Caroline Ellison นักคณิตศาสตร์ เทรดเดอร์ แฟนพันธุ์แท้ของ Harry Potter เข้ามามีส่วนร่วมของการล่มสลายของ FTX ได้อย่างไร

เรียกได้ว่าในวงการคริปโตตอนนี้ เส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างสุดยอดผู้ประกอบการทางด้านคริปโตกับคำว่าโจร มันแทบจะเริ่มแยกกันไม่ออกเสียแล้ว หลังจากการล่มสลายของบริษัทหรือแพล็ตฟอร์มด้านคริปโตหลายๆ แห่งทั่วโลก

จากข่าวร้อนแรงที่ผ่านมา แน่นอนว่า FTX และ Alameda เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งมันเป็นเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ถูกเสกขึ้นมาโดย Sam Bankman-Fried (SBF) และเพื่อนสุดเลิฟ Caroline Ellison โดย Bankman-Fried ได้เลือกเธอให้ช่วยเป็นผู้นำของ Alameda

เมื่อปีที่แล้ว ในช่วงเวลาหนึ่งพวกเขาทั้งคู่ได้ขี่คลื่นกระแส crypto ไปด้วยกัน ซึ่งทำให้ FTX เคยมีการประเมินมูลค่าสูงถึง 32 พันล้านดอลลาร์ถึงขั้นที่ว่า Bankman-Fried เคยถูกขนานนามว่า Next Warren Buffett มาแล้ว แต่ในเดือนนี้ทุกอย่างก็พังทลายลงภายในไม่กี่วัน

Caroline Ellison เติบโตในย่านชานเมืองบอสตัน เป็นลูกสาวของนักเศรษฐศาสตร์ MIT สองคน ตอนอายุ 5 ขวบ เธอชอบอ่านหนังสือ “Harry Potter” และเรียกได้ว่าเป็นแฟนพันธ์แท้ของนิยายเล่มนี้

เมื่อเธออายุได้ 8 ขวบ มีรายงานว่า Ellison เขียนบทความเศรษฐศาสตร์ให้พ่อของเธอวิเคราะห์ราคาตุ๊กตาสัตว์ที่ร้าน Toy R Us พ่อของเธอได้รับแรงบันดาลใจจากลูกสาว และได้เขียนหนังสือเรียนคณิตศาสตร์ขั้นสูงสำหรับเด็กที่เบื่อบทเรียนแบบพื้นฐาน

Glenn Ellison พ่อของเธอเป็นหัวหน้าแผนกเศรษฐศาสตร์ที่ Massachusetts Institute of Technology ครั้งหนึ่งเขาเคยรายงานโดยตรงต่อ Gary Gensler ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์คนปัจจุบัน Sara Fisher Ellison แม่ของ Ellison เป็นอาจารย์อาวุโสด้านเศรษฐศาสตร์ที่ MIT เช่นเดียวกัน

ความสัมพันธ์ที่มองว่าน่าจะมีผลประโยชน์ร่วมกันของเครือข่าย FTX (CR:Twitter)
ความสัมพันธ์ที่มองว่าน่าจะมีผลประโยชน์ร่วมกันของเครือข่าย FTX (CR:Twitter)

Ellison ซึ่งเข้าเรียนที่ Newton North High School มีความถนัดทางคณิตศาสตร์เป็นพิเศษ เธอจะอวดทักษะในการแข่งขันเช่น Math Prize for Girls ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น “รางวัลคณิตศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับเด็กผู้หญิง”

ในปี 2012 Ellison ลงทะเบียนเรียนที่ Stanford University ซึ่งเธอได้เข้าเรียนในสาขาวิชาคณิตศาสตร์ 

Ruth Ackerman ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ที่สอน Ellison อธิบายเกี่ยวกับเธอว่า “เป็นคนฉลาด มีสมาธิ และเก่งคณิตศาสตร์มาก”

หลังจบการศึกษาที่ Stanford Ellison ไปทำงานที่ Jane Street Capital ที่นั่น เธอได้พบกับ Bankman-Fried และทั้งสองน่าจะผูกพันกันเพราะมีความสนใจบางอย่างร่วมกัน

ในปี 2018 Bankman-Fried หรือที่รู้จักในชื่อ SBF ได้เปิดตัวบริษัทซื้อขายคริปโตชื่อ Alameda Research และชักชวนให้ Ellison เข้าร่วมทีมกับเขา 

นอกจาก Ellison แล้ว ทีมงานของ Alameda Research ยังรวมถึง Nishad Singh เพื่อนสนิทของ Bankman-Fried, Gary Wang และ Sam Trabucco พวกเขาย้ายจาก Berkeley ไปฮ่องกงในปี 2018  โดย Ellison เป็นผู้หญิงคนเดียวในทีม

หลังจากนั้น Bankman-Fried ก่อตั้ง FTX ในปี 2019 Ellison ก็เริ่มรับผิดชอบมากขึ้นที่ Alameda Research ซึ่งหลังจากการเปิดตัว FTX ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีกลายเป็นหนึ่งในแพล็ตฟอร์มการแลกเปลี่ยน crypto ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ Bankman-Fried ต้องควบเป็น CEO ของทั้งสองบริษัท

หนึ่งในกลยุทธ์การซื้อขายของ Alameda คือการเก็งกำไร การซื้อเหรียญในที่เดียวและขายที่อื่นเพื่อซื้อเพิ่มเติม ในขณะเดียวกัน FTX ก็กลายเป็นตลาดหลักสำหรับนักลงทุนรายใหญ่และรายเล็กในการซื้อและขาย crypto ในฐานะผู้เล่นหลักในสกุลเงินดิจิทัล Alameda ก็มีการซื้อขายบนแพลตฟอร์มของ FTX บ่อยครั้ง

