Marc Benioff กับการสร้างอาณาจักร Saleforce บริการ CRM อันดับหนึ่งของโลก

เรื่องราวของ Salesforce เริ่มต้นในเดือนมีนาคม 1999 ในอพาร์ทเมนต์หนึ่งห้องนอนถัดจากบ้านของ Marc Benioff แถบ Telegraph Hill เมืองซานฟรานซิสโก โดยชายกลุ่มเล็ก ๆ ที่ประกอบไปด้วย Mark ,  Parker Harris, Frank Dominguez และ Dave Moellenhoff ซึ่งได้เริ่มต้นธุรกิจใหม่ในสำนักงานเล็ก ๆ ในเมืองซานฟรานซิสโก  

แน่นอนว่าพวกเขากำลังจะสร้างแอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ธุรกิจในรูปแบบใหม่ที่ในขณะนั้นแทบจะไม่มีใครเคยทำมาก่อน ผ่านรูปแบบที่รู้จักในชื่อ Software-as-a-Service (SaaS) โดยการระดมทุนครั้งแรกได้รับการระดมทุนจาก Larry Ellison ของ Oracle (อดีตหัวหน้าของ Marc ที่ Oracle นั่นเอง)

ซึ่งซอฟต์แวร์รูปแบบใหม่นี้ จะทำให้เหล่าลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายล้านดอลลาร์สำหรับความซับซ้อนในเรื่องของการบำรุงรักษาของซอฟต์แวร์ในอดีต ซึ่งพวกเขาได้สร้างต้นแบบตัวแรกที่ทำงานได้ภายในหนึ่งเดือน และได้สร้างแบบจำลองตัวต้นแบบให้มีลักษณะคล้ายกับ Amazon.com ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ Marc ใช้เป็นแรงบันดาลใจในการคิดว่าทำไมแอปพลิเคชันทางธุรกิจไม่สามารถใช้งานผ่านเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายเหมือน Amazon.com

ในเดือนกรกฎาคม 1999 เมื่อ Marc ออกจากงานประจำที่ Oracle และเข้ามาลุยแบบเต็มเวลาที่ Salesforce.com ภารกิจแรกของเขาคือค้นหาสำนักงานที่สามารถปรับขนาดได้เหมือนกับซอฟต์แวร์รูปแบบใหม่ของเขา 

Marc ได้เลือกสำนักงานที่ Rincon Centre ที่มีพื้นที่แปดพันตารางฟุต แต่ช่วงแรกนั้นมีพนักงานเพียง 10 คนเท่านั้น  และเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน 1999 เริ่มมีโต๊ะทำงานในโถงทางเดิน เหล่าพนักงานหน้าใหม่ก็มาสุมหัวรวมกันจนเต็มพื้นที่ออฟฟิศแรกของพวกเขาในที่สุด

เมื่อเข้าสู่ปี 2000 Salesforce ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมออกมาได้สำเร็จ รวมถึงได้มีการย้ายไปยังสำนักงานแห่งใหม่ที่ One Market Street และ ณ ตอนนั้น มันก็ถึงเวลาที่ต้องเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของพวกเขาแล้ว 

ต้องบอกว่า Salesforce ได้ทำสิ่งที่แตกต่างมากและเมื่อเทียบกับพฤติกรรมของยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ Salesforce ในขณะนั้นที่เปรียบเสมือนเป็นปลาตัวเล็ก ๆ ในสระน้ำขนาดใหญ่ แน่นอนว่าพวกเขาต้องทำสิ่งที่โดดเด่นกว่าใครในการเปิดตัว เพื่อให้เป็นที่จดจำ

Salesforce ได้ทำการเปิดตัวที่โรงละครรีเจนซี่ และสร้างความประหลาดใจให้แขกทุกคนที่เข้าร่วม พวกเขาเปลี่ยนโรงละครระดับล่างให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะคล้ายกับ Enterprise Software หรือที่เรียกว่า“ Hell” ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมาก ๆ ในการเปิดตัวซอฟต์แวร์

