Big Tech x EU กับศึกช่วงชิงข้อมูลส่วนบุคคลของชาติมหาอำนาจโลก

คำเตือนที่ชัดเจนของ Meta บริษัทแม่ของ Facebook เกี่ยวกับการที่จะนำบริการของพวกเขาออกจากยุโรปอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เนื่องจากหนึ่งในผู้กำกับดูแลความเป็นส่วนตัวของภูมิภาคยุโรปเตรียมการตัดสินใจที่อาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้จำนวนมหาศาลที่ไหลผ่านข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในทุก ๆ วันกลายเป็นอัมพาต และมีความเสี่ยงต่อรายได้หลายพันล้านสำหรับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี

คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลของ ไอร์แลนด์ซึ่งควบคุมดูแลบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในซิลิคอนแวลลีย์ที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศ กำลังพิจารณาถึงความถูกต้องตามกฎหมายของข้อสัญญามาตรฐาน (Standard Contractual Clauses หรือ SCC) ที่ Meta, Google ของ Alphabet และบริษัทอื่น ๆ ใช้ในการโอนข้อมูลผู้ใช้จำนวนมากไปยังสหรัฐอเมริกาอย่างถูกกฎหมาย

ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวกล่าวว่าการตัดสินใจดังกล่าวสามารถกำจัดหนึ่งในตัวเลือกที่เหลืออยู่สำหรับ Meta และอาจมีบริษัทเทคโนโลยีอื่นอีกหลายพันแห่งที่ต้องพึ่งพาการจัดส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลทั่วมหาสมุทรแอตแลนติก

ผู้มีอำนาจของไอร์แลนด์ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของ SCC โดยกล่าวว่า มันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปกป้องพลเมืองยุโรปจากการสอดรู้สอดเห็นของหน่วยงานต่างๆ ของสหรัฐฯ

ซึ่งนั่นคือความตึงเครียดในการพิจารณาคดีที่ Meta เตือนในรายงานประจำปีล่าสุดว่า บริษัทจะปิดการให้บริการทั้ง Facebook และ Instagram ในสหภาพยุโรปหากไม่สามารถใช้ SCC ได้

Facebook สร้างรายได้ 8.2 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 25% ของรายรับทั่วโลกในยุโรปในช่วงไตรมาสเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งภูมิภาคนี้เป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญสำหรับ Meta ซึ่งเป็นรองเพียงแค่ตลาดในบ้านเกิดที่สหรัฐฯและแคนาดาเท่านั้น

ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นนั่นจะทำให้การจัดเก็บข้อมูลในยุโรปไม่สามารถทำได้สำหรับบริการใด ๆ ไล่ตั้งแต่วิดีโอเกมไปจนถึงการสตรีมวิดีโอเนื่องจากกฎข้อมูลของยุโรปจะปฏิบัติตามข้อมูลของบุคคลไม่ว่าจะอยู่ที่ใด

โมเดลธุรกิจของ Meta เช่นเดียวกับ Google ของ Alphabet อาศัยการรวบรวมข้อมูลให้เพียงพอที่จะแยกแยะว่าผู้ใช้สนใจหรือต้องการซื้ออะไร และเพื่อแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบริษัทกำลังถูกเล่นงานโดยกฎความเป็นส่วนตัวของยุโรป และการห้ามใช้ SCC อาจทำให้รูปแบบธุรกิจของบริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นและมีประสิทธิภาพน้อยลงโดยเฉพาะในการลงโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

Johannes Caspar นักวิชาการจากหนึ่งในหน่วยงานกำกับดูแลด้านการปกป้องข้อมูลชั้นนำของเยอรมนี กล่าวว่า “สิ่งที่มีความเสี่ยงคือการถ่ายโอนข้อมูลทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ และเหล่าบริการที่พึ่งพาพวกเขา”

อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Nick Clegg ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานฝ่ายกิจการและการสื่อสารระดับโลกของ Meta ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว

อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Nick Clegg ที่กลายมาเป็นผู้บริหารของ Facebook ที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ (CR:The Verge)
อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Nick Clegg ที่กลายมาเป็นผู้บริหารของ Facebook ที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ (CR:The Verge)

