Darkside of Instagram กับอิทธิพลที่มีผลต่อสภาพจิตใจอันบอบบางของกลุ่มวัยรุ่นทั่วโลก

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่กำลังสร้างปัญหาไปทั่วโลกเลยนะครับสำหรับ Instagram แม้มันจะดูเป็นสังคมในอุดมคติ ที่ทุกต่างมาโชว์สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้ง ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต การท่องเที่ยว การแต่งตัว หรือ การอวดเรือนร่างต่าง ๆ นา ๆ

แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า แม้กระทั่งเจ้าของแพล็ตฟอร์มอย่าง Facebook เองนั้นก็รู้ดีว่า แพล็ตฟอร์ม Instagram ของพวกเขาอันตรายแค่ไหน โดยเฉพาะกับหมู่วัยรุ่น ที่ตอนนี้มันกำลังสร้างปัญหาต่อสภาพจิตใจของวัยรุ่นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ

จากการศึกษาของ Wall Street Journal ที่ได้เข้ามาทำการศึกษาอย่างจริงจังว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา Instagram มีผลกระทบต่อเหล่าวัยรุ่นหรือฐานผู้ใช้งานอายุน้อย ๆ อย่างไรบ้าง

ซึ่งผลออกมาเรียกได้ว่าน่าตกใจมาก ๆ มีรายงานเกี่ยวกับความคิดการฆ่าตัวตายถึง 13% ของผู้ใช้งานชาวอังกฤษ และ 6% ของผู้ใช้ชาวอเมริกันก็ประสบพบเจอกับปัญหาเดียวกัน

“32% ของเด็กสาววัยรุ่นกล่าวว่า พวกเขารู้สึกแย่เกี่ยวกับร่างการของพวกเขา Instagram ทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลง”

มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า 14% ของเด็กชายในสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวว่า Instagram ทำให้พวกเขารู้สึกแย่กับตัวเองมากยิ่งขึ้น

ตามรายงานของ Wall Street Journal นั้น ผู้บริหารระดับสูงของ Facebook ได้ทบทวนงานวิจัยดังกล่าวที่เกิดขึ้นแล้ว มีการอ้างถึงการนำเสนอต่อ Mark Zuckerberg ซีอีโอของบริษัทเมื่อปีที่แล้ว

Mark Zuckerberg ที่รับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (CR:Flickr)
Mark Zuckerberg ที่รับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (CR:Flickr)

แต่อย่างไรก็ตาม Facebook ได้รายงานว่า ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ได้ง่ายนัก โดยมีรายงานว่า Facebook กำลังสร้าง Instagram เวอร์ชั่นสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี

แต่ก็ต้องบอกว่า เหล่าฐานผู้ใช้รุ่นเยาว์ ไปจนถึงวัยรุ่นเหล่านี้ มันคือกุญแจความสำเร็จที่สำคัญของ Instagram ที่ Facebook ค่อนข้างหวงแหนมาก ๆ

หากมีแพล็ตฟอร์มใด ที่คิดจะมาแย่งฐานนี้ของ Facebook เราจะเห็นได้ว่า Facebook พร้อมลุยแบบเต็มที่เพื่อที่จะกำจัดหรือควบรวมบริษัทเลยทีเดียว อย่าง case ของ SnapChat ที่เคยพุ่งแรงขึ้นมา Facebook ก็ทำทุกวิถีทางทั้ง copy ฟีเจอร์ หรือ พยายามเจรจาขอซื้อ จนสุดท้าย SnapChat ก็ผ่อนแรงลงไป

ตอนนี้ น่าจะมี App เดียวที่กลายเป็นหนามยอกอกของ Facebook นั่นก็คือ TikTok ที่กำลังมาแย่งฐานผู้ใช้งานกลุ่มนี้ที่เปรียบเสมือนไข่ในหินของ Facebook ซึ่งจะเห็นได้ว่าตอนนี้ Facebook เองก็ทุ่มเท ทุกสรรพกำลังเพื่อต่อสู้ ตัวอย่างเช่นการเพิ่ม Reels เข้ามา Instagram นั่นเอง