และพวกเขาได้สร้างแคมเปญโฆษณาที่แข็งแกร่งมาก ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ใช้จุดเด่นของเครื่องบินขับไล่ไอพ่น โดยเครื่องบินขับไล่ไอพ่นถือเป็นตัวแทนของ Salesforce ซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และปฏิวัติสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ส่วนเครื่องบินปีกสองชั้นเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัยและไม่เหมาะสมสำหรับงานในธุรกิจยุคใหม่อีกต่อไป

สัญลักษณ์เครื่องบินไอพ่น แสดงออกถึงความแตกต่างของ Saleforce
สัญลักษณ์เครื่องบินไอพ่น แสดงออกถึงความแตกต่างของ Saleforce

ในปี 2003 ถือเป็นจุดกำเนิดของหนึ่งในกิจกรรมทางการตลาดที่โดดเด่นที่สุดของ Salesforce ก่อนหน้านี้ Salesforce ได้จัดกิจกรรมมากมายทั่วประเทศที่เรียกว่า“ City Tours” ซึ่งมักใช้เวลาราว ๆ 2-3 ชั่วโมง ในการแสดงคุณสมบัติและแผนที่ในการปฏิบัติงานของ Salesforce ล่าสุด รวมถึงให้ลูกค้าในเครือข่ายของพวกเขาได้พบปะพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้ประโยชน์จาก ผลิตภัณฑ์ 

โดยกิจกรรมใหม่นี้ถูกเรียกว่า Dreamforce และแทนที่จะใช้เวลานานสองสามชั่วโมง แต่มันถูกจัดขึ้นในเวลาถึง 2-3 วันแทน โดยงาน Dreamforce ครั้งแรกจัดขึ้นที่ใจกลางเมืองซานฟรานซิสโกที่โรงแรม Westin St. Francis และมีผู้เข้าร่วมลงทะเบียนกว่า 1,000 คนที่มาร่วมงาน และในงานดังกล่าวถูกใช้ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อย่าง Sforce 2.0

ในปี 2005 Salesforce พัฒนาบริการที่จะเปลี่ยนซอฟต์แวร์ธุรกิจไปตลอดกาล BusinessWeek เรียกมันว่า“ eBay for business software” และ Forbes อธิบายว่าเป็น ‘iTunes ของซอฟต์แวร์ธุรกิจ’ Salesforce เรียกบริการนี้ว่า AppExchange

AppExchange ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะมีชุมชนที่ใช้งานผลิตภัณฑ์ ที่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดอยู่เสมอ  AppExchange เปรียบเสมือนสถานที่ให้เหล่าคู่ค้า สามารถที่จะพัฒนาแอปพลิเคชันของตนเองและเปิดบริการให้กับลูกค้าของ Salesforce ทุกคนได้ ซึ่ง Salesforce มองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการส่งเสริมวิสัยทัศน์ของ บริษัท และขยายขีดความสามารถและบริการของ Saleforce นั่นเอง

แต่ Salesforce ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น Parker Harris พัฒนาเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Visualforce ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้สร้างส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ที่พวกเขาต้องการเองได้ ซึ่งพวกเขาสามารถสร้างฟอร์มปุ่มลิงก์และฝังปุ่มต่าง ๆ ที่พวกเขาชอบได้ ซึ่งนี่ถือเป็นการปูทางสำหรับส่วนขยายแบบลอจิคัลของแพลตฟอร์ม Salesforce SaaS ที่มุ่งสู่การเป็น Platform-as-a-Service

พวกเขาเรียกมันว่า Force.com และเปิดตัวใน Dreamforce 2008 ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถสร้างแอปพลิเคชันของพวกเขาเองบนแพลตฟอร์ม Force.com ไม่เพียง แต่อนุญาตให้ผู้ใช้เข้าถึงโซลูชัน CRM ที่แข็งแกร่งและปรับขนาดได้ตามที่ลูกค้าชื่นชอบเท่านั้น

แต่ยังช่วยให้เหล่าลูกค้าของ Saleforce สามารถเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาต้องการได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลโดยตรงต่อเหล่าลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Salesforce เช่น Citigroup, Morgan Stanley, Thomson Reuters และ Japan Post ซึ่งทั้งหมดใช้ Force.com เพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่ต้องการได้ และที่สำคัญมันยังสามารถทำได้เร็วกว่าวิธีการเขียนโปรแกรมแบบทั่วไปถึงสี่เท่าในการสร้างแอปพลิเคชันบน Force.com