ภายในฤดูใบไม้ร่วงปี 2021 ราคาของสกุลเงินดิจิทัลเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในตอนนั้นถือได้ว่าเป็นช่วงขาขึ้นแบบสุด ๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าทุกอย่างจะพังทลายลงมาในอีกเพียงแค่ 1 ปีถัดมา

Bankman-Fried แต่งตั้ง Ellison และ Trabucco เป็น CEO ร่วมในการบริหาร Alameda เพื่อให้เขาสามารถมุ่งเน้นไปที่ FTX  ซึ่งในเวลานั้นแม้ว่า Bankman-Fried จะไม่ได้เป็น CEO อีกต่อไป แต่ Alameda ก็ยังคงเป็นบริษัทของเขาเช่นกัน 

ในเดือนเมษายน Trabucco ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO เขากล่าวว่าการทำงานที่ Alameda นั้น ทั้งยาก ทั้งเหนื่อย และใช้เวลาในชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Ellison ก็ได้เข้ามาบริหาร Alameda แต่เพียงผู้เดียว

Trabucco ที่ทนการทำงานไม่ไหวจนต้องลาออกไป (CR:Bloomberg)
Trabucco ที่ทนการทำงานไม่ไหวจนต้องลาออกไป (CR:Bloomberg)

Ellison เป็นหนึ่งในทีมงาน 10 คนของพนักงาน FTX และ Alameda ที่อาศัยอยู่ด้วยกันในบาฮามาส เว็บไซต์ CoinDesk สังเกตว่าสมาชิกทั้ง 10 คนมีความสัมพันธ์กันในบางครั้งมีรายงานว่า Ellison มีความสัมพันธ์พิเศษกับ Bankman-Fried

Ellison ได้เปรียบการมีภรรยาหลายคนในบ้านที่บาฮามาสเหมือนกับ “ฮาเร็มของจักรพรรดิจีน” และเธอมองว่ามีการสังเกตลำดับชั้นที่จัดตั้งขึ้นและทุกคนรู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนในลำดับชั้นของความสัมพันธ์เหล่านี้

Ellison ได้ออกมาโต้แย้งใน Tumblr ของเธอว่าเมื่อเวลาผ่านไป เธอเปลี่ยนจากการเป็น “คนธรรมดา” มาเป็น “คนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้ามากขึ้น”

ยังไม่ชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ Ellison หลังการล่มสลายของ FTX สถานะออนไลน์ของเธอรวมถึง LinkedIn ของเธอแทบไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เธอได้โพสต์ออนไลน์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนโดยทวีตเพื่อป้องกันงบดุลของ Alameda

References :
https://www.wsj.com/articles/how-caroline-ellison-found-herself-at-the-center-of-the-ftx-crypto-collapse-11668899604
https://www.businessinsider.com/caroline-ellison-ftx-alameda-research-ceo-collapse-2022-11

Bored Ape Yacht Club เรื่องราวของ Yuga Labs และความฝันแบบดิสนีย์ท่ามกลางฤดูหนาวของ NFT

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ ของ Yuga Labs ผู้เสกสรรค์ คอลเลกชั่น NFT ชื่อดังอย่าง Bored Ape Yacht Club ขึ้นมา

นับตั้งแต่ก่อตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 Yuga Labs มีกำไร 100 ล้านดอลลาร์ในปีแรก และระดมทุนได้ 450 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทถูกประเมินมูลค่าไว้ถึง 4 พันล้านดอลลาร์

และเสน่ห์ที่ดึงดูดใจคนดังและบริษัทต่าง ๆ ตั้งแต่ Gwynet Palthrow ไปจนถึง Adidas ให้เชื่อมโยงแแบรนด์ของตนกับ Bored Ape

ความน่าสนใจที่สุดก็คือ ความสำเร็จที่กล่าวมานั้นส่วนใหญ่มาจากคนเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น Wylie Aronow, Greg Solano , Nicole Muniz และโปรดิวเซอร์คนดังอย่าง Guy Oseary

Aronow และ Solano ทั้งคู่อายุ 30 กลาง ๆ เป็นเพื่อนกันมานานนับสิบปีก่อนที่จะตัดสินใจเปิด Yuga Labs เมื่อปีที่แล้ว พวกเขาแทบจะไม่ใช่คนสายพันธุ์เทคโนโลยีแต่อย่างใด

4 ผู้ก่อตั้ง BAYC และ Yuga Labs (CR:Pinterest)
4 ผู้ก่อตั้ง BAYC และ Yuga Labs (CR:Pinterest)

Solano เป็นบรรณาธิการที่แผนกเล็ก ๆ ของ Simon & Schuster ที่เน้นเรื่องวีดีโอเกมและหนังสือไซไฟ และ Aronow เขาแทบไม่เคยทำงานมาก่อน ส่วนใหญ่จะป่วยจากปัญหาในวัยเด็กของเขา แต่ทั้งคู่ก็มาพบเจอกันกลายเป็นเพื่อนกันเพราะหนังสือ Infinite Jest ของ David Foster Wallace

แนวคิดเริ่มต้นของ Aronow และ Solano คือการนำ NFT มาใช้ในงานศิลปะและเพื่อการแสดงออกถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจุดเชื่อมต่อทั้งคู่กับโลกเทคโนโลยีก็คือ Muniz เพื่อนเก่าของ Aronow ซึ่งเขาเคยพบที่ Starbucks ในไมอามี่ตอนที่เขาเรียนมัธยม

Muniz ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาทำงานเกี่ยวกับกลยุทธ์ให้กับ Facebook , Google และ สตาร์ทอัพเช่น Oscar Health ซึ่งเน้นในการนำความคิดต่าง ๆ แล้วนำมันมาสร้างให้เป็นรายได้

Aronow และ Solano ตัดสินใจสร้างโปรเจ็กต์ Bored Ape ขึ้นมา พวกเขาทั้งสองอยู่กับถึงตี 4 เพื่อเขียนเรื่องราวเบื้องหลังของ BAYC จากนั้น Solano ก็ได้เริ่มปรับแต่งมัน

