ศึกตามล่าหาขุมทรัพย์ที่สูญหายไปของ FTX

วันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา Sam Bankman-Fried ปรากฏตัวขึ้นต่อสาธารณชนในสหรัฐอเมริกา เขายื่นคำร้องต่อ กระบวนการล้มละลายของ FTX โดยเรียกร้องขอเงิน 500 ล้านดอลลาร์ในทรัพย์สินของเขาที่ถูกอายัดไว้ 

Bankman-Fried ต้องการเงินเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมทางกฎหมายสำหรับการพิจารณาคดีทางอาญาของเขา ซึ่งเขาถูกกล่าวหาว่าขโมยเงินฝากของลูกค้าหลายพันล้านดอลลาร์จากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตของเขาเองเพื่อมาใช้ส่วนตัว

ความต้องการ Bankman-Fried คือเพื่อหาทุนในการต่อสู้ทางกฎหมายที่คาดว่าจะยาวนาน กฎหมายล้มละลายของอเมริกามีวิวัฒนาการมาหลายศตวรรษเพื่อแยกธุรกิจปกติออกจากกัน ตอนนี้นักกฎหมายต้องหาวิธีนำมันไปใช้กับบริษัทคริปโต 

ในเดือนพฤศจิกายน 2022 FTX ยื่นฟ้องล้มละลายภายใต้ Chapter 11 ซึ่งอนุญาตให้บริษัทที่ล้มละลายสามารถจัดตั้งบริษัทใหม่แทนที่จะเลิกกิจการ กระบวนการนี้มักจะมีลักษณะเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างบริษัทกับเจ้าหนี้ 

FTX เองพยายามโน้มน้าวให้เจ้าหนี้ยอมรับส่วนแบ่งในธุรกิจมากกว่าเงินสด หากประสบความสำเร็จและมีแผนการเติบโตใหม่ที่สดใส แต่ถ้าไม่สำเร็จก็อาจจะต้องปิดกิจการถาวร 

การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่อาจมีเจ้าหนี้เป็น 100 ราย แต่สิ่งที่มีความซับซ้อนเหล่านี้ใช้เวลาอย่างน้อยอีกหลายปีเมื่อพิจารณาจากจำนวนนักลงทุนและผู้ฝากเงิน

FTX มีเจ้าหนี้กว่าล้านราย ทำให้ตามมาตรการนี้มันได้กลายเป็นซากองค์กรธุรกิจที่น่าเกลียดที่สุดที่โลกเราเคยประสบพบเจอมา การล่มสลายของอาณาจักร Bankman-Fried ทำให้ 134 ธุรกิจต้องล้มละลาย ซึ่งอยู่ใน 27 เขตอำนาจศาล มีตั้งแต่  FTX Zuma แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนในชนบทของไนจีเรีย ไปจนถึง Good Luck Games ผู้พัฒนาการ์ดเกมออนไลน์ 

การดำเนินคดีอาจใช้เวลานานนับสิบปี และอาจนำไปสู่การกล่าวหาว่ากระทำผิดมากขึ้น ขณะที่เขาจัดการเรื่องยุ่งเหยิง John J. Ray III ผู้ที่เข้ามาสืบทอดตำแหน่งใน FTX ของ Bankman-Fried ได้กลายเป็นผู้สืบสวนของรัฐบาลกลางโดยพฤตินัย 

John J. Ray ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ FTX (CR:CNBC)
John J. Ray ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ FTX (CR:CNBC)

สำหรับหลาย ๆ คน สิ่งที่ดึงดูดใจในการจัดเก็บความมั่งคั่งด้วยวิธีนี้คือความยากในการตรวจสอบ การยื่นคำร้องต้องมีการตรวจสอบโค้ดมากมายหลายล้านบรรทัด ดังนั้นเหล่าเจ้าหนี้จึงต้องตัดสินใจว่าความต้องการความเป็นส่วนตัวของพวกเขาอาจจะต้องสูญเสียไป 

นักลงทุนซึ่งรวมถึงผู้ให้ทุนที่โด่งดังที่สุดของบริษัทด้านเทคโนโลยีบางส่วนก็ลังเลที่จะเข้าร่วม เพราะไม่อยากให้มีการตรวจสอบเรื่องเส้นทางการเงินที่อาจจะมีอะไรหมกเม็ดอยู่

มีการปกปิดเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของ FTX 50 ราย Ray พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาทรัพย์สิน สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับบัญชีที่เขาเรียกว่าเป็นบันทึกทางบัญชีที่แย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา 