Karina Newton หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Instagram ได้กล่าวถึงรายงานดังกล่าวว่า บริษัทกำลังค้นคว้าวิธีที่จะดึงผู้ใช้ออกจากการหมกมุ่นอยู่กับโพสต์ Instagram บางประเภท

Lori Trahan หนึ่งในสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงข้อกังวลด้านสุขภาพจิตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดีย และเรียกร้องให้ Facebook ละทิ้งแผนการสร้าง Instagram สำหรับเด็ก และมุ่งโฟกัสไปที่การปกป้องผู้ใช้งานที่อายุน้อยแทน

“เอกสารภายในของ Facebook แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของบริษัทในการปกป้องเด็กบน Instagram โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง มันเป็นการละเลยโดยสิ้นเชิง และมันก็เกิดขึ้นหลายปีแล้ว” Trahan กล่าว

Lori Trahan สมาชิกสภาคองเกรส ที่มองเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยรุ่น (CR:Wikipedia)
Lori Trahan สมาชิกสภาคองเกรส ที่มองเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยรุ่น (CR:Wikipedia)

ไม่ตั้งใจแก้หรือไม่รู้จะแก้ยังไง

ต้องบอกว่า ในยุคปัจจุบันนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เรากระทำบนโลกออนไลน์ ล้วนถูกจับจ้อง ถูกตามรอย ถูกประเมิน ทุก ๆ การกระทำที่เราได้ทำไป ล้วนถูกจับตาดูด้วยความระมัดระวัง และบันทึกไว้

ไม่ว่าจะเป็นภาพใดบ้าง ที่เราหยุดมอง และมองมันนานแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รู้ถึงขนาดที่ว่า ตอนไหนที่ใครกำลังเหงา

พวกเขาสามารถรู้ได้ว่าตอนไหนที่ใครซึมเศร้า เป็นคนชอบเก็บตัว หรือ เข้าสังคม มีอาการทางประสาทชนิดใด ซึ่งพวกเขามีข้อมูลเกี่ยวกับเรามากยิ่งกว่า ที่ใครจะเคยคาดคิดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

และที่สำคัญข้อมูลเหล่านี้นั้น ได้ถูกนำไปวิเคราะห์อยู่แทบจะตลอดเวลา โดยจะถูกนำป้อนเข้าสู่ระบบ ซึ่งแทบจะไม่มีมนุษย์คอยควบคุมมันอยู่เลยด้วยซ้ำ

ซึ่งพลังของเทคโนโลยี AI Machine Learning ที่อยู่เบื้องหลังระบบเหล่านี้ ทำให้มันคาดการณ์ได้แม่นยำมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเราจะทำอะไร และ เราเป็นใคร

พวกเขาได้สร้างโมเดล ที่คาดเดาการกระทำของเรา ตัวอย่างเช่น เรามักจะเห็นว่า ระบบเหล่านี้สามารถที่จะทำนายได้ว่า วีดีโอแบบไหนที่จะทำให้เราต้องดูต่อไป และถูกผูกติดกับแพล็ตฟอร์มของพวกเขาไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งเรื่องของอารมณ์ ที่ระบบพวกนี้สามารถทำนายได้ว่า อารมณ์แบบไหนที่สามารถกระตุ้นเราได้

พวกเขามีทีมวิศวกรยอดอัจฉริยะ ที่มีหน้าที่ในการ Hack จิตวิทยาของมนุษย์ โดยใช้วิธีการที่จะเจาะลึกลงไปในก้านสมองของเรา และทำการปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างในตัวเราจากข้างใน

และสุดท้ายก็สามารถป้อนคำสั่งเราได้ ในระดับที่ลึกลงไป โดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ และนั่นคือการที่พวกเขากำลังใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของจิตใจมนุษย์นั่นเอง

แต่ที่น่าสนใจคือ สำหรับวัยเด็กหรือกลุ่มวัยรุ่นนั้น การกระทำเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ ดึงความสนใจของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ

Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ (CR:Social Dilemma Netflix)
Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ (CR:Social Dilemma Netflix)

แม้ว่าโลกเราผ่านการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน สื่อต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่ วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ การเข้ามาถึงของอินเทอร์เน็ต รวมถึงโลกของ Social Media

