Series Review : The Chestnut Man ซีรีส์เดนมาร์กจิตวิทยาเขย่าขวัญผ่านตุ๊กตาเกาลัด

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์คุณภาพจากประเทศเดนมาร์กที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับ The Chestnut Man ที่เป็นซีรีส์ สไตล์กลิ่นอายของ Nordic Noir ที่มีการดัดแปลงจากนวนิยาย  Søren Sveistrup ซึ่งต้องบอกว่าเป็นนวนิยายชื่อดังที่มีการแปลเป็น 28 ภาษา และมีการตีพิมพ์กว่า 50 ประเทศ

ส่วนตัวผมเป็นคนชอบ ซีรีส์ทางฝั่งยุโรปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ไม่ผิดหวังเลย ที่มาในแพลตฟอร์ม Netflix

ด้วยบรรยากาศที่ถ่ายทำในฤดูใบไม้ร่วงของเดนมาร์ก และ การปรับแต่งโทนสีของเรื่องให้ดูน่าพิศวง มันทำให้เข้ากับบรรยากาศของธีมซีรีส์ ที่เน้นไปทางด้านจิตวิทยาเขย่าขวัญ สั่นประสาท ผ่านพล็อตฆาตรกรต่อเนื่อง ด้วยเนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ

เนื่องเรื่องที่ว่าด้วย Naia Thulin ที่เป็นตำรวจสืบสวนสอบสวนคดีฆาตรกรรม ที่ชีวิตสับสนและเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ร่วมมือกับ Mark Hess ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์คนใหม่ซึ่งได้รับมอบหมายใหม่จาก Interpol อย่างไม่เต็มใจ

และเพื่อสอบสวนการฆาตกรรมของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ถูกพบในสนามเด็กเล่นด้วยมือที่หายไปและหุ่นตุ๊กตาเกาลัดปริศนา ที่สร้างขึ้นจากเม็ดเกาลัดและไม้ขีดไฟหรือกิ่งไม้เพื่อให้มีลักษณะคล้ายกับคน

และมันมีหลักฐานที่เห็นได้ชัดว่าคดีดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับคดีหนึ่งเมื่อปีก่อนเมื่อลูกสาวของรัฐมนตรีกระทรวงสังคมของเดนมาร์ก Rosa Hartung ที่ถูกลักพาตัวไปและมีการสรุปคดีว่าถูกสังหารแต่ยังไม่ค้นพบศพ 

เรียกได้ว่า เป็นพล็อตที่มีความลึกลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ทำให้เราลุ้นไปตลอดทุกตอนเลยทีเดียว ที่ซีรีส์ ค่อย ๆ เฉลยปมต่าง ๆ ออกมา แม้จะมีเพียงแค่ 6 ตอนแต่เรียกได้ว่าลุ้นไปจนจบในทุก ๆ ตอนเลยก็ว่าได้

ตัวละครแต่ละตัวก็เรียกได้ว่ามีรายละเอียดพอสมควร ซีรีส์ได้เล่นในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว เรื่องการเมือง หรือ บาดแผลภายในใจของตัวละครเอกอย่าง Mark Hess ที่ทำให้เราได้รู้ว่า ทำไมเขาจึงต้องการที่แก้ไขปริศนาคดีดังกล่าวนี้ให้สำเร็จ

ก็ต้องบอกว่า ตัวละครหลักทุกตัว มีสิ่งนึงที่เหมือนกันก็คือ “ทุกคนมีความลับ” นั่นทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีเสน่ห์ มาก ๆ ในการติดตามเรื่องราว ที่ผสานระหว่างเรื่องราวในอดีตของตัวละครหลักทั้งหมด

การเฉลยของเรื่องก็เซอร์ไพรส์ พอสมควร ผมคิดว่าหลาย ๆ คนคงเดาไม่ออกอย่างแน่นอนว่า ฆาตรกรตัวจริงในเรื่องนี้คือใคร

