ประวัติ Jack Ma แห่ง Alibaba ตอนที่ 12 : Business Reforms

สำหรับผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ ดอทคอมแล้วนั้น ช่วงปี 2000 นั้นถือว่าเป็นปีที่สาหัส สำหรับทุก ๆ คน ทุกบริษัทกับเผชิญกับอันตรายกับการล้มพังพินาศได้ หากทำอะไรที่ผิดพลาดไปในช่วงนี้ มันคือหายนะกับบริษัทดี ๆ นี่เอง เพราะตอนนี้ไม่เหลือทุนให้ผลาญเล่นเหมือนในอดีตอีกต่อไป นักลงทุนทั้งหมดกำกระเป๋าตัวเองไว้แน่นไม่ยอมให้ทุนกับบริษัท internet อีกต่อไป

อาลีบาบา แม้จะทำการปลดพนักงานขนานใหญ่ไปแล้ว  แต่ก็ตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงอยู่เหมือนกัน เดิมทีนั้นกำลังมีแผนเพิ่มทุนอีกรอบ แต่ตอนนี้ไม่มีนักลงทุนผู้ใดกล้าเสี่ยงกับธุรกิจ internet ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้

ซึ่งไม่ใช่แค่ไม่ลงทุนเพิ่มเพียงเท่านั้น เหล่านักลงทุนนั้นเตรียมจะถอนทุนออกไปด้วยซ้ำเพื่อเปลี่ยนมันเป็นเงินสด คือครองไว้ ดูจะปลอดภัยกว่าในสถานการณ์ขนาดนั้น ซึ่งต้องยอมรับว่า อาลีบาบา ก็เหมือนบริษัทอื่น ๆ ใน internet เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีผู้สนับสนุนเงินมาตั้งแต่แรก อาลีบาบาคงไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ในช่วงฟองสบู่ ดอทคอม แตกเป็นเสี่ยง ๆ เช่นนี้

ตลาด internet กำลังอยู่ในช่วงขาลงหลังฟองสบู่ดอทคอมแตก
ตลาด internet กำลังอยู่ในช่วงขาลงหลังฟองสบู่ดอทคอมแตก

แจ๊คต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้อาลีบาบา อยู่รอดต่อไปได้ นอกจากการเลิกจ้างงานครั้งใหญ่ รวมถึงปิดศูนย์ R&D ที่ ซิลิกอน วัลเลย์ มันต้องมากกว่านั้น ทำเพียงแค่นี้ ยังไม่สามารถทำให้อาลีบาบารอดได้

Business Reforms

แจ๊คจึงต้องคิดแผนเพื่อให้อาลีบาบารอด โดยกำหนด ยุทธศาสตร์ ไว้ สามอย่างคือ หนึ่ง การปรับปรุงการทำงาน สองการเพิ่มการฝึกอบรมให้กับพนักงาน และสุดท้าย คือ การเพิ่มการหารายได้

การปรับปรุงการทำงาน

การปรับปรุงการทำงาน คือ การปลูกฝังค่านิยมให้กับพนักงาน ซึ่งสถานการณ์ในขณะนั้น ในทีมงานของอาลีบาบามีปัญหาที่สาหัสมาก คือ ความกระตือรือร้นของพนักงานไม่เหมือนแต่ก่อน รวมถึงขวัญกำลังใจของพนักงานไม่เหมือนเดิมแล้ว

อาลีบาบาในตอนนี้ ต้องการขุมกำลังที่บ้าคลั่ง ซึ่งความบ้าคลั่งนี้ต้องบ้าแบบเข้ากระดูกถึงสายเลือด และต้องลงไปสู่การปฏิบัติ ไม่ใช่มีแต่คำพูดที่โก้หรูของค่านิยมที่ติดตามฝาผนังของบริษัทส่วนใหญ่

การปลุกฝังค่านิยมให้กับพนักงานใหม่ในรอบนี้ ได้นำเอาประสบการณ์ของกวานเหมิงเซิง ที่เคยใช้ที่ GE โดยจัดทำค่านิยมเป็นการ์ดใส่ไว้ในกระเป๋าของพนักงาน และเป็นการทำให้ค่านิยมหยั่งรากลึกลงไปในจิตใจ และสายเลือดของพนักงาน และที่สำคัญยังใช้ค่านิยมเหล่านี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือวัด KPI ของพนักงานด้วย

การเพิ่มการฝึกอบรม

การฝึกอบรมนั้นเริ่มเตรียมการเมื่อต้นปี 2001 และเริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายนปีเดียวกัน

การฝึกอบรมนั้นเริ่มจากระดับหน้างาน จากนั้นขยับไปสู่ระดับกลางและระดับสูง โดยมีผู้อบรบนั้นเป็นที่ปรึกษาระดับสูงของบริษัท รวมถึงการจ้างวิทยากรจากภายนอกที่มีชื่อเสียงเข้ามาอบรมให้กับพนักงานอาลีบาบา

เพิ่มการอบรมให้กับพนักงานโดยใช้มืออาชีพเข้ามาช่วย
เพิ่มการอบรมให้กับพนักงานโดยใช้มืออาชีพเข้ามาช่วย

และส่วนสำคัญที่สุดของการอบรมครั้งนี้คือ พนักงานขาย เพราะพวกเขาเป็นแนวหน้าในการสร้างรายได้ให้กับบริษัท แรกเริ่มเดิมทีนั้นพนักงานขายในยุคแรก ๆ ของอาลีบาบานั้น เป็นทีมที่ตั้งขึ้นมาชั่วคราวจากเหล่าบรรดาผู้บุกเบิกยุคแรก ๆ มีไม่กี่คนที่จบด้านการขายมาโดยตรง แต่กลุ่มคนแรก ๆ เหล่านี้จะเข้าใจผลิตภัณฑ์อาลีบาบาอย่างลึกซึ้งที่สุด ขาดเพียงอย่างเดียวคือความรู้ในการขาย ซึ่งการเพิ่มการฝึกอบรมในจุดนี้ ก็จะทำให้ทีมขายของอาลีบาบาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

การฝึกอบรมเหล่านี้จะทให้พนักงานที่โตมาทางด้านเทคนิค หรือ การขายรู้จักการบริหารงานแบบสมัยใหม่ รู้จักการใช้เครื่องมือใหม่ ๆ มาช่วยเหลือในการทำงาน  และที่สำคัญมันยังสอดแทรกให้พนักงานเห็นพ้องกับค่านิยมของอาลีบาบาด้วย

การเพิ่มการหารายได้

มกราคม ปี 2001 หลังจากได้ขุนทัพอย่าง กวานหมิงเซิงมาคุมตำแหน่ง COO ของบริษัทแล้วนั้น นอกจากการลงมือปลดพนักงานเพื่อหยุดรายจ่ายแล้ว เขายังเสนอการเพิ่มรายได้ และได้รับความเห็นชอบจากแจ๊คตลอดจนบรรดาผู้บริหารระดับสูงทันที

