Series Review : Clickbait คลิกล่อตาย มินิซีรีส์สืบสวนสอบสวนที่แกงซ้อนแกงคนดู

เป็นซีรีส์ ที่มีเรื่องราวน่าสนใจเลยทีเดียวนะครับ สำหรับ ซีรีส์ ที่เป็น original ใหม่จาก Netflix อย่าง Clickbait คลิกล่อตาย ที่นำเรื่องราวอาชญากรรมบนโลกออนไลน์มาถ่ายทอดได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว

เรื่องราวที่ว่าด้วย นิก บรูว์เออร์ สามีและคุณพ่อของลูกชาย 2 คน เขาน่าจะมีครอบครัวที่ดีแต่แล้วเช้าวันหนึ่งเขาก็หายตัวไป พร้อมกับปรากฏตัวในคลิปไวรัลที่มีภาพตัวเขาถูกซ้อมและชูป้ายที่มีข้อความว่า เขาเคยทำร้ายและฆ่าผู้หญิง

และที่สำคัญหากยอดวิวคลิปนี้ถึง 5 ล้านครั้ง เขาจะถูกฆ่าตาย ซึ่งทำให้เกิดปริศนาถาโถมใส่ครอบครัวของนิก รวมถึง เพีย น้องสาวของนิกที่ยังคงศรัทธาในตัวพี่ชายและออกตามหาความจริงให้ถึงที่สุดเพื่อช่วยพี่ชายของเธอให้ได้

อย่างที่กล่าวไปว่า จุดที่น่าสนใจของ ซีรีส์เรื่องนี้คือ การนำเอาประเด็นเรื่องออนไลน์ มาเป็นจุดขาย แต่เอาจริง ๆ มันก็เป็นหนังสืบสวนสอบสวน ตามล่าหาฆาตกรธรรมดา ๆ นี่แหละครับ แค่ สร้างจุดประเด็กเรื่องยอดวิว 5 ล้านให้น่าสนใจ

เพราะหากดูจากเนื้อเรื่องหลัก ประเด็น 5 ล้านวิว นี่แทบจะไม่ได้ส่งผลต่อเรื่องราวทั้งหมดแต่อย่างใด คิดว่ามันเป็นการพาดหัวให้ดู Clickbait เหมือนชื่อเรื่องของซีรีส์นั่นแหละ

แผนจริง ๆ ของผม กำลังตามเก็บ มินิซีรีส์ของ Harlan Coben อยู่ แต่มีเรื่องนี้ ที่เรียกได้ว่า พาดหัวเรื่องได้น่าสนใจตามชื่อเรื่องเลยขอลองสลับมาดูหน่อย

โดยแต่ละตอนของ Clickbait ก็จะตั้งชื่อตอนตามชื่อตัวละครแต่ละตัว และเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวละครนั้น ๆ ซึ่งเหมือนกับ Gone for Good ที่ผมเคยรีวิวไปแล้วมาก ๆ เหมือน copy กันมาเลยด้วยซ้ำ

ต้องบอกว่า ซีรีส์ชุดนี้ เล่าความ conflict ของตัวละครไว้น่าสนใจหลายแง่มุม ทั้งเรื่อง เพศสภาพ การเหยียดผิว หรือ โรคทางจิตเวช และการตีแผ่วงการสื่อ ที่เอามาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

แต่ด้วยเส้นเรื่องที่มันก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ แนวค่อย ๆ คลายปมของเรื่องราวไปเรื่อย ๆ ทำให้เราเดาได้ยากว่าฆาตรกรจริง ๆ นั้นคือใคร เหมือนจะเฉลยแล้ว แต่ก็มีเรื่องที่นำพาไปสู่ฆาตรกรตัวจริงในตอนท้ายสุดอยู่ดี เรียกได้ว่า ก็ถือว่าได้ลุ้นพอตัวอยู่เหมือนกัน