ก็ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ ที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งนะครับ สำหรับ The Chestnut Man ที่จะได้สัมผัสกลิ่นอายใหม่ ๆ ของซีรีส์สไตล์ Nordic Noir ผ่านบรรยากาศของประเทศเดนมาร์ก ซึ่งให้บรรยากาศที่แปลกใหม่ หากใครเบื่อซีรีส์ทางฝั่ง Hollywood แบบเดิม ผมก็แนะนำว่าเรื่องนี้ ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับผม

Series Review : The Twelve (Netflix) 12 คณะลูกขุนที่นำชีวิตของพวกเขาไปสู่คดีฆาตกรรมที่น่าตื่นเต้น

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่เป็นผลงานจากยุโรป ที่มีความน่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับ The Twelve (Netflix) ที่เล่าเรื่องราวของคณะลูกขุน 12 คน ที่ต้องมาตัดสินชะตากรรมให้กับผู้หญิงคนหนึ่งในคดีฆาตรกรรมเพื่อนและลูกสาวของเธอ

เรื่องนี้ต้องบอกว่ามีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจที่แทบจะไม่เคยมีใครทำมาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นสารคดีซะมากกว่าที่จะทำเรื่องราวเหล่านี้ ที่ถ่ายทอดการพิจารณาคดี ผสานไปกับการเล่าเรื่องราวของเหล่าคณะลูกขุนที่กำลังประสบกับปัญหาชีวิตอยู่ ณ ขณะนั้น

เรื่องราวที่ว่าด้วยหญิงที่มีชื่อว่า Frie Palmers เธอถูกพิจารณาคดีในคดีฆาตกรรมสองครั้ง ห่างกันสิบแปดปี โดยคดีแรกคือคดีฆาตกรรมเพื่อนสนิทของเธอ  Brechtje Vindevogel เมื่อวันที่ 1 มกราคม ปี 2000

เหตุการณ์ที่สองคือการเสียชีวิตของ Roos ลูกสาววัย 2 ขวบของเธอในปี 2016 ซึ่งคดีดังกล่าวได้สร้างกระแสให้กับสื่อในเบลเยียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมือง Flemish แห่ง Ghent ที่ซึ่งมีการพิจารณาคดีเกิดขึ้น

The Twelve  (ชื่อเดิม:  De Twaalf ) ได้เล่าเรื่องการพิจารณาคดีทางอาญาในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เราจะได้เห็นชีวิตภายในและภายนอกของสมาชิกในคณะลูกขุนในขณะที่การพิจารณาคดีกำลังดำเนินไป

ซึ่งเป็นการถ่ายทอดให้เห็นว่าพวกเขานำอคติและประสบการณ์ชีวิตใดบ้างมาที่โต๊ะประชุมของเหล่าคณะลูกขุนเพื่อนทำการตัดสินคดี และเมื่อฟังหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และตัดสินว่าเธอมีความผิดหรือไม่

ต้องบอกว่าการเล่าเรื่องชีวิตของคณะลูกขุนก็มีความน่าสนใจเช่นกัน ซึ่งเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่อาจส่งผลต่อมุมมองของพวกเขาต่อคดีนี้

แม้ว่าพวกเขาจะสาบานตนเองก่อนมาเป็นคณะลูกขุนว่าจะไม่มีอคติก็ตาม ความลำเอียงมีอยู่ในมุมมองของทุกคนในชีวิต ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเป็นกลางแค่ไหนก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่เกิดขึ้นในโลกของเรา

ซึ่งเรื่องราวจะโฟกัสไปยังคณะลูกขุนบางคน เช่น Delphine และสามีที่คอยควบคุมเธอ รวมถึง Holly Ceusters ซึ่งกำลังหนีจากฝันร้ายจากคดีฆาตรกรรมครอบครัวของเธอ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวแวดล้อมอื่น ๆ เช่น Marc Vindevogel  ที่รับบทพ่อของ Brechtje ที่สงสัยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของ Frie ในการฆาตกรรมลูกสาวของเขา

