่องยุ่งเหยิง John J. Ray III ผู้ที่เข้ามาสืบทอดตำแหน่งใน FTX ของ Bankman-Fried ได้กลายเป็นผู้สืบสวนของรัฐบาลกลางโดยพฤตินัย 

John J. Ray ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ FTX (CR:CNBC)
John J. Ray ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ FTX (CR:CNBC)

สำหรับหลาย ๆ คน สิ่งที่ดึงดูดใจในการจัดเก็บความมั่งคั่งด้วยวิธีนี้คือความยากในการตรวจสอบ การยื่นคำร้องต้องมีการตรวจสอบโค้ดมากมายหลายล้านบรรทัด ดังนั้นเหล่าเจ้าหนี้จึงต้องตัดสินใจว่าความต้องการความเป็นส่วนตัวของพวกเขาอาจจะต้องสูญเสียไป 

นักลงทุนซึ่งรวมถึงผู้ให้ทุนที่โด่งดังที่สุดของบริษัทด้านเทคโนโลยีบางส่วนก็ลังเลที่จะเข้าร่วม เพราะไม่อยากให้มีการตรวจสอบเรื่องเส้นทางการเงินที่อาจจะมีอะไรหมกเม็ดอยู่

มีการปกปิดเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของ FTX 50 ราย Ray พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาทรัพย์สิน สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับบัญชีที่เขาเรียกว่าเป็นบันทึกทางบัญชีที่แย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา 

FTX ไม่ได้จดบันทึกจำนวนเงินที่ลูกค้าฝากด้วยซ้ำ Alameda บริษัทในเครือสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ จนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน ทนายความคิดว่าอย่างน้อยก็มีเงินกู้จากภายนอกน้อยมาก 

ไม่นานหลังจากนั้น BlockFi ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนที่ล้มละลายอีกแห่งหนึ่ง เรียกร้องเงิน 500 ล้านดอลลาร์ในหุ้นที่ FTX ถืออยู่ใน Robinhood ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้น โดยยืนยันว่า FTX ได้วางหุ้นเหล่านี้ไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืม

Ray รวบรวมทรัพย์สินได้เพียงไม่กี่พันล้านดอลลาร์ และการค้นหาทรัพย์สินเป็นเพียงการต่อสู้เพียงครึ่งเดียว การได้มาซึ่งทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ เนื่องจากความซับซ้อนซ่อนเงื่อนในแวดวงคริปโต 

ในช่วงแรก เจ้าหน้าที่ของอเมริกาและบาฮามาสใช้เวลาหลายเดือนในการสอดแนมซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะตกลงนำโทเค็นมูลค่าอย่างน้อย 3.5 พันล้านดอลลาร์เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของอเมริกา 

Ray ยังตามล่าเงินบริจาคของ FTX ที่ Bankman-Fried มอบให้กับนักการเมืองและองค์กรการกุศลหลายแห่งที่หวังผลประโยชน์จากเขา

สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหาในแวดวงคริปโตซึ่งมีมาประมาณ 15 ปีแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจกับสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ทำให้โจรเข้ามาครอบงำวงการนี้เต็มไปหมด 

การแลกเปลี่ยนโทเค็นจะถูกบันทึกในบัญชีแยกประเภทโดยซอฟต์แวร์บนบล็อกเชนซึ่งแทบไม่มีใครควบคุม สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับกฎหมายทรัพย์สินซึ่งถือว่าผู้คนเป็นเจ้าของสิ่งของเพราะกฎหมายระบุว่าพวกเขาทำหรือมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในมือ 

แตกต่างจากหุ้นที่มีใบรับรองความเป็นเจ้าของ ในทางตรงกันข้าม กฎหมายไม่ได้บังคับใช้บัญชีแยกประเภทของคริปโตและการบันทึกบางอย่างบน blockchain นั้นมันไม่ได้ทำให้เกิดเหรียญจริง ๆ ที่เป็นรูปธรรมออกมา