และเมื่อโลกได้เปลี่ยนไปขับเคลื่อนด้วยพลังของมือถือสมาร์ทโฟน ผู้คนกว่า 55% ในโลกที่เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนในปี 2013 แน่นอนว่ามันเป็นเวลาที่ Salesforce ต้องหันมาให้ความสำคัญกับมือถือ

โดยก่อนปี 2013 นั้น Salesforce มีแอปพลิเคชันบนมือถือที่ชื่อว่า Salesforce Mobile ซึ่งให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลจำนวนหนึ่งจากโทรศัพท์ได้  แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ลูกค้าต้องการวิธีที่ดีกว่าในการจัดการกับข้อมูลลูกค้าทั้งหมดผ่านแอพบนมือถือ

ในปี 2013 Salesforce เปิดตัวแพลตฟอร์ม Salesforce1 โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดการเข้าถึงข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถเข้าถึงได้บนคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงแอป Salesforce ที่ชื่นชอบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแอปพลิเคชันและการผนวกรวมกับโปรแกรมที่สร้างเอง รวมถึง AppExchange ที่ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดจาก App Store Salesforce1 ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ถูกเรียกว่า Lightning

ผนวกรวมทุกอย่างและเรียกมันว่า Lightning
ผนวกรวมทุกอย่างและเรียกมันว่า Lightning

ต้องบอกว่า เรื่องราวความสำเร็จของ Salesforce.com นั้นน่าประทับใจมาก แต่ผลกระทบของพวกเขาที่มีต่อชุมชนและโลกที่พวกเขาพยายามสร้างนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่องมากกว่า โดยผ่านรูปแบบของโมเดล 1/1/1 ของการทำบุญแบบบูรณาการ (1% ของผลิตภัณฑ์, 1% ของเวลาและ 1% ของทรัพยากร) ของพวกเขานั่นเอง

ซึ่งพวกเขาได้บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ ยังรวมถึงจำนวนเงินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ของผลิตภัณฑ์ของพวกเขาที่ใช้เพื่อการกุศลทั่วโลก  ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรสำหรับ Salesforce และชุมชนที่พวกเขาสร้างขึ้น แต่จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมานั้นดูเหมือนอนาคตของพวกเขาดูจะสดใสอยู่คู่กับวงการธุรกิจไปอีกนาน

ซึ่ง Marc Benioff ได้กล่าวไว้ในปี 2018 ว่ามันยังเร็วไปที่จะกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของ Salesforce เพราะเป้าหมายของเขา คือการเป็น บริษัทมูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์ ให้ได้ภายในปี 2034 นั่นเองครับ

References : https://www.j2interactive.com/blog/brief-history-salesforce/ https://usefyi.com/salesforce-history/ https://www.computerworld.com/article/3427741/a-brief-history-of-salesforce-com.html https://en.wikipedia.org/wiki/Salesforce.com https://en.wikipedia.org/wiki/Marc_Benioff https://fortune.com/2019/10/15/wisdom-of-marc-benioff-ceo-daily/

PayPal Wars ตอนที่ 6 : Revolution – PayPal 2.0

JULY—OCTOBER 2000

เหมือนกับทุก ๆ startup ที่สร้างบริการในยุคนั้น ที่การออกแบบในครั้งแรกนั้น ไม่ได้สร้าง หรือถูกออกแบบมาให้รองรับการ scale ของผู้ใช้งานในระดับหลายล้านคน มาตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งแน่นอนว่า PayPal ก็สร้างมาในรูปแบบเดียวกันคือมุ่งเน้นไปที่การนำเวอร์ชั่นที่ใช้งานได้ออกไปสู่ตลาดให้เร็วที่สุด

Max Levchin ซึ่งเป็นผู้นำในการสร้าง PayPal version แรกนั้น ได้สร้างอยู่บนพื้นฐานของแพลตฟอร์ม Oracle แต่ Musk ต้องการให้ V2 ที่จะพัฒนาขึ้นมาใหม่นั้นอยู่บนพื้นฐานของ Windows NT