โดยซีรีส์ชุดนี้จะมีทั้งหมด 10 ตอน ซึ่ง แต่ละตอนจะเป็นการตั้งชื่อตามตัวละครที่มีบทบาทหลักในตอนนั้น ๆ แต่ก็ไม่ได้ใช่ตอนที่เล่าเรื่องราวของตัวละครนั้นทั้งหมดแต่อย่างใด เนื้อหาหลักของทุกตอน ก็จะเป็นการพิจารณาคดีในชั้นศาลที่จะคอยคลี่ปมทุกอย่างออกมาทีละนิด

เรื่องนี้มีหลายแง่มุมที่ถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว ทั้งการเหยียดผิว การปกครองแย่งชิงอำนาจ (ในการเป็นผู้นำคณะลูกขุน) การทำงานของสื่อ ปัญหาครอบครัว ทั้งปัญหาพ่อลูก ปัญหารักสามเศร้า เรียกได้ว่า มีรายละเอียดทุกอย่างครบ

ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวไป มันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงต่อเหล่าคณะลูกขุนเหล่านี้ ที่ต้องมาตัดสินชะตาชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ทั้งที่ชีวิตของตัวเองก็ยังวุ่นวายอยู่นั่นเอง

แต่น่าสนใจว่าหลังจากที่ผมได้ดูซีรีส์ชุดนี้จบ ทำให้ผมได้ย้อนไปคิดถึงหนังสือเล่มล่าสุดที่เพิ่งได้รีวิวไปนั่นก็คือ Noise: A Flaw in Human Judgment (เสียงรบกวนสู่ข้อบกพร่องในการตัดสินใจของมนุษย์)

มันชัดเจนมาก ๆ เมื่อได้มาดูซีรีส์ชุดนี้ มันเป็นเรื่องของ Noise หรือเสียงรบกวนที่มากระทบเรา ในการตัดสินใจหลาย ๆ อย่างที่สำคัญ (ในซีรีส์คือ การตัดสินให้ผู้หญิงคนนึงต้องจำคุกไปตลอดทั้งชีวิต)

ซึ่ง ก็น่าสนใจนะครับว่าในระยะยาว Daniel Kahneman (ผู้เขียนหนังสือ) มองเห็นโลกที่เราอาจ “ไม่ต้องการคน” เพื่อตัดสินใจในหลาย ๆ อย่างอีกต่อไป เมื่อสามารถจัดโครงสร้างปัญหาและรวบรวมข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้นได้

เหล่าคณะลูกขุนที่เป็นมนุษย์ก็อาจไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะหุ่นยนต์มันไม่มีอารมณ์ หรือผลกระทบอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง พวกมันพิจารณาจากหลักฐาน ข้อมูลที่ปรากฏ เพียงเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันมีความแม่นยำกว่าการตัดสินใจของมนุษย์จากซีรีส์เรื่องนี้อย่างแน่นอนนั่นเองครับผม

Series Review : The Defeated (Netflix) เยอรมันหลังสงคราม กับบ้านเมืองที่ไร้ขื่อแป

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์จาก Netflix ที่มีการถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าสนใจเลยทีเดียวนะครับสำหรับ The Defeated ที่เป็นการเล่าเรื่องราวของประเทศเยอรมันหลังการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ที่ต้องมาสร้างประเทศกันใหม่ ซึ่งตอนนั้นต้องบอกว่าเป็นช่วงที่ประเทศพวกเขายังไร้ขื่อแป ระบบยุติธรรมที่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่จากศูนย์กันเลยทีเดียว

โดยพล็อตเรื่องได้ดำเนินขึ้นหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเมืองเบอร์ลินได้ถูกแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน โดย อเมริกา โซเวียต อังกฤษ และฝรั่งเศส

เรื่อราวที่ว่าด้วยนายตำรวจที่มีชื่อว่า แม็ก แมคคลิริน ที่มาจากบรู๊คลิน นิวยอร์ก เขาได้ถูกส่งมาประจำการในพื้นที่ของอเมริกาในใจกลางกรุงเบอร์ลิน ที่ถูกแบ่งส่วนจากประเทศต่าง ๆ ที่ชนะสงคราม