เมื่อแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนดำเนินกิจการซื้อขาย ลูกค้าจะได้รับการคุ้มครองโดย Uniform Commercial Code ซึ่งเป็นกฎหมายที่ควบคุมการทำธุรกรรมทางการค้าในอเมริกา 

ข้อกำหนดการใช้งานของ FTX ไม่สนใจกฎหมายนี้อย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 4 มกราคม มีเคสที่ผู้พิพากษาการล้มละลายของบริษัทคริปโตอีกแห่งได้ตัดสินว่าลูกค้าบางรายจะไม่มีสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในเงินฝากของพวกเขา แน่นอนว่าลูกค้า FTX อาจต้องรอหลายปีเพื่อรอดูว่าพวกเขาจะได้รับอะไรหากมีการตกลงกันได้ในท้ายที่สุด

ผู้ฝากเงินต้องเผชิญกับความเสี่ยงขั้นสูงสุด มูลค่าที่กู้คืนมาได้ของ FTX ส่วนใหญ่น่าจะเป็นโทเค็น ซึ่งเหล่านักกฎหมายและนักการเมืองไม่เห็นด้วยว่ามันเป็นสกุลเงิน เนื่องจากเงินต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล 

สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่าจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนของวันใดหากต้องการแปลงออกมาเป็นสกุลเงินดอลลาร์จริง ๆ ซึ่งสินทรัพย์ของ FTX ถือครองโทเค็นจำนวนมากซึ่งอาจทำให้มูลค่ามันลดลงเหลือศูนย์ และการที่จะแปลงเป็นเงินสดออกจากโทเค็นก็แทบไม่มีใครต้องการ

เมื่อวันที่ 5 มกราคม หน่วยงานกำกับดูแลของอเมริกาเข้าแทรกแซงเพื่อขัดขวางข้อตกลงที่จะได้เห็น Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกเข้าซื้อสินทรัพย์มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์จาก Voyager ซึ่งเป็นบริษัทที่ล้มละลายอีกแห่ง 

ดูเหมือนความวุ่นวายในการทวงคืนเงินจาก FTX นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยความซับซ้อนทางด้านกฎหมายและเรื่องผลประโยชน์ทางด้านการเมือง และจะเป็นมหากาพย์เรื่องราวการล่มสลายครั้งใหญ่ที่สุดของวงการธุรกิจไปอีกนานเลยทีเดียวนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/01/10/the-hunt-for-ftxs-missing-riches
https://www.latimes.com/business/story/2022-11-21/column-how-sam-bankman-fried-exploited-the-fad-of-effective-altruism-to-get-rich-and-con-the-world

Long live apps เมื่อยุคทองของการสร้างแอปได้จบสิ้นลงแล้ว

คุณดาวน์โหลดแอปใหม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? เป็นคำถามที่หลายคนน่าจะเจอประสบการณ์ที่คล้าย ๆ กันที่ว่า ตอนนี้เราแทบจะไม่ดาวน์โหลดแอปใหม่ ๆ กันแล้ว การแจ้งเกิดของแอปใหม่ ๆ ที่มีให้รกเครื่องนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก ๆ

ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีทั้งคลาวด์ และ การเขียนโค้ดที่ง่ายขึ้นมากอย่าง no-code นั้นทำให้กำแพงในการสร้างแอปที่เมื่อก่อนต้องลงทุนสูง และใช้ทักษะที่ค่อนข้างสูง กลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน

นั่นทำให้เกิดฟองสบู่ของแอปอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้ แม้ใน App Store หรือ Play Store จะมีแอปมากมายให้เราเลือกสรรค์ แต่มีเพียงแอปแค่หยิบมือเท่านั้นที่ถูกดาวน์โหลดไปใช้งานจริง ส่วนใหญ่จะเป็นขยะเสียมากกว่า

ในเวลาไม่ถึงทศวรรษ เราเปลี่ยนจากพฤติกรรมการอยากมีแอปสำหรับทุก ๆ สิ่ง แต่ตอนนี้เรียกได้ว่าแม้จะมีแอปเกิดขึ้นมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่แอปที่ทำในสิ่งที่เราต้องการได้

