Trivago กับบริการเปรียบเทียบราคาโรงแรมที่มีกลยุทธ์ทางการตลาดสุดแหวกแนว

บริการ Online Travel Agency (OTA) ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการพัฒนาของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น อินเดีย ไทย ญี่ปุ่น ล้วนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาตินับล้านคนในทุก ๆ ปี 

และ Trivago ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ทำให้การค้นหาโรงแรมดีขึ้น โดย Trivago ก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคม 2005 เป็นเครื่องมือค้นหาโรงแรมที่ให้บริการกว่าห้าสิบประเทศทั่วโลก ผู้ใช้สามารถค้นหาโรงแรมตามความสะดวกและจองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ Trivago ได้อย่างง่ายดาย

โดยผู้ก่อตั้ง Trivago ประกอบด้วย Rolf Schroemgens, Stephan Stubner, Peter Vinnemeier และ Malte Siewert Schroemgens ซึ่งเป็น CEO ของ บริษัท คนปัจจุบัน บริษัท โดย Trivago มีพนักงานประมาณ 1300 คนมี office อยู่ในทุกมุมทั่วโลก

Rolf Schroemgens สำเร็จการศึกษาที่ HHL-Leipzig Graduate School ในปี 2000 และเริ่มได้เริ่มทำงานใน Ciao.com เขาทำงานเป็นรองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ ก่อนที่จะลาออกจากบริษัทในปี 2001 และหลังจากหยุดพักสามปีเขาก็ได้มาเริ่มพัฒนา Trivago อย่างเต็มตัว

ส่วน Stubner สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายจากมิวนิคและไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ Paderborn เพื่อศึกษาทางด้านธุรกิจ หลังจากจบการศึกษา ตั้งแต่ปี 1999 เขาได้เริ่มเปิดตัว บริษัทที่ให้บริการทางด้านออนไลน์จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงการก่อตั้ง Trivago ซึ่งเขาผู้ร่วมก่อตั้ง ที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ประกอบการมากที่สุดเพราะศึกษามาทางด้านธุรกิจโดยตรง

ส่วน Vinnemeier สำเร็จการศึกษาที่ HHL-Leipzig Graduate School ก่อนที่จะไปศึกษาต่อที่ University of Illinois, Chicago หลังจากนั้น เขามาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและ CTO ของ Ciao.com และลาออกจากบริษัทมาพร้อมกับ Schroemgens เพื่อมาก่อตั้ง Trivago ด้วยกันนั่นเอง

Trivago NV ก่อตั้งขึ้นในประเทศเยอรมนี และถือว่าเป็นเว็บไซต์แรกของประเทศในการค้นหาโรงแรม บริษัท ก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคมปี 2005 ในช่วงก่อตั้งนั้น Stubner ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการเป็นคนแรก แต่เขาได้ออกจากตำแหน่งหลังจากก่อตั้งได้เพียงไม่นานเท่านั้น  

เว๊บไซต์การเปรียบเทียบราคาโรงแรมแห่งแรก ๆ ในเยอรมัน
เว๊บไซต์การเปรียบเทียบราคาโรงแรมแห่งแรก ๆ ในเยอรมัน

ในช่วงต้นนั้นนักลงทุนหลักของ Trivago คือ Samwer, Florian Heinemann และ Christian Vollmann โดยในปี 2008 มีนักลงทุนเข้ามาเพิ่มจำนวนเงินทุนภายใน บริษัท โดย Trivago สามารถระดมทุนได้ 1.14 ล้านดอลลาร์จากการระดมทุน Series B นำโดย HOWZAT Media LLC ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นของยุคใหม่ของ Trivago อย่างแท้จริงหลังจากได้เงินทุนมาอัดฉีดก่อนแรก

ความน่าสนใจของ Trivago คือพวกเขาไม่ได้พึ่งพา Google ในการเพิ่มปริมาณการใช้งานแต่อย่างใด ซึ่งแตกต่างจากเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ทำบริการในลักษณะเดียวกัน ทีมตัดสินใจลงทุนในเรื่องการโฆษณา ดังนั้นจึงใช้รูปแบบการเปิดตัวโฆษณาทางทีวี ซึ่งไม่ได้ใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล เหมือนบริการออนไลน์อื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ  ในการให้สัมภาษณ์ Schroemgens กล่าวว่า ในช่วงแรก ๆ ของการก่อตั้ง Trivago นั้นมีการแข่งขันในตลาดไม่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงพึ่งพาทีวีเพื่อขยายกลุ่มผู้ใช้งานและเป็นกลยุทธ์ที่ทำได้ค่อนข้างดีเสียด้วย