เป้าหมายคือมาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสถานีตำรวจของกรุงเบอร์ลิน ให้เทียบเท่าในนิวยอร์ก เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศในตอนนั้นต้องบอกแทบจะแหลกสลาย บ้านเมืองเต็มไปด้วยซากปรักหักพังที่เป็นผลจากสงคราม

รวมถึงสาวอย่างเอลลี่ ที่ต้องมาทำงานร่วมกับ แม็ก ในการสืบสวนคดีที่เลวร้าย ที่จะพยายามควานหัวตัว เองเกิล มาร์เคิล (ตัวร้ายของเรื่อง) ที่เป็นนายแพทย์ที่ช่วยเหลือผู้หญิงในเบอร์ลินจากการถูกข่มขืน แต่ก็ต้องแลกกับการใช้งานสาว ๆ เหล่านี้เพื่อหาผลประโยชน์บางอย่างให้กับเขา

ลองจินตนาการว่า ประเทศที่แพ้สงครามใหม่ ๆ มันเต็มไปด้วยความยากลำบากขนาดไหน มีเรื่องวุ่นวายมากมายที่เกิดขึ้นในเมือง การฆ่าฟัน การข่มขืน ได้กลายเป็นเรื่องปรกติที่เกิดขึ้นไปแล้วภายในเมืองแห่งนี้

ต้องบอกว่า ซีรีส์ ก็ได้ถ่ายทอดมุมมองที่น่าสนใจหลายมุม ทั้งเรื่องของความขัดแย้งระหว่างนาซี กับ ชาวยิว การล้างแค้น ความรัก การทุจริตคอรัปชั่น ที่กำลังเกิดขึ้น บนคราบน้ำตาของประชาชนชาวเยอรมัน ที่กำลังร่วมแรงร่วมใจกันสร้างชาติใหม่ขึ้นมา

แม้เนื้อเรื่องจะไม่มีอะไรมากนัก เป็นซีรีส์สืบสวนสอบสวน ผ่านบรรยากาศของเบอร์ลินยุคหลังสงครามโลกเพียงเท่านั้น เนื้อหาหลัก ก็เป็นเรื่องราวการตามหาพี่ชายที่สูญหายไปของพระเอกอย่าง แม็ก

แต่จากเส้นเรื่องหลักในการตามหาพี่ชายของเขานี่แหละ ที่จะไปขุดลึกถึง เรื่องราวอื่น ๆ ที่ตามมาอีกมากมาย ซึ่งเต็มไปด้วยความโหดร้าย รุนแรง และหดหู่มาก ๆ สำหรับซีรีส์ชุดนี้

แต่ต้องบอกว่า เรื่องนี้ได้จับมุมมองใหม่ที่เราแทบไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมีหนังหรือซีรีส์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เรื่องนี้ จะเป็นแง่มุมใหม่ ๆ ที่คุณจะไม่ได้พบเจอในหนังหรือ ซีรีส์ชุดไหนมาก่อนอย่างแน่นอน

ส่วนตัวผมเป็นคนชอบประวัติศาสตร์โดยเฉพาะส่วนของสงครามโลกครั้งที่สองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงถือว่าประทับใจกับการเล่าเรื่องของซีรีส์ชุดนี้เอามาก ๆ แต่ข้อเสียคือการดำเนินเรื่องที่ดูจะช้าไปหน่อย แม้ตอนจบจะเป็นอะไรที่เดาได้ไม่ยาก แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่ถ่ายทอดเรื่องราวความโหดร้ายของสงครามได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียวครับผม

American Vandal กับสุดยอด Reality ซีรีส์สืบสวนอาชญากรรมตามล่าคนวาดจู๋

เป็นอีกหนึ่งซีรีส์กึ่งสารคดี ที่ผมไม่คิดว่า มันจะสนุกขนาดนี้ สำหรับ American Valdal ที่เป็นซีรีส์ แบบ Reality ถ่ายทำจริงจากเหตุการณ์จริง ที่สืบสวนเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริงในโรงเรียน High School ของอเมริกา