นั่นทำให้ไม่แปลกใจที่ตอนนี้แนวคิดของ Super App ที่ถูกคิดค้นโดยประเทศจีนนั้นจะกลายเป็นที่นิยม หลาย ๆ แพลตฟอร์มอยากก้าวขึ้นเป็น Super App ในภูมิภาคของตนเอง

Wechat จากจีนเองที่ถือเป็นต้นแบบสำคัญ ช่วยผู้ใช้ไม่เพียงแค่การแชทเท่านั้น แต่ยังซื้อของ จ่ายบิล และเข้าถึงบริการของรัฐได้มากมาย ด้วยความสะดวกสบาย

เราได้เห็นบริการอย่าง Grab , Line หรือแม้กระทั่งน้องใหม่ในประเทศไทยอย่าง Robinhood ที่ต้องการที่จะเข้าไปยังเป้าหมายเดียวกันนี้

ในโลกตะวันตกแม้จะไม่เป็นที่ยอมรับในเรื่องนี้มากนัก แต่ไอเดียที่ถูกเปิดขึ้นโดย Elon Musk ที่ได้ทำการเข้าซื้อ Twitter เพื่อก้าวข้ามความเป็นแพลตฟอร์มโซเชียล เพื่อให้เป็น Super App แห่งแรกของโลกตะวันตก และดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีศักยภาพสูงเช่นเดียวกันที่จะไปถึงจุดนั้น

อีกแนวคิดที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นกับ Web3 ที่เชื่อว่าระบบนิเวศของแอปแบบกระจายศูนย์ และโลกนี้จะให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมากขึ้น และพยายามทำลายอิทธิพลที่มากล้นของบริษัท Big Tech ที่ครอบงำตลาดแอปอยู่ในปัจจุบัน

Web 1.0 คืออินเทอร์เน็ตของศตวรรษ 1990 ไม่ว่าจะเป็น Search Engine หรือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่จะอยู่เฉพาะในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเดสก์ท็อป ส่วน Web 2.0 คืออินเทอร์เน็ตที่เรารู้จักในปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น การสตรีมวีดีโอและเพลง ซึ่งมันเติบโตบนอุปกรณ์พกพา

Web 3.0 ได้รับการเปิดเผยครั้งแรกในปี 2006 จาก The New York Times ที่เขียนเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตในยุคที่ 3 ซึ่งจะเป็นยุคที่เว็บของข้อมูลสามารถประมวลผลได้ด้วยเทคโนโลยี AI , Machine Learning , Data Mining ตัวอย่างเช่น อัลกอริธึมจะช่วยตัดสินใจและแนะนำว่าใครควรซื้ออะไรใน Amazon นั่นคือภาพรวมของ Web 3.0

นอกจากฟีเจอร์เหล่านี้แล้วก็มีแนวคิดที่ว่าควรจะรวมเอาเครือข่ายแบบ Peer-to-peer ที่ไม่มีเซิร์ฟเวอร์และไม่มีตัวกลางในการจัดการของการไหลของข้อมูล ซึ่ง Ethereum จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับวิสัยทัศน์ของ Web 3.0

Web 3 จึงได้กลายเป็นแนวคิดคร่าวๆ ว่าเว็บควรรวมแอปพลิเคชั่น smart contract และโทเค็นต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งรวมถึง metaverse ที่เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังกลายเป็นกระแสในขณะนี้

Web 3 และ metaverse มีความหมายเหมือนกันในเชิงโครงสร้าง ซึ่งแกนหลักของทั้งสองเทคโนโลยีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างอินเทอร์เฟซและระบบที่ใช้สินทรัพย์ blockchain  ซึ่งรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น การมีเนื้อหาในเกมแบบ NFT ที่ใช้งานได้ในเกมต่างๆ หรือโทเค็นที่ปลดล็อกบริการต่าง ๆ

และนี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ Facebook รีแบรนด์ตัวเองเป็น Meta และกำลังสร้างโลกของ Metaverse เช่นเดียวกัน