ซึ่งก็มักจะมีคำพูดว่า มนุษย์เราจะสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับมันได้ในท้ายที่สุด และจะเรียนรู้วิธีใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ในท้ายที่สุด เหมือนที่เราได้เคยเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับสิ่งอื่นๆ ที่เคยผ่านมาในแต่ละยุคสมัย

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เครือข่าย Social Media ยักษ์ใหญ่ในตอนนี้ แทบจะไม่มีมนุษย์คอยควบคุมมันอีกต่อไป เพราะมันได้ปล่อยให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี AI ที่มีความซับซ้อนสูงที่ขึ้นเรื่อย ๆ

ซึ่งผมก็เคยเขียนเรื่องราวเหล่านี้ไปในหลายโพสต์ แม้กระทั่งผู้นำด้านการพัฒนา AI ของ Facebook เอง ก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันอย่างไร

เพราะมีน้อยคนนัก แม้กระทั่งวิศวกรระดับอัจฉริยะของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เองก็ตามที่จะเข้าใจได้ว่า คอมพิวเตอร์ หรือ AI เหล่านี้มันกำลังจะทำอะไรอยู่ ซึ่งเทคโนโลยีด้าน AI เหล่านี้ มีความคิดเป็นของตนเอง ถึงแม้ว่าจะมีมนุษย์เป็นผู้เขียน Code ให้กับมันก็ตามที

ดังนั้นมันคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ตอนนี้เราอาจจะอยู่ในโลกที่ มนุษย์เราเองนั้น ไม่สามารถที่จะไปควบคุมระบบเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นฝ่าย AI ต่างหากที่ควบคุมข้อมูลของพวกเราอยู่นั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2021/09/14/facebook-documents-show-how-toxic-instagram-is-for-teens-wsj.html
https://orge.medium.com/instagram-beware-of-the-toxic-culture-behind-it-7ecff96108b4
https://about.instagram.com/blog/announcements/using-research-to-improve-your-experience
https://www.wsj.com/articles/facebook-knows-instagram-is-toxic-for-teen-girls-company-documents-show-11631620739
The Social Dilemma (Netflix)

Netflix, iPhone และ Facebook กับคำทำนายที่น่าทึ่งของ Bill Gates เมื่อ 25 ปีที่แล้ว

ในปี 1995 Bill Gates ซึ่งเป็นซีอีโอของ บริษัท ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่าง Microsoft ได้ทำการคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตที่มนุษย์เราทุกคนกำลังเจออยู่ในยุคปัจจุบันนี้

การคาดการณ์เหล่านี้แม้หลาย ๆ สิ่งอาจจะไม่ได้เป็นไปในสิ่งที่ Gates คิดนัก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง 25 ปีต่อมาหนังสือเล่มใหม่ที่จะออกวางจำหน่ายในปีหน้า เขาได้มองย้อนกลับไปที่การคาดการณ์เหล่านั้น และนี่คือคำทำนายที่น่าทึ่งที่สุดของ Gates จากปี 1995

1. เขามองเห็นสมาร์ทโฟนเกือบจะตรงกันกับสิ่งที่มีในทุกวันนี้

“ผมคิดและเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้” เกตส์เขียนในบล็อกโพสต์ใหม่ที่มองย้อนกลับไปที่หนังสือของเขาที่ 1995 The Road Ahead เมื่อเขามองไปข้างหน้าสิ่งที่เขาเรียกว่า “กระเป๋าเงินพีซี” นอกเหนือจากชื่อแล้วเขายังอธิบายสมาร์ทโฟนในปัจจุบันในรายละเอียดที่น่าตกใจ นี่คือสิ่งที่เขาเขียนในปี 1995:

มันจะมีขนาดใกล้เคียงกับกระเป๋าสตางค์ซึ่งหมายความว่าคุณจะสามารถพกพาไปในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋าเงินได้ มันจะแสดงข้อความและตารางเวลาและให้คุณอ่านหรือส่งจดหมายและแฟกซ์อิเล็กทรอนิกส์ ตรวจสอบสภาพอากาศ และรายงานหุ้น เล่นเกมที่เรียบง่ายและซับซ้อน ในการประชุมคุณอาจจดบันทึก ตรวจสอบการนัดหมาย เรียกดูข้อมูลหากคุณเบื่อหรือเลือกจากรูปถ่ายที่สามารถเปิดดูได้ง่าย ๆ ของลูก ๆ ของคุณหลายพันรูป