ซึ่งแน่นอนว่า X.com นั้นถูก Design มาบนสถาปัตยกรรมของ Windows NT ซึ่งทีมงานของ X.com ถนัดกว่า ส่วน ทางฝั่ง Confinity นั้นถนัด Unix ซึ่งพวกเขามองว่าเสถียร กว่าการใช้งานบน Windows

เกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงในเรื่องสถาปัตยกรรมหลัก ทางฝั่ง X.com นั้นมองว่าวิศวกรของ Confinity นั้นไม่รู้จัก Windows NT จริง ๆ และมองว่ามันไม่เสถียรเท่า Oracle แต่วิศวกรของ X.com นั้นมองว่า การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ บน Windows NT นั้น จะเร็วขึ้นเนื่องจากมีเครื่องมือเพิ่มเติมสำหรับ Windows คอยช่วยเหลืออยู่มากมาย

Musk นั้นมองว่าสถานการณ์ค่อนข้างซีเรียส ที่จะต้องย้ายไป V2 ให้เร็วที่สุด และสั่งให้เริ่มการแก้ไขฟีเจอร์ใน V1 และสั่งลุยเปลี่ยนทรัพยากรของเครื่อง Server ทั้งหมดให้กลายเป็น V2 เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจได้เร็วขึ้น และ รวมถึงเป้าหมายในการรวมฐานผู้ใช้งานของทั้ง PayPal และ X.com เข้าด้วยกันให้ได้ในที่สุด

ปัญหาใหญ่ของวิศวกรทั้งสองฝั่งระหว่าง Unix กับ Windows
ปัญหาใหญ่ของวิศวกรทั้งสองฝั่งระหว่าง Unix กับ Windows

Musk ได้ทำการประกาศรางวัลโบนัส 10,000 เหรียญ ให้กับทุกคนในทีมด้านผลิตภัณฑ์และเหล่าวิศวกร หากสามารถพา PayPal ขึ้นสู่ V2 ได้ก่อนวันที่ 15 กันยายน และหากทำล่าช้านั้น โบนัสจะลดลงไป 1,000 เหรียญในแต่ละวัน และจะหายไปทั้งหมดในวันที่ 25 กันยายน หากทีมงานของเขาทำงานไม่สำเร็จลุล่วงอย่างที่เขาต้องการ

ส่วนในเรื่องของเงินทุนนั้น แน่นอนว่า ด้วยอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินทุนที่ Thiel ได้หามาให้ 100 ล้านเหรียญนั้น ใกล้จะหมดลงเต็มที ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ที่ลูกค้าส่วนใหญ่มักใช้ในการชำระเงิน ซึ่ง Musk ต้องวางแผนการเพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปนั้นอัพเกรดไปใช้บัญชีธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก

แม้ว่าข้อตกลงในการใช้งาน PayPal ของผู้ใช้ นั้นมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ลูกค้าที่มีการใช้งานในเชิงธุรกิจนั้น จำเป็นต้องอัพเกรดเป็นบัญชีธุรกิจที่มีค่าธรรมเนียม แต่ปัญหาคือ ระบบไม่ได้ระบุคำนิยามที่ชัดเจนของ “การใช้งานทางธุรกิจ” ทำให้มีช่องโหว่ให้ลูกค้า ไม่ต้องอัพเกรดไปใช้บัญชีธุรกิจได้

ปัญหาต่าง ๆ เริ่มรุมเร้าตัว Musk ซึ่งสถานการณ์ของบริษัท กำลังจะอยู่ในจุดวิกฤติในทุก ๆ ด้าน ความหวังในเรื่อง V2 นั้นต้องพังทลาย เพราะเหล่าวิศวกรยังทะเลาะกันอย่างไม่จบสิ้นในเรื่องสถาปัตยกรรมที่แตกต่างระหว่าง Oracle และ Windows รางวัลที่ Musk ตั้งไว้มันแทบไม่มีความหมาย V2 ถูก Delayed ออกไปและดูเหมือนจะไม่สำเร็จในเร็ววัน

ส่วนเรื่องแบรนด์ ที่ Musk ต้องการให้ X.com เป็น แบรนด์หลักนั้นก็ดูเหมือนจะไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด เพราะทีมผลิตภัณฑ์ได้ทดลองสำรวจแบบออนไลน์ ว่าลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์ใดมากกว่ากัน ปรากฏว่า PayPal นั้นชนะอย่างขาดลอย Musk ต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่า PayPal คือแบรนด์หลักของบริษัทได้เสียที แม้เขาจะฉุนเฉียวกับเรื่องดังกล่าวมากมายแค่ไหนก็ตาม