การหยุดรายจ่ายนั้นทำไม่ยาก เพียงแค่ปลดพนักงานออก ลดพนักงาน แค่ไม่กี่เดือนก็สามารถบรรลุภารกิจนี้ได้ แต่การเพิ่มรายได้ เป็นสิ่งที่ไม่ง่าย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับวิธีการหากำไรของอาลีบาบา และเริ่มมีการกำหนดโมเดลการทำกำไร และปรับตัวผลิตภัณฑ์หลัก และเริ่มสร้างทีมขายที่เริ่มแข็งแกร่งขึ้นจากการฝึกอบรม และเริ่มเข้าสู่สงครามใหม่ในการเผชิญหน้ากับเว๊บพ่อค้าขายส่งจีน อย่าง 1688.com ซึ่งนี่เป็นหัวใจหลักของยุทธศาสตร์ใหม่อาลีบาบาอย่างรวดเร็ว

1688 เดิมเป็นคู่แข่งสุดท้ายก็ถูก take over มาอยู่ใน อาลีบาบา กรุ๊ป
1688 เดิมเป็นคู่แข่งสุดท้ายก็ถูก take over มาอยู่ใน อาลีบาบา กรุ๊ป

ปรับ Model สู่พ่อค้าขายส่ง

ในเดือนธันวาคมปี 2001 เป็นเดือนแรกที่อาลีบาบาสามารถทำกำไรได้สำเร็จ แม้ตลอดทั้งปี 2001 จะขาดทุนก็ตาม แต่ก็ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี สำหรับอนาคตของอาลีบาบา ที่ได้เริ่มเจอทิศทางที่จะทำกำไรได้แล้ว

ปี 2002 นั้นแจ๊คตั้งเป้าหมายให้เป็นปีที่ อาลีบาบา ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือการไม่ขาดทุนนั่นเอง ซึ่งตั้งเป้าหมายให้อาลีบาบา กำไรแค่ 1 หยวน แจ๊คได้เริ่มค้นพบแหล่งสร้างได้แห่งใหม่ เขาทำนายไว้ว่า ประเทศจีนในอนาคต จะเป็นโรงงานของโลก

การทำนายของแจ๊ค ไม่ได้มโนคิดขึ้นมาแบบมั่ว ๆ แต่มันมีเหตุผลมาจาก ในวันที่ 11 ธันวาคม 2001 ประเทศจีนได้กลายเป็นสมาชิกของ WTO ได้อย่างเป็นทางการ

จุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่คือ จีนเข้าเป็นสมาชิก WTO อย่างเป็นทางการ
จุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่คือ จีนเข้าเป็นสมาชิก WTO อย่างเป็นทางการ

และมันเป็นที่มาของการเกิดขึ้นของพ่อค้าขายส่ง จำนวนมากในเว๊บไซต์ อาลีบาบา ซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่านักธุรกิจ SME ที่เป็นหนึ่งในห่วงโซ่ของวงจรธุรกิจนี้ และมันทำให้กลายเป็นโมเดลใหม่ของการบริการทางธุรกิจ มันกำลังจะกลายเป็นตลาดการค้าขนาดใหญ่มหาศาล ที่แจ๊คสร้างมาสำหรับให้บริการคนทั่วโลก

ในตอนนั้นทั่วทั้งโลกยังไม่มีบริษัทใด ที่ให้บริการแบบนี้ และที่สำคัญ อาลีบาบายังอยู่ในที่ตั้งของจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโรงงานโลกคือประเทศจีน 

เขาได้เริ่มเก็บค่าธรรมเนียมรายปีจากบรรดาผู้ค้าส่งรายละประมาณ 40,000 – 60,000 หยวนตามประเภทของสมาชิก ซึ่งแลกกับการได้ประกาศข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ตลอดจนลงรูปภาพสินค้า และอาลีบาบา จะช่วยเหลือในการนำไปร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศให้ด้วย และยังมีบริการจับคู่ผู้ซื้อกับผู้ขาย

และมีโมเดลการโฆษณา ในผลการค้นหา หากต้องการอยู่ลำดับบน ๆ เพื่อให้ได้ลูกค้ามากขึ้นก็ต้องเสียเงินมากขึ้น คล้าย ๆ รูปแบบการ Bid โฆษณาของ search engine ชื่อดังอย่าง Google 

เพิ่มช่องทางการหาเงินในทุกส่วนของ เว๊บไซต์
เพิ่มช่องทางการหาเงินในทุกส่วนของ เว๊บไซต์

รวมถึงพื้นที่ต่าง ๆ ในหน้าเว๊บไซต์ นั้นก็เป็นแหล่งขุมทรัพย์ของอาลีบาบา ทั้งสิ้น เพราะหากเหล่าพ่อค้าขายส่งต้องการให้ร้านของตัวเองแสดงในที่เด่น ๆ ของเว๊บไซต์ ก็ต้องทำการเสียเงินให้อาลีบาบา ซึ่งยิ่งตำแหน่งที่สะดุดตามากเท่าไหร่ ก็ต้องเสียเงินมากขึ้นเท่านั้น กลายเป็นสงครามการแย่งชิง พื้นที่ ของเหล่าพ่อค้าขายส่งเหล่านี้ เพราะพวกเขาพร้อมที่จะทุ่มเพื่อให้หน้าร้านเขาสะดุดตาที่สุด เพราะมันคุ้มค่ากับการขายส่งเมื่อได้รับ order จากลูกค้าใหญ่ ๆ ซึ่งมักจะสั่งในปริมาณมาก ๆ  

หลังจากปรับโมเดลสู่พ่อค้าส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น แจ๊คและทีมก็ได้ปรับบริการเรื่องหลังการขาย โดยจะทำการเก็บสถิติต่าง ๆ และมีการจัดหลักสูตรอบรมให้เหล่าธุรกิจค้าส่งเพื่อใช้เครื่องมือของอาลีบาบาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึัน

แม้ปัญหาจากฟองสบู่ดอทคอมยังไม่เห็นวี่แวว ว่ามันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน ตลาดหุ้นแนสแด็กก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ในขณะนั้น แต่ตอนนี้ อาลีบาบา พร้อมแล้วสำหรับตลาดใหม่ที่เขากำลังเข้าไปกอบโกย รวมถึง ทีมงานที่ตอนนี้พร้อมที่จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับแจ๊ค แล้ว ไม่ว่าจะมีอุปสรรค มากมายเพียงใด ตอนนี้ อาลีบาบา เหมือนได้เกิดใหม่แล้ว และพร้อมทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในสภาพซากศพของธุรกิจ internet อื่น ๆ ที่ล้มหายตายจากไปในยุคฟองสบู่ มันจะเหลือเพียงแค่ อาลีบาบา ที่พร้อมจะเข้าสู่ยุคใหม่ของบริษัทเต็มตัวได้เสียที

