Geek Story EP37 : ประวัติ Elon Musk The Real Life Iron Man (ตอนที่ 4)

ดูเหมือนสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ใครจะไปคาดคิดว่า อยู่ดี ๆ วิกฤตครั้งใหม่กำลังมาเยือน ขณะก้าวเข้าสู่ปี 2008 บริษัทกำลังจะหมดเงิน โรดส์เตอร์ ใช้เงินทุนในการพัฒนาไปกว่า 140 ล้านเหรียญ หากสถานการณ์ปรกติ มันไม่ยากเลยที่จะระดมทุนเพิ่มเติม แต่ทว่า ปี 2008 อย่างที่ทุกท่านทราบกัน มันคือวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งนึงของอเมริกา

ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในสหรัฐฯกำลังถูกฟ้องล้มละลาย ท่ามกลางวิกฤติการเงินครั้งเลวร้ายที่สุดตั้งแต่ยุควิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งท่ามกลางเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ มัสก์ ต้องโน้มน้าวเหล่านักลงทุนของ Tesla ให้ยอมลงทุนเพิ่มมากกว่า 10 ล้านเหรียญ

แต่ปัญหาคือ ตอนนั้นมีแต่ข่าวเสีย ๆ หาย  ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ของอเมริกา ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ แทบจะไม่มีใครซื้อรถกันแล้ว มัสก์กำลังอยู่ในเส้นทางที่เสี่ยงที่สุดในชีวิตของเขา ทั้งหมดที่เขาทำมาจะล้มครืนลงไปหรือไม่? เขาจะพา Tesla ฝ่าวิกฤติที่รุนแรงที่สุดครั้งนี้ไปได้อย่างไร ติดตามรับฟังกันต่อได้เลยครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/355D761

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2H8s3g5

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/5ZpXLj_216k

References : https://www.tharadhol.com/blog-series-elon-musk-the-real-life-iron-man/

Geek Story EP36 : ประวัติ Elon Musk The Real Life Iron Man (ตอนที่ 3)

ในที่สุด ผลตอบแทนของความพยายามครั้งที่ 2 ในการปฏิวัติวงการการเงินสหรัฐอเมริกาก็สัมฤทธิ์ผล ใน เดือนกรกฏาคม ปี 2002 ebay ได้เสนอซื้อ paypal ที่ 1,500 ล้านเหรียญ มัสก์ และคณะกรรมการจึงตกลงรับข้อเสนอ

ซึ่งดีลนี้ทำให้มัสก์กลายเป็นมหาเศรษฐีเต็มตัวเสียที เขาได้ส่วนแบ่งไปกว่า 250 ล้านเหรีญ และเงินจำนวนนี้ มันถึงเวลาที่เขาต้องล่าฝันต่อไป ฝันที่เค้าจะเปลี่ยนโลกอีกครั้ง แต่คราวนี้มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เขาเคยทำมา ฝันต่อไปของมัสก์ คืออะไร ติดตามรับฟังกันต่อได้เลยครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/315iyW7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2SRzH0X

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/sDI_pzhOj7E

References : https://www.tharadhol.com/blog-series-elon-musk-the-real-life-iron-man/

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 4 : What Do I Do Now?

และแล้วมันก็ถึงเวลาที่ อีลอน มัสก์ จะได้เป็นอิสระ เสียที ในปี 1989 หลังจากที่เขาได้มุ่งหน้าสู่ประเทศแคนาดา เมย์ ผู้เป็นแม่ ก็รู้สึกได้ถึงความดีใจที่มัสก์ ได้ก้าวเข้าสู่โลกใหม่ของเขาได้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป้าหมายต่อไปเขาคือการเดินตามความฝันของตัวเองให้ได้นั่นเอง

ทันทีที่เครื่องบินลงที่เมือง มอนทรีออล มัสก์ ก็ ต่อรถบัสเพื่อไปที่เมือง แวนคูเวอร์ทันที มันเป็นการเดินทางมาแทบจะตัวเปล่าของมัสก์ มันเป็นการผจญภัยครั้งใหม่ของเขา เขาต้องเริ่มทำงานเพื่อหาเงินยังชีพในแคนาดา โดยเริ่มต้นจากงานที่ฟาร์มของญาติของเขา