แน่นอนว่าหลายบริษัทโดยเฉพาะยักษ์ใหญ่เช่น Meta ที่ต้องอาศัยใน ecosystem ของคนอื่นอย่าง iOS ของ Apple หรือ Android ของ Google นั้นก็ต้องการที่จะปลดแอกตัวเองออกจากพันธนาการเหล่านี้

ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วเทคโนโลยีอย่าง Web3 อาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่จะเข้ามาลดทอนอำนาจของบริษัท Big Tech อย่าง Apple หรือ Google ในเร็ววันนี้ก็อาจจะเป็นไปได้นั่นเองครับผม

Image References : https://thenextweb.com/news/apps-are-dead-long-live-apps

Binance x FIFA กับจุดตัดสำคัญขององค์กรที่คิดว่าตัวเองมีความอิสระไร้ซึ่งการตรวจสอบ

กลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้งสำหรับแพล็ตฟอร์มการแลกเปลี่ยนคริปโตอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Binance ที่ กำลังเจอมรสุมรุมเร้าอย่างหนักอึ้ง

ไม่ว่าจะเป็นประเด็น Proof of Reserve ที่มีการตั้งข้อสงสัยจากการตรวจสอบบัญชีโดย Mazars มีการถูก FUD ข่าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินไหลออกจากแพล็ตฟอร์มจำนวนมหาศาลสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนทั่วโลก

แต่ข่าวที่น่าสนใจที่สุดสำหรับประเด็นร้อนในตอนนี้ผมว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องข่าวที่สื่อใหญ่อย่าง Coindesk และ Reuters ลงข่าวว่า Binance และเหล่าผู้บริหารรวมถึงผู้ก่อตั้งอย่าง Changpeng Zhao (CZ) ที่อาจจะถูกจับกุมและถูกปรับในข้อหาฟอกเงิน

แล้วทำไมมันถึงน่าสนใจ ต้องบอกว่ามันมีหลายเคสที่เคยเกิดขึ้น ที่หน่วยงานยุติธรรมสหรัฐฯ เคยจัดการองค์กรที่ตั้งตัวเองเป็นอิสระ ที่คิดว่าไม่มีใครสามารถเข้าไปแทรกแซงได้อย่าง FIFA ก็ยังเคยโดนเล่นงานโดย FBI บุกจับเหล่าผู้บริหารในนประเทศสวิตเซอร์แลนด์มาก่อนหน้านี้แล้ว

ประเด็นคือทำไมองค์กรที่เหมือนมีอำนาจล้นฟ้าอย่าง FIFA และแทบจะไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานใด ๆ ในโลก ต้องถูกจับกุมล็อตใหญ่กลายเป็นประเด็นที่ฉาวโฉ่ไปทั่วโลก

เพราะประเด็นสำคัญที่หน่วยงานยุติธรรมสหรัฐฯ ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวเพราะมันเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินนั่นเอง ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสหรัฐอเมริกา เพราะประธานสมาพันธ์ฟุตบอลของสหรัฐอเมริกาอย่าง Chuck Blazer มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว

ประธานสมาพันธ์ฟุตบอลของสหรัฐอเมริกาอย่าง Chuck Blazer มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว (CR:The Mirror)
ประธานสมาพันธ์ฟุตบอลของสหรัฐอเมริกาอย่าง Chuck Blazer มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว (CR:The Mirror)

การสืบสวนสอบสวนในเชิงลับ มีมาก่อนหน้าหลายปี ก่อนที่จะมีการจับกุมกันจริง ๆ ในปี 2015 มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ FIFA ถูกตั้งข้อกล่าวหาหลายคน โดยเกี่ยวข้องกับการรับสินบนและการฟอกเงิน

แต่ประเด็นก็คือมันมีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จากสาเหตุที่ว่าประเทศที่มีความพร้อมเป็นอย่างมากอย่างสหรัฐอเมริกา แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับกาตาร์ในการพิจารณาคัดเลือกเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2022 ที่กำลังจัดกันอยู่ในตอนนี้