–> อ่านตอนที่ 13 : Taobao

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Internet *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Jack Ma แห่ง Alibaba ตอนที่ 10 : Let’s Expand

หลังจากได้รับเงินทุนกว่า 25 ล้านเหรียญทั้งจาก โกลด์แมนซาคส์ และ มาซาโยชิ ซัน แจ๊ค ก็ได้เริ่มทำการขยายกิจการอย่างบ้าคลั่ง สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือ ย้ายฐานบัญชาการหลักจากบ้านเขาที่ริมทะเลสาบหังโจว ไปยังอาคารซิงหัวเทคโนโลยี ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่กว่า 9 ชั้น ที่จะสามารถรองรับการเจริญเติบโตของอาลีบาบาไปได้อย่างไม่มีปัญหา

ส่วนเรื่องคนนั้น แจ๊ค ก็ได้เริ่มหาพนักงานมืออาชีพในแผนกต่าง ๆ ตอนนี้เงินทุนไม่ใช่ปัญหาของแจ๊คอีกต่อไปแล้ว และมันทำให้เขาได้พนักงานระดับเทพอีกคน ที่ชื่อ จอห์น วู ซึ่งเป็นอดีตพนักงานของ YAHOO ที่ได้รับการขนานนามว่า “ราชาแห่งเสิร์ซเอ็นจิน” 

การได้พนักงานระดับเทพอย่าง จอห์น วู มานั้น แจ๊คให้เขาไปดูแลศูนย์ R&D ในประเทศอเมริการในซิลิกอน วัลเลย์ และยังได้ทำการย้าย server ทั้งหมดของอาลีบาบาไปไว้ที่ซิลิกอน วัลเลย์ ที่เรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงแห่งโลกเทคโนโลยี

ได้มือระดับพระกาฬอย่างจอห์น วู มาดูเรื่องเทคโนโลยี
ได้มือระดับพระกาฬอย่างจอห์น วู มาดูเรื่องเทคโนโลยี

สาเหตุหลักที่ จอห์น วู ตัดสินใจมาอยู่กับอาลีบาบา นั้น คือการที่อาลีบาบาไม่ได้ลอกเลียนแบบโมเดลธุรกิจจากต่างประเทศแล้วมาสร้างในประเทศจีน เหมือนบริการดัง ๆ อื่น ๆ แต่มันเป็นโมเดลใหม่ที่แจ๊ค คิด และสร้างขึ้นมาเอง  ซึ่งโมเดลนี้เป็นการอ้างอิงสภาพเศรษฐกิจของประเทศจีนเป็นหลัก เป็นการสร้างมาเพื่อ SME ในประเทศได้ลืมตาอ้าปาก ขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศได้ผ่าน อีคอมเมิร์ซ

จากพนักงานเริ่มต้นเพียง 18 คนนั้น ตอนนี้ อาลีบาบาขยาย จนมีพนักงานหลายพันคน ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของอาลีบาบา ที่ตอนนี้เริ่มมีลูกค้าใช้งานเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าจากตอนเริ่มต้นกิจการใหม่ ๆ 

เริ่มขยายพนักงานจาก 18 คนเริ่มต้น จนกลายเป็นพันกว่าคน
เริ่มขยายพนักงานจาก 18 คนเริ่มต้น จนกลายเป็นพันกว่าคน

ปี 2000 เป็นปีที่แจ๊ค ทำการขยายกิจการอาลีบาบาอย่างบ้าคลั่ง เริ่มมีการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ตอนนี้เงินยังเหลือมากพอให้แจ๊คผลาญไปได้อีกนาน  มีการตั้งสำนักงานในฮ่องกง อังกฤษ  มีการตั้งศูนย์ R&D ที่ซิลิกอนวัลเลย์ ในประเทศอเมริกา มีการตั้งบริษัทร่วมทุนที่ ไต้หวัน ญี่ปุ่น และ เกาหลี

ที่ซิลิกอน วัลเลย์ ภายใต้การรับผิดชอบของ CTO (Chief Technology Officer) จอห์น วู ทำให้ที่ซิลิกอน วัลเลย์ กลายเป็นศูนย์รวมของอัจฉริยะทางด้านเทคโนโลยี และ internet ซึ่งการจ้างคนระดับเทพในซิลิกอนวัลเลย์นั้นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล พนักงานเพียง 20 คนในซิลิกอน วัลเลย์นั้น มีค่าจ้างรวมกัน มากกว่า พนักงานกว่า 200 คนในออฟฟิสหลักของอาลีบาบาที่หังโจวเสียอีก

ซึ่งเหล่าบรรดาวิศวกรอัจฉริยะเหล่านี้ ก็ได้สร้างเว๊บไซต์อาลีบาบาในรูปแบบภาษาอังกฤษ เพื่อความอินเตอร์ขึ้น และเริ่มสร้างเว๊บในภาษาต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นภาษาเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น หรือ ออสเตรเลีย มันเป็นการ Go Inter โดยไม่สนในรากเหง้าในความเป็นจีนของแจ๊คโดยแท้

ในเวลานั้นแจ๊ค ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากว่าอาลีบาบานั้นจะกลายเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจะต้องเป็นเว๊บไซต์ที่ติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของโลกได้อย่างแน่นอน

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 มีนาคมปี 2000 ดัชนีแนสแด็กของอเมริกาลงต่ำสุดไปแตะที่ 5,132 จุด จากนันก็ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ในปลายปี 2000 แนสแด็กร่วงหล่นลงไปถึง 2,600 จุด เป็นการลดลงถึง 50% ภายในระยะเวลาไม่ถึงปี ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดในประวัติกาล

ตอนนี้ แนสแด็ก ซึ่งเคยเป็นที่ฝากความหวังและความฝันของธุรกิจดอทคอม กำลังพังพินาศลงทั้งระบบ

เกิดฟองสบู่ดอทคอมแตกในปี 2000 ตลาดหุ้นแนสแด็กล้มครืน
เกิดฟองสบู่ดอทคอมแตกในปี 2000 ตลาดหุ้นแนสแด็กล้มครืน

สิ่งที่ตามมาหลังจากแนสแด็กล้มทั้งกระดาน คือ บรรดาบริษัทดอทคอมของจีนต่างพากันล้มหายตายจากไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจ internet ของจีนได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า ธุรกิจ internet ขนาดเล็กหรือขนาดกลางของจีน บ้างก็ล้มละลาย บ้างก็ต้องทำการปลดพนักงานจำนวนมหาศาล 

ขณะที่ธุรกิจ internet ต่างกำลังผลาญเงินกันจนใกล้จะหมดสิ้นแล้วนั้น ธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังหาช่องทางการทำกำไรไม่ได้ นักลงทุนต่างกำเงินของตัวเองไว้อย่างแน่น ไม่มีใครที่จะกล้าใส่เงินเข้าไปในระบบอีกแล้วในช่วงเวลานั้น 