ในขณะนั้น Muniz ได้เปิดบริษัทที่ปรึกษาชื่อ Something New – “McKinsey,but for startups” ซึ่ง Muniz สนใจงานของนักวาดภาพประกอบที่ชื่อ Seneca ซึ่งได้พัฒนาภาพวาดลายเส้นของลิง จากนั้นก็มีศิลปินอิสระอื่น ๆ อีกสามคน ก็ได้วาดลักษณะอื่น ๆ ที่เหลือ ตั้งแต่สายแขวนสีรุ้งไปจนถึงชิ้นพิซซ่าที่ห้อยลงมาจากปากของลิง

จากนั้นพวกเขาก็นำไป process ในคอมพิวเตอร์ โดยสร้างอวาตาร์ที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์ที่มีความแตกต่างกัน 10,000 รูป

The Bored Apes มีความโดดเด่นในโมเดลของ NFT เมื่อใครก็ตามได้เป็นเจ้าของมัน ซึ่งทั้ง Aronow และ Solano เชื่อจริง ๆ ว่าพวกเขากำลังสร้างสโมสร ซึ่งเป็นบ้านสไตล์โซโหรกร้างว่างเปล่าในรูปแบบดิจิทัล

พวกเขาพยายามสร้างมิตรภาพระหว่างผู้ซื้อ Bored Ape ด้วยทุกสิ่งตั้งแต่การล่าขุมทรัพย์เสมือนจริงไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์แชทของ BAYC Discord แพลตฟอร์มการส่งข้อความส่วนตัวชื่อดัง

Aronow ทำงานแทบจะทั้งวัน เฉลี่ย 16 ชั่วโมงต่อวัน และใช้เวลาทุกคืนเป็นเวลาหลายเดือนเพียงเพื่อพูดคุยกับชุมชน Bored Ape

นั่นทำให้ความผูกพันที่พวกเขาสร้างขึ้้น ทำให้เจ้าของคอลเลกชั่นมีเหตุผลที่จะเชื่อใน Bored Ape ซึ่งต้องเรียกได้ว่าเป็น NFT ที่มีโรดแมปอย่างชัดเจน มีคอมมิวนิตี้ที่มีความชัดเจนมาก ๆ

ในการขายคอลเลกชั่น 10,000 ตัวแรก ที่ทำเงินได้ 2 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่สถานการณ์ในช่วงนั้น ผู้ก่อตั้ง crypto หรือ NFT ส่วนใหญ่มักหอบเงินและหนีไป แต่ไม่ใช่สำหรับ Bored Ape

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของ Bored Ape คือการ Guy Oseary มาร่วมทีม ซึ่งได้มีการติดต่อกับ Aronow โดย Oseary นั้นต้องการหนีจากโควิด-19 และกำลังสำรวจว่าจะช่วยเรื่องแนวคิดสำหรับโครงการ NFT ได้อย่างไร

ทั้งคู่มีการเชื่อมต่อกันผ่านทางโลกของดนตรีซึ่งมีความสนใจคล้าย ๆ กัน ในตอนแรก Aronow นั้นต้องการให้ Oseary มาเป็นผู้จัดการ

แต่ด้วยการที่ Oseary มี Connection กับเหล่าผู้ทรงอิทธิพลมากมาย และมีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Uber , Airbnb , Affirm และ Lemonade รวมถึงงานศิลปะ NFT ที่เพิ่งเริ่มต้นอย่าง Dapper Labs, Opensea และ SuperRare

เรียกได้ว่า Oseary นั้นเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลใน NFT มาก ๆ ในเดือนเมษายน 2021 ซึ่งเป็นเดือนเดียวกับที่ BAYC ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นมา เขาได้ซื้อรายการทีวี ที่คล้ายกับ Shark Tank ในชื่อ NFTs : The Pitch

Oseary กลายเป็นหุ้นส่วนใน Yuga Labs อย่างรวดเร็ว ในเดือนพฤศจิกายน 2021 ทุกอย่างมันผ่านไปรวดเร็วมาก เพราะ crypto กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุด มูลค่าของ crypto ทั่วโลกพุ่งขึ้นเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์

และการที่เหล่าคนดังเริ่มหันมาสนใจ BAYC เพิ่มมากขึ้น ช่วยผลักดันให้ราคาของ BAYC จาก 150,000 ดอลลาร์เป็น 220,000 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2021

ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรฉุด BAYC อยู่อีกต่อไป เพียงไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าซื้อกิจการ CryptoPunks และ Meebits แม้ Yuga จะไม่ได้เปิดเผยมูลค่าของข้อตกลง แต่คาดว่าอยู่ในระหว่าง 100 ถึง 500 ล้านดอลลาร์

CryptoPunks ที่ดังจนเตะตา Yuga Labs จนเข้าซื้อในท้ายที่สุด (CR:Coindesk)
CryptoPunks ที่ดังจนเตะตา Yuga Labs จนเข้าซื้อในท้ายที่สุด (CR:Coindesk)

ไม่กี่วันหลังจากข่าวการซื้อกิจการ ก็มีข้อมูลหลุดที่น่าสนใจ ซึ่งระบุว่า Yuga Labs สร้างรายได้ 137.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นกำไร 92.4% บริษัทยังได้ร่างแผนสำหรับสิ่งที่เรียกว่า Othersie ซึ่งจะทำให้ metaverse อื่น ๆ ทั้งหมดดูล้าสมัยไปเลย

ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2022 บริษัทได้ประกาศระดมทุนมูลค่า 450 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผลักดันให้บริษัทมีมูลค่ารวม 4 พันล้านดอลลาร์

References :
https://www.fastcompany.com/90796009/bored-ape-yacht-club-tell-all-the-untold-story-of-the-4-billion-crypto-startup
https://coinscreed.com/explaining-bored-ape-yacht-club-nft-and-why-it-is-so-valuable.html