และเป็น Sacks ที่เริ่มแผนการในการเลื่อยขาเก้าอี้ของ Musk เขาแอบประชุมลับ ๆ กับเหล่าผู้บริหาร และมีการเรียกร้องให้นำ Musk ออกไป Sacks มองว่าความมุ่งมั่นของ Musk ในการกำจัด PayPal นั้นเป็นอันตรายที่ร้ายแรงต่อบริษัท รวมถึงความเสี่ยงทางด้านเทคโนโลยีที่ต้องย้ายไปอยู่ใน แพลตฟอร์มใหม่ รวมถึงปัญหาเรื่องเงินสดในบริษัทที่ไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขได้ในเร็ววัน

และเพื่อเป็นการบังคับเหล่ากรรมการบริษัท ให้นำ Musk ออกไป Sacks และเหล่าผู้บริหารหลาย ๆ คนขู่ว่าจะลาออก เว้นแต่สมาชิกในคณะกรรมการของบริษัท จะบีบ Musk ออกไป และทำการตั้ง Peter Thiel กลับมาเป็น CEO แทน และสร้างเอกสารขึ้นมาเพื่อบังคับให้กรรมการบริษัท พร้อมใบลาออกของพวกเขาหากคณะกรรมการปฏิเสธที่จะกระทำการดังกล่าว

ส่วน Max Levchin ที่โกรธแค้นจากการตัดสินใจเรื่อง V2 ของ Musk ก็เข้าร่วมวงด้วย โดย Max ได้ไปพบกับ Sacks และ Reid Hoffmann เพื่อหาแนวร่วมเหล่าพนักงานในองค์กรที่เห็นด้วยที่จะเรียกร้องให้มีการปฏิว้ติ Elon Musk ลงจากตำแหน่ง

Max ได้รวมรวมทีมงานที่เป็นวิศวกรทั้งหมด ตอนนี้สถานการณ์ของ Musk นั้นอยู่บนเส้นด้ายแล้ว ซึ่งวันรุ่งขึ้น ทั้งสามคนได้รวมเอาจำนวนพนักงานทั้งหมดพร้อมลายเซ็นต์ และได้ร่างคำร้องไปยังคณะกรรมการ และไปยังห้องทำงานของคณะกรรมการอย่าง Mike Moritz เพื่อนำเสนอเรื่องดังกล่าว

Mike Moritz นักลงทุนหลักอีกคนที่ต้องมาตัดสินใจเรื่องสำคัญ
Mike Moritz นักลงทุนหลักอีกคนที่ต้องมาตัดสินใจเรื่องสำคัญ

ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น Musk ได้ลาพักเพื่อไปดูโอลิมปิกที่ออสเตรเลีย ซึ่งหลังจากที่เขาทราบเรื่องก็ได้บินด่วนกลับมาที่ ซิลิกอน วัลเลย์ ทันที

ดูเหมือนกลุ่มกบฏจะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ เนื่องจาก Max ซึ่งเป็นพนักงานคนเดียวที่มีเก้าอี้ในคณะกรรมการ ที่นอกเหนือจาก Musk พร้อมที่จะลงคะแนนเพื่อดัง Peter Thiel กลับมา ส่วน Musk นั้นต้องการการสนับสนุนจากกรรมอิสระอย่างน้อยสองในสามคน : Moritz จาก Sequoia Capital , John Malloy จาก Nokia Ventures และ Tim Hurd จาก Medison Dearborn

ซึ่งสุดท้าย เหล่าคณะกรรมการของบริษัทเลือกวิธีการประนีประนอม ที่ทำให้ Thiel นั้นกลับมารับตำแหน่ง CEO ชั่วคราว เพื่อรอการค้นหาผู้บริหารเต็มรูปแบบสำหรับ CEO คนใหม่