ถามว่าบทสรุปเซอร์ไพรส์มั๊ย? ก็ต้องบอกว่าเดาได้ยากอยู่ เรียกได้ว่าแกงซ้อนแกงคนดูไปตลอดทาง และให้เราได้คิดอยู่ตลอดเวลาว่า ตกลงตัวเอกของเรื่องอย่าง นิก นั้นเป็นดี หรือคนไม่ดีกันแน่

แต่สิ่งที่ขัดใจ ก็คือ ตอนจบนี่แหละ เหมือนปูทุกอย่างมาดีมาก ๆ แล้ว แต่การเฉลยของเรื่องมันดูไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเท่าที่ควร ชั้นเชิงในการเล่าเรื่องผมชอบของฝั่ง harlan Coben มากกว่า ทั้ง Gone for Good หรือ The Woods ที่ดูน่าสนใจกว่า และจบได้ดีกว่าเยอะมาก

สรุป ตามชื่อเรื่องเลยครับ Clickbait เป็นการดึงให้ผมเข้าไปดูตามชื่อของซีรีส์ แต่ถ้าถามว่าประทับใจไหม ก็ถือว่าดูได้ไม่ได้ผิดหวัง ความเห็นส่วนตัว ถ้าเทียบกับ ซีรีส์ของ Harlan Coben นั้นผมว่ายังห่างชั้นอยู่มากครับผม

Movie Review : Beckett ปลายทางมรณะ หนังทริลเลอร์ระทึกขวัญใหม่ จาก จอห์น เดวิด วอชิงตัน

เป็นอีกหนึ่งในหนังในลิสต์ที่ผมไม่พลาดเป็นอย่างยิ่ง กับผลงานใหม่ของ จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นักแสดงนำจากเรื่อง Tenet อีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่น่าจับตามอง และที่สำคัญเขาเป็นลูกชายของ เดนเซล วอชิงตัน

สำหรับ Beckett รอบนี้มาในแพล็ตฟอร์มของ Netflix ไม่ได้เข้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งหลาย ๆ ท่านน่าจะได้รับชมกันไปแล้ว และเป็นหนังทริลเลอร์ระทึกขวัญเรื่องใหม่ ที่น่าจับตามองเลยทีเดียว

เรื่องย่อ Beckett ปลายทางมรณะ เป็นเรื่องราวของเบ็คเก็ต นักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน ที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศกรีซ กับแฟนสาว เอพริล (รับบทโดย อลิเซีย วิแคนเดอร์) เป็นการเที่ยวแบบไม่วางแผนล่วงหน้า

พวกเขาตัดสินใจออกจากเมืองเอเธนส์เพื่อไปเที่ยวที่ทางเหนือของกรีซ เพราะว่าได้รับการเตือนจากทางโรงแรมในเอเธนส์ ว่าจะมีการประท้วงด้านหน้าโรงแรม ระหว่างการเดินทางบนถนนที่วิ่งไปตามภูเขา เอพริลเผลอหลับไปทิ้งเบ็คเก็ตให้ขับรถอยู่คนเดียว

ด้วยความอ่อนล้าจึงทำให้เขาเผลอหลับใน รถจึงหล่นถนนลงไปชนบ้างร้าง หลังฟื้นจากอุบัติเหตุเขาเห็นบางสิ่งบางอย่างในบ้าน เหมือนจะเป็นผู้หญิงและเด็ก

แต่เขาไม่รู้ว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากฟื้นจากอุบัติเหตุ เขาพบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลและทราบว่าแฟนสาวเสียชีวิตแล้ว เขากลับไปยังบ้านร้าง

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเขาถูกตามไล่ล่าจากตำรวจที่ทำคดี ทำให้เขาต้องหนีตายหลายต่อหลายครั้ง เป้าหมายของการหนีคือไปขอความช่วยเหลือจากสถานฑูตอเมริกันในเอเธนส์