เขาคาดการณ์เพิ่มเติมว่า “wallet PC” จะได้รับการรักษาความปลอดภัยด้วยไบโอเมตริกซ์ซึ่งอาจเป็นลายนิ้วมือที่คุณสามารถใช้เพื่อเข้าชมคอนเสิร์ตหรือขึ้นเครื่องบินซึ่งจะแทนที่การจ่ายด้วยเงินกระดาษ และเจ้าเครื่องดังกล่าวมันจะบอกคุณได้ผ่านลำโพงเมื่อทางออกของคุณกำลังมาถึงบนทางหลวง เขายังเดาราคาได้ค่อนข้างดีตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคา 1,000 เหรียญขึ้นไป

2. เขาคาดการณ์ว่าการสตรีมวิดีโอจะแซงหน้าทีวี

“ โทรทัศน์มีมากว่า 60 ปีแล้ว แต่ในเวลานั้นมันกลายเป็นอิทธิพลสำคัญในชีวิตของเกือบทุกคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว” เขาเขียน แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าวันเวลานั้นอิทธิพลที่ทรงพลังจะสิ้นสุดลง “ไม่มีสื่อออกอากาศที่เรามีในตอนนี้เทียบได้กับสื่อในการสื่อสารที่เรามีเมื่ออินเทอร์เน็ตพัฒนาไปจนถึงจุดที่มีความจุบรอดแบนด์ที่จำเป็นในการรับชมวิดีโอคุณภาพสูง”

สังเกตว่าในปี 1995 ผู้คนมักบันทึกโปรแกรมทางทีวีไว้ดูหรือเช่าภาพยนตร์จากร้านวิดีโอ ซึ่งในภายหลังเขาเขียนว่า “วิดีโอออนดีมานด์เป็นการพัฒนาที่เห็นได้ชัด จะไม่มี VCR หรือตัวกลางใด ๆ คุณเพียงแค่เลือกสิ่งที่คุณต้องการจาก โปรแกรมที่มีให้เลือกมากมาย “

3. เขารู้ว่า Facebook กำลังมา

“อีกหนึ่งแนวคิดที่เป็นศูนย์กลางของหนังสือ The Road Ahead คือเทคโนโลยีนั้นจะช่วยให้เครือข่ายสังคมออนไลน์กลายมาเป็นปรากฏการณ์ของมนุษย์ ” Gates กล่าวในบล็อกโพสต์ของเขา สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือเครือข่ายทางสังคมจะช่วยสร้างความแตกแยกและความไม่ลงรอยกันได้อย่างไร (และในบางกรณีความรุนแรง) ในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขานำผู้คนมารวมกัน “ ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าผู้คนจะเลือกกรองมุมมองที่แตกต่างออกไปและทำให้มุมมองของพวกเขาแข็งกระด้างมากแค่ไหน” เขาเขียน

แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามเมื่อคุณพิจารณาว่าสิ่งที่ Gates ได้ทำการทำนายในปี 1995 ก่อนที่ Friendster และ MySpace จะเปิดตัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Mark Zuckerberg อายุได้เพียงแค่ 11 ปีเท่านั้น ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งเป็นอย่างมากครับ

–> อ่าน Blog Series : Bill Gates-The Man Behind Microsoft Empire

References : https://www.cnbc.com/2019/05/31/bill-gates-1995-predictions-about-streaming-movies-fake-news.html
https://www.businessinsider.com/bill-gates-15-predictions-in-1999-come-true-2017-6
https://thenextweb.com/shareables/2011/05/24/bill-gates-brilliantly-accurate-predictions-for-the-internet-from-1995/
https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Bill_Gates_@_the_University_of_Waterloo.jpg

Geek Story EP61 : Cyberbullying กับจุดจบ Social Network น้องใหม่ไฟแรงอย่าง Yik Yak