Crypto Crash เรื่องราวการลงทุนในฝันของครูประถมนำไปสู่ฝันร้ายที่ยากลืมเลือนได้อย่างไร

เรียกได้ว่ากลายเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้วนะครับ สำหรับเหล่านักลงทุนรายย่อยที่คิดจะเข้ามาเดิมพันกับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนที่สูงมาก ๆ อย่างคริปโต ที่อาจจะต้องสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล

“ถ้าฉันขายทุกอย่างในตอนนั้น ฉันจะมีเงิน 1 ล้านปอนด์” Duncan กล่าวอย่างท้อใจถึงมูลค่าการถือครองคริปโตเคอเรนซีของเขาที่มีมูลค่ามหาศาลในช่วงต้นปี

ซึ่งเฉกเช่นเดียวกับนักลงทุนที่ส่วนใหญ่เป็นมือสมัครเล่นจำนวนมาก Duncan อดีตครูประถมในวัย 47 ปี ได้เข้าสู่แวดวงคริปโตครั้งแรกในช่วงการระบาดใหญ่ของไวรัส COVID-19

เขาได้นำเงินออมแทบจะทั้งหมดของเขาไปลงทุนในคริปโตที่ตอนนั้นมูลค่ากำลังสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในตอนนั้นเขาเชื่อว่าจะสามารถปลดแอกภาระต่าง ๆ ของชีวิต และใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างสุขสบายดั่งราชา

แต่อย่างไรก็ตามนั้นเป็นเพียงภาพความฝันที่เกิดขึ้น ความจริงมันเป็นสิ่งตรงข้าม ในตอนนี้พอร์ตคริปโตของเขาสูญสิ้นเหลือเงินเพียงแค่ประมาณ 4,000 ปอนด์เพียงเท่านั้น

เรียกได้ว่า Duncan เป็นหนึ่งในชาวอังกฤษหรือแม้กระทั่งหนึ่งในผู้คนทั่วโลกจำนวนมากที่ถูกดูดเข้าไปลงทุนในวงการคริปโตที่แสนเย้ายวนใจ

ในช่วงต้นปี 2021 มีผู้คนประมาณ 2.3 ล้านในสหราชอาณาจักรเข้าไปลงทุนด้านคริปโต

ตามการวิจัยของ Financial Conduct Authority (FCA) ที่ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วซึ่งมีการศึกษาอย่างเป็นทางการที่ครอบคลุมที่สุด ชี้ให้เห็นว่ามีผู้คนแห่เข้าไปลงทุนคริปโตเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปี 2021 ในช่วงตลาดกระทิง

ผลการศึกษาพบว่าการลงทุนในคริปโตนั้นเป็นเรื่องปรกติมากขึ้น ซึ่งมีคนจำนวนน้อยที่มองว่ามันเป็นการพนัน และเป็นทางเลือกหรือส่วนเสริมของการลงทุนในกระแสหลัก และคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ากำลังซื้ออะไรอยู่

คริปโตที่กลายเป็นกระแสการลงทุนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ (CR:Daily Express)
คริปโตที่กลายเป็นกระแสการลงทุนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ (CR:Daily Express)

Alice Haine นักวิเคราะห์การเงินส่วนบุคคลจากแพลตฟอร์มการลงทุน Bestinvest กล่าวว่า คริปโตเคอเรนซี่ ยังคงพัฒนาเป็นประเภทสินทรัพย์และเป็นการลงทุนเก็งกำไรมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น

“นักลงทุนที่พิจารณาที่จะเพิ่ม คริปโตเคอเรนซี ในพอร์ตของตัวเอง ควรจะตระหนักว่าเป็นตลาดที่มีความผันผวนสูงมาก ๆ โดยที่ราคามักจะคาดเดาไม่ได้เป็นอย่างมาก”

ซึ่งเหมือนกับหลาย ๆ ประเทศ เมื่อมีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทำให้หน่วยงานรัฐเริ่มเข้ามาจัดการตั้งแต่เรื่องการโฆษณาที่เว่อร์เกินจริง ซึ่งต้องอยู่ภายใต้กฎเดียวกับการส่งเสริมการขายทางการเงินอื่น ๆ เช่น หุ้น หรือผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัย

ส่วนใหญ่แล้วนั้นการโฆษณาอย่างบ้าคลั่งของแพลตฟอร์มคริปโตเคอเรนซี่ในการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้มักจะทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดอย่างมหันต์

Duncan ที่ได้รับการแนะนำให้รู้จัก Bitcoin จากเพื่อนในช่วงต้นปี 2010 ซึ่งในตอนนั้นมูลค่าของมันยังต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ด้วยซ้ำ

เมื่อถึงปี 2017 เมื่อมูลค่าทะลุ 10,000 ดอลลาร์ เขาคิดว่ามันถึงเวลาที่เขาต้องเข้าไปลุยกับคริปโตเคอเรนซีบ้างแล้ว

ในปี 2017 เขาเริ่มลงทุน 100 ปอนด์ แต่กลายเป็นว่าในปี 2018 ตลาดกลับพังพินาศ จากนั้นเขาจึงหยุด

ตั้งแต่ปี 2019 เขาเริ่มลงทุนอย่างสม่ำเสมอมากขึ้นอีกครั้ง และในปีถัดมาเขาได้ทยอยลงทุนราวๆ 400 ปอนด์ต่อเดือน ซึ่งการลงทุนในช่วงแรก ๆ ของเขาเป็น Bitcoin และ Ethereum สองสกุลเงินหลักเพียงเท่านั้น

แต่ในปี 2021 มันเป็นการตัดสินใจพลาดครั้งใหญ่ที่สุด เมื่อเขาได้ลงทุนใน Luna ซึ่งในเดือนพฤษภาคมมูลค่าลดลงจาก 85 ดอลลาร์เหลือต่ำกว่า 1 ดอลลาร์

Luna ที่ราคาลดลงมาต่ำกว่าดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนสูญเสียอย่างหนัก (CR:AS USA)
Luna ที่ราคาลดลงมาต่ำกว่าดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนสูญเสียอย่างหนัก (CR:AS USA)

แนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจทางการเงินหรือ “DeFi” ซึ่งได้รับการส่งเสริมในแวดวงคริปโตนั้น เป็นแรงดึงดูดจากโลกทัศน์ที่เกิดจากวิกฤติทางการเงินในปี 2008

“คุณสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ใน DeFi ที่คุณไม่สามารถทำได้ในระบบการเงินแบบดั้งเดิม” Duncan กล่าว

แม้ว่า Duncan ต้องพบกับความสูญเสีย และสร้างความเครียดให้กับเขา สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะนั่นเป็นอดีตที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

เขาละทิ้งอาชีพการสอน และถึงแม้จะสูญเสียครั้งใหญ่ แต่เขาก็ยังเชื่อว่า คริปโตเคอเรนซี จะฟื้นตัวกลับมา และท้ายที่สุดจะทำให้เขากลับมายืนหยัดในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตนี้ได้อีกครั้ง

บทสรุป

แม้ Duncan จะเป็นนามแฝง ที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนจริง ๆ ออกมา แต่เรื่องราวของเขา ก็น่าจะมีความคล้ายคลึงกับนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาในตลาดคริปโตหลาย ๆ คน

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่น่าสนใจมาก ๆ ให้กับนักลงทุนหลาย ๆ ท่าน โดยเฉพาะกับตลาดในโลกการเงินยุคใหม่อย่างคริปโตเคอเรนซี ความเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนนั้นถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ในการที่จะรอดจากตลาดอันโหดเหี้ยมแห่งนี้

หรือแง่คิดบางอย่างที่ผมก็คิดว่าเกิดขึ้นทั่วโลกเช่นกัน เช่นการโฆษณาที่เว่อร์เกินจริง ที่หน่วยงานรัฐต้องเข้ามาจัดการและให้ความรู้อย่างใกล้ชิด หากมันเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย นักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยก็ควรรู้ที่มาที่ไปว่ากำลังลงทุนในอะไรอยู่

รวมถึงเรื่องของสัดส่วนของการลงทุน จะเห็นได้ว่า Duncan นั้นคล้ายกับนักลงทุนหลาย ๆ คนที่ต้องสูญเสียแทบหมดตัว โดยการเทหมดหน้าตัก โดยไม่ได้พิจารณาถึงความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงมาก ๆ ในตลาดแห่งนี้

แต่เขาก็ส่งท้ายได้อย่างน่าสนใจ เพราะเขายังเชื่อมั่นว่าสุดท้ายตลาดนี้จะกลับมาฟื้นได้อีกครั้ง บทเรียนต่าง ๆ ที่เขาเผชิญจะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นพร้อมที่จะสู้รบในตลาดอันโหดเหี้ยมแห่งนี้ในอนาคตได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.theguardian.com/technology/2022/jun/18/bitcoin-value-falls-cryptocurrency-markets-turmoil
https://www.theguardian.com/technology/2022/jun/29/crypto-crisis-digital-currencies-boom-collapse-bitcoin-terra
https://www.theguardian.com/technology/2022/aug/29/crypto-crash-how-a-teachers-dream-investment-turned-into-a-nightmare-los
https://www.fca.org.uk/publications/research/research-note-cryptoasset-consumer-research-2021
https://cointelegraph.com/news/the-total-crypto-market-cap-drops-under-1-2t-but-data-show-traders-are-less-inclined-to-sell

Forex 3D vs Three Arrows Capital เมื่อความต่างเป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์แต่เป้าหมายนั้นคือแชร์ลูกโซ่

กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการอีกครั้งหลังจากมีข่าวดาราสาวชื่อดังที่ต้องถูกจองจำในเรือนจำ โดยไม่ได้รับการประกันตัวจากคดีแชร์ลูกโซ่ในตำนานอย่าง Forex 3D

ซึ่งเมื่อลองไล่อ่านข้อมูลอย่างละเอียด จะพบว่า มันแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเทรดในตลาด Forex จริง ๆ เลยด้วยซ้ำ แต่เป็นการนำเอาคำ buzzword ในยุคนั้นมาหากินบังหน้า โดยมีเบื้องหลังเป็นระบบ Ponzi หรือ แชร์ลูกโซ่

ผมเองได้มีโอกาสฟังรายการ youtube ของ bearti ที่มีการสัมภาษณ์ คุณ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ซึ่งให้แง่มุมหลาย ๆ อย่างที่มีความน่าสนใจมาก ๆ

ที่พอจะสรุปได้ก็คือ แชร์ลูกโซ่ กฏหมายในไทยยังล้าหลังมาก ๆ ในการเอาผิดเครือข่ายเหล่านี้ ทำให้คนที่ทำไม่ได้สนใจในโทษที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคตเลยด้วยซ้ำ

แชร์ลูกโซ่ กฏหมายในไทยยังล้าหลังมาก ๆ ในการเอาผิดเครือข่ายเหล่านี้ (CR:Posttoday)
แชร์ลูกโซ่ กฏหมายในไทยยังล้าหลังมาก ๆ ในการเอาผิดเครือข่ายเหล่านี้ (CR:Posttoday)

แม้จะมีคำสั่งศาลให้ติดคุก เป็นพัน เป็นหมื่นปีก็ตาม แต่กฎหมายก็กำหนดโทษสูงสุดไว้เพียงแค่ 20 ปีเพียงเท่านั้น ซึ่งติดจริง ๆ โดยเฉลี่ยจากเคสที่ผ่านมาแค่ 6-7 ปี บางเคสการฟ้องร้องคืนเงินยังไม่เสร็จ แต่นักโทษออกมาจากคุก มาใช้เงินสุขสบายกันแล้ว เพราะยุคนี้ นวัตกรรมการฟอกเงินมันซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ track ได้ยากมากกว่ายุคก่อน