เขาเริ่มต้นด้วยงานที่ใช้แรงงานอย่าง การดูแลสวน มันเป็นงานที่ไม่น่าเชื่อว่าชายคนนี้สุดท้ายจะกลายมาเป็นมหาเศรษฐีในอนาคต ช่วงแรก ๆ นั้นเขามีเงินติดตัวเพียงไม่กี่พันเหรียญ เขาต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดเป็นอย่างมากในช่วงแรกของการมาใช้ชีวิตที่แคนาดา

และหลังจากนั้นหนึ่งปี ทั้งแม่ และน้อง ๆ ของมัสก์ ก็ได้ย้ายตามมาอยู่ที่แคนาดา ด้วยความที่น้อง ๆ นั้นทนคิดถึงพี่ชายไม่ไหว ซึ่งเป็นช่วงที่ มัสก์ ได้เริ่มตั้งหลักกับชีวิตในแคนาดาได้บ้างแล้ว มัสก์ นั้นได้สมัครเข้าเรียนที่ Queen’s University ซึ่งเป็นมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของแคนาดา

มัสก์ นั้นได้เริ่มเรียนในสาขาธุรกิจ และ ฟิสิกส์ แม้เขาจะไม่เคยเข้าชั้นเรียนเลยก็ตาม ด้วยความอัจฉริยะเป็นกรด เขาแค่อ่าน textbooks แล้วเขาสอบก็เพียงพอที่จะสอบผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ 

และก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่ตอนนั้นมัสก์ เริ่มสนใจที่จะจีบสาวมากกว่าการไปเรียน เหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกเรียนที่ Queen ‘s University ก็เพราะสาว ๆ ที่นี่ Hot กว่าใครนั่นเอง

มัสก์เลือกเรียนที่ Queen's University เพราะที่นี่สาว Hot กว่าใคร
มัสก์เลือกเรียนที่ Queen’s University เพราะที่นี่สาว Hot กว่าใคร

มหาวิทยาลัยนั้นเหมาะกับมัสก์ เขาเริ่มเปลี่ยนตัวเองจากคนที่รู้ไปทุกเรื่อง ก็พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับเพื่อน ๆ มันไม่เหมือนที่แอฟริกาใต้ ที่นี่ไม่มีใครหัวเราะเยาะเขาเรื่องความเห็นที่เขามีต่อเรื่องใหญ่ ๆ อย่างเรื่องพลังงาน อวกาศ รวมถึงสิ่งอื่น ๆ ที่เขาสนใจอยู่ในตอนนั้น

มัสก์ได้เจอกับเหล่าผู้คนที่ตอบสนองต่อความทะเยอทะยานของเขามากกว่าที่จะหัวเราะเยาะเหมือนเคย และเขาก็รักในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาก ๆ มันแทบจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียวระหว่างชีวิตตอนเรียนมัธยม กับ ชีวิตในมหาลัย

มันทำให้เขามีความทะเยอทะยานมากยิ่งขึ้นกว่าตอนเรียนมัธยม เขาได้เรียนทั้งบริหารธุรกิจ เข้าร่วมการแข่งขันการพูดในที่สาธารณะ และเริ่มแสดงภาพลักษณ์เอาจริงเอาจังและชอบแข่งขัน ซึ่งเป็นที่มาของนิสัยและพฤติกรรมของเขาในปัจจุบัน 

หนึ่งในสาวที่ มัสก์ ออกเดทด้วยคือ จัสติน วิลสัน ซึ่งมีอายุอ่อนกว่า มัสก์ อยู่ 1 ปี ที่มีหน้าตาออกไปทางสไตล์ ยุโรป มากกว่าชาวแคนาดาส่วนใหญ่ เธอค่อนข้างเรียนหนัก เพราะต้องรักษาทุนการศึกษาที่เธอได้รับไว้ จึงต้องรักษาเกรดให้อยู่ในระดับสูงอยู่ตลอด