ตอนนั้นเรียกได้ว่าสหรัฐอเมริกามีความมั่นใจมาก ๆ ว่าจะได้เป็นเจ้าภาพแน่ ๆ ด้วยความพร้อมทุกอย่างทั้งเรื่องสนาม โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ระบบขนส่งมวลชนที่พร้อมมาก ๆ แต่กลายเป็นว่ากาตาร์ ประเทศที่แทบไม่มีความพร้อมใด ๆ จะจัดช่วงกลางปีเหมือนในทุก ๆ ครั้งพวกเขายังไม่สามารถทำได้เลยแต่กลับได้รับชัยชนะในการถูกคัดเลือกเป็นเจ้าภาพได้อย่างน่าประหลาดใจ

นั่นเองที่ไม่แปลกเมื่อ เริ่มมีมูลเกี่ยวกับทุจริต การฟอกเงิน และใช้สถาบันการเงินของสหรัฐในการกระทำการดังกล่าว พวกเขาก็จัดการทันทีและได้รับไฟเขียวจากทางการเมืองให้จัดการ FIFA ได้แบบช็อคชาวโลกกันเลยทีเดียว

เมื่อลองมาไล่ประเด็นที่เกิดขึ้นกับ Binance เรื่องการฟอกเงินไม่ต้องห่วง มันมีอยู่ 100% ในแพล็ตฟอร์มแลกเปลี่ยนเหล่านี้ ที่เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักธุรกิจสีเทา ไม่ต้องดูตัวอย่างไกลในไทยก็ยังมี แถมกลายเป็นคนดังเสียด้วย ใช้การฟอกเงินผ่านคริปโตเหล่านี้ กลายเป็นคนที่ใสสะอาดได้หน้าตาเฉย

แพล็ตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่กลายเป็นแหล่งฟอกเงินที่สำคัญ (CR:Reuters)
แพล็ตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่กลายเป็นแหล่งฟอกเงินที่สำคัญ (CR:Reuters)

เพราะฉะนั้นข่าวการสอบสวนที่มีรายงานจาก Reuters ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2018 ที่มุ่งเน้นไปที่ Binance ที่เกี่ยวกับกฎหมายการต่อต้านการฟอกเงิน

โดยมีการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้หลายๆ คน รวมถึงเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงอดีตที่ปรึกษาของ Binance ซึ่งน่าจะมีการขุดคุ้ยเรื่องราวภายในของ Binance อยู่เบื้องหลังมาในระยะเวลาหนึ่งแล้ว

แถมประเด็นการล่มสลายของ FTX ที่มีเรื่องการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องแบบเต็ม ๆ เนื่องจาก sam bankman-fried (SBF) นั้นบริจาคเงินมหาศาลให้นักการเมืองเพื่อพยายามล็อบบี้เรื่องของหน่วยงานกำกับดูแล

เพราะฉะนั้น สถานการณ์ตอนนี้ผมคิดว่าอยู่ที่การตัดสินใจของคนมีอำนาจของหน่วยงานยุติธรรมสหรัฐฯ เพียงเท่านั้น ว่าจะเล่นงาน Binance เมื่อไหร่ เพราะยังไงอำนาจของพวกเขาก็ไปถึงและสามารถรจัดการได้แน่นอนถ้าจะเล่นงานจริงเหมือนเคสที่เคยเกิดขึ้นกับ FIFA นั่นเองครับผม

References :
https://www.reuters.com/markets/us/us-justice-dept-is-split-over-charging-binance-crypto-world-falters-sources-2022-12-12/
https://www.theguardian.com/football/2015/may/27/several-top-fifa-officials-arrested
https://www.theguardian.com/football/2017/nov/06/fifa-scandal-fbi-new-york-trial-chuck-blazer-sepp-blatter
https://cointelegraph.com/news/binance-s-proof-of-reserves-raises-red-flags-report
https://www.technopixel.org/billion-dollar-money-laundering-alleged-about-binance/