Season 1 : ตามล่าคนวาดจู๋

สำหรับซีรีส์ ชุดนี้ได้แบ่งเป็นสอง Season โดยเรื่องย่อของ Season แรกคือ ณ โรงเรียนมัธยมปลาย Hanover, บนรถของคณะครูอาจารย์รวมทั้งสิ้น 27 คัน พบรอยสเปรย์สีแดงฉีดจนถ้วนทั่ว ฉีดเป็นรูปไอ้จู๋ ไอ้จู๋อันใหญ่ ไอ้จู๋เต็มกระโปรงหน้า ไอ้จู๋เต็มกระบะหลัง ทุกคัน มีไอ้จู๋คันละหนึ่งอันไม่มีว่างเว้น

ใครเป็นตัวการก่อกวนในครั้งนี้ ดูเหมือนพวกอาจารย์จะมีคนร้ายในใจอยู่แล้ว นักเรียนหัวโจกชื่อ ดีแลน แม็กซ์เวลล์ เป็นคนที่ชอบเล่นตลกบ้าๆ บอๆ ในห้องเรียน จนบางครั้งทำให้อาจารย์สอนต่อไม่ได้ และเขาก็ยังเป็น ‘นักวาดไอ้จู๋’ ตัวยง และทำให้เขาถูกหมายหัวจากเหล่าคณาจาร์ในคดีสุดสะเทือนขวัญครั้งนี้

ซึ่งซีรีส์ จะนำพาตัวเรา ไปสำรวจเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยจะเป็นการเล่าผ่านมุมมองของ ปีเตอร์และแซม คู่หูผู้ที่เดิมทีก็เป็นทีมงานชมรมนักข่าวประจำโรงเรียนอยู่แล้ว ที่จับมือกันช่วยกันถ่ายทอดเรื่องราว และสืบค้นหาต้นตอที่แท้จริงว่า ถ้าดีแลนไม่ได้ทำ แล้วใครทำ? เหตุจูงใจคืออะไร? ทำไมต้องโยนให้ดีแลน?  เป็นต้น

มันเป็นเรื่องจริง ที่เหมือนพล็อตถูกแต่งมา อย่างกับนวนิยายสืบสวนสอบสวน ที่น่าสนใจเพราะมันคือเรื่องจริง ทำให้เราต่างคาดเดาไปว่าใครคือผู้กระทำผิดตัวจริงกันแน่ มีการเล่าสลับไปมา ระหว่างบทสัมภาษณ์กับ การสืบสวนสอบสวนของคู่หู ปีเตอร์และแซม

Season 2 : ตามล่า The Turd Buglar จอมโจรระเบิดขี้

หลังจากที่ตัวภาพยนตร์สารคดี American Vandal ถูกปล่อยออกไปสู่สายตาสาธารณะ ก็ทำให้เกิดเป็นกระแสและถูกพูดถึงมากมาย ปีเตอร์และแซมก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นผ่านการสัมภาษณ์ในรายการต่าง ๆ จนวันหนึ่งก็มีอีเมล์จากเด็กนักเรียนคนหนึ่งของโรงเรียนเอกชนชื่อดังอย่าง เซนต์เบอร์นาดีน เข้ามาถึงพวกเขา

โดยมีใจความว่าโรงเรียนของเธอเกิดเหตุการณ์ที่ว่านักเรียนขี้แตกกันทั้งโรงเรียนพร้อมกัน ซึ่งไม่ได้เกิดเพราะความบังเอิญแน่นอนเพราะหลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็มีบุคคลปริศนาที่อ้างตัวว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้โดยใช้นามแฝงว่า ‘The Turd Burglar’ ใน Instagram

ซึ่งทางโรงเรียนก็ได้ตามสืบหาต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมดและไปจบตรงที่โรงเรียนได้ไล่เด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ถูกเชื่อว่าเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ แต่ทั้งความจริง หลักฐานและแรงจูงใจไม่ได้ถูกบอกให้กระจ่าง ปีเตอร์และแซมจึงได้เริ่มถ่ายสารคดีหนังออนไลน์อีกครั้งเพื่อตามหาความจริงและเปิดโปงตัวตนของ The Turd Burglar