มัสก์ นั้น เจอกับ จัสติน ที่ห้องเรียนติดกันในมหาลัย เขาเริ่มต้นจีบเธอด้วยการโกหกว่า เขาเคยพบกับเธอที่ปาร์ตี้มาก่อน แต่หารู้ไม่ว่า จัสติน นั้นเป็นคนไม่เที่ยว ถือว่าหน้าแตกไม่น้อยสำหรับ มัสก์ แต่เขาก็พยายามออกเดทกับจัสตินให้ได้ แต่จัสติน นั้นไม่ได้ประทับใจมัสก์ เท่าไหร่ตั้งแต่แรก

แม้มัสก์ พยายามตื้อจนได้คบกับ จัสติน ในที่สุด แต่ความรักของทั้งคู่ก็ดูลุ่ม ๆ ดอน ๆ แม้มัสก์นั้นจะพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้นานที่สุด แต่เขาเองนั้นก็รู้ดีว่าเขาก็เตรียมตัวที่จะย้ายไปที่อเมริกาในอีกไม่นาน

อีลอน มัสก์ รู้ตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ว่าที่แคนาดา มันไม่ใช่ที่ที่เขาจะอยู่ถาวรอย่างแน่นอน เป้าหมายของเขาคือ สหรัฐอเมริกา เขามีความคิดตั้งแต่แรกว่าเขาจะต้องสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มี impact ต่อโลกใบนี้ นวัตกรรมรวมถึงความคิดใหม่ ๆ ล้วนเกิดในอเมริกา เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ เป็นที่ ๆ เหมาะที่สุดกับเขาที่จะแจ้งเกิดได้

และในที่สุดเขาก็สามารถมาถึงดินแดนอเมริกาที่เขาฝันไว้ได้สำเร็จ ด้วยทุนการศึกษา ที่ University of Pennsylvania ซึ่งที่นั่นเขาได้เจอกับเพื่อนอย่าง อาดีโอ เรสซี่ ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ University of Pennsylvania เช่นเดียวกัน และ ได้มาแชร์ที่พักอยู่ด้วยกัน

มัสก์เข้าสู่อเมริกาได้สำเร็จได้มาเรียนที่ University of Pennsylvania
มัสก์เข้าสู่อเมริกาได้สำเร็จได้มาเรียนที่ University of Pennsylvania

และถ้าถามว่าความคิดเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มัสก์มีนั้น มันมีอิทธิพลจากเพื่อนเขาคนนี้ นี่เอง เพราะ เรสซี่ เป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ The Green Times ของมหาลัย ซึ่งเป็นสื่อที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และมันเป็น Thesis ที่ใช้ในการเรียนจบปริญญาของ เรสซี่อีกด้วย

เรียกได้ว่า เรสซี่ และ มัสก์ นั้นเข้าขากันได้อย่างดี แม้จะดูเป็นขั้วตรงข้ามกับมัสก์เลยก็ตาม เพราะเรสซี่ จะมีหัวทางศิลปะ ต่างจากมัสก์ ที่เป็นเด็กเนิร์ด บ้าเรียน และไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก

มันต่างจากชีวิตที่แอฟริกาใต้อย่างชัดเจน มัสก์ อยู่ที่นี่ด้วยความสุข ที่บ้านของพวกมักเชิญเพื่อนๆ  มาจัดปาร์ตี้กัน บางครั้งก็เปลี่ยนบ้านเช่าของพวกเขาให้กลายเป็นคลับดี ๆ นี่เอง พวกเขาจัดปาร์ตี้ขนาดยักษ์ มีคนมาร่วมกว่า 500 คน โดยเก็บค่าเข้าคนละ 5 เหรียญ โดยสามารถที่จะดื่มเบียร์ได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งมันเป็นธุรกิจอย่างนึงที่ทั้งคู่คิดไว้อย่างดี ด้วยหัวทางด้านธุรกิจของมัสก์ ทำให้บางปาร์ตี้ สามารถทำกำไรได้กว่า พันเหรียญ ซึ่งมันมันสามารถจ่ายค่าบ้านด้วยการจัดงานปาร์ตี้เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น

เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นปาร์ตี้
เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นปาร์ตี้

ถ้าไม่ปาร์ตี้ มัสก์ ก็มักจะขลุกอยู่กับเกมส์ FPS ซึ่งเป็นเกมส์ที่เขาติดหนึบเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าบางทีเขาเล่นเกมส์มากกว่าเรียนอีกด้วยซ้ำ เพราะเรื่องเรียนไม่เคยเป็นปัญหาของคนระดับอัจฉริยะอย่าง อีลอน มัสก์ เขาอ่านหนังสือเอง และไปสอบได้แบบผ่านฉลุยแทบจะทุก ๆ ครั้ง

และไม่ใช่แค่เพียงทำแต่เรื่องไร้สาระเท่านั้น เขาใช้เวลาบางส่วนในการเริ่มคิดแผนธุรกิจ สำหรับธุรกิจ E-Book Scan รวมถึงใช้เวลาในช่วงพัก summer เข้าไปฝึกงานกับบริษัทชื่อดังอย่าง Pinnacle Research 

อย่างที่กล่าวในบทที่แล้ว มัสก์ นั้นสามารถสร้างเกมส์ได้ตั้งแต่เด็กและหาเงินรายได้ด้วยตัวเองโดยส่งเกมส์ไปให้นิตยสารเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเวลาว่างตอนอยู่มหาลัยเขาก็ได้ไปรับงานสร้างเกมส์ ให้กับ Rocket Science Games เขามีส่วนในการสร้างเกมส์มากมายเช่น Loadstar:The Legend of Tully Bodine ที่วางขายในปี 1994 รวมถึง Cadillacs and Dinosaurs: The Second Cataclysm ที่ออกจำหน่ายในปี 1995 

เกมส์ที่มัสก์มีส่วนร่วมในการสร้าง Loadstar:The Legend of Tully Bodine
เกมส์ที่มัสก์มีส่วนร่วมในการสร้าง Loadstar:The Legend of Tully Bodine

และเป็นช่วงที่เรียนมหาลัยนี่เอง ที่มัสก์ เริ่มที่จะสนใจเรื่องของพลังงานแสงอาทิตย์ และการหาวิธีควบคุมพลังงานแบบใหม่ ๆ มัสก์เจาะลึกลงไปถึงการทำงานของเซลล์แสงอาทิตย์ และองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เขาได้ทำรายงานเกี่ยวกับ สถานีพลังงานในอนาคต เป็นภาพแผงพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดยักษ์สองแถวในอวกาศ ซึ่งแต่ละแถวกว้าง 4 กิโลเมตร ส่งพลังงานมาบนโลกผ่านคลื่นไมโครเวฟ สู่จานรับสัญญาณขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 กิโลเมตร 

รายงานอีกเรื่องที่เขาทำเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องตัวกักเก็บพลังงานรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเหมาะกับสิ่งที่เขาพยายามทำต่อไปในอนาคต ทั้งกับรถยนต์ เครื่องบิน ยานอวกาศ มันเป็นจุดสำคัญในเรื่องของการส่งพลังงานออกมาได้รวดเร็วกว่าแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักเท่ากันถึง 100 เท่า

ซึ่งสุดท้าย แม้เขาจะไม่ได้ขยันเรียนมากมายนัก แต่สุดท้ายเขาก็ได้ปริญญามา 2 ใบ คือ ด้านการเงินจาก Wharton Shool และ สาขาฟิสิกส์ จาก University of pennsylvania ซึ่งหลังจากเขาทำเป้าหมายแรกได้สำเร็จ มันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป เพราะตอนนี้เขามีความรู้ทั้งเรื่องของวิทยาศาสตร์ และ เรื่องธุรกิจ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และที่สำคัญ ช่วงเรียนมหาลัยนี่เอง ที่ทำให้เขาเกิดไอเดียที่ยิ่งใหญ่มากมาย ในหัว ทั้งเรื่องเกมส์ เรื่องอินเตอร์เน็ต พลังงานที่ไร้ขีดจำกัด และเรื่องการเดินทางในอวกาศ  ซึ่งล้วนแล้วแต่จะเป็นสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ในอนาคตแทบจะทั้งสิ้น 