และนั่นมันทำให้เป็นเวลาที่อาลีบาบาตกอยู่ในจุดที่อันตรายที่สุด แต่แจ๊ค นั้นยังคงเชื่อมั่นใน internet และไม่เคยสงสัยในธุรกิจของอาลีบาบาเลยแม้แต่น้อย

เขากล่าวกับทีมงานว่า ภายในหกเดือนบริษัท internet ของจีนจะหายไป 80% ซึ่งหากบริษัท internet ต้องตายหมด อาลีบาบา ก็ต้องขอตายเป็นรายสุดท้าย แจ๊คให้คำมั่นกับทีมงานของเขา

ต้องเรียกว่าได้ ฟองสบู่ ดอทคอม ได้แตกเป็นเสียง ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้วในปี 2000 เหล่านักลงทุนทั้งหลายแทบจะไม่มีใครกล้าเข้ามายุคกับธุรกิจ internet แล้วเงินทุนของอาลีบาบา ก็ใช้ไปอย่างมากมายในการขยายกิจการอย่างบ้าคลั่งของแจ๊ค แม้เขาจะปลอบใจพนักงานว่ายังไงอาลีบาบาก็ต้องอยู่รอด แล้วอาลีบาบาจะอยู่รอดได้อย่างไร ในเมื่อเพื่อนร่วมธุรกิจ ต่างล้มหายตายจากไปแทบจะหมดสิ้น โปรดติดตามในตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 11 : Good Boss , Bad Boss

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Internet *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Jack Ma แห่ง Alibaba ตอนที่ 9 : The Rising Son

หลังจากได้รับเงินทุนก้อนแรกจาก โกลด์แมนซาคส์ แล้วนั้น แจ๊คก็เริ่มวุ่นวายกับการ หาที่ตั้งบริษัทใหม่ จากออฟฟิส ที่ใช้บ้านของเขาริมทะลาสาบเมืองหังโจว แจ๊คต้องการขยายพื้นที่ให้มากขึ้น รวมถึงการเฟ้นหาพนักงานใหม่ เพื่อมาขยายกิจการของอาลีบาบา

แต่มีการนัดสำคัญครั้งหนึ่งที่เพื่อนของเขาในปักกิ่ง ต้องการให้แจ๊คมาพบบุคคลลึกลับจากญี่ปุ่น ผู้ซึ่งต้องการที่จะพบปะกับแจ๊ค

และในที่สุดตัวละครลับนั้นก็เผยโฉมออกมาได้เสียที เขาคือ มาซาโยชิ ซัน (Masayoshi son) ผู้โด่งดังจากญี่ปุ่นนั่นเอง สิ่งที่ทำให้ มาซาโยชิ ซัน ดังเป็นพลุแตกคือการเข้าไปลงทุนใน YAHOO กว่า 355 ล้านเหรียญ ซึ่งมีผลทำให้ ณ ขณะนั้น YAHOO กลายเป็นบริษัท internet ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และเขายังเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย

มาซาโยชิ ซัน ผู้โด่งดังจากซอฟต์แบงค์
มาซาโยชิ ซัน ผู้โด่งดังจากซอฟต์แบงค์

ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวในปี 1999 มาซาโยชิ มาประเทศจีนครั้งนี้เพื่อขยายอาณาจักรด้าน internet ของเขา ซึ่งการพบปะกับแจ๊คนั้น เกิดขึ้นในอาคารพาณิชย์ทางตะวันออกของปักกิ่ง ตึกนี้มีชื่อเสียงโด่งดังว่าอาคารฟู่หัว

ตอนนั้น มาซาโยชิ มาพร้อมกับกลุ่มนักลงทุนหลายรายเพื่อมาดูกิจการที่น่าสนใจที่จะลงทุน และแจ๊ค เป็นหนึ่งผู้ที่จะต้อง พรีเซ็นต์กิจการ เพื่อดึงดูดนักลงทุนเหล่านี้ หลังจากฟังหลาย ๆ กิจการอย่างน่าเบื่อ เพราะมาซาโยชิ นั้น ฟังเรื่องราวของกิจการหน้าใหม่มามากมายทั่วโลกแล้ว ซึ่งยังไม่เห็นมีอะไรที่น่าสนใจ จึงชี้ไปยังแจ๊ค ให้ขึ้นไป พรีเซ็นต์บริษัทของเขาให้ฟัง

บริษัทอื่น ๆ นั้นใช้เวลาเป็นชั่วโมง เพื่อร่ายยาว คุณสมบัติของบริษัท เพื่อดึงเงินจากมาซาโยชิให้ได้ แต่ แจ๊คกลับใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาทีเท่านั้น ก็สิ้นสุดการพรีเซ็นต์ เพราะตอนนั้นแจ๊คไม่ได้ต้องการเงินเลย เขาเพิ่งได้รับเงินลงทุนก้อนแรกจาก โกลด์แมนซาคส์ ซึ่งยังพอเลี้ยงดูบริษัทไปได้อีกเป็นปี ๆ 

แต่นั่น มันทำให้ มาซาโยชิ สนใจ เว๊บไซต์ อาลีบาบาของแจ๊คเป็นพิเศษ โดยให้แจ๊คทำการเปิดตัวเว๊บไซต์ ให้ดู ซึ่งตัวมาซาโยชิ นั้นแทบจะไม่ได้ตรวจสอบอะไรอาลีบาบาเลยสักนิด มาซาโยชิ ตัดสินใจอย่างรวดเร็วทันที ต้องการลงทุนในอาลีบาบาทันที 49% แต่แจ๊คซึ่งตอนนั้นไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ก็ยังไม่ได้ตกปากรับคำอะไรทั้งสิ้น แต่ มาซาโยชิ ได้ทิ้งท้ายไว้โดยทำการเชื้อเชิญแจ๊ค มาที่โตเกียว เพราะเขาอยากคุยกับแจ๊ค ตัวต่อตัว ที่โตเกียว

มาซาโยชิ สนใจอาลีบาบาเป็นพิเศษ จึงเชิญแจ๊คมาที่โตเกียว
มาซาโยชิ สนใจอาลีบาบาเป็นพิเศษ จึงเชิญแจ๊คมาที่โตเกียว

ในเดือนมกราคม ปี 2000 แจ๊ค ได้หนีบโจเซฟ ไช่ เดินทางมาโตเกียวด้วย โดยเป้าหมายอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของซอฟต์แบงก์ เพื่อมาเจรจาเรื่องการลงทุนกับ มาซาโยชิ โดยทั้งคู่มีการหารือกันว่าจะจัดการกับมาซาโยชิ อย่างไร ซึ่งสรุปกันว่า คนหนึ่งจะรับบทพระเอก อีกคนเล่นบทผู้ร้าย แน่นอน พระเอกก็คือ โจเซฟ ส่วน ผู้ร้ายคือ แจ๊ค นั้นเอง