พล็อตเรื่องดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากมาย พระเอกอย่างเบ็คเก็ต ก็หนีตายกันอย่างเดียวทั้งเรื่อง ผ่านเรื่องราวที่ผูกปมซ่อนเงื่อนไว้ เรียกได้ว่า จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นั้นแบกหนังเรื่องนี้ไว้แทบจะคนเดียวทั้งเรื่อง เพราะเป็นการโซโล่เดี่ยวลุยแหลกจากเขาแทบจะทั้งเรื่อง

สิ่งที่น่าชมเชย ก็ต้องบอกว่า ผลงานการแสดงของ จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นั่นแหละที่ต้องรับบทหนักทั้งเรื่อง เป็นการรีดศักยภาพที่สูงสุดของเขาออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้ เป็นการพิสูจน์คุณภาพว่า เขาก็มีดีไม่แพ้พ่อของเขาอย่าง เดนเซล วอชิงตัน แต่อย่างใด

งานแสดงของ จอห์น นั้นยกระดับขึ้นมาอีกขั้น เป็นอีกหนึ่งดาราที่น่าจับตามองมาก ๆ เรื่องนี้เรียกได้ว่า มีทุกสไตล์การแสดง ทั้งแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญ บทดราม่าเรียกน้ำตา ที่เขาสื่อสารมันออกมาได้ดีมาก

เอาจริง ๆ หนังมันดู Real ดูสมจริง เหมือนเรากำลังลุยพร้อมกับพระเอก ฝ่าด่านบอสต่าง ๆ แก้ไขปริศนาระหว่างทาง ผมมองว่ามันคล้าย ๆ เกม ที่พาเราเข้าไปเหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่เราแค่ไม่สามารถบังคับตัวละครได้เท่านั้นเอง

อุปสรรคอย่างนึงของหนังเรื่องนี้ คือเรื่องของภาษา แน่นอนว่า เบ็คเก็ตเอง เป็นนักท่องเที่ยว ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น การติดต่อสื่อสารกับคนในพื้นที่ ก็เป็นเรื่องยาก

ส่วนแก่นหลักของเรื่องต้องบอกว่า ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว มีการผสมผสานเรื่องการเมืองเข้ากับเรื่องราวของความรัก ลองจินตนาการว่าเราเข้าไปอยู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนในหนังเรื่องนี้ เราจะรู้สึกอย่างไร

แต่สิ่งที่ขัดใจมาก ๆ ของหนังเรื่องนี้ ก็คือ เสียงประกอบ ที่แทบจะไม่มีเลย มันทำให้หนังขาดเสน่ห์ไปมาก ๆ เสียดายตรงจุดนี้ การขาดเสียงประกอบที่ดี ทำให้หนังมันดูน่าเบื่อในบางช่วงอย่างชัดเจน

โดยรวมถือเป็นหนังที่ชวนลุ้นละทึกได้ตลอดเวลา แม้มันจะไม่ค่อยสุดก็ตาม ปมของเรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อน คิดว่าหลาย ๆ คนน่าจะพอเดาตอนจบได้ไม่ยากนัก

แต่ก็ต้องบอกว่ามันไม่ได้เป็นหนังที่แย่ ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้สำหรับในแพล็ตฟอร์มอย่าง Netflix ที่ถือว่าได้ดูพัฒนาการของนักแสดงคุณภาพอย่าง จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน ที่จะกลายเป็นนักแสดงที่น่าจับตามองในอนาคตอย่างแน่นอนครับผม

Series Review : The Woods (พราง) มินิซีรีส์จากนวนิยายของ Harlan Coben

ต้องบอกว่าส่วนตัวติดใจผลงาน Gone for Good ที่ได้ทำการรีวิวไปก่อนหน้านี้ จึงได้มาดูอีกหนึ่งซีรีส์ของ Harlan Coben อย่าง The Woods โดยมีชื่อไทยว่า พราง และลงในแพล็ตฟอร์มเดิมคือ Netflix

แม้จะเป็นซีรี่ส์ ชุดสั้น ๆ เพียงแค่ 6 ตอน ตอนละราว ๆ 50 นาที แต่ก็คงเอกลักษณ์ผลงานของ Harlan Coben ไว้อย่างน่าประทับใจอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