จากตอนนี้จะเห็นว่า ชีวิตในมหาลัยของมัสก์ นั้นเปลี่ยนจากช่วงมัธยมอย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มเข้ากับผู้คนได้ และเริ่มมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ที่มันกำลังจะเกิดขึ้นจริง แล้วหลังจากเขาเรียนจบมหาลัย จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ อีลอน มัสก์ เขาจะหาเงินทุนมาสร้างธุรกิจที่เป็นไอเดียบรรเจิดของเขาได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : The Meaning of Life

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 2 : Lost Cities

หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าตัว อีลอน มัสก์ นั้นได้เติบโตขึ้นในวัยเด็กในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งประเทศแอฟริกาใต้ นี่เองเป็นที่ ที่ มัสก์ นั้นได้หล่อหลอมเอาความคิด และ นิสัยบางอย่าง จากสภาพแวดล้อม รวมถึงวัฒนธรรม ที่สุดท้ายมันได้หล่อหลอมให้กลายเป็น อีลอน มัสก์ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

และหลายท่านอาจจะไม่รู้ว่า นามสกุลของ อีลอน มัสก์ นั้น นับเป็นหนึ่งในนามสกุลที่เก่าแก่ที่สุดนามสกุลนึงเลยก็ว่าได้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งถือได้ว่า มัสก์ นั้นเป็นนามสกุลแรก ๆ ของอังกฤษ หลังจากประเทศอังกฤษนั้นได้ เริ่มมีการปรับมาให้ใช้นามสกุลเพิ่มจากเดิมที่เหล่าประชากรจะมีแต่เพียงแค่ชื่อเพียงเท่านั้น ซึ่งการเกิดขึ้นของนามสกุล ก็เพื่อใช้ในการจัดเก็บภาษี ได้สะดวกขึ้นนั่นเอง

ถ้าจะย้อนไปถึงรากเหง้าจริง ๆ ของตระกูล มัสก์ นั้น มีข้อมูลว่าสามารถที่จะติดตามย้อนกลับไปได้ถึง ศตวรรษที่ 18 ต้นตระกูลจริง  ๆ นั้นคือ เฮนรี่ มัสก์ ที่ได้แต่งงานกับ Mary Faulkener ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ และมีลูกๆ  รวมทั้งสิ้น 4 คน และสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาจนถึง อีลอน มัสก์ ในปัจจุบัน

มัสก์ มักจะถูกล้อเสมอ ๆ ในวัยเด็ก เพราะชื่อที่แปลกประหลาดอย่าง อีลอน นั้นมีที่มาจากไหน ซึ่งชื่อของเขามาจาก คุณตาทวด ที่ชื่อ จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน ซึ่งคุณตาทวดของมัสก์ นั้น ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มียารักษาในขณะนั้น โดยเสียชีวิตในปี 1909

ภรรยาของ คุณตาทวด จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน คือ  อัลเมด้า ฮัลเดอมัน ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับลูกชาย ซึ่งก็คือคุณตาของมัสก์ โจชัว ฮัลเดอมัน โดยหลังจากสามีได้เสียชีวิตไป ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ แคนาดา ด้วยความเชื่อที่ว่าหากเป็นโรคเบาหวาน จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากอยู่ในที่ที่หนาวพอ ซึ่งแคนาดาสามารถตอบสนองสิ่งดังกล่าวได้ดี

ซึ่งต้นแบบหลักของมัสก์ ก็น่าจะเป็นคุณตาของเขาอย่าง โจชัว ฮัลเดอมัน นี่เอง ที่เป็นผู้ชายแหวกแนว ที่มีความโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งเป็นต้นแบบที่สำคัญของมัสก์ต่อมา

โจชัว คุณตาของมัสก์ นั้นทำงานได้หลายอย่าง และยังมีทักษะในหลาย ๆ เรื่องเช่น การต่อยมวย การเล่นมวยปล้ำ การยิงปืน การไต่เชือก เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายเลยทีเดียวในขณะนั้น 

คุณตา โจชัว ได้แต่งงานกับ วีน ครูสอนในสตูดิโอเต้นรำชาวแคนาดาในปี 1948 โดยมีลูกด้วยกัน 5 คน และสองในห้า นี้เป็นฝาแฝด คือ เคย์ และ เมย์ ซึ่งคือ แม่บังเกิดเกล้าของอีลอน มัสก์ ในภายหลังนั่นเอง

เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์
เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์

คุณตา โจชัว เป็นคนโลดโผน และใช้วิธีเสรีนิยมในการเลี้ยงลูก ๆ ของเขา เขาชอบขับเครื่องบิน ในตอนนั้นเขาได้เปิดคลินิกไคโรแพรกติก ซึ่งคลินิกแพทย์ทางเลือกที่มีความนิยมในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก

แต่ในปี 1950 ชีวิตของคุณตา โจชัว และครอบครัวก็ต้องออกผจญภัยอีกครั้ง เพราะคุณตาเบื่อกับระบบราชการแคนาดาที่ชอบมาก้าวก่ายชีวิตการทำงานของเขา และนิสัยรักการผจญภัยของเขา รวมถึงเขาก็มีแนวคิดที่จะนำเอาคลินิกไคโรแพรกติกไปเผยแพร่ในประเทศอย่างแอฟริกาใต้อีกด้วย เขาจึงพาครอบครัวทั้งหมดออกเดินทางไปแอฟริกาใต้ ที่ๆ พวกเขาไม่เคยไปมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

ไคโรแพรกติก เป็นแพทย์ทางเลือก ที่ปัจจุบันก็ยังไ้ดรับความนิยม
ไคโรแพรกติก เป็นแพทย์ทางเลือก ที่ปัจจุบันก็ยังไ้ดรับความนิยม

สำหรับเมืองในแอฟริกาใต้ ที่ โจชัว ต้องการจะไปอาศัยนั้น เขายังไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่แรก เขาทำการบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเขาสำรวจดูเมืองต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาใต้ จนสุดท้าย มาปักหลักอยู่ที่เมือง พริทอเรีย นอกกรุงโจฮันเนสเบิร์ก 

ย้ายมาอยู่ Pretoria ที่แอฟริกาใต้
ย้ายมาอยู่ Pretoria ที่แอฟริกาใต้

และที่แอฟริกาใต้นี่เองที่เปิดโอกาสให้ โจชัว ได้ใช้ชีวิต โลดโผนผจญภัยได้อย่างเต็มที่ มีเรื่องที่น่าสนใจที่ โจชัวต้องการค้นหาสิ่งหนึ่งนั่นก็คือ Lost City หรือ เมืองโบราณในทะเลทราย คาลาฮารี ที่มีการตีพิมพ์เรื่องราวจากนักเดินทางชื่อดังอย่าง ฟารินี่ ที่เคยเขียนบันทึกเกี่ยวกับเมืองลึกลับแห่งนี้ ว่ามีซากของเมืองโบราณอยู่ และหลังจากที่ ฟารินี่ กลับไปที่ยุโรป ก็ได้ตีพิมพ์ เรื่องนี้ออกสู่สาธารณชน ทำให้มีผู้คนสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึง ตัวโจชัวด้วยนั่นเอง

มันได้ท้าทายโจชัวให้ไปค้นหา นิสัยรักการผจญภัยของเขา จึงได้ทำการออกทำการค้นหาเมืองลับแลในทะเลทราย คาลาฮารี ที่แสนน่าสะพรึงกลัว เขาต้องการเห็นด้วยตาตัวเอง ทะเลทราย คาลาฮารี เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย นา ๆ นับชนิด รวมถึงยังมีชนเผ่าโบราณ ที่ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมอาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้

เมืองลับแล ในทะเลทราย คาลาฮารี ที่ โจชัว คิดว่ามาอยู่จริง
เมืองลับแล ในทะเลทราย คาลาฮารี ที่ โจชัว คิดว่ามาอยู่จริง (Credit : messagetoeagle.com)

ทะเลทรายคาลาฮารี ได้ชื่อว่าเป็นทะเลทรายที่อุดมสมบูรณ์และเปียกชื้นที่สุดของแอฟริกา มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก สภาพภูมิประเทศเป็นทุ่งหญ้าสลับกับต้นไม้ มีลักษณะคล้ายทุ่งสะวันนา ในอดีตทะเลทรายคาลาฮารีเคยมีพื้นที่กว้างขวางไปจรดถึงทะเลทรายสะฮาราทางตอนเหนือ ปัจจุบันอุณหภูมิในช่วงเวลากลางวันที่แดดร้อนจัดอาจสูงได้ถึง 70 องศาเซลเซียสบนพื้นดิน และในเวลากลางคืนก็มีอุณหภูมิถึงขั้นติดลบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท้าทายสำหรับนักเดินทางเป็นอย่างมาก

เขาออกสำรวจที่ทะเลทรายหลายครั้ง บางครั้งก็พาภรรยา วีน รวมถึงลูกชายอย่าง สก็อตไปด้วย มันเป็นการผจญภัยที่น่าสนุกสำหรับ โจชัว แต่ไม่สนุกสำหรับลูกชายเขาเลย เพราะบางครั้ง การนอนค้างแรม อาจจะมีสิงห์โต หรือ เสือ ตัวยักษ์ มาเยี่ยมเยียน เต๊นของพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์ เพื่อมาทำอาหาร ต้องบอกว่ามันเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบของชายรักการผจญภัยอย่าง โจชัว

การออกผจญภัยแต่ละครั้งใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ ซึ่งเขาก็ได้พยายามหาเมืองลึกลับ ตามที่ ฟารินี่ บันทึกไว้ แต่ก็ไม่ได้พบมันซักครั้ง ซึ่งสุดท้าย ก็เกิดโศกนาฏกรรม กับตัวเขาเอง เพราะเขาได้ประสบอุตบัติเหตุเครื่องบนตกจนเสียชีวิตในที่สุดในปี 1974 

ซึ่งสุดท้ายได้มีการทำการวิจัยเรื่องที่ฟารินี่เล่าในบันทึกการเดินทาง และมีหลักฐานบางอย่างที่มาหักล้างว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด แต่ ก่อนที่โจชัว จะเสียชีวิตนั้น เขาก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่า Lost Cities หรือ เมืองลับแล แห่งนี้นั้นมันมีอยู่จริง ๆ 

ตอนนั้น อีลอน มัสก์ ยังอยู่ในวัยหัดเดิน แต่ ต้องบอกเลยว่า คุณตา โจชัวของเขานั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อหลาย ๆ อย่างของอีลอน มัสก์ เมื่อเขาเติบโตขึ้นมา อีลอน นั้นได้ยินวีรกรรมมากมายเกี่ยวกับความกล้าหาญของคุณตา โจชัว ของเขา

อิทธิพลของคุณตาโจชัว นั้นส่งผลถึง อีลอน มัสก์ เป็นอย่างมาก
อิทธิพลของคุณตาโจชัว นั้นส่งผลถึง อีลอน มัสก์ ตั้งแต่วัยเด็ก เป็นอย่างมาก

เขาได้ดูภาพถ่ายนับไม่ถ้วน ที่บันทึกการเดินทางของคุณตาโจชัวของเขา มันเป็นการผจญภัยที่แสนมหัสจรรย์ ที่ อีลอน มัสก์ นั้นรับรู้มาตั้งแต่เด็ก มันคือจิตวิญญาณของการชอบสำรวจ และทำอะไรบ้า ๆ ซึง อีลอน มัสก์ นั้นเชื่อว่า นิสัยสำคัญอย่างนึงของเขา ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเกิดขีดจำกัดธรรมดาของมนุษย์ของเขา นั้น น่าจะเป็นมรดกตกทอดจาก คุณตา โจชัวของเขาโดยตรงนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 3 : Boredom Leads to Great Things

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