เมื่อพวกเขาเริ่มทำกำไรได้ดีพวกเขาเริ่มขยายกิจการไปยังประเทศอื่น ๆ โดยขายหุ้น 25% ให้กับกองทุนรวมของสหรัฐในเดือนธันวาคม 2010 เพื่อนำเงินทุนมาขยายกิจการ และในท้ายที่สุด บริษัท Expedia Group ได้ทำการซื้อหุ้นใหญ่ใน Trivago ซึ่ง Deal เสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการในปี 2013 ด้วยเงิน 632 ล้านดอลลาร์

ในปี 2015 Trivago ประกาศว่าสามารถทำรายได้สูงถึง 573.4 ล้านดอลลาร์ และรายได้ทั้งหมดมาจากโมเดลธุรกิจของ Trivago โดยพวกเขาใช้รูปแบบของการหารายได้ คล้าย ๆ Google Adwords คือ คิดราคาต่อคลิก เนื่องจาก Trivago เป็นเว็บไซต์ที่ผู้ใช้สามารถเปรียบเทียบราคาโรงแรม ทุกครั้งที่มีการแสดงผลการเปรียบเทียบนั่นก็หมายถึงรายได้ที่เข้าสู่กระเป๋าของ Trivago นั่นเอง

แม้ ทุก ๆ บริษัทจะมีการลงทุนในโฆษณา แต่ไม่มีใครสามารถเอาชนะความสำเร็จของโฆษณาของ Trivago ได้ พวกเขาได้สร้าง ‘Trivago guy’ และ ‘Trivago girl’ ที่มีชื่อเสียง รูปแบบการสร้าง Character เป็นคนที่แต่งตัวประหลาด ‘Trivago’ มีชื่อเสียงอย่างมากในอินเดีย ซึ่งถูกแสดงโดย Abhinav Kumar

Abhinav Kumar นักแสดงในโฆษณา Trivago ของ อินเดีย
Abhinav Kumar นักแสดงในโฆษณา Trivago ของ อินเดีย

ต้องบอกว่าถือเป็นเรื่องน่าสนใจมากกับกลยุทธ์ในการสร้างฐานลูกค้าของ Trivago ที่เน้นการโฆษณาในทีวี ซึ่งถือเป็นสื่อยุคเก่า แต่พวกเขากลับสามารถทำมันได้อย่างยอดเยี่ยม

และในที่สุด Trivago ก็กลายเป็นเว็บไซต์เครื่องมือค้นหาโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดทั่วโลก มันเปรียบเทียบอัตราค่าบริการของโรงแรมมากกว่า 1 ล้านแห่ง และมีเว๊บไซต์ที่ใช้งานในเครือข่ายกว่า 250 แห่ง และ Schroemgens กล่าวว่า บริษัท ก็จะยังคงลงทุนในโฆษณาทางทีวีต่อไปเหมือนเดิม เพราะเป็นกลยุทธ์หลักที่พวกเขาใช้มาและได้ผลมาตลอดนั่นเอง

References : https://skift.com/2016/12/07/inside-story-of-how-trivago-built-a-brand-one-country-at-a-time/ https://en.wikipedia.org/wiki/Trivago https://company.trivago.com/our-story/ https://blog.directpay.online/everything-you-need-to-know-about-trivago/

Movie Review : The Irishman คนใหญ่ไอริช

ต้องเรียกได้ว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์ ที่กล้ามาลงใน แพลตฟอร์ม Netflix เลยทีเดียว สำหรับ The Irishman คนใหญ่ไอริช ที่ลงทุนด้วยการสร้างกว่า 150 ล้านเหรียญ ซึ่งต้องบอกว่า เป็นลำดับต้น ๆ ของการลงทุนในหนังเรื่องเดียวของ Netflix เลยก็ว่าได้

เรื่องราวของนักฆ่านามว่า “แฟรงค์ ชีแรน” (โรเบิร์ต เดอ นิโร) ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมของผู้นำสหภาพแรงงานชาวอเมริกัน “จิมมี่ ฮอฟฟา” ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความเป็น สกอร์เซซี่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันจะต้องมีอะไรลึกลับซับซ้อนให้เราได้ลุ้นระทึกกันยิ่งกว่านั้นอย่างแน่นอน