ส่วน Musk นั้นก็ได้ส่งข้อความแสดงความพ่ายแพ้ของเขาไปให้พนักงานในบริษัทได้รับทราบ เขายอมรับแต่โดยดี เขากล่าวในถ้อยแถลงที่ส่งให้กับพนักงานทุกคนว่า ตอนนี้ถึงเวลาที่จะมองหาผู้บริหารที่จะสามารถพาบริษัทไปสู่ระดับต่อไป ขอขอบคุณพนักงานทุกคนสำหรับการทำงานหนัก และสัญญาว่าเขาจะไม่ได้หนีไปไหนยังคงวนเวียนอยู่ในสำนักงานแห่งนี้อย่างแน่นอน

ซึ่งต้องบอกว่า ถือเป็นการก้าวลงจากตำแหน่งอย่างสง่างามของ Musk ในครั้งนี้ เขาอุทิศการทำงานให้กับบริษัทอย่างเต็มที่จนถึงเวลาที่ต้องก้าวลงจากตำแหน่ง เหลือเพียงการถือหุ้นในบริษัท ที่เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อยู่เท่านั้น

ส่วน Thiel ก็ได้แถลงขอบคุณ Musk สำหรับการทำงานหนักของเขาที่ผ่านมา ส่วนทิศทางของบริษัทชัดเจนว่า Thiel นั้นต้องการให้ PayPal เป็นแบรนด์หลักของบริษัท และลดบทบาทของ X.com ลงนั่นเอง

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ Musk ต้องจากลาไป และการกลับมาอีกครั้งของ Peter Thiel จะทำให้สถานการณ์ของบริษัทดีขึ้นหรือไม่ แล้วปัญหาต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขนั้น Thiel จะจัดการกับมันอย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 7 : Monopolist Strikes

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The New Recruit *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

สหรัฐกับการเปลี่ยนอนาคตของสงครามด้วย AI

Amazon และ Microsoft กำลังแข่งขันกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการลงทุน 10,000 ล้านเหรียญ ให้แก่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ในความพยายามที่จะช่วยสร้างและพัฒนาระบบ AI ที่กล่าวกันว่าจะเปลี่ยนอนาคตของสนามรบและสงครามแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

อย่างไรก็ตามกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯกำลังเผชิญกับอุปสรรคจากสาธารณชน รวมถึงเหล่าพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ ที่อาจทำให้กระบวนการช้าลง เนื่องจากพนักงานของ Microsoft ลังเลที่จะพัฒนาระบบที่ส่งเสริมสงครามและความรุนแรง

ประการที่สองมีการเรียกร้องจาก บริษัทที่สาม (Oracle) ว่าการจ้างงานของ Amazon ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯในโปรเจคก่อนหน้านั้น เป็นต้นเหตุให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างพวกเขา ประการที่สามประชาชนไม่เชื่อว่าโครงการมีมูลค่าการใช้จ่ายสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูงมาก ๆ

โครงการนี้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ War Cloud และมันจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเปลี่ยนสงครามสมัยใหม่ War Cloud สร้างระบบคอมพิวเตอร์แบบคลาวด์ขนาดใหญ่ที่ช่วยให้ทหารสหรัฐฯสามารถจัดเก็บข้อมูลได้อย่างปลอดภัย ซอฟต์แวร์ด้าน AI จะใช้ข้อมูลนี้เพื่อการวางแผนสงครามอย่างละเอียดมาก ๆ แบบที่ไม่เคยมีสงครามครั้งไหนเคยทำได้มาก่อน 

“คลาวด์เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่จะช่วยให้ทหารมีข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจในแผนการรบและมีความสำคัญต่อการรักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยีของกองทัพ”

“มันเน้นด้านภารกิจและยุทธวิธีในการรบ พร้อมกับข้อกำหนดในการเตรียมปัญญาประดิษฐ์ในขณะที่ช่วยสร้างระบบสำหรับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ ”- รายงานจาก เพนตากอน

กระทรวงกลาโหมสหรัฐอ้างว่าการใช้ AI ในกองทัพสหรัฐจะช่วยให้ทหารดำเนินการตามแผนในอัตราที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้กล่าวได้ว่าสามารถช่วยให้ทหารสามารถเข้าถึงข้อมูลลับหลายประเภทรวมถึงแผนการรบผ่านคอมพิวเตอร์ด้วยเทคโนโลยี AI ที่ทรงพลังนั่นเองครับ 

References : https://www.aidaily.co.uk