โดยเรื่องนี้ถูกทำมาสร้างเป็นภาษาโปแลนด์ ชื่อตัวละคร ถูกเปลี่ยนไปจากในหนังสือนวนิยาย อย่าง พอล โคปแลนด์ เปลี่ยนเป็น ปาเวล โปกัลสกี ลูซี่ โกลด์ เปลี่ยนเป็น เลาร่า โกลด์ตังด์

ปาเวล ทำงานเป็นอัยการประจำอยู่ที่วอร์ซอ เขามีอดีตบางอย่างที่ปกปิดไว้ซึ่งมันเกี่ยวกับคืนที่เกิดเหตุการณ์การหายตัวไปของน้องสาวของเขาเองเมื่อ 25 ปีก่อน

และเหตุการณ์เมื่อ 25 ปีก่อน ที่ค่ายฤดูร้อน เด็กวัยรุ่นสี่คนหายเข้าไปในป่าและพวกเขาไม่กลับออกมาอีกเลย หนึ่งในนั้นคือเด็กสาวชื่อ คามิลร่า (น้องสาวของปาเวล) ต่อมาได้พบศพ 2 ศพและฆาตกรถูกจับเข้าคุก

แต่อีก 2 คนที่หายไปกลับไม่พบร่องรอยใด ๆ ของพวกเขาเลย พวกเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ เป็นปริศนามากว่า 25 ปี

หลังจากนั้น 25 ปีให้หลัง ปาเวล พี่ชายของคามิลร่า ได้เข้ามาทำงานเป็นอัยการประจำอยู่ที่วอร์ซอเขาได้รับโทรศัพท์จากตำรวจสืบสวน ทางตำรวจเชื่อว่าปาเวลสามารถช่วยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการสืบคดีฆาตกรรมชายปริศนาได้

ซึ่งทางตำรวจเองยังหาตัวคนผิดมาลงโทษไม่ได้ และนี่อาจเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคามิลร่าน้องสาวของเขาในอดีตอีกด้วย

โดยเล่าเรื่องราวจะมีการตัดสลับระหว่างปี 2019 กับปี 1994 แม้ว่าการดำเนินเรื่องนั้นค่อนข้างช้า เนิบ ๆ อยู่บ้าง แต่เรื่องราวที่ค่อย ๆ ปล่อยออกมานั้น ก็ถือว่าทำได้ดีในสไตล์ของ Harlan Coben

ถ้าเทียบกับ Gone for Good ผมมองว่า The Woods นั้นทำผลงานดร็อปลงไปพอสมควร แต่การผูกเรื่องที่มีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อนของเรื่องนี้ก็ถือว่า ทำให้หลอกผู้ชมได้บ้าง แม้อาจจะพอเดาตอนจบของเรื่องได้อยู่ก็ตาม

เรียกได้ว่าเป็นสไตล์ของ Coben ที่ชอบเขียนนวนิยายแนวคนหาย และหายแบบแปลก ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา แต่เรื่องนี้จะมีจุดเด่นตรงที่ มีการเล่าเรื่องราวสองยุคไปแทบจะพร้อม ๆ กัน

ส่วนทีมงานนักแสดงจากโปแลนด์ ก็เรียกได้ว่า คัดสรรมาอย่างดี ทั้งในช่วงวัยรุ่นที่แสดงในช่วงปี 1994 และ นักแสดงในรุ่นปัจจุบัน โดยเฉพาะพระเอก ที่ถือว่าฝีมือการแสดงสุดยอดมาก

โดยเฉพาะสีหน้า ท่าทางของ ปาเวล ในเวอร์ชั่นยุคปัจจุบันนั้น เรียกได้ว่า มันสื่อถึงอารมณ์ต่าง ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ และแทบจะแบกซีรีส์ทัังเรื่องไว้กว่าครึ่งด้วยการแสดงหลักของเขาเพียงคนเดียว

ซึ่งเนื้อเรื่องก็ทำให้เราสงสัยไปตลอดทางว่า ในคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในป่า? คนที่หายไปตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่? แล้วน้องสาวปาเวลยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แล้วมันมีความเกี่ยวข้องกับคดีปัจจุบันด้วยหรือไม่?

คำถามเหล่านี้นี่เองที่ผู้ชมจะได้สัมผัสตลอดเรื่อง มันทำให้เรื่องน่าติดตาม และที่สำคัญมันไม่ได้ทิ้งสไตล์แนวทาง Harlan Coben ที่มักเริ่มจากคดีเดียวก่อนต่อยอดขยายเป็นคดีฆาตกรรมหลายศพเรื่อย ๆ มีปมหลอกล่อผู้ชมให้รู้สึกสับสน เดาทางไม่ถูก ซึ่งเรื่องนี้ก็ใส่มาเต็มที่เช่นเดียวกัน

แต่คิดว่าแฟน ๆ ของ Harlan Coben ตัวจริง น่าจะเดาเรื่องได้ไม่ยากนัก แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ การที่มีความพยายามใส่รายละเอียดที่เป็นนอกเส้นเรื่องหลักเข้าไปมากพอสมควร

ซึ่งบางอย่างมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักเลยด้วยซ้ำ ซึ่งปมทั้งหมดมันไปกระจุกอยู่ตอนท้าย ๆ ของซีรีส์แทบจะทั้งหมด ทำให้เนื่อเรื่องช่วงแรก ๆ อาจจะดูน่าเบื่อหน่อย

แต่ก็ต้องบอกว่าหากใครเป็นแฟนนิยายของ Harlan Coben  ตัวจริง ก็ไม่ควรพลาดซีรีส์เรื่องนี้อย่างแน่นอนครับ สามารถไปรับชมได้ทาง Netflix รับรองคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

Series Review : Gone for Good ซีรีส์แนว Thriller สุดมันส์ จากนิยาย Harlan Coben

ห่างหายไปจากการ รีวิว ซีรีส์ นานพอสมควร ซึ่งก็ได้ติดตามในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งใน Netflix และ Disney+ บางเรื่องก็ดูได้ไม่กี่ตอน บางเรื่องก็ทนดูจนจบ แต่ก็ไม่ได้มีอารมณ์ที่อยากมารีวิวนัก จนมาเจอ ซีรี่ส์ เรื่องนี้เข้า

Gone For Good เป็นความร่วมมืออีกครั้งระหว่างฮาร์ลาน โคเบนกับ Netflix หลังจากที่เคยร่วมงานกันในซีรีส์จากโปแลนด์เรื่องพราง (The Woods) ซีรีส์อังกฤษเรื่องแฉ (The Stranger) และซีรีส์จากสเปนเรื่อง The Innocent

Gone for Good ถูกโปรโมตไว้ใน Netflix ว่า

นิยายจากฮาร์ลาน โคเบน เมื่อรักแรกและน้องชายต่างตายจากไป 10 ปีผ่านมา ชายหนุ่มยังต้องพบกับปริศนาภรรยาหายตัวอีกครั้งเธอหายไปไหน แล้วความลับที่เขาซ่อนไว้ คืออะไรกันแน่?

ออกตัวก่อนว่า ผมก็ไม่ได้เป็นแฟนนิยายของ ฮาร์ลาน โคเบน ซึ่งไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน ซึ่งส่วนตัวคิดว่าดีกว่า เพราะไม่ได้สปอย เนื้อหาก่อนที่จะได้รับชมซีรีส์เรื่องนี้

เรื่องราวว่าด้วย กิลโญม ลูเชซี (ฟินนิแกน โอลด์ฟีลด์) หนุ่มวัยสามสิบกว่าๆ นึกว่าเขาเจอกับเรื่องร้ายๆ มามากพอแล้ว หลังจากที่ต้องเห็นคนที่เขารักที่สุด 2 คนคือซอนย่า (กาคองซ์ มาคิลลิเยร์) รักแรกของเขา และเฟร็ด (นิโคลา ดูโวแชลล์) ผู้เป็นน้องชายตายจากไป

เวลาผ่านไป 10 ปีหลังจากโศกนาฏกรรมในครั้งนั้น จูดิธ (ไนเลีย ฮาค์ซูน) ผู้มอบความรักที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปกลับหายตัวไปในช่วงงานศพแม่ของเขา

ถ้าอยากหาเธอให้พบ กิลโญมจะต้องเจอความลับที่เพื่อนกับครอบครัวของเขาแอบซ่อนไว้และความจริงที่เขาหลีกเลี่ยงมานาน ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม แต่ดูเหมือนส่วนใหญ่จะร้ายมากกว่า

ซีรีส์ ได้เล่าเรื่องราวเป็นตอน ๆ ผ่านตัวละครแต่ละตัว ซึ่งมีความสัมพันธ์กันทั้งหมด และค่อย ๆ เฉลยเงื่อนปมของเรื่องราวในซีรีส์ ออกมาทีละน้อย ๆ

ความน่าสนใจคือ เป็นการดำเนินเรื่อง โดยตัดฉากเล่าสลับกันระหว่างอดีต และ ปัจจุบัน และการได้ location ถ่ายทำที่เมืองนีซ ของประเทศฝรั่งเศสนั้นต้องบอกว่า ทำให้ดูบรรยากาศของเรื่องได้อย่างเพลิดเพลินใจเอามาก ๆ

เรื่องนี้ต้องเก็บรายละเอียดพอสมควร เพราะเป็นการตัดสลับกันไปมาตลอดเวลา เนื่องเรื่องที่ผูกสัมพันธ์กัน มีพล็อตย่อยแยกไปตามตัวละครแต่ละตัว โดยเล่าเรื่องราวภูมิหลังก่อนที่จะเฉลยปมทุกอย่างในตอนสุดท้าย

แน่นอนว่า ตัวละครทั้งหมด พูดภาษาฝรั่งเศส มันทำให้ได้อรรถรสที่ดีในการรับชม แนะนำให้ชมเวอร์ชั่นภาษาฝรั่งเศส และ ซับไทย จะได้อรรถรสมากกว่า

ส่วนตัวชอบหนังและซีรีส์ ของยุโรปหลาย ๆ เรื่องที่ต้องบอกว่าทำออกมาได้มาตรฐานไม่แพ้งานของฮอลลีวูด เลยทีเดียว เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน

นักแสดงก็ทำได้ดีกันทุกคน เลือกมาได้เหมาะสมเป็นอย่างมาก แต่เสียดายอย่างเดียวที่ตอนท้ายของเรื่อง ที่มีการนำฉากแอ็คชั่นมาผสม ๆ ในตอนท้ายนั้น มันทำให้ปิดเรื่องได้ไม่ประทับใจเท่าที่ควร

ผมคิดว่า ใครที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน น่าจะดูสนุกกว่าการได้อ่านหนังสือมา เพราะมันเฉลยทุกอย่างไปหมดแล้ว ทำให้ไม่ได้ลุ้นมากมายนัก ที่เรื่องนี้ต้องบอกว่า มีการแกง การหลอกเราพอสมควร แม้จะเดาได้ไม่ยาก แต่คิดว่าหลาย ๆ คนน่าจะเซอร์ไพรส์ ได้ในตอนจบเช่นเดียวกัน

เป็นอีกหนึ่ง ซีรีส์คุณภาพ ที่แนะนำกันเลยครับ ไม่ควรพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง

Series Review : Charité at War ชาริเต้ รักกลางสนามรบ

ต้องบอกว่าส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเรื่องราวที่เกี่ยวกับสงครามโลก ครั้งที่ 2 มาก ๆ ทั้งสารคดี หรือ ภาพยนตร์จอยักษ์ หรือ ซีรีส์หลาย ๆ เรื่อง ผมจะเก็บเรียบทั้งหมด จึงได้เห็นหลากหลายแง่มุม จากสงครามครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้

แต่ต้องบอกว่า Charité at War ชาริเต้ รักกลางสนามรบ ถือเป็นอีกหนึ่ง ซีรีส์ คุณภาพที่มาลงใน Netflix ที่ถ่ายทอดอีกมุมหนึ่งของสงครามครั้งนี้ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ

เรื่องราวที่ว่าด้วย ในปี 1943 เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลชาริเต้แห่งเบอร์ลินต้องรับมือกับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สองและการปกครองของพวกนาซี รวมทั้งแผนปฏิบัติการพัฒนาพันธุกรรมสุดอันตราย ที่โลกยากจะลืมเลือน

ต้องบอกว่า Charité at War เป็นซีรีส์ สัญชาติเยอรมันที่บอกเล่าเรื่องราวของบุคลากรทางการแพทย์ภายใต้การปกครองของนาซี โดยมีประเด็นหลักเป็นการตั้งคำถาม “คำปฎิญาณแห่งฮิปโปเครตีสจะไปด้วยกันกับคำสาบานตนต่อท่านผู้นำได้อย่างไร?”

มันเป็นสิ่งที่ conflict กันมาก ๆ กับความเป็นมืออาชีพทางด้านการแพทย์ของบุคลากรทางการแพทย์ในสงครามครั้งนี้ กับความจงรักภักดีต่อ ท่านผู้นำอย่างฮิตเลอร์

เป็นซีรีส์ กึ่งสารคดี ที่ว่ากันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ต้องบอกว่าเมื่อย้อนกลับไปในยุคนั้น จักรวรรดินาซีมีประชากรราว 4 แสนคนถูกบังคับให้ทำหมันเพราะมีประวัติพันธุกรรมบกพร่อง, ไม่สามารถพิสูจน์ตนว่าเป็นชนชาติอารยัน หรือเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ารักร่วมเพศ ผู้ป่วยทางจิตและผู้มีร่างกายไม่สมบูรณ์ 2 แสนคนถูกสังหาร โดยใช้คำว่าการุณยฆาตเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อรัฐและครอบครัว

มันเป็นความโหดร้าย โหดเหี้ยม ที่น่าสนใจมาก ๆ กับการกระทำดังกล่าว แต่ ก็มีตัวเอกในเรื่องอย่าง คุณหมอ เฟอร์ดินันด์ เซาเออร์บรูค ที่เป็นอาจารย์หมอและศัลยแพทย์ชื่อดังในยุคนั้น

หมอ เซาเออร์บรูค ที่มีความพยายามส่งข้อความสุดท้ายถึงทำเนียบรัฐบาลของจักรวรรดิไรซ์ที่ใกล้ล่มลาย ในชั่วโมงสุดท้ายก่อนเบอร์ลินจะถูกยึดครอง และในสภาพที่อาคารกว่า 90% ถูกทำลาย ชาริเต้ ยังคงเป็นโรงพยาบาลที่รองรับคนไข้ได้ถึง 800 คน ช่วยเหลือชาวเยอรมันที่กำลังถูกรุกไล่เข้าสู่เมืองเหลืองจนถึงนาทีสุดท้าย

ซีรีส์ สั้น ๆ ที่มีความยาวเพียงแค่ 6 ตอน แต่ต้องบอกว่ามันผสานเรื่องราวหลาย ๆ อย่างได้อย่างลงตัว ทั้งความรัก ทั้งชายหญิง ครอบครัว หรือแม้กระทั่งรักร่วมเพศ สงคราม ความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งไม่ใช่มีเพียงแค่ชาวยิว ที่ตกเป็นเหยื่อเพียงเท่านั้น

เป็นอีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับคนที่สนใจภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับสงคราม ที่เราจะไม่เคยเห็นมุมมองในด้านมาก่อนเลย จึงแนะนำเลยครับสำหรับคนที่สนใจมุมมองใหม่จากสงครามครั้งประวัติครั้งนี้กับ Charité at War ชาริเต้ รักกลางสนามรบ