ต้องบอกว่ามาด้วย concept ง่าย ๆ เลยสำหรับ social network น้องใหม่ในขณะนั้นอย่าง Yik Yak โดยใช้ concept ง่าย ๆ คือ “a location-based social network that helps you connect with the people around you”

ซึ่งในกระแสที่ social network เจ้าใหญ่ได้ยึดครองตลาดไปแทบจะหมดแล้ว ก็ได้เกิดบริการที่ simple คือ ช่วยคุณติดต่อคนรอบกายคุณ ซึ่งเหมือนจะ idea ที่ดีนะ เพราะ facebook ก็เน้นไปในแนว social ขนาดใหญ่ ทั้งครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นสังคมใหญ่รอบตัวเรามากกว่า แต่ Yik Yak focus ที่ community ขนาดเล็ก ๆ แต่อยู่ใกล้ตัวเราจริง  ๆ ผ่าน location based

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/37futCR

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3mj6Qzs

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Z6zi5Gx37U0

References : en.wikipedia.org,startuphook.com,hyunjinp.wordpress.com,www.wyff4.com,www.slideshare.net

Geek Story EP57 : Bill Gates – The Man Behind Microsoft Empire (ตอนที่ 5)

ต้องบอกว่ามันเป็นครั้งแรกที่ Gates และ Microsoft ต้องพ่ายแพ้ในศึกเทคโนโลยี ให้กับบริษัทหน้าใหม่ ที่เพิ่งเกิดไม่กี่ปีอย่าง Google มันเป็นการฝากรอยแผลในใจให้กับ Gates และ Microsoft เป็นอย่างมาก

แล้วสถานการณ์ที่มาถึงขนาดนี้ Bill Gates จะแก้เกมส์ Google อย่างไร ด้วยความสดใหม่ของเหล่าพนักงาน Google แถมยังได้ไปแย่งชิงตัวเอาพนักงานมือดีมาจาก Microsoft อีกมากมาย มันเป็นการหักหน้า Gates ที่แสนจะเจ็บปวดครั้งแรกในการแข่งขันในธุรกิจทางด้านเทคโนโลยี Gates จะแก้แค้นด้วยวิธีไหน ติดตามรับฟังกันต่อได้เลยครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3nHekwz

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2KvqXg9

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/xppNGBLiI6o

References : https://www.tharadhol.com/blog-series-bill-gates-the-man-behind-microsoft-empire/

11.11 กับคลื่นวัฒนธรรมช็อปปิ้งใหม่จากจีนที่กำลังกลืนกินพฤติกรรมคนไทย

ต้องบอกว่าเป็นกระแสที่มาแรงมาก ๆ กับมหกรรมช็อปปิ้ง 11.11 วันคนโสดจีน ที่กำลังกลายมาเป็นวัฒนธรรมใหม่ของการช็อปปิ้งในประเทศไทย ที่ตอนนี้ยอดขายในเทศกาลดังกล่าวกำลังเติบโตแบบต่อเนื่องในทุก ๆ ปี

ซึ่งแน่นอนว่า มันมีทั้งทีส่งผลดี และส่งผลกระทบต่อพ่อค้าแม่ค้าชาวไทย หลังจากการบุกเข้ามาอย่างหนักของสินค้าจีน และ พ่อค้าแม่ค้าชาวจีน ที่แห่กันมาเปิดร้านในแพล็ตฟอร์มเหล่านี้เป็นว่าเล่น

รวมถึงการที่รัฐบาลไทยได้ส่งเสริมนโยบายด้วยการ ให้ผู้ประกอบการใหญ่จากจีน มาจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าขึ้นในไทย ซึ่งกำลังส่งผลกระทบมาก ๆ ต่อพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยในขณะนี้

แน่นอนว่าการเกิดขึ้นของกิจกรรม เทศกาลต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นผลดีต่อผู้บริโภคชาวไทย ที่ได้ใช้สินค้าราคาถูกมาก ๆ ซึ่งถูกจนเหลือเชื่อในสินค้าบางรายการ ที่เรียกได้ว่าเป็นการ สปอยล์ ผู้ใช้งานชาวไทย ด้วยการลดราคาแบบกระหน่ำ โดยแบกรับภาระต่าง ๆ ด้วยตัวของแพล็ตฟอร์มเอง

ซึ่งเราจะได้เห็นถึงผลประกอบการอย่างที่รู้ ๆ กันว่า พวกเขายิ่งโต ก็ยิ่งขาดทุน และขาดทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาล ผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินในการโฆษณา และ จัดแคมเปญ อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างนิสัยใหม่ให้คนไทยมาซื้อสินค้าผ่าน แพล็ตฟอร์มออนไลน์ของพวกเขา เหมือนที่ทำสำเร็จในประเทศจีนมาแล้วนั่นเอง

และสินค้าจากประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น โรงงานผลิตสินค้าของโลก​ ไปแล้ว ก่อนหน้านี้ หลายธุรกิจทั่วโลกต่างพากันสั่งสินค้าจากจีนมาขายในประเทศของตน แล้วเพิ่มกำไรเข้าไป และทำกำไรได้อย่างมหาศาล

แต่ตอนนี้พ่อค้าแม่ค้าที่ไปนำสินค้าจากจีนมาขาย กำลังจะค่อยๆ หายไป เพราะตอนนี้ หลายๆ ธุรกิจและผู้ผลิตของจีน ได้เริ่มรุกคืบ เปิดตลาดการค้าของตน ขายตรงไปยังผู้บริโภคทั่วโลกผ่านทางแพล็ตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งดีลเลอร์หรือพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป

หรือแม้กระทั่งยังส่งผลกระทบไปยังธุรกิจ Retail เองก็ตาม โดยเฉพาะในสินค้าบางหมวดหมู่ที่ตอนนี้ พฤติกรรมของผู้ซื้อได้เปลี่ยนไป เราเพียงแค่ไปจับ ไปทดลองในห้าง แล้วมาสั่งซื้อสินค้าจริง ๆ ผ่าน online โดยเฉพาะหมวดสินค้า Gadgets IT หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตอนนี้มาลดกระหน่ำบนแพล็ตฟอร์มออนไลน์ที่มีต้นทุนในการบริหารสินค้าที่ถูกกว่าร้านค้า Retail ที่เป็น physical จริง ๆ

และที่น่าสนใจ ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าไป join group ที่เป็นกลุ่มพ่อค้าในแพล็ตฟอร์มต่าง ๆ เหล่านี้ พบว่าตอนนี้แพล็ตฟอร์มเหล่านี้ เริ่มบีบพ่อค้าต่าง ๆ ในแพล็ตฟอร์มมากขึ้น เพื่อดึงเงินคืนเข้าสู่ระบบ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับเข้าร่วม โปรโมชั่นต่าง ๆ เช่น ส่งฟรี ซึ่งเป็นการผลักภาระไปให้กับพ่อค้าที่กำไรแทบจะน้อยนิดอยู่แล้ว หรือ การเริ่มลดการมองเห็นสินค้า เพื่อให้ต้องมีการลงโฆษณากับแพล็ตฟอร์มเพิ่มมากขึ้น

ซึ่งเราจะเห็นบทเรียนจากช่วงก่อนหน้านี้ที่กระแส Social Commerce มาแรงนั้น Facebook ก็ได้ทำในลักษณะเดียวกัน คือการลด Reach และ บีบให้พ่อแม่ค้ามาลงโฆษณา ที่ดูเหมือนต้นทุนค่าโฆษณาจะแพงขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะไม่เหลือกำไรให้อยู่รอดกันอีกต่อไปแล้ว สำหรับพ่อค้าหลาย ๆ รายที่พึ่งพา facebook เป็นแพล็ตฟอร์มหลัก

ซึ่งในระยะยาว นั้นต้องบอกว่า แพล็ตฟอร์มเหล่านี้ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต่าง ๆ ต้องมองเป็นหนึ่งในช่องทางการขายเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ช่องทางการขายหลัก ต้องกระจายความเสี่ยงออกไปในหลาย ๆ ทางเพิ่มมากขึ้น และหาพยายามสร้างเว๊บไซต์ของตัวเองเพื่อให้เป็นฐานหลักที่เราสามารถ control ทุกอย่างได้โดยไม่ต้องรอลุ้นว่าใครจะปรับอะไรของเราได้ในอนาคตนั่นเองครับ