Google กล่าวในบล็อกโพสต์เมื่อเดือนมกราคมโดย Kent Walker หัวหน้าฝ่ายกิจการระดับโลกซึ่งเรียกร้องให้ยุติปัญหาอย่างรวดเร็ว

“มันเป็นเดิมพันที่สูงเกินไป การค้าระหว่างประเทศระหว่างยุโรปและสหรัฐอเมริกามีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของผู้คนนับล้านมากเกินกว่าที่จะล้มเหลวในการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ใกล้เข้ามาแบบทันทีทันใด” Walker กล่าว

การโต้เถียงเรื่องการถ่ายโอนข้อมูลเริ่มตั้งแต่ปี 2013 เมื่อ Edward Snowden เปิดเผยขอบเขตการสอดแนมโดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ

การพิจารณาคดีในปี 2020 โดยศาลสูงสุดของสหภาพยุโรปได้ประกาศให้ยกเลิก Privacy Shield ซึ่งเป็นข้อตกลงการโอนถ่ายข้อมูลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเฝ้าระวังของอเมริกา

Tom De Cordier นักกฎหมายด้านเทคโนโลยีและการปกป้องข้อมูลที่ CMS DeBacker ในกรุงบรัสเซลส์ กล่าวว่า “สำหรับหลายๆ บริษัท แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลสหภาพยุโรปในปี 2020 “ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องของการลดความเสี่ยงในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของข้อมูล แทนที่จะพยายามปฏิบัติตามข้อกำหนด 100 เปอร์เซ็นต์”

หากผู้มีอำนาจในไอร์แลนด์มีแนวคิดในเรื่องข้อมูลที่มีความซีเรียสมากกว่านี้ สถานการณ์วันโลกาวินาศสำหรับ Meta และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว

การตัดสินใจของผู้มีอำนาจของไอร์แลนด์ “ตอนนี้อาจเป็นแบบอย่างซึ่งจะทำให้สถานการณ์ทั้งหมดคลี่คลาย” Caspar อดีตผู้กำกับดูแลชาวเยอรมันกล่าว “มันขึ้นอยู่กับนักการเมืองในสหรัฐอเมริกาที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงหรือไม่”

บทสรุป

มันเป็นเรื่องน่าสนใจนะครับ ทำไมยุโรปถึงเริ่มมาจัดการการโอนถ่ายข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนในทุก ๆ ภูมิภาคก็โดนในรูปแบบเดียวกันแม่งกระทั่งประเทศไทยที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เช่นเดียวกัน

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เหล่านี้ รู้ข้อมูลเชิงลึกของประชาชนแทบจะทั่วทั้งโลก แม้จะเป็นบริษัทเอกชนก็ตามที แต่ข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้เราก็ได้เห็นว่าพวกเขามีความแน่นแฟ้นกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกามากมายขนาดไหน

ข้อมูลส่วนบุคคล หรือ แม้กระทั่งข้อมูลทางธุรกิจเหล่านี้ มันได้กลายเป็นอาวุธที่สำคัญให้สหรัฐอเมริกา มีความได้เปรียบกว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เราไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมจีนถึงแบนแอปเหล่านี้ไม่ให้เข้ามาในประเทศ ซึ่งสิ่งที่ยุโรปกำลังทำก็คงไม่ต่างจากที่จีนทำ เพราะพวกเขาเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนแล้ว ตอนนี้ข้อมูลต่าง ๆ ของประชาชนที่สูญเสียไปนั้น มันไม่ได้ใช้เพียงแค่เชิงธุรกิจอย่างที่หลายๆ คนคิด แต่มันนำมาซึ่งอำนาจทางอธิปไตยที่อเมริกากำลังรุกล้ำไปทั่วโลกนั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2021/03/25/big-tech-how-europe-became-the-worlds-top-regulator.html
https://www.scmp.com/tech/policy/article/3167568/meta-google-other-american-tech-giants-face-eu-data-blackout-ruling
https://www.ft.com/content/045346cf-c28a-4f6f-9dce-4f8426129bf9
https://daystech.org/eu-lawmakers-back-rules-to-curb-big-tech-tech-news-news-top-stories/


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube