Synapse กับการปฏิเสธเงินล้านครั้งแรก สู่การบริจาคหุ้น 99% ของ Mark Zuckerberg

ภาพจำของ Mark Zuckerberg ที่คนส่วนใหญ่ได้เห็นนั้นอาจจะมาจากภาพยนตร์เรื่อง “The Social Network” แต่หลายคนก็ไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของ Mark Zuckerberg มากมายนัก

ต้องถือว่าเป็น icons ที่สำคัญของ วงการ startup ทั่วโลกเลยก็ว่าได้สำหรับ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง facebook ที่มีผู้ใช้งานอยู่มากมายทั่วโลกในขณะนี้

สำหรับ ประวัติ mark zuckerberg นั้น ถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของการก่อกำเนิดของ facebook นั้น ต้องย้อนกลับไปที่ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดในปี 2003

mark zuckerberg ถือเป็น อัจฉริยะ คนหนึ่งในด้านคอมพิวเตอร์ ที่หลายคนรู้จักดีในฮาร์วาร์ด เขามีประวัติด้านคอมพิวเตอร์ที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่ตอนเรียน high school โดยเขากับเพื่อน ได้เคยร่วมกันสร้างสร้าง plugin ของ media player เพื่อหา playlist ตามรสนิยมของผู้ใช้ ในชื่อ Synapse 

Mark สร้าง Synapse ในช่วงต้นปี 2000 ซึ่งตรวจจับรสนิยมของเพลงโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นผลงานแรก ๆ ที่มันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มุ่งสู่การเป็นเศรษฐี ของอีกหลายล้านคนในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์

บริษัท ใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ AOL ต้องการซื้อแอปนี้ ซึ่งมีข่าวว่าทาง Microsoft นั้นเคยยื่นข้อเสนอถึง 1 ล้านดอลลาร์ แต่ Mark ได้ปฏิเสธทั้ง Microsoft หรือ AOLและอัปโหลดแอปตัวนี้แจกฟรี ๆ

Synapse โปรเจคที่ Mark ปฏิเสธการขอซื้อจากยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft
Synapse โปรเจคที่ Mark ปฏิเสธการขอซื้อจากยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft

ซึ่งแอปพลิเคชัน Synapse นั้นถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากและสื่อต่าง ๆ ให้ความสนใจมากมาย ทั้ง slashdot.org รวมไปถึงการได้รับการจัดอันดับ 3/5 โดยนิตยสารชื่อดังอย่าง PC Magazine ซึ่งด้านล่างนี้คือบางส่วนของความคิดเห็นจากผู้ใช้ใน cnet.com

“ ฉันใช้เครื่องเล่นสื่อไซแนปส์ที่บ้านและทำงานในช่วงเดือนที่ผ่านมาเพราะเห็นมันถูกพูดถึงใน slashdot.org มันค่อนข้างบั๊ก เช่น เสียงมักจะบกพร่องในตอนต้นของเพลง และฉันได้รับข้อผิดพลาดเหล่านี้ของโปรแกรม ซึ่งเมื่อฉันไปดู Log จากเว็บอินเตอร์เฟส อย่างไรก็คุณสมบัติของ Synapse นั้นน่าทึ่งทีเดียว ต้องใช้เวลาสักครู่ในการเรียนรู้และเห็นได้ชัดว่ามันอยู่ในสถานะของการเรียนรู้ / การเรียนรู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากใช้ไปสักพักมันก็กลายเป็นแอปที่น่าประทับใจทีเดียว  แค่ฝึกมันให้เรียนรู้และคุณจะชอบมัน!”

ข้อความที่ตัดตอนมาจากบทวิจารณ์: “นี่เป็นโปรแกรมเล่น Media ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นในปัจจุบันที่มีฟังก์ชั่นเดียวที่ฉันพบว่ามันขาดคือเครื่องมือแก้ไขแท็กขั้นสูงและความสามารถในการจัดกลุ่มตามอัลบั้ม”

ซึ่งจะเห็นได้ว่า Mark นั้นสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น ในขณะที่เข้าเรียนอยู่เพียงแค่ High School เพียงเท่านั้น และที่สำคัญ มันเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า เรื่องเงินนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการแต่อย่างใด เขาต้องการสร้างสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกเราให้ดีขึ้น จนได้มาสร้าง Facebook ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จอย่างสูงในภายหลังนั่นเอง

และสุดท้าย เขาก็ได้ประกาศสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ หลังจากภรรยาคลอดลูกสาวคนแรก นั่นก็คือการประกาศบริจาคหุ้น 99% ที่เขามีใน Facebook ให้กับองค์กรการกุศล

เนื่องจากโครงสร้างสองชั้นที่ไม่เหมือนใครของการถือหุ้นใน Facebook ซึ่งเขาเป็นเจ้าของหุ้น Super Voting พิเศษ Zuckerberg จึงสามารถให้หุ้นสามัญได้ในขณะที่ยังคงสามารถควบคุมเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เขาก่อตั้งขึ้นในปี 2004 ได้อยู่อย่างเบ็ดเสร็จ แม้จะบริจาคหุ้นไปจำนวนมหาศาลเพื่อการกุศลแล้วก็ตามที

CEO ของ Facebook ประกาศการบริจาคของเขาในจดหมายถึง Max ลูกสาวคนแรกของเขา

“วันนี้ผมและภรรยาตั้งใจจะใช้ชีวิตด้วยการทำส่วนเล็ก ๆ ของเราเพื่อช่วยแก้ปัญหาความท้าทายเหล่านี้ ผมจะยังคงทำหน้าที่เป็น CEO ของ Facebook ต่อไปอีกหลายปี แต่ปัญหาเหล่านี้สำคัญเกินกว่าจะรอจนกว่าที่ผมจะแก่กว่าเพื่อเริ่มงานนี้ ซึ่งการเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ เราหวังว่าจะเห็นประโยชน์เพิ่มมากขึ้นตลอดชีวิตของผม”

“พวกเราก็ได้เริ่มมูลนิธิ Chan Zuckerberg เพื่อเข้าร่วมกับผู้คนทั่วโลกเพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์และส่งเสริมความเท่าเทียมกันสำหรับเด็กทุกคนในรุ่นต่อไป จุดเริ่มต้นของการมุ่งเน้นของเราคือการเรียนรู้ส่วนบุคคล การรักษาโรค การเชื่อมโยงผู้คนและการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”

“ผมจะมอบหุ้น Facebook ของเรา 99% ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 45 พันล้านเหรียญในช่วงชีวิตของเราเพื่อพัฒนาภารกิจนี้ เรารู้ว่านี่เป็นผลงานเล็กน้อยเมื่อเทียบกับทรัพยากรและความสามารถของผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว แต่เราต้องการทำสิ่งที่เราทำได้และทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกของเราให้ดีขึ้นในอนาคต”

ต้องบอกว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากเมื่อ 5 ปีก่อนหน้า Mark ได้ลงนามใน “Giving Pledge” – พร้อมกับเศรษฐีทางด้านเทคโนโลยีคนอื่น ๆ เช่น Bill Gates เพื่อมอบทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของเขาให้กับการกุศลมาก่อนหน้านี้แล้ว

Mark ได้กล่าวถึง Gates ว่าเป็นหนึ่งในวีรบุรุษในวัยเด็กของเขาเพราะความกระตือรือร้นในการสร้าง Microsoft ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี  Gates เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกโดยมีมูลค่าประมาณ 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลของ Bloomberg Billionaires ซึ่งคาดการณ์ว่ามูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของ Mark Zuckerberg อยู่ที่ สี่หมื่นหกพันล้านเหรียญสหรัฐ

Bill Gates ที่เปรียบเสมือนฮีโร่ของ Mark Zuckerberg
Bill Gates ที่เปรียบเสมือนฮีโร่ของ Mark Zuckerberg

Mark ได้ชื่นชมความพยายามเพื่อการกุศลของ Gates ด้วยเช่นกัน จนกลายเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรก ๆ ที่เข้าร่วม Giving Pledge ซึ่งเป็นความริเริ่มที่เริ่มต้นโดย Gates และ Warren Buffett เพื่อนำเงินจากบุคคลที่ร่ำรวย มาบริจาคให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของความมั่งคั่งของพวกเขาเพื่อการกุศล ในช่วงอายุของพวกเขาหรือหลัง โดย Gates ได้ให้คำมั่นว่าจะมอบทรัพย์สินอย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์เพื่อโครงการดังกล่าว

จากบทความชุดนี้เราจะเห็นได้ว่า เหล่าเศรษฐี ในประเทศอเมริกา นั้นกำลังสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับเศรษฐีรุ่นหลัง ๆ ในการบริจาคเงินที่ได้จากการทำธุรกิจ โดยไม่ใช่ทำเพื่อเพียงการประชาสัมพันธ์ หรือ ทำ CSR ให้กับองค์กรเพียงอย่างเดียวเหมือนที่เราได้เห็นในประเทศไทย

แต่มันเป็นการบริจาคความมั่งคั่งส่วนตัว และเป็นส่วนใหญ่ที่มากกว่าครึ่งที่พวกเขาเหนื่อยตรากตรำ สร้างธุรกิจของพวกเขามา ต้องบอกว่า Mark Zuckerberg นั้นถือเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าทึ่ง ที่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกเรา ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางเรื่องธุรกิจอย่าง Facebook ที่มีนวัตกรรมที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์เรามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในเรื่องการกุศล ที่เขาต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น ผ่านกองทุนการกุศล Chan-Zuckerberg ของเขาและภรรยา นั่นเองครับ ซึ่งผมคิดว่าเศรษฐีในไทยเราน่าจะเอาอย่างบ้างนะคร้าาาบบบบ

–> อ่านเพิ่มเติมประวัติ Mark Zuckerberg

References : https://techcrunch.com/2010/10/31/zuckerberg-d-angelo/
https://www.geeknaut.com/synapse-media-player-mark-zuckerbergs-music-app-04191641.html
http://geekhmer.github.io/blog/2016/03/01/4-startups-mark-zuckerberg-created-before-facebook/
https://www.businessinsider.com/mark-zuckerberg-giving-away-99-of-his-facebook-shares-2015-12


NetScape Time ตอนที่ 13 : Monopoly Power

แน่นอนว่าความขัดแย้งที่เริ่มต้นขึ้นจาก Microsoft ในเรื่อง APIs นั้น นำไปสู่ความล่าช้าในการพัฒนาโปรแกรม NetScape 2.0 ซึ่งแต่เดิมงานด้านการพัฒนานั้นก็หนักอยู่แล้วในการพัฒนา Features ใหม่ ๆ ออกมา แต่การเตะตัดขาโดย Microsoft นั้นทำให้งานยากขึ้นเป็นเท่าตัว

วันที่ 21 มิถุนายน ปี 1995 Marc , James Barksdale และทีมงาน ได้พบกับตัวแทนของ Microsoft ซึ่ง ตอนนั้น Microsoft พร้อมที่จะมอบ APIs ให้ แต่เรียกร้องหลายสิ่งหลายอย่างเป็นการตอบแทน

โดย Microsoft นั้นต้องการที่นั่งในคณะกรรมการบริษัท และหุ้นของบริษัทจำนวนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า Microsoft นั้นเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีเงินเหลือมากมาย มันเป็นการบีบบังคับทางธุรกิจ ซึ่ง Microsoft นั้นมีอำนาจเหนือกว่าเพราะเป็นคนควบคุมระบบปฏิบัติการที่เป็นหน้าด่านของโปรแกรมทุกสิ่ง

Jim คิดว่านี่่มันเป็นการใช้อำนาจมาบีบบริษัทชัด ๆ ซึ่งมันดูไม่แฟร์ ซึ่งเขามองว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย และ James เอง ก็รู้สึกโมโหเช่นเดียวกันในเรื่องดังกล่าว จึงได้ตอบปฏิเสธไปในการพบกันครั้งนั้น

NetScape 2.0 ที่ต้องการลงใน Windows 95
NetScape 2.0 ที่ต้องการลงใน Windows 95

หลังจากนั้นเพียงอาทิตย์เดียว Microsoft ก็ยอมให้ส่วนของ APIs สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 95 ในที่สุด และ ทางทีมงานของ Marc ก็ได้เร่งทำจนเสร็จตามกำหนดในที่สุด แต่ไม่มีคำอธิบายใด ๆ จาก Microsoft ว่าความล่าช้าที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะอะไรกันแน่

ตัว James เองนั้น มองถึงอนาคต และทราบดีถึงการแข่งขันที่รุนแรงกำลังจะเกิดขึ้น เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ตื่น แม้ NetScape จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าก็ตาม และผู้ใช้ internet ทั่วโลกต่างหลงรักใน NetScape ในการท่องโลก internet

แม้ Microsoft นั้นจะทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และแทบจะไม่ได้พัฒนาโปรแกรม Mosaic เพิ่มเติมแต่อย่างใด หลังจากที่ได้รับลิขสิทธิ์มาจาก Spyglass ก็ตามที พวกเขาทำทีเหมือนจะสนใจแค่บริการ online ผ่าน Microsoft Network เพียงเท่านั้น

แน่นอนว่า Windows 95 นั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก ๆ ทาง James จึงได้เข้าไปติดต่อกับเหล่าผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ ๆ เพื่อทำการผนวกโปรแกรม NetScape 2.0 เข้าไปในระบบปฏิบัติการที่ให้พวกเขานำมาใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะทำการขายให้กับลูกค้า

มันเป็นการเพิ่มฐานลูกค้า เพื่อช่วยขยายส่วนแบ่งทางการตลาดไปสู่คนที่ยังไม่เคยใช้งาน internet ซึ่งโปรแกรมที่แถมไปด้วยกับเครื่อง น่าจะเป็นผลดีกับลูกค้า ซึ่งถือเป็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์ไปในตัว

แต่แผนการของ James ก็ต้องถูกเบรค โดย Microsoft เพราะหลังจากที่ Microsoft รู้เรื่องดังกล่าว ก็ได้ทำการบีบเหล่าผู้ผลิต ไม่ให้ใช้ โปรแกรม NetScape ติดไปกับเครื่อง เป็นการแทรกแซงอีกครั้งจากยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft

ซึ่งหนึ่งในบริษัทที่แหกกฏอย่าง Compaq ยักษ์ใหญ่ในวงการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในตอนนั้น ซึ่งได้นำโปรแกรม NetScape 2.0 เข้าไปผนวกในเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนหลายรุ่นที่พวกเขาจำหน่าย

แต่ไม่นานนักทาง Microsoft ได้ประกาศยกเลิกลิขสิทธิ์โปรแกรมระบบปฏิบัติการ Windows 95 ที่เคยมอบให้บริษัท Compaq จน Compaq ต้องยุติการติดตั้งโปรแกรม NetScape 2.0 ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองในที่สุด

Compaq ที่เป็นผู้ผลิตอันดับต้น ๆ ในขณะนั้น ยังไม่กล้าขัด Microsoft
Compaq ที่เป็นผู้ผลิตอันดับต้น ๆ ในขณะนั้น ยังไม่กล้าขัด Microsoft

มีการบีบบังคับผู้ผลิตทุกรายไม่ให้ใช้โปรแกรม NetScape มีการขู่ว่าจะเพิ่มค่าลิขสิทธิ์ Windows 95 อีก 3 เหรียญ หากมีการลงโปรแกรม NetScape ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะขายให้กับลูกค้า

เรียกได้ว่ามันเป็นการใช้อำนาจที่ควบคุมตลาดได้แบบเบ็ดเสร็จ ในตลาดระบบปฏิบัติการ Windows ที่ตอนนั้นควบคุมผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์กว่า 80% ที่มีอยู่ทั่วโลก ไม่มีบริษัทใดกล้าต่อกร กับ Microsoft แม้แต่รายเดียว โดยเฉพาะเหล่าบริษัทผู้ผลิต Software ทั้งหลาย

การเรียกค่าลิขสิทธิ์เพิ่มหากมีผู้ผลิตใดลงโปรแกรม NetScape ก็เทียบได้กับว่า Microsoft พยายามเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์เพิ่มในตัวโปรแกรม NetScape นั่นเอง แต่ไปขูดรีดกับเหล่าผู้ผลิตที่คิดจะฝ่าฝืนกฏของ Microsoft แทนที่จะบีบมาที่ NetScape โดยตรง

แน่นอนว่าในตอนนั้น ไม่มีโปรแกรม Broswer ใด ที่สามารถทำงานได้ดีกว่า NetScape แม้ผู้ใช้งานจะชอบโปรแกรม NetScape เพียงใดก็ตาม แต่การนำโปรแกรมเข้าไปบรรจุในเครื่องนั้น จะทำให้เหล่าผู้ผลิตต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น จึงไม่มีผู้ผลิตรายใดกล้าใส่โปรแกรม NetScape เข้าไป

มันเป็นที่ชัดเจนแล้ว่า Bill Gates กำลังจ้องมองลงมาที่ NetScape แบบชัดเจน และเริ่มใส่ใจว่า NetScape จะกลายเป็นภัยคุกคามของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผ่านการกระทำต่าง ๆ อย่างที่ได้กล่าวไป

การที่ระบบปฏิบัติการถูกผูกขาดโดย Microsoft กลายเป็นปัญหาใหญ่ของ NetScape เมื่อสัญญาณมันชัดเจนขนาดนี้ NetScape จะตอบโต้กลับอย่างไร และต้องเตรียมการสำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วยความยากลำบากแค่ไหน ศึกครั้งนี้ ใครจะเป็นผู้ชนะ ตัวจริง โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 14 : The Fall of NetScape (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

NetScape Time ตอนที่ 12 : Fighting the Real Enemy

สถานการณ์ของ NetScape ดูเหมือนจะดูดีไปเสียทุกอย่าง บริษัทสามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ สร้างสถิติต่าง ๆ ไว้มากมาย สำหรับบริษัทหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ มีสื่อมากมายต่างชื่นชมพวกเขา มีการเปรียบเทียบ Marc Andreessen ว่าเป็น Bill Gates คนใหม่แห่งโลก internet

แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตัวอย่างมีให้เห็นในธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่ถึง 20 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอย่ารวดเร็ว ผู้ให้กำเนิด Computer ส่วนบุคคลอย่าง Steve Jobs ก็ไม่สามารถพา Apple ไปสู่ฝั่งฝันได้

ในธุรกิจเทคโนโลยี สินค้าใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมนั้นเกิดขึ้นทุก ๆ วัน ไม่มีใครเข้าใจเรื่องดีกว่า Bill Gates แม้เรื่องที่เขาประสบความสำเร็จในการผูกขาดธุรกิจนี้ แต่ไม่มีมีอะไรมาหยุดยั้งความทะเยอทะยานของเขาได้เลย

วิธีการของ Bill Gates นั้น เขาทำราวกับว่า Microsoft นั้นถูกคุกคามอยู่ตลอดเวลา และต้องต่อสู้เพื่อดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นปรัชญาที่สำคัญที่เราจะได้เห็น Microsoft นั้นลงไปแข่งขันในหลากหลายธุรกิจด้านไฮเทค

ในยุคนั้นต้องบอกว่า Microsoft เป็นบริษัทที่แข็งแกร่งมาก ๆ เครื่อง PC แทบจะทั้งโลกใช้ระบบปฏิบัติการของเขา และ Microsoft ก็ยังเป็นผู้ควบคุมโปรแกรมที่อยู่บนเครื่องเหล่านี้

Bill Gates นั้นมักจะแสดงออกอย่างชัดเจน ว่าไม่ต้องการให้ใครมาเติบโตและเข้มแข็ง และเป็นภัยคุกคามกับธุรกิจของเขา Gates จะมองว่า Microsoft คือตัวแทนของเขา ที่มีความทะเยอทะยาน มีความมุ่งมั่น และชอบเอาชนะ

ในปี 1994 กว่า 80% ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft และพวกเขายังมีความทะเยอทะยาน ที่จะเอาชนะ คู่ต่อสู้ทางธุรกิจในทุก ๆ ราย ไม้เว้นแม้กระทั่งธุรกิจ internet

แม้ในตอนแรก Microsoft จะไม่เข้ามาแข่งโดยตรงกับ NetScape โดยมองธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ internet และทำการก่อตั้ง Microsoft Network เพื่อให้บริการด้านออนไลน์ในปี 1994

Jim นั้นรู้ดีว่า อย่างไรเสีย Microsoft ก็จะกลายเป็นคู่แข่งขันที่น่ากลัวที่สุดสำหรับ NetScape จึงต้องเร่งพัฒนาตัวเองเต็มที่ให้ได้มากที่สุด เพื่อรอการแข่งขันที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

NetScape ต้องการลงในระบบปฏิบัติการใหม่ของ Microsoft อย่าง Windows 95
NetScape ต้องการลงในระบบปฏิบัติการใหม่ของ Microsoft อย่าง Windows 95

ในเดือนกันยายนปี 1994 ซึ่งเป็นเวลา 1 เดือนก่อนการเปิดตัวโปรแกรม NetScape มีการติดต่อจากผู้บริหารที่ดูแลการพัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows 95 จาก Microsoft ได้แจ้งมาทาง NetScape Communication ว่าต้องการที่จะซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมไปลง โดยเสนอเงินสูงถึง 1 ล้านเหรียญเพื่อเป็นค่าลิขสิทธิ์ดังกล่าว

แน่นอนว่า Jim นั้นไม่ต้องการดำเนินธุรกิจร่วมกับ Microsoft เพราะประวัติศาสตร์มันบอกว่า บริษัทใดที่มอบลิขสิทธิ์โปรแกรมให้ Microsoft แล้วนั้น มักจะถูกกำจัดออกจากเส้นทางอยู่เสมอ ซึ่ง Jim นั้นรู้ในเรื่องนี้ดี

มี Case ตัวอย่างมากมายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Rob Glaser ผู้ก่อตั้ง RealNetwork ผู้ขายลิขสิทธิ์ให้ Microsoft สุดท้ายลงเอยด้วยการขึ้นศาลฟ้องร้องบริษัท Microsoft ในไม่กี่ปีต่อมา หรือใน case ของ Sun Microsystem ที่ให้ลิขสิทธิ์โปรแกรมกับ Microsoft เช่นเดียวกัน และภายหลังต้องยื่นฟ้อง Microsoft ในกรณีละเมิดข้อตกลง

ซึ่ง Microsoft นั้นมักจะใช้วิธี ในการดูดกลืนบริษัทเล็ก ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft มากเสียกว่า และ Spyglass ที่เพิ่งเจรจากับ Microsoft ในเรื่องลิขสิทธิ์ของ Mosaic ก็กำลังจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป

Rob Glacer จาก Realnetwork ที่จบไม่สวยกับ Microsoft
Rob Glacer จาก Realnetwork ที่จบไม่สวยกับ Microsoft (ภาพจาก : GettyImages)

แต่การที่ James Barksdale เข้ามาบริหาร NetScape นั้น ก็ช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างมาก มีการเพิ่มพนักงานขายเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง และสถานการณ์ในขณะนั้น ธุรกิจของ NetScape ยังอยู่ในจุดที่ดีมาก ๆ ซึ่งระหว่างนั้น Jim เองก็คิดว่า Microsoft ก็กำลังจับจ้องมามองที่พวกเขาอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน

หลังจากเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ NetScape Communicator 1.0 ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ปี 1994 กระแสตอบรับนั้นออกมาดีมาก ๆ มีลูกค้าหลั่งไหล่เข้ามาเซ็นสัญญาจำนวนมากมาย รวมถึงเกิดช่องทางธุรกิจอื่นๆ ที่ตามมาอีกมากมายด้วยเช่นกัน

จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม ปี 1995 มีการพัฒนา NetScape version 2.0 ออกมา และต้องการมีส่วนร่วมกับการทำงานกับโปรแกรมของ Microsoft ในส่วนของ APIs (Application Programming Interfaces ) เพื่อให้โปรแกรม NetScape สามารถต่อสายโทรศัพท์ผ่านเครื่องที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 95 ได้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องการความร่วมมือกับ Microsoft

และ Microsoft ก็ได้เริ่มแผนการแรกด้วยการ ดึงเวลา ไม่ยอมมอบ APIs ให้กับ NetScape ซึ่ง Jim คิดว่าเป็นแผนการของ Microsoft ที่ต้องการเขี่ย NetScape ออกจากวงจรธุรกิจนี้ โดยไม่ให้ผู้ใช้เครื่อง PC ที่มีถึง 80% ของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดใช้งานโปรแกรม NetScape Communicator version 2.0 ที่จะลงใน Windows 95

เรียกได้ว่า สถานการณ์ในตอนนั้น เริ่มสร้างความกดดันให้กับ NetScape เป็นครั้งแรกจากคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดอย่าง Microsoft ซึ่งมันดูเหมือนเป็นเกมส์ที่ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่เลย เพราะ Microsoft มีระบบปฏิบัติการที่ Control ทุกอย่างของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มันคือแผนการตัดแข้งตัดขา NetScape แบบเห็นได้ชัดเจนครั้งแรก เพราะ APIs เหล่านี้นั้น บริษัทอื่น ๆ ได้รับจาก Microsoft แทบจะทั้งหมด ยกเว้น NetScape เพียงบริษัทเดียวที่ไม่ได้รับความร่วมมือในครั้งนี้

ดูเหมือน Microsoft ยักษ์ใหญ่ สามารถควบคุมเกมส์ ของเขาได้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากสู้กับ Microsoft แต่ Jim และทีมงานจาก NetScape นั้นมาไกลเกินกว่าที่จะถอยแล้ว แล้วพวกเขาจะจัดการปัญหานี้อย่างไร และ เรื่องราวของ NetScape จะลงเอยที่ไหน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 13 : Monopoly Power

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : https://www.telegraph.co.uk/technology/microsoft/windows/11817065/Twenty-years-ago-Microsoft-launched-Windows-95-changing-the-world.html

ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 11 : Glorious Failure

แม้สถานการณ์ในช่วงที่การแข่งขันด้านมือถือ smartphone กำลังขับเคี่ยวกันอย่างสนุก และ ณ ช่วงเวลาดังกล่าว Steve Ballmer ได้ขึ้นมากุมบังเหียนใหญ่เป็น CEO ของ Microsoft อยู่ในขณะนั้น แต่ต้องบอกว่า Bill Gates ในฐานะประธานบริษัท ก็ยังคงมีบทบาทที่สำคัญในการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์แทบจะทั้งหมดของ Microsoft อยู่

ฟากฝั่ง Android จาก Google นั้นเริ่มต้นใหม่ด้วยแนวคิดแบบจอสัมผัส ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ Apple ประสบความสำเร็จกับ iPhone ซึ่ง Android ได้ทำการเปิดตัวมือถือรุ่นแรกคือ HTC G1 โดยเปิดตัวไปเมื่อเดือนตุลาคมปี 2008 

HTC G1 มือถือ Android รุ่นแรกของ Google ที่ดูไม่มีแววว่าจะรุ่ง
HTC G1 มือถือ Android รุ่นแรกของ Google ที่ดูไม่มีแววว่าจะรุ่ง

มันแทบจะไม่มีอะไรพิเศษในแง่ของ Hardware แุถมยังมีแป้นพิมพ์แบบเลื่อนได้คล้าย ๆ มือถือของ Nokia ด้วยซ้ำ และความสามารถในการใช้จอแบบสัมผัสก็ดูต่างจาก iPhone ราวฟ้ากับเหว มันเหมือนรุ่น เบต้า ของ iPhone เสียมากกว่าที่จะมาเป็นคู่แข่งกับ iPhone

แม้จ๊อบส์ จะโมโหมากที่ Google มาทำ Android ออกมาเพื่อแข่งกับ iPhone เพราะตอนแรกทั้งสองเหมือนจะเป็น พาร์ทเนอร์กันมากกว่า แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้ขาดสะบั้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Google ก็ต้องการที่ยืนในตลาด smartphone เช่นเดียวกัน ดีกว่าการไปผูกชะตาชีวิตไว้กับ iPhone ของ Apple ที่จะนำบริการของพวกเขาออกไปเมื่อไหร่ก็ได้

แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Android ที่ทำให้พวกเขาสามารถแจ้งเกิดได้สำเร็จในวงการมือถือโลก น่าจะมาจาก Samsung ที่ได้ลองเปลี่ยนจาก Symbian มาใช้ Android โดยรุ่นแรกที่ได้ใช้ชื่อตระกูล Samsung Galaxy คือรุ่น “Samsung I7500 Galaxy” ที่ได้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2009

โดยกลายเป็น smartphone รุ่นแรกของค่ายที่รันบนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 1.5 (Cupcake) ซึ่งต่อมาทาง Samsung ยังคงพัฒนา smartphone ของตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy รุ่นใหม่อย่าง Samsung Galaxy S

และช่วยให้ผู้คนเริ่มหันมามอง Android เพราะเริ่มมี Features ที่ดูคล้าย iPhone เข้าไปทุกที ในสนนราคาที่ต่ำกว่า และ Galaxy S ก็กลายเป็นมือถือที่ทำให้เห็นศักยภาพของ Android อย่างแท้จริงนั่นเอง

และความชัดเจนมันได้เริ่มเกิดขึ้นในไตรมาส 4 ของปี 2009 Android เริ่มเติบโตขึ้นทั่วโลก มีการขายโทรศัพท์ Android ไปได้กว่า 4 ล้านเครื่อง ซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นมาทาบรัศมีของ Windows Mobile ที่ยอดขายใกล้เคียงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่น่ากลัวมาก ๆ ของ Android ในช่วงนั้น

ในขณะที่ Android กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ฝั่ง Microsoft ก็ได้เริ่มตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ของ Windows Mobile เริ่มจะมีปัญหาครั้งใหญ่ เหล่าผู้บริหารของ Microsoft เริ่มรู้ตัวว่า Windows Mobile นั้นไม่สามารถแข่งขันกับ smartphone รุ่นใหม่ ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น iPhone จอสัมผัส หรือ ระบบปฏิบัติการน้องใหม่อย่าง Android

จึงได้เริ่มมีความคิดที่จะสร้าง แพลตฟอร์ม มือถือใหม่ ที่เป็นจอสัมผัสบ้าง โดยจะใช้ code name ว่า “Windows Phone” ซึ่งจะมีการ Design Interface ของหน้าจอรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Metro” และหันมาใช้เทคโนโลยีของตัวเองในการสร้างระบบปฏิบัติการใหม่นี้ขึ้นมาแทน

Metro UI ของ Windows Phone ที่เหล่านักพัฒนาร้องยี้
Metro UI ของ Windows Phone ที่เหล่านักพัฒนาร้องยี้

และสถานการณ์ของ Nokia ที่แม้จะยังคงเป็นผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ แต่กราฟการเติบโตของพวกเขาเริ่มดิ่งลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในตลาด smartphone ที่ Symbian โดนแย่งชิงตลาดจากทั้ง Android และ iOS ของ Apple อย่างหนัก จนต้องมีการปลด CEO คนเก่าออกแล้วตั้ง Stephen Elop ที่เป็นอดีตลูกหม้อของ Microsoft ขึ้นมากุมบังเหียนแทน

ซึ่งสุดท้าย Elop ที่ด้วยความเป็นลูกหม้อเก่าของ Microsoft ก็ได้ตัดสินใจว่าจะร่วมวงกับ Microsoft ในการผลักดัน Windows Phone และรอให้ Windows Phone นั้นสมบูรณ์พร้อมซึ่งคาดว่าน่าจะภายในปี 2012

โดยทั้ง 2 บริษัทจะใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone เป็นแพลทฟอร์มหลักของ smartphone ของ Nokia โดย Nokia จะอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งฮาร์ดแวร์ การเลือกสรรซอฟต์แวร์ ภาษาที่รองรับและขีดความสามารถในการผลิตและการเข้าถึงตลาด

นอกจากนี้จะร่วมกันให้บริการเพื่อขับเคลื่อนสินค้าใหม่ ๆ เช่น Nokia Maps ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญของบริการเด่นของ Microsoft อย่าง Bing และ AdCenter แอพพลิเคชั่นและคอนเทนท์ของ Nokia จะรวมเข้ากับ Microsoft Marketplace ด้วยเช่นกัน

แต่ดูเหมือนกลยุทธ์ดังกล่าว ก็ไม่ได้ทำให้ Nokia สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด จนสุดท้าย Microsoft ก็ได้เดินเกมเดิมพันครั้งสุดท้ายในตลาดมือถือ smartphone ด้วยการเข้า Take Over เอา Nokia มาครอบครองได้สำเร็จในช่วงปลายปี 2013 

แต่เนื่องด้วยความล่าช้า และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของทั้ง android และ iOS ของ iPhone รวมถึงการที่ตัว Windows Phone ไม่ได้รับความสนใจจากเหล่านักพัฒนา App ให้มาสนใจ Windows Phone เลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญด้วย UI ใหม่แบบ Metro นั้นทำให้เหล่านักพัฒนาแขยงที่จะร่วมวงด้วยเพราะมันมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับ iOS และ Android ที่พวกเขาแทบจะต้องพัฒนาแอปต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่หมด

ทำให้ App ดี ๆ ที่คนใช้งานทั่วไปในทั้ง Android และ iOS ไม่มีการมาพัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Windows Phone และมันก็ได้ทำให้ผู้ใช้งานแทบจะไม่สนใจ Windows Phone เลย จนท้ายที่สุด Windows Mobile ก็ต้องปิดฉากตัวเองไปจากวงการมือถือโลก อย่างที่เราได้เห็นจวบจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 12 : Hit Refresh (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 A Revolution Begins *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 5 : Windows to the World

หลังจากเห็นความสำเร็จของ Macintosh กับระบบปฏบัติการใหม่ที่เป็นกราฟฟิก Microsoft ก็ได้เริ่มพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองที่ใช้รูปแบบของกราฟฟิก และ ใช้การ input ข้อมูลด้วย เม้าส์ แบบเดียวกับที่ Macintosh ทำ

ซึ่งระบบปฏิบัติการดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า “Windows” โดยเป็นการขยายความสามารถของ MS-DOS และให้ผู้ใช้งานใช้เม้าส์สั่งงานผ่านภาพกราฟฟิกที่ปรากฏบนหน้าจอ ซึ่ง Windows มาจากการที่มีหน้าต่างหลาย ๆ หน้าต่าง แต่ละหน้าต่างจะใช้กับโปรแกรมที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง

เป้าหมายใหญ่ของ Microsoft ก็คือการสร้างมาตรฐานแบบเปิด และนำการสั่งงานด้วยภาพกราฟฟิกมาใช้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ MS-DOS นั่นเอง ที่ขณะนั้นได้แพร่หลายไปทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งเนื่องจากการที่ตอนนั้นมีผู้ผลิตคอมพิวเตอร์กว่าพันรายทั่วโลก ทำให้ลูกค้าทั่วไปที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีตัวเลือกมากมาย แต่ Microsoft นั้นเสนอความสามารถในการทำงานร่วมกันได้กับทุกผู้ผลิต