นัดเจรจากันที่สำนักงานใหญ่ซอฟต์แบงค์ กลางกรุงโตเกียว
นัดเจรจากันที่สำนักงานใหญ่ซอฟต์แบงค์ กลางกรุงโตเกียว

มันเป็นการเจรจาที่แจ๊ค เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก ฝ่ายอาลีบาบานั้นมีเพียงแค่แจ๊ค กับ โจเซฟ แต่ฝ่ายซอฟต์แบงค์มีคนเรียงเป็นหน้ากระดาน โดยมีมาซาโยชิ อยู่ตรงกลาง เปรียบเทียบกับแล้วฝ่ายซอฟต์แบงค์ มีคนมากว่าหลายเท่า

แต่ต้องเข้าใจการบริหารสไตล์ ญี่ปุ่น ในสายตาของลูกน้อง มาซาโยชิ นั้นเปรียบเสมือนองค์จักรพรรดิ หลังฟองสบู่แตกในปี 2000 นั้น การลงทุนทั่วโลกของซอฟต์แบงค์ลดลง 90% ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการตัดสินใจตามลำพังของมาซาโยชิ แทบจะทั้งสิ้น

เขาเป็นผู้ก่อตั้งซอฟต์แบงค์ เป็นประธานและ CEO ซึ่งมีอำนาจเต็มที่ในการจัดสรรเงินทุนของบริษัท ต่อให้การลงทุนนั้นจะล้มเหลวยังไงก็ตาม ยังไงสิทธิ์ขาดเด็ดขาดก็อยู่ที่มาซาโยชิ เพียงคนเดียวเท่านั้น

การเจรจาเป็นไปอย่างเคร่งเครียด แจ๊ค นั้นต้องการเงื่อนไขสามข้อ ถึงจะเจรจาต่อ โดย เงื่อนไขข้อแรก คือ อาลีบาบาจะรับการลงทุนจากซอฟต์แบงค์รายเดียว ( ไม่มีการร่วมลงขันกันกับบริษัทอื่น) ส่วนข้อสองนั้น แจ๊คกล่าวถึงเรื่องการถือหุ้น ซอฟต์แบงค์จะต้องไม่มุ่งแต่ผลประโยชน์ระยะสั้น และต้องถือลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ยึดถือรูปแบบการพัฒนาอาลีบาบาในระยะยาวเป็นหลัก  ส่วนข้อสุดท้าย ต้องให้ มาซาโยชิมานั่งเป็นกรรมการของบริษัท

แจ๊คยื่นเงื่อนไขสามข้อให้กับมาซาโยชิ
แจ๊คยื่นเงื่อนไขสามข้อให้กับมาซาโยชิ

ดูเหมือนสองข้อแรก จะไม่มีปัญหาอะไรกับ มาซาโยชิ แต่ปัญหาใหญ่คือข้อสาม ที่ต้องไปนั่งเป็นกรรมการบริษัทนั้นดูท่าจะไม่เหมาะสม เพราะมาซาโยชิไม่เคยเป็นกรรมการของบริษัทที่ตัวเองลงทุน แม้จะใส่เงินไปจำนวนมหาศาลให้กับหลาย ๆ บริษัท เขาต้องการคงบทบาทสำคัญคือผู้ลงทุนเพียงเท่านั้น

แต่แจ๊ค ก็ยังยืนกรานที่จะให้มาซาโยชิ มาเป็นกรรมการให้ได้ สุดท้ายจึงเจรจากันที่ตรงกลางโดย มาซาโยชิรับเป็นกรรมการ แต่คงไม่ได้เข้าร่วมประชุมบ่อย ๆ เหมือนกรรมการคนอื่น ๆ เพราะเขาเป็นคนที่ยุ่งมาก โดยเสนอตัวเป็นที่ปรึกษา แต่ยังนั่งในตำแหน่งกรรมการของอาลีบาบาให้แจ๊คได้ตามที่เขาต้องการ

สุดท้ายก็เป็นเรื่องเงิน ซึ่ง เป็นหน้าที่ของ โจเซฟ ที่จะทำการเจรจาต่อรอง การเสนอราคาในครั้งแรกจากมาซาโยชิ นั้นถูกปฏิเสธไปแบบไร้เยื่อใย มาซาโยชิ พยายามยื่นข้อเสนออีก 2 ครั้งโดยนั่งเคาะตัวเลขในเครื่องคิดเลขแล้วยื่นไปให้ โจเซฟ ตัดสินใจ และก็เหมือนครั้งแรก มาซาโยชิ ถูกปฏิเสธถึงสามครั้ง เรืองแบบนี้ เขาแทบไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต

สุดท้ายด้วยความโมโห มาซาโยชิ จึงเสนอราคาครั้งสุดท้าย ลงทุน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ แลกกับหุ้นอาลีบาบา 30% ในที่สุดหลังจากหารือกันอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้น แจ๊ค และ โจเซฟ ก็ตอบตกลงในข้อเสนอดังกล่าว 

แต่แล้วสุดท้าย deal 30 ล้านเหรียญของมาซาโยชิ แลกกับหุ้น 30% นั้นมันเริ่มทำให้แจ๊ครู้สึกลำบากใจ เพราะมันเป็นเงินจำนวนมากโขเลยทีเดียว และที่สำคัญ เขายังไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรด้วยซ้ำ แถมมันยังทำให้สิทธิการถือครองหุ้นของระดับผู้บริหารในอาลีบาบาหายไปเกือบหมด และมันยังทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นเสียสมดุล และทำให้มาซาโยชิ กลายเป็นผู้ควบคุมหุ้นไปโดยปริยาย

ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า ถ้าตอนนี้ให้มาซาโยชิถือหุ้นมากมายนั้น การดึงดูผู้ลงทุนใหม่เพื่อเพิ่มทุนในอนาคต อาจจะมีปัญหาขึ้นมาก็ได้ ซึ่งเป็นสภาพที่แจ๊ครับไม่ได้ และผู้ถือหุ้นอื่น ๆ เช่นโกลด์แมนซาคส์ ก็รับไม่ได้เช่นเดียวกันแม้จะแจ๊ค จะถืออำนาจตัดสินใจอยู่ก็ตาม

วันรุ่งขึ้นหลังจากการเจรจาครั้งแรก แจ๊ค จึงไปหาผู้ช่วยของมาซาโยชิ แล้วเสนอเงื่อนไขใหม่ โดยขอลดเงินลงทุนเหลือเพียง 20 ล้านเหรียญ ทำให้ผู้ช่วยของมาซาโยชิถึงกับงงงวยกับความคิดของแจ๊ค ที่ต้องการเงินน้อยลง

แต่ผู้ช่วยของมาซาโยชิ นั้นพยายามเจรจาให้รับเงื่อนไขเดิม เพราะมันจะเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายเปล่าๆ  กับนายของเขา ซึ่งสุดท้าย โจเซฟ จึงให้แจ๊ค ติดต่อไปหามาซาโยชิโดยตรงจะดีกว่า ผ่าน email ซึ่งสุดท้าย มาซาโยชิ ก็ยอมรับการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงเงินลงทุนของแจ๊ค ซึ่งเขาก็มองเป็นผลดี เพราะจะคงสถานะความเป็นเจ้าของอาลีบาบาให้กับแจ๊คได้มากที่สุด เพื่อให้แจ๊คได้ทุ่มเทกับ อาลีบาบาให้เต็มที่

สุดท้าย deal ก็จบลงด้วยดี
สุดท้าย deal ก็จบลงด้วยดี

หลังจากนั้นไม่นาน อาลีบาบา ก็ลงนามอย่างเป็นทางการกับซอฟต์แบงค์ โดยบริษัทซอฟต์แบงค์ออกทุน 20 ล้านเหรียญ เป็นเงินลงทุนครั้งที่สองของประวัติศาสตร์อาลีบาบา ซึ่งหลังจากนั้น แจ๊ค ก็ได้ใช้เงินที่ได้มารวม 25 ล้านเหรียญในมือ เริ่มขยายกิจการอย่างบ้าคลั่ง มีการตั้งบริษัทร่วมทุนที่ญี่ปุ่น และ เกาหลี ตั้งศูนย์ R&D ที่สหรัฐอเมริกา ตั้งสำนักงานในยุโรป และการสร้างสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง

–> อ่านตอนที่ 10 : Let’s Expand

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Internet *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Jack Ma แห่ง Alibaba ตอนที่ 7 : 18 Founders

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1999 ในบ้านธรรมดาหลังหนึ่งในหมู่บ้านริมทะเลสาบเมืองหังโจว ซึ่งเป็นบ้านของแจ๊ค เป็นบ้านที่แสนธรรมดา มีเนื้อที่เพียง 150 ตารางเมตร มีโต๊ะเก่า ๆ และเก้าอี้อยู่ไม่กี่ตัว

แต่วันนี้สำหรับพนักงานอาลีบาบาแล้วนั้น เป็นวันที่ควรแก่การรำลึก บ้านหลังนี้เป็นที่แห่งแรกที่ใช้ในการบ่มเพาะความฝันแรกเริ่มของอาลีบาบา และที่แห่งนี้ยังเคยเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจแรกของแจ๊ค อย่าง ไชน่าเพจเจส

สำหรับผู้ร่วมการประชุมครั้งนี้ คือบรรดาผู้ก่อตั้ง อาลีบาบา จนกลายเป็นชื่อที่เรียกกันติดปากในภายหลังว่าคือ “เหล่า 18 อรหันต์” ซึ่งในวันนั้นไม่ได้มาทั้งหมด ที่ประชุมมีเพียง 16 คน (ส่วนอีก 2 คนร่วมการประชุมผ่านทางโทรศัพท์)

ในวันนั้น แจ๊ค มองการณ์ไกล และได้มีการบันทึกภาพการประชุมดังกล่าวไว้ด้วย พระเอกของการประชุมครั้งนี้ก็คือ แจ๊ค ผู้ร่วมประชุมต่างนั่งบ้าง ยืนบ้าน ห้อมล้อมท่านผู้นำแจ๊ค อย่างใจจดจ่อ น้ำเสียงและท่าทางของแจ๊คในวันนั้น มันช่างปลุกใจ ปลุกพลังให้กับคนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้อย่างดียิ่ง

แจ๊คกับเหล่าทีมงาน 18 คน ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง อาลีบาบา
แจ๊คกับเหล่าทีมงาน 18 คน ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง อาลีบาบา

เหล่า 18 อรหันต์ เหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่อายุยังน้อย ซึ่งยังมีต้นทุนให้เสียได้ หากอาลีบาบามันไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่แจ๊คหวังไว้ พวกเขาเหล่านี้ ก็สามารถที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ทันอยู่

แต่แจ๊ค ค่อนข้างมั่นใจอย่างมาก เพราะแนวโน้มของ internet กำลังมาแรง รวมกับประสบการณ์ที่ปักกิ่ง ที่ได้เห็นถึงช่องทางการตลาดที่ใหญ่มหาศาล ที่ยังไม่มีใครสนใจมันในขณะนั้น แจ๊ค เปรียบเหมือนแม่ทัพ ที่กระตุ้นคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ให้สู้ พร้อมที่จะบุกและตะลุยกับ อาลีบาบา โปรเจคใหม่ของแจ๊ค

แต่แม้ว่าแจ๊ค จะปลุกเร้าอย่างไรก็ตาม บรรยากาศของที่ประชุมนั้นเต็มไปด้วยความลังเล และความอ้างว้าง ขณะนั้นเหล่าทีมงานทุกคนที่เข้ามาร่วมฟัง เต็มไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แทบจะไม่เห็นรอยยิ้มจากใครคนใด เพราะมันคือการตัดสินชะตาและอนาคตของพวกเขาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

แจ๊คนั้น ก็ยังวิตกกังวลอยู่บ้าง และรู้อยู่ว่า internet นั้นก็เปรียบเสมือนฟองสบู่ ฟองสบู่นี้กำลังขยายตัวมากขึ้นไปทุกที แต่จะแตกเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ ฟองสบู่ที่พองเกินไปเหมือนตลาด internet ในขณะนี้ ย่อมมีวันแตกสลาย แต่แจ๊คคิดว่ายังไงฝันของ internet นั้นไม่มีทางล่มสลายได้อย่างแน่นอน

แจ๊ค ทำนายไว้ว่าจะเกิดฟองสบู่ internet ขึ้น และสุดท้ายมันเกิดขึ้นจริงในปี 2000
แจ๊ค ทำนายไว้ว่าจะเกิดฟองสบู่ internet ขึ้น และสุดท้ายมันเกิดขึ้นจริงในปี 2000

แจ๊คเริ่มวางพิมพ์เขียวให้กับบริษัทใหม่อย่าง อาลีบาบา โดยมีเป้าหมายใหญ่ 3 ประการคือ หนึ่งบริษัทที่เขาตั้งจะต้องอยู่ได้ถึง 80 ปี สองคืออาลีบาบาจะเป็นบริษัทอีคอมเมริ์ซเพื่อให้บริการกับเหล่า SME ของจีน และสุดท้ายที่ทำให้ทีมงานทุกที่ร่วมประชุมแทบอึ้งไปตาม ๆ กัน คือ แจ๊คต้องการสร้างอาลีบาบาให้กลายเป็นเว๊บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจะต้องอยู่ใน top สิบอันดับแรกของเว๊บไซต์ทั่วโลก 