หรือ อีกแง่มุมนึง คือเรื่องที่สำคัญ นั่นก็คือ เรื่องผลิตภัณฑ์ที่จะถูกนำมาใช้ในการทำแชร์ลูกโซ่นั้น มันกว้างมาก ๆ แม้กระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนถูกต้องอย่าง ทองคำ เห็ด ปุ๋ย เลี้ยงกุ้ง หรือ แม้กระทั่ง voucher ท่องเที่ยว ก็ถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการทำแชร์ลูกโซ่มาก่อนหน้านี้แล้ว

เมื่ออนาคตแชร์ลูกโซ่จะยิ่งล้ำขึ้นไปอีก

สิ่งที่น่าสนใจกับปัญหาหลาย ๆ อย่างในวงการคริปโตโลก ที่เป็นเทคโนโลยีที่ดีหากใช้ไปในทางที่ถูกต้องแต่กลายเป็นว่า ตอนนี้พวกมันถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางที่ผิดในการทำแชร์ลูกโซ่ไปเสียแล้ว

แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่ที่ภาพลักษณ์ดูดีอย่าง Three Arrows Capital ที่เพิ่งเป็นข่าวใหญ่มาก่อนหน้านี้ ก็ถูกบริษัทวิจัยชื่อดังอย่าง FSInsight ที่นำโดย Tom Lee กล่าวหาต่อสาธารณชนว่า Three Arrows Capital (3AC) ดำเนินโครงการ Ponzi แบบเดียวกับ Madoff

โดยข้อมูลจาก FSInsight ได้สรุปวิธีที่ Kyle Davies และ Su Zhu ผู้ก่อตั้ง 3AC “ใช้ชื่อเสียงของพวกเขาในการยืมเงินจากผู้ให้กู้สถาบันแทบทุกรายในธุรกิจอย่างไม่ระมัดระวัง” มันเป็นรูปแบบเดียวกับการล่มสลายของ Long Term Capital Management ในปี 1998

 Kyle Davies และ Su Zhu ผู้ก่อตั้ง 3AC
Kyle Davies และ Su Zhu ผู้ก่อตั้ง 3AC

รายงานสรุปว่า Zhu และ Davies มีแนวโน้มที่จะใช้เงินทุนที่ยืมมาเพื่อชำระดอกเบี้ยเงินกู้ในขณะเดียวกัน ก็แต่งเติมตัวเลขทางการเงิน เพื่อแสดงผลตอบแทนที่เหลือเชื่อ

คำถามคือมันต่างอะไรกับ CEO ของ Forex 3D คือ นายอภิรักษ์ โกฎธิ และผองเพื่อน ที่ไปตั้งบริษัทเปิดเว็บ “FOREX 3D” แล้วชักชวนคนมาลงทุน อ้างว่ามีระบบ AI อัจฉริยะ ช่วยให้การเทรด forex 3d ได้กำไรเน้นๆ  ซึ่งลักษณะการจ่ายผลตอบแทนคือเป็นแชร์ลูกโซ่ชัดเจน

ทั้งสองใช้ model แทบไม่ต่างกัน คือ นำเงินคนที่เข้ามาใหม่ ไปจ่ายคนเก่า เพื่อให้ระบบมัน run ต่อไปได้ แต่ไม่มีผลิตภัณฑ์จริง ๆ ที่จะสร้างรายได้ให้สมกับผลตอบแทนที่พวกเขาได้โม้ไว้

ซึ่งปัญหานี้ ไม่เพียงแต่ 3AC เท่านั้น แต่เราจะเห็นหลาย ๆ แพลตฟอร์มที่ล่มสลายไป ก็ใช้ concept เดียวกัน เมื่อระบบถึงทางตัน ก็ไม่สามารถที่จะจ่ายปันผลได้อีกต่อไป หรือแม้กระทั่ง model play2earn หลาย ๆ เกม ก็มีการยอมรับกันตรง ๆ ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่

จะเห็นได้ว่าในอนาคตรูปแบบการปั้นแชร์ลูกโซ่จะง่ายขึ้นและหลอกคนได้แนบเนียนขึ้นโดยอาศัย buzzword โดยเฉพาะคำด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้มากนัก

ซึ่งเมื่อเกิดความเสียหายคราวนี้จะ track เรื่องเส้นทางการเงินต่าง ๆ เพื่อยึดทรัพย์มาคืนได้ยากยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้การฟอกเงินนั้นล้ำขึ้นไปอีก คงใช้เวลาอีกซักพักกว่าหน่วยงานรัฐของเราจะตามเทคโนโลยีการฟอกเงินพวกนี้ทัน

ซึ่งเมื่อก่อนแชร์ลูกโซ่อาจจะหลอกคนรากหญ้าด้วยผลตอบแทน 10% ต่อเดือน แต่ในยุคนี้ ผลตอบแทนระดับ 6-10% ต่อปี ก็สามารถหลอกมาสร้างแชร์ลูกโซ่ให้กับคนที่มีความรู้ได้แล้วนั่นเองครับผม

References :
https://fortune.com/2022/06/28/crypto-hedge-fund-three-arrows-capital-old-fashioned-madoff-style-ponzi-scheme-research-firm-fsinsight/
https://coingeek.com/three-arrows-capital-liquidated-was-it-a-ponzi-scheme/
https://coingeek.com/wall-street-veteran-thomas-lee-economist-george-gilder-headline-coingeek-live/
https://www.youtube.com/watch?v=lmFNlLzaJpE