ส่วนตัวต้องบอกว่าผมชอบ Season สองมากกว่า เพราะเหมือนว่า ปีเตอร์และแซม มีประสบการณ์มากขึ้นในการทำสารคดีชุดนี้ ที่ Season สองดูจะมีการเล่าเรื่องที่ซีเรียสมากยิ่งขึ้น

จุดเด่นของ Season 2 คือ ตัวละครหลักอย่าง เควิน แมคเคลน ที่เป็นเด็กนักเรียนที่ชอบทำตัวประหลาด ๆ ในโรงเรียน รวมถึง เดอร์มาคัส ทิลแมน นักกีฬาบาสเก็ตบอลดาวรุ่ง ที่ เรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่ conflict กันอย่างชัดเจน

เรื่องนี้ต้องบอกว่ามันส์มาก ๆ เราลุ้นอยู่ตลอดเวลา ในการตามล่าหาจอมโจร The Turd Burglar ตัวจริง ว่าเป็นใครกันแน่ มีพลิกหักมุมอยู่แทบจะตลอดเวลา อย่างกับถูกเขียนขึ้นผ่านบทละคร

บทสรุป

ต้องบอกว่าซีรีส์ชุดนี้มันได้สะท้อนให้เราเห็นถึงสังคม High School ของอเมริกาในยุคปัจจุบันได้อย่างดีมาก ๆ การเติบโตของเครือข่าย social media ทำให้เป็นยุคของ Camera Anywhere รวมถึงการ Bully กัน ที่เรียกได้ว่ากลายเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้ว

มันสะท้อนให้เห็นถึงการอยากสร้างตัวตนขึ้นมา ให้ทุกคนรู้จัก ซึ่งกลายเป็นเรื่องปรกติในยุคนี้ไปเสียแล้ว ทั้งที่เรื่องราวในโลก Social กับ ชีวิตจริง ๆ อาจจะแตกต่างกันแบบสิ้นเชิงเลยก็ได้

American Vandal จึงเป็นซีรีส์ที่สะท้อนสังคมไฮสคูลที่สมจริงมากกว่าซีรีส์อื่นในแนวเดียวกันอีกหลายเรื่องที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด และเป็นซีรีส์สืบสวนสอบสวนแบบ Reailty ที่คุณจะไม่มีทางเดาตอนจบของเรื่องราวทั้งหมดได้ และที่สำคัญไม่ควรพลาดรับชมเป็นอย่างยิ่งครับผม

Turning Point: 9/11 and the War on Terror กับเรื่องราวจุดเริ่มต้นสู่จุดจบของสงครามที่ยาวนานที่สุดของประวัติศาสตร์อเมริกา

เรียกได้ว่าเป็นสารคดีกึ่งซีรีส์ ที่ปล่อยออกมาได้ถูกเวลาเลยทีเดียวสำหรับ Turning Point:9/11 and the War on Terror ของ Netflix ที่ข่าวล่าสุดประะธานาธิบดี โจ ไบเด้น เพิ่งสั่งถอนกำลังจากอัฟกานิสถานทั้งหมด

สำหรับใครสนใจเรื่องประวัติศาสตร์สงครามนั้น ไม่ควรพลาดสารคดีชุดนี้เป็นอย่างยิ่ง

โดยสารคดีเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งจะพาเราย้อนเวลากลับไปสู่อดีตสมัยโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน จนกระทั่งถึงสงครามอ่าว

จุดเริ่มต้นที่ตีแผ่ ความล้มเหลว ความขัดแย้งไม่ประสานงานที่เกิดขึ้นระหว่าง FBI และ CIA ที่ควรจะป้องกันเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ หากมีการประสานงานกันมากกว่านี้

มันทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่ากลุ่มกบฏและองค์กรก่อการร้ายประเภทนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมพวกเขาถึงเกิดขึ้นได้ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้เกลียดชังชาวอเมริกันยิ่งนัก

สงครามที่ลามปามไปถึงอิรัก ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับการโจมตี 9/11 เลยด้วยซ้ำ การอ้างว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรง ซึ่งสุดท้ายมันก็เฉลยแล้วว่า เป็นเรื่องปั้นแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น