เขากล่าวกับทีมงานทุกคนอย่างมั่นอกมั่นใจว่า อีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่ออาลีบาบากลายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สิ่งที่ทุกคนได้จ่ายไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน หรือ แรงกายแรงใจที่ทุ่มเทให้กับ อาลีบาบา จะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน

จากเงินลงทุนเริ่มแรกที่ทุกคนสมทบกันได้ 500,000 หยวน อาลีบาบา ก็เริ่มการต่อสู้อย่างยากลำบากเลยทีเดียว ต้องประหยัดอดออมในทุก ๆ สิ่ง เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของแจ๊คในวันข้างหน้า

เผิงเหล่ย ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสของอาลีบาบาในปัจจุบัน ในช่วงเริ่มต้นนั้นเธอรับหน้าที่เป็น แม่บ้าน ของอาลีบาบา โดยทำหน้าที่เปรียบเสมือนแคชเชียร์ ส่วนนพนักงานอีกคนคือ เซี่ยซื่อหวง เป็นฝ่ายบัญชีและดูแลการเงิน ซึ่งเรื่องอะไรในอาลีบาบาที่ต้องใช้เงินนั้นก็ต้องผ่านสองคนนี้ ยุคเริ่มแรกนั้น การซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทั้งสองก็วิ่งวุ่นเทียบราคาแล้ว ราคาอีก เพื่อให้ได้ของที่ดีที่สุดในมูลค่าต่ำที่สุด 

เผิง เล่ย อดีตแม้บ้าน จนกลายมาเป็นรองประธานอาวุโสของอาลีบาบาในปัจจุบัน
เผิง เล่ย อดีตแม้บ้าน จนกลายมาเป็นรองประธานอาวุโสของอาลีบาบาในปัจจุบัน

ช่วงตั้งต้นของอาลีบาบา ทีมงานทุกคนอยู่อย่างอัตคัต แจ๊ค แทบจะไม่ให้ใครขึ้นแท็กซี่ถ้าไม่จำเป็น ถ้าระยะทางไม่ไกลพวกเขาก็ใช้การเดินทางเพื่อประหยัดให้มากที่สุด 

และความยากลำบากของอาลีบาบายุคบุกเบิกนี้เอง ที่ทำให้ไม่สามารถดึงดูดผู้มีฝีมือเข้ามาร่วมงานด้วยเงินเดือนสูง ๆ เหมือนบริษัทอื่น ๆ พนักงานของอาลีบาบาได้รับเงินเดือนเพียงน้อยนิด

แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามคือ แม้เงินเดือนจะน้อย แต่ปริมาณงานนั้นไม่น้อยเลย ในเวลานั้นทุกคนทำงานชนิดไม่มีเวลากลางวันกลางคืน ทำงานติดต่อกันกว่าสิบกว่าชั่วโมงเป็นเรื่องปรกติในอาลีบาบา 

เวลาทำงานในยุคเริ่มต้นนั้นแจ๊คตกลงกันไว้ที่ เริ่มงานเก้าโมงเช้าและเลิกสามทุ่ม แต่ก็มักจะมีคนมาก่อนเวลาและกลับทีหลังทุกวันเสมอ บางครั้งก็ทำงานล่วงเวลาเป็นวันละ 16 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น และมีการทำงานล่วงเวลากันบ่อยมาก และไม่ต้องถามถึงค่าล่วงเวลา เพราะมันไม่มีอยู่แล้วในตอนนั้น

ทีมงานของอาลีบาบายุคเริ่มต้นแทบจะกินนอนกับที่บริษัท
ทีมงานของอาลีบาบายุคเริ่มต้นแทบจะกินนอนกับที่บริษัท

แจ๊คนั้นจะให้ความใส่ใจกับ ปรมาจารย์ด้านเทคนิค เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเหล่าโปรแกรมเมอร์ และวิศวกร การพัฒนาโปรแกรมและการออกแบบระบบนั้นต้องการแรงบันดาลใจมาก คนเขียนโปรแกรมเหล่านี้มักมีอารมณ์พลุ่งพล่าน โดยเฉพาะเวลาตอนทดสอบโปรแกรมแล้วเจอ Bug มันจะต้องระบายความโกรธใส่คนอื่น

แจ๊ค ให้พวกเขาเหล่านี้จัดแจงเวลาพักผ่อนของตนเอง ดังนั้นคนเหล่านี้จึงทำงานเหลื่อมล้ำเวลากับคนส่วนใหญ่ พวกเขาเลือกมที่จะทำงานสี่ทุ่มถึงตีสี่ เพราะช่วงเวลานี้ที่ทำงานเงียบสงัดดียิ่งนัก

แจ๊ค ให้ความใส่ใจกับเหล่าโปรแกรมเมอร์มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นขุมกำลังหลักในการสร้างเว๊บไซต์ อาลีบาบา
แจ๊ค ให้ความใส่ใจกับเหล่าโปรแกรมเมอร์มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นขุมกำลังหลักในการสร้างเว๊บไซต์ อาลีบาบา

สมัยนั้นการนอนค้างที่ทำงานเป็นเรื่องปรกติ ทีมงานหลาย ๆ คนนอนค้างที่ห้องทำงาน หรือ ห้องประชุมกันบ่อย ๆ พอ ๆ กับนอนที่บ้าน ตอนนั้นบริษัทกับบ้านไม่มีอะไรต่างกันแล้ว บรรดาวิศวกรมักจะทำงานกันดึกดื่น ทำงานจนแทบจะทำต่อไม่ไหว ก็ล้มตัวลงนอนเสียเลย

เดือนมีนาคม ถึง กันยายน 1999 นั้นถือเป็นช่วงการเก็บตัวเพื่อสู้ศึกใหญ่ของแจ๊ค และทีมงาน ตอนนั้น อาลีบาบาแทบจะไม่มีการโฆษณาที่เป็นเรื่องเป็นราวให้ผู้คนหรือลูกค้ารู้จักแม้แต่ชิ้นเดียว และทีสำคัญนโยบายทางการเงินที่ชัดเจนคือ งบโฆษณาเป็นศูนย์

แต่เหล่านักข่าว หรือสื่อมวลต่าง ๆ นั้นก็รู้จักแจ๊คอย่างดีอยู่แล้ว ก็อยากรู้ว่าแจ๊คกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งการที่อาลีบาบา ปิดเงียบสนิทเช่นนี้นั้น ก็ยิ่งทำให้ปลุกเร้าความกระหายอยากรู้ของสื่อมวลชนมากยิ่งขึ้นไปอีก

สื่อต่างประเทศรายแรกที่ค้นพบ อาลีบาบา คือ Business Week ด้วยการอาศัยความสัมพันธ์หลายด้าน จนสามารถเกลี้ยกล่อมให้แจ๊คยอมสัมภาษณ์ได้