Gerry Cotten กับชีวิตและความตาย ของราชาแห่งคริปโตเจ้าของแพลตฟอร์ม QuadrigaCX

Gerry Cotten ที่ได้เริ่มฉายแววของจอมลวงโลกตั้งแต่วัยเยาว์ ในวัยเพียง 15 ปี เขาได้เปิดตัวโครงการแชร์ลูกโซ่ในฟอรัมออนไลน์ที่ชื่อว่า TalkGold โดยมีการรับประกันว่าเหล่าเหยื่อที่เข้ามาลงทุนในโปรเจกต์ของเขาจะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 150% ภายในสองวัน

Cotten เปลี่ยนจากเด็กชายที่ใสซื่อ เป็นจอมโจร หลอกล่าเหยื่อ ที่เป็นนักลงทุนระดับสูงวัยได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก ๆ เขาเปิดกิจการที่มีชื่อว่า S&S Investments ก่อนที่อีกสามเดือนให้หลัง เงินที่ได้รับจากการลงทุนทั้งหมดจะสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมกับ avatar ที่ไร้ตัวตนของเขาในฟอรัมออนไลน์

นั่นคือเรื่องของ Cotten ในวัย 15 ปี เพิ่งผ่านวัยเด็กมาหมาด ๆ เพียงเท่านั้น แต่เริ่มหากินด้วยการฉ้อโกง โดยอาศัยความคลั่งไคล้คอมพิวเตอร์ และเห็นช่องโหว่ในการทำเงินกับมัน

เฉกเช่นเดียวกับในอีก 15 ปีถัดมา ที่ Cotten ได้ไปประสบพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า Bitcoin ที่อ้างว่าเป็นนวัตกรรมทางด้านการเงินเปลี่ยนโลก ซึ่งเขามองเห็นโอกาสทำเงินครั้งใหญ่อีกครั้ง

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านคอมพิวเตอร์ Cotten ได้เข้าไปศึกษา Bitcoin ก่อนใคร และเข้าร่วม community ที่เกี่ยวข้องในประเทศแคนาดาบ้านเกิดของเขา

เมื่อเห็นโอกาสเขาจึงได้เปิดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ชื่อว่า QuadrigaCX ในตอนนั้นแทบไม่มีใครรับรู้ประวัติในวัยเด็กของเขามาก่อนเลยด้วยซ้ำ

โดย QuadrigaCX เขาได้ร่วมก่อตั้งกับ Michael Patryn ในเดือนพฤศจิกายน 2013 หลังจากเดือนแรก แพลตฟอร์มของพวกเขาก็เริ่มขึ้น พวกเขาได้สร้างตู้ ATM bitcoin แห่งที่ 2 ในแวนคูเวอร์ในเดือนมกราคม 2014 ซึ่งในปีเดียวกันนั้นแพลตฟอร์มของเขามีการทำธุรกรรม Bitcoin เพียงแค่ 7.4 ล้านดอลลาร์แคนาดาเพียงเท่านั้น

ในช่วงการเปิด QuadrigaCX นั้นเขาเปิดหน้าแบบเต็มตัว ไม่จำเป็นต้องอาศัย avatar ในโลกออนไลน์อีกต่อไป ด้วยการที่เข้ามาเป็นคนแรก ๆ ของวงการ ทำให้เขาสามารถผลักดันให้ QuadrigaCX กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดของแคนาดาได้ในที่สุด

และด้วยเงินจำนวนมหาศาลที่ได้รับจากแพลตฟอร์ม ที่ตอนนั้นเริ่มเป็นกระแสคลั่งไคล้ จนมีผู้คนจำนวนมากเริ่มเข้ามาสนใจสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะ Bitcoin

ทำให้ Cotten กลายเป็นมหาเศรษฐีภายในชั่วข้ามคืน แพลตฟอร์มของเขาได้รับการระดมทุนจำนวนมหาศาล เขาและ Jennifer Robertson ภรรยาเดินทางไปเที่ยวรอบโลกด้วยเครื่องบินส่วนตัว ในจุดหมายปลายทางยอดฮิตเช่น ปารีส โมร็อกโก และ ฮาวาย

Cotton และ Jennifer Robertson ภรรยาเดินทางไปเที่ยวรอบโลกด้วยเครื่องบินส่วนตัว ในจุดหมายปลายทางยอดฮิตเช่น ปารีส โมร็อกโก และ ฮาวาย (CR:Ayther)
Cotten และ Jennifer Robertson ภรรยาเดินทางไปเที่ยวรอบโลกด้วยเครื่องบินส่วนตัว ในจุดหมายปลายทางยอดฮิตเช่น ปารีส โมร็อกโก และ ฮาวาย (CR:Ayther)

Cotten ไม่อายที่จะใช้เงินทุ่มซื้อสิ่งต่างๆ ที่เขาถวิลหามานานแสนนาน ไมว่าจะเป็นเรือยอทช์มูลค่า 600,000 ดอลลาร์ รถยนต์ Lexus ระดับไฮเอนด์ บ้านอีก 17 หลังในประเทศแคนาดา และเครื่องบินส่วนตัว

เขาออกมาพูดโน้มน้าวคนส่วนใหญ่ ให้หันมาสนใจสกุลเงินดิจิทัล โดยอ้างคำพูดสุดหรู ที่เป็นคำที่เจ้าของแพลตฟอร์มเหล่านี้มักพูดกันอย่างกับเป็น script เดียวกัน

“โดยพื้นฐานแล้วมันจะกำจัดความจำเป็นของผู้มีอำนาจจากส่วนกลาง คุณจะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการส่งเงิน และกำจัดกฎเกณฑ์มากมายในโลกการเงินแบบเก่า ๆ”

อย่างไรก็ตามในปี 2018 เมื่อราคา bitcoin เริ่มดิ่งลงเหว เหล่านักลงทุนพยายามที่จะถอนเงินจาก QuadrigaCX ซึ่งบางรายก็ถอนได้ บางรายก็ถอนได้ช้ามาก ๆ หรือ ถอนไม่ได้เลย มันชี้ให้เห็นถึงสภาพคล่องที่เริ่มมีปัญหาของ QuadrigaCX

เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ QuadrigaCX เก็บเงินของนักลงทุนไว้ในสิ่งที่เรียกว่า “cold wallets” ซึ่งเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลดิจิทัลที่ปลอดภัยจากการแฮ็กเนื่องจากไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตามปัญหาก็คือมีเพียง Cotten เท่านั้นที่รู้รหัสผ่านในการเข้าถึง wallets ดังกล่าวนี้

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง Cotten และภรรยาของเขาบินไปอินเดียเพื่อฮันนีมูนในเดือนธันวาคม 2018 แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อราชาคริปโตแห่งแคนาดา ได้เสียชีวิตจากโรคโครห์น

หลังจากนั้นทางการอินเดียอนุญาติให้นำศพของเขากลับไปที่แคนาดาเพื่อทำพิธีครั้งสุดท้าย แต่เป็นเรื่องน่าแปลกที่การเสียชีวิตของเขาแทบจะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะเลย ทั้งที่ QuadrigaCX กำลังเป็นข่าวใหญ่มาก ๆ ในตอนนั้น

เมื่อถึงเดือนมกราคม 2019 บริษัท Quadriga ยื่นฟ้องขอความคุ้มครองจากเจ้าหนี้ กลุ่มนักลงทุนเริ่มไม่พอใจและถามไถ่ถึงเงินของพวกเขา ทางบริษัทได้แจ้งว่ามีเพียง Cotten เท่านั้นที่รู้รหัสผ่านของ crypto wallet

นั่นทำให้ทุกคนต่างสงสัย ทำให้บางคนตั้งคำถามว่า Cotten เสียชีวิตจริงหรือไม่ และเรียกร้องให้มีการขุดร่างของ Cotten ออกมาเพื่อยืนยันการตายของเขา

ฝั่ง Jennifer ที่เป็นภรรยา เริ่มถูกตามล่า จากกลุ่มที่ไม่พอใจ เธอได้ออกมายืนยันว่าเขาตายแล้ว และเธอก็อยู่ที่งานศพของเขา และเธอไม่ได้มีส่วนของแผนการสมรู้ร่วมคิดอะไรทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามการล่มสลายของ QuadrigaCX นั้น กระตุ้นให้มีการสอบสวนทางเพ่งหลายครั้งว่าเงินจำนวนมหาศาลดังกล่าวมลายหายไปได้อย่างไร

หลังจากนั้นชายนิรนาม ที่มีนามแฝงว่า QCX-INT ได้ออกมาเปิดเผยประวัติการฉ้อโกงของ Cotten เพราะมันมีข้อมูลบางอย่างที่เขาสืบค้นและพบแผนการอันยาวนานตั้งแต่เริ่มต้นของ Cotten ใน TalkGold ไปจนถึงการร่วมมือกับ Michael Patryn หุ้นส่วนธุรกิจของเขาใน QuadrigaCX

Michael Patryn หุ้นส่วนธุรกิจของ Cotton ในช่วงแรกของ QuadrigaCX (CR:The Logic)
Michael Patryn หุ้นส่วนธุรกิจของ Cotten ในช่วงแรกของ QuadrigaCX (CR:The Logic)

ในปี 2005 Patryn ได้สารภาพว่ากระทำการฉ้อโกงภายใต้บริษัท Midas Gold ซึ่งเป็นตัวกลางกับ Liberty Reserve บริษัทสกุลเงินดิจิทัลของคอสตาริกาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในยุคนั้น และถูกจับกุมจากข้อหาการฟอกเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ซึ่งในบันทึกของศาลระบุว่าอีเมลของ Cotten นั้นมีการติดต่อกับ Midas Gold ซึ่งทำให้ทั้ง Cotten และ Patryn ถูกตั้งขอหาเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวของ Liberty Reserve

แต่ปรากฎว่าอีกสองปีต่อมาทั้งคู่ได้มาเปิด Quadriga อย่างไรก็ตาม Patryn ได้ออกจากบริษัทในปี 2016 เนื่องจากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการจดทะเบียนบริษัท

Patryn กล่าวว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการที่ตามมาของ Cotten ซึ่ง QuadrigaCX ได้รับการตรวจสอบโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของออนแทรีโอ ในแคนาดา หลังจากที่เกิดการฟ้องร้องของกลุ่มนักลงทุน

ในปี 2019 การสอบสวนพบว่า “สิ่งทีเกิดขึ้นกับ QuadrigaCX เป็นการหลอกลวงแบบโบราณที่ถูกห่อหุ้มด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างสกุลเงินดิจิทัล”

โดย Cotten ได้สร้างบัญชีปลอมหลายบัญชีบนแพลตฟอร์ม QuadrigaCX เพื่อให้มีผลกับการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม ซึ่งมีรายงานว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมหลอก ๆ ในแพลตฟอร์มถึง 87%

ฝั่งของ Jennifer ที่เป็นภรรยานั้น รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก หลังจากพบการฉ้อโกงในบริษัทของสามีเธอ แต่เธอได้ปฏิเสธการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางธุรกิจของสามีเธอ และ ไม่มีรหัสผ่านของ crypto wallet แต่อย่างใด มีเพียงสามีของเธอเท่านั้นที่รู้ และมันได้สูญสลายไปกับร่างกายที่ไร้วิญญาณของสามีเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

References :
https://kalkinemedia.com/uk/news/cryptocurrency/the-curious-case-of-gerry-cotton-and-quadriga-cx-scandal
https://bitcoinist.com/netflix-trust-no-one-the-hunt-for-the-crypto-king/
https://www.vanityfair.com/news/2019/11/the-strange-tale-of-quadriga-gerald-cotten
https://gizmostory.com/what-we-know-about-gerry-cotton-from-trust-no-one-the-hunt-for-the-crypto-king/
https://www.thescottishsun.co.uk/news/8640258/crypto-king-gerry-cotten-netflix/