และเหล่าผู้ผลิต Software ที่เกี่ยวข้องที่ตอนนั้นกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่มาก ๆ นับแสนราย แทบจะไม่ต้องกังวลว่า Software ของตนจะนำไปเล่นในเครื่องรุ่นใด แบบใด เพราะ Windows ของ Microsoft นั้นเปิดรับให้กับผู้ผลิตทุกรายนั่นเอง

แม้ตัว Gates เองจะมองว่าความสำเร็จของ Windows นั้นอาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน ใน Windows เวอร์ชั่นแรก ๆ นั้น ต้องใช้กับเครื่องที่มีหน่วยความจำสูง ซึ่งมีราคาแพง และ ยังต้องใช้งานร่วมกับโปรแกรมหลายตัว

หลังจากที่ทำการปล่อย Windows 1.0 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบ 16 bit ที่มีกราฟฟิก ตัวแรกของ Microsoft โดยออกวางขายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1985 วางขายในรูปแบบของ Floppy Disk โดยผู้ใช้ต้องลง DOS ก่อน แล้วถึงลง Windows 1.0 ตามอีกที สามารถรันโปรแกรมของ MS-DOS ได้แบบ Multitasking โปรแกรมที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 1.0 เช่น Calculator, Calendar, Clock, Notepad, Paint เป็นต้น

Windows 1.0 ที่มาพร้อมโปรแกรมมากมาย

ซึ่งหลังจากปล่อย Windows ออกมานั้น ก็มีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง Windows ในเมื่อ MS-DOS มันใช้งานได้ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องมีโปรแกรมมาเขียนซ้อนลงไปบน MS-DOS แล้วใครจะเสียเวลาทำงานกับระบบกราฟฟิก ซึ่งกระแสต่อต้านเหล่านี้มีอยู่หลายปี กว่า Windows จะประสบความสำเร็จ

ซึ่งความสำเร็จของ Windows นั้นมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดย Microsoft พยายามเติมความสามารถใหม่ ๆ เข้าไปอย่างต่อเนื่องให้กับ Windows เพื่อลบคำสบประมาท เหล่านี้

และที่สำคัญยังเปิดให้เหล่าผู้ผลิต Software ทั่วโลก ทุกรายสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อทำงานบน Windows โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งหรือขออนุญาติจาก Microsoft ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Macintosh ของ Apple ที่เป็นระบบปิด

Gates นั้นเปิดเสรีเต็มที่ในด้านการพัฒนา Software เพื่อให้ทำงานกับ Windows มันเป็นการเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม Software ให้ยกระดับจากหน้าจอ Terminal แบบเดิม ๆ ให้กลายมาเป็นระบบกราฟฟิกทั้งหมด ซึ่งแม้จะเป็นโปรแกรมที่มาแข่งกับ Microsoft เอง Gates ก็ไม่เคยโกรธเคืองแต่อย่างใด เขาเพียงต้องการให้อุตสาหกรรม Software ไปในทิศทางที่เขาคิดไว้เท่านั้น

Microsoft นั้นไม่เคยหยุดพัฒนาเพราะรู้ว่าคู่แข่งแต่ละรายนั้นไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น Macintosh , Unix หรือ OS/2 ของ IBM เองก็ตาม Microsoft จะปรับปรุงให้ Windows รุ่นใหม่ ๆ ของเขาดึงดูดใจต่อผู้บริโภคมากที่สุด ทั้งในด้านของราคาและประโยชน์การใช้สอยเองก็ตามที

และในปี 1993 Microsoft ได้ปล่อย Windows 3.11 ออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจาก Windows 3.1 โดยเสริมคุณสมบัติระบบ network และการสร้าง Protocol TCP/IP ที่ช่วยทำให้เครื่อง PC สามารถใช้งานได้ในระบบ Network และคอมพิวเตอร์แบบ Home user สามารถติดต่อผ่านเครือข่าย Internet นับเป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับ PC ในแบบที่ไม่มี Windows ตัวไหนทำได้มาก่อนนั่นเอง

Bill Gates กับการในการผลักดัน Windows ให้เป็นเบอร์ 1 ได้สำเร็จ

ซึ่งสุดท้ายด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถครองใจผู้บริโภคทั่วโลกได้สำเร็จ ก็ทำให้ Windows นั้นกลายเป็นระบบปฏิบัติการหลักที่มีผู้ใช้งานกันทั่วโลก กลายเป็นมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในขณะนั้นได้สำเร็จ

แต่ความท้าทายใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Gates และ Microsoft คือการเข้ามาของ Internet ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของ Gates ที่จะทำให้โลกเห็นว่า Windows เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการเข้าสู่โลก Internet จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ Microsoft เมื่อเทคโนโลยีกำลังจะหมุนเปลี่ยนผ่านไปยังโลกของ Internet โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 6 : NetScape Killer

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 A Revolution Begins *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : http://tahupedia.com/img/uploaded/post/post_4/bill_gates_berhenti_kuliah.jpg

Credit แหล่งข้อมูลบทความ