และหลังจากข่าวดังดราม่าในวงการหนัง Hollywood คำพูดอันร้อนแรงจากการไปวิจารณ์หนังมาร์เวลว่าเป็นเพียงแค่สวนสนุกไม่ใช่ภาพยนตร์ จาก มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ผู้กำกับชื่อดัง ทำให้เขากลายเป็นศัตรูแห่งยุคสมัยของหนังซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลที่ทำรายได้ถล่มทลายในปัจจุบันเลยก็ว่าได้

The Irishman เล่าเรื่องราวในชั่วระยะเวลาร่วม 50 ปีในชีวิตของ แฟรงค์ ชีแรน (Robert De Niro) จากคนขับรถบรรทุกส่งขาหลังวัวไปทำสเต๊ก สู่วงการมาเฟียด้วยการชักชวนของ รัสเซล บัฟฟาลิโน (Joe Pesci) ที่เป็นคนสำคัญที่ทำให้แฟรงค์เปลี่ยนตัวเองมาเป็นนักฆ่าเพื่อเลี้ยงชีพในฐานะมือปืน ก่อนเขาจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้ติดตามของ จิมมี ฮอฟฟา (Al Pacino) เจ้าพ่อแห่งสหภาพแรงงานที่นำลาภยศชื่อเสียงมาให้แฟรงค์ได้สัมผัส แต่ในวงการสีเทา ที่เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศอเมริกาในขณะนั้น

การได้นักแสดงระดับตำนานทั้งสามอย่าง Robert De Niro , Joe Pesci และ Al Pacino จากหนังในตำนานอย่าง The GodFather นั้นทำให้หนังเรื่องนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับคอนักวิจารณ์ รวมถึงคอหนังสไตล์ฮาร์ดคอร์ ที่จะได้เสพการแสดงของนักแสดงระดับตำนานทั้งสามคน

ต้องบอกว่าหนังถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ของสังคมอเมริกาสมัยนั้นได้อย่างดี ผ่านเรื่องราวใหญ่ ๆ อย่างการบุกคิวบาที่ล้มเหลว การลอบสังหารประธานาธิบดี John F Kennedy ซึ่งมีการนำมาผูกเรื่องราวกับสังคมมาเฟียในอเมริกาในขณะนั้น ที่นำโดย จิมมี่ ฮอฟฟา

การแสดงขั้นเทพ ของนักแสดงทั้งสาม นั้นเหมือนการมา รียูเนี่ยน กัน อีกครั้ง แม้จะดูเหมือนเป็นการแสดงง่าย ๆ แต่ทั้งสามได้ถ่ายทอดความเป็นมาเฟีย ของสังคมในยุคนั้นได่้อย่างดีเยี่ยม

แต่การดำเนินเรื่องที่ยืดยาวเกินไปนั้น ก็ทำให้หลาย ๆคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ถึงกับหลับได้เลยหากไม่โฟกัสกับหนังให้ดี เพราะความถึง กว่า 3 ชั่วโมง ตัวละครที่อัดแน่นตลอดเรื่อง ทำให้เราหลุดโฟกัสได้ หากไม่ตั้งใจดูหนังเรื่องนี้

แน่นอน แม้ทั้ง 3 จะแก่ลงไปตามกาลเวลา แต่ผลงานการแสดงก็ยังมีคุณภาพดังเดิม แต่ถ้าจะให้เทียบกับหนังระดับตำนานยุคก่อนที่พวกเขาเคยเล่นกัน อย่าง The GodFather ที่เป็นผลงานสุดคลาสสิกของ Al Pacino นั้นก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้ยังห่างชั้นอยู่มาก เพราะมันหนังคนละยุค และ เป็นช่วงพีคของเหล่านักแสดง ซึ่งต่างจากหนังเรื่องนี้ ที่แต่ละคนอยู่ในวัยชรากันหมดแล้ว ทำให้พลังที่ออกมามันไม่มากเท่าตอนพวกเขายังสด ใหม่ ในยุคก่อน

เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ หากต้องการดู ก็ต้องดูโฟกัสเรื่องราวให้ดี ๆ เพราะอาจจะทำให้คุณหลับได้ ด้วยความยืดยาวของหนัง และ เป็นหนังที่ทำจากเรื่องจริง ที่มันไม่สามารถแก้ไขบทให้สนุกได้เท่าที่ควร มันเลยทำให้หลายคนมองว่าเป็นหนังที่น่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ แต่ยังไงก็ควรอุดหนุนผลงานของสุดยอดนักแสดงทั้ง 3 ที่มีโอกาสน้อยที่จะได้โคจรมาเจอกันเหมือนใน The Irishman คนใหญ่ไอริช นั่นเองครับ