การวางยุทธศาสตร์ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของอเมริกา ผ่านประธานาธิบดีไล่มาตั้งแต่ บุช โอบามา จนมาถึงการถอนกำลังของ โจ ไบเด้น

ซึ่งแม้กระทั่งประธานาธิบดีคนดังอย่าง บารัค โอบามา ก็ล้มเหลวสิ้นเชิงกับสิ่งที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน เมื่อต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และความเป็นใหญ่ของหน่วยสืบราชการลับ และหน่วยความมั่นคงของอเมริกา ที่เริ่มสะสมอำนาจไว้ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช

กลายเป็นว่านโยบายของบารัค โอบามา ที่เน้นการโจมตี ด้วยโดรน ได้กลายเป็นต้นเหตุสำคัญของความคับแค้นใจของชาวอัฟกัน ที่ต้องสูญเสียญาติพี่น้องไปจำนวนมหาศาล เนื่องจาก โดรน เป็นอาวุธที่ทำลายล้างที่ร้ายแรง และส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก

แล้วผลที่ตามมาซึ่งร้ายแรงกว่าเมื่อก่อน ซีรีส์ชุดนี้ค่อย ๆ คลายความล้มเหลวของหน่วยสืบราชการลับ การอนุญาตให้ใช้กำลังอย่างไม่จำกัด และการทรมาน ออกมาทีละน้อย ๆ

การกระทำนอกกฏหมายที่เกิดขึ้นในคุกในกวนตานาโม ประเทศคิวบา หรือ CIA Black Site ที่มีอยู่ทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศไทยเองก็ตามที

หรือเรื่องราวการคอรัปชั่น ในอัฟกานิสถาน ที่ทำให้ประเทศ สุดท้ายแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะป้องกันตัวเองได้ เมื่อทหารอเมริกันถอยทัพออกไป แม้เครื่องไม้เครื่องมือจะพร้อม แต่การคอรัปชั่นที่กัดกินประเทศ ทำให้ไม่มีอะไรไปสู่กลุ่มกองโจรอย่างตอลิบานได้เลย

ต้องบอกว่าซีรีส์ชุดนี้ให้มุมมองที่หลากหลายจากผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงไปจนถึงประชาชนคนปกติที่ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะเหตุ 9/11 

มีการถ่ายทอดผสมผสานแนวคิดของข้อเท็จจริงทั้งหมดเข้ากับอารมณ์ด้วยการปรับบท ซึ่งให้ประสบการณ์การรับชมที่สนุกสนานอย่างมากสำหรับคนที่ชอบซีรีส์แนวนี้ ซึ่งผมชอบมาก

เรื่องราวหลายๆ อย่างที่หลายคนอาจจะไม่รู้ คนที่ยุติสงครามจริง ๆ เริ่มเจรจากับกลุ่มตอลิบานอย่างจริงจัง กับเกิดขึ้นในช่วงประธานาธิบดีอย่างโดนัล ทรัมป์

แต่สิ่งที่น่าสนใจ ที่สารคดีชุดนี้ไม่ได้กล่าวถึง ก็คือ เบื้องหลังตัวจริง บริษัทค้าอาวุธสงคราม ที่คอยผลักดันให้อเมริกันเกิดสงคราม เหมือนคนบ้าคลั่ง หลังเหตุการณ์ 9/11

มันคือการสร้างสงครามแห่งความกลัวให้กับชาวอเมริกันเอง ที่สุดท้ายแล้ว เรื่องราว 20 ปีที่เกิดขึ้น ก็กลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเมื่อ ตอลิบาน กลับมายึดครองอัฟกานิสถานได้เหมือนเดิม และคนที่ได้รับประโยชน์จริง ๆ จากสงครามทั้งหมด ไม่ใช่ชาวอเมริกัน แต่กลายเป็นบริษัทค้าอาวุธ ที่นั่งอยู่ในมุมมืดคอยชักใยให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นนั่นเองครับผม