แรกเริ่มเดิมทีนั้นแจ๊คก็ไม่ค่อยอยากให้สัมภาษณ์เลยเสียทีเดียว เนื่องจาก อาลีบาบา ในขณะนั้นยังทำงานกันในบ้านหลังเล็กริมทะเลสาบ ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเครื่องแฟกซ์ มีเพียงแค่ email ไว้ติดต่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอายที่แจ๊คยังไม่อยากประกาศให้ใครได้รับรู้นั่นเอง

แต่การปฏิเสธสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Business Week คงไม่ใช่วิสัยของแจ๊คแต่อย่างใด ในที่สุดเหล่าผู้สื่อข่าวก็เร่ร่อน กันมาถึง หมู่บ้านเล็ก ๆ ริมทะเลสาบของเมืองหังโจว และได้พบกับ อาลีบาบาอันลึกลับที่พวกเขากำลังสนใจในที่สุด

พอเห็นสภาพบริษัท บรรดาผู้สื่อข่าวก็ถึงกับตกใจ นี่หรือคือ อาลีบาบา ที่มีบริษัทจากทั่วดลกเข้าสมัครสมาชิกถึง 20,000 รายเข้าไปแล้ว

Business Week สื่อชื่อดังจากอเมริการายแรกที่เข้าไปทำข่าวเกี่ยวกับอาลีบาบา
Business Week สื่อชื่อดังจากอเมริการายแรกที่เข้าไปทำข่าวเกี่ยวกับอาลีบาบา

หลายเดือนต่อมาหลังจากอาลีบาบาเริ่มได้รับเงินสนับสนุน และได้แปลงโฉม ย้ายที่ทำการบริษัทใหม่เสร็จเรียบร้อย Business Week  จึงได้เริ่มตีพิมพ์บทความ ซึ่ง มันเหมือนเป็นการโฆษณาฟรีให้กับอาลีบาบา และ Business Week ถือเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริการในขณะนั้น มีผู้อ่านที่เป็นนักธุรกิจอยู่มากมายทั่วโลก ซึ่งเป็นฐานลูกค้าของอาลีบาบาแทบจะทั้งสิ้น ซึ่งถือว่าเป็นโชคสองชั้นเลยก็ว่าได้สำหรับแจ๊ค และ อาลีบาบา

ซึ่งหลังจากได้รับความสนใจจาก Business Week สื่อต่างประเทศอื่น ๆ ก็เริ่มสนใจอาลีบาบาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสื่อภายในประเทศรวมถึงสื่อใหญ่ ๆ จากต่างประเทศ ต่างประโคมข่าวการเกิดขึ้นของ อาลีบาบา ซึ่งตอนนั้นพร้อมแล้วที่จะออกรบในสงคราม อีคอมเมิร์ซ

มันเป็นการเดินทางที่ยากลำบากไม่ใช่น้อยกับ อาลีบาบา ธุรกิจใหม่ของแจ๊ค ที่เขาได้เห็นถึงอนาคตที่สดใส แม้การเริ่มต้นจะยากลำบากสักแค่ไหน แต่การมีทีมงานที่พร้อมจะสู้ไปกับเขานั้น ก็ทำให้ อาลีบาบา เริ่มเป็นที่สนใจ โดยเฉพาะจากสื่อทั้งจากภายในและต่างประเทศ ตอนนี้ ข่าวมันเริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลกแล้ว สำหรับ โมเดลธุรกิจใหม่อันนี้ของแจ๊ค จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ อาลีบาบา หลังจากซุ่มพัฒนาอยู่นานกว่าปีจนเว๊บไซต์สำเร็จไปได้ด้วยดี แผนต่อไปของแจ๊ค คืออะไร อย่าพลาดโปรดติดตามในตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : Angle Fund

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Internet *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Blog Series : Jack Ma Rise of the Dragon

blog series ชุดก่อนๆ  หน้าที่ผมได้เขียนมานั้น จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางฝั่ง Silicon Valley เสียเป็นส่วนใหญ่ สำหรับในชุดใหม่นี้ ผมจะขอย้ายถิ่นฐานจากโลกตะวันตกสุด จากดินแดน Silicon Valley มาสู่เมืองจีน ดินแดนที่กำลังเดินหน้าสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลี ไม่แพ้ฝั่งโลกตะวันตกเลยในขณะนี้

ผมขอเริ่มด้วยเรื่องของ Jack Ma อดีตครูสอนภาษาอังกฤษธรรมดา ๆ คนหนึ่งในเมืองหางโจว ที่ได้เริ่มต้นสร้างธุรกิจอย่าง Alibaba ให้สามารถกลายเป็น อาณาจักร E-Commerce ขนาดใหญ่ที่สุด แห่งหนึ่งของโลกในปัจจุบัน

อาณาจักรที่สร้างสถิติการเปิดขายหุ้น IPO ในตลาด New York Stock Exchange ด้วยเงินระดมทุน ที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีผลทำให้ Alibaba กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงกว่า สามแสนล้านเหรียญสหรัฐ เขาทำในสิ่งที่เหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร

Blog Series ชุดนี้ นำเนื้อหาหลักมาจากหนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built ที่เป็นหนังสือ ที่เล่าเรื่องราวของ Jack Ma และ อาณาจักร Alibaba ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนถึง ปี 2016 ผ่านสายตา คนที่เป็นคนวงใน อย่าง Duncan Clark ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษาของบริษัท Alibaba Group ที่เห็นภาพการเติบโต และ ปัญหา อุปสรรค ต่าง ๆ ที่ Jack Ma ได้เผชิญ ก่อนที่ Alibaba จะมายิ่งใหญ่ได้อย่างในปัจจุบัน

หนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built
หนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built

และข้อมูลจากหนังสือแปลไทยอีกเล่มที่เป็นอัตถชีวประวัติ แจ๊ค หม่า (มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก) ที่มาจากนักเขียนจีนอย่าง หลิวซื่ออิง และ เผิงเจิง โดยการแปลขอบคุณ ชาญ ธนประกอบ 

ชีวประวัติ แจ๊ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก
ชีวประวัติ แจ๊ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก

และเหมือนเคย ผมจะนำมาเรียบเรียง เรื่องราวใหม่ โดยใส่ข้อมูลเพิ่มเติม จากแหล่งอื่นๆ เช่น Wikipedia และ ข้อมูลจากเว๊บไซต์ต่าง ๆ  ซึ่งอาจจะทำให้ Timeline ของเนื้อหานั้น อาจจะเปลี่ยนไป และ เขียนในสไตล์ของผม ซึ่ง รับรองว่าคุณจะสนุก กับ ประวัติ ที่โชกโชน ของ Jack Ma และ Alibaba อย่างแน่นอนครับ โปรดติดตามกันด้วยนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 1 : Internet

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

หนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built by Duncan Clark

หนังสือ ชีวประวัติ แจ็ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก
ผู้เขียน หลิวซื่ออิง
ผู้แปล ชาญ ธนประกอบ