FTX ไม่ได้จดบันทึกจำนวนเงินที่ลูกค้าฝากด้วยซ้ำ Alameda บริษัทในเครือสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ จนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน ทนายความคิดว่าอย่างน้อยก็มีเงินกู้จากภายนอกน้อยมาก 

ไม่นานหลังจากนั้น BlockFi ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนที่ล้มละลายอีกแห่งหนึ่ง เรียกร้องเงิน 500 ล้านดอลลาร์ในหุ้นที่ FTX ถืออยู่ใน Robinhood ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้น โดยยืนยันว่า FTX ได้วางหุ้นเหล่านี้ไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืม

Ray รวบรวมทรัพย์สินได้เพียงไม่กี่พันล้านดอลลาร์ และการค้นหาทรัพย์สินเป็นเพียงการต่อสู้เพียงครึ่งเดียว การได้มาซึ่งทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ เนื่องจากความซับซ้อนซ่อนเงื่อนในแวดวงคริปโต 

ในช่วงแรก เจ้าหน้าที่ของอเมริกาและบาฮามาสใช้เวลาหลายเดือนในการสอดแนมซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะตกลงนำโทเค็นมูลค่าอย่างน้อย 3.5 พันล้านดอลลาร์เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของอเมริกา 

Ray ยังตามล่าเงินบริจาคของ FTX ที่ Bankman-Fried มอบให้กับนักการเมืองและองค์กรการกุศลหลายแห่งที่หวังผลประโยชน์จากเขา

สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหาในแวดวงคริปโตซึ่งมีมาประมาณ 15 ปีแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจกับสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ทำให้โจรเข้ามาครอบงำวงการนี้เต็มไปหมด 

การแลกเปลี่ยนโทเค็นจะถูกบันทึกในบัญชีแยกประเภทโดยซอฟต์แวร์บนบล็อกเชนซึ่งแทบไม่มีใครควบคุม สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับกฎหมายทรัพย์สินซึ่งถือว่าผู้คนเป็นเจ้าของสิ่งของเพราะกฎหมายระบุว่าพวกเขาทำหรือมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในมือ 

แตกต่างจากหุ้นที่มีใบรับรองความเป็นเจ้าของ ในทางตรงกันข้าม กฎหมายไม่ได้บังคับใช้บัญชีแยกประเภทของคริปโตและการบันทึกบางอย่างบน blockchain นั้นมันไม่ได้ทำให้เกิดเหรียญจริง ๆ ที่เป็นรูปธรรมออกมา

เมื่อแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนดำเนินกิจการซื้อขาย ลูกค้าจะได้รับการคุ้มครองโดย Uniform Commercial Code ซึ่งเป็นกฎหมายที่ควบคุมการทำธุรกรรมทางการค้าในอเมริกา 

ข้อกำหนดการใช้งานของ FTX ไม่สนใจกฎหมายนี้อย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 4 มกราคม มีเคสที่ผู้พิพากษาการล้มละลายของบริษัทคริปโตอีกแห่งได้ตัดสินว่าลูกค้าบางรายจะไม่มีสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในเงินฝากของพวกเขา แน่นอนว่าลูกค้า FTX อาจต้องรอหลายปีเพื่อรอดูว่าพวกเขาจะได้รับอะไรหากมีการตกลงกันได้ในท้ายที่สุด

ผู้ฝากเงินต้องเผชิญกับความเสี่ยงขั้นสูงสุด มูลค่าที่กู้คืนมาได้ของ FTX ส่วนใหญ่น่าจะเป็นโทเค็น ซึ่งเหล่านักกฎหมายและนักการเมืองไม่เห็นด้วยว่ามันเป็นสกุลเงิน เนื่องจากเงินต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล 

สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่าจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนของวันใดหากต้องการแปลงออกมาเป็นสกุลเงินดอลลาร์จริง ๆ ซึ่งสินทรัพย์ของ FTX ถือครองโทเค็นจำนวนมากซึ่งอาจทำให้มูลค่ามันลดลงเหลือศูนย์ และการที่จะแปลงเป็นเงินสดออกจากโทเค็นก็แทบไม่มีใครต้องการ

เมื่อวันที่ 5 มกราคม หน่วยงานกำกับดูแลของอเมริกาเข้าแทรกแซงเพื่อขัดขวางข้อตกลงที่จะได้เห็น Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกเข้าซื้อสินทรัพย์มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์จาก Voyager ซึ่งเป็นบริษัทที่ล้มละลายอีกแห่ง 

ดูเหมือนความวุ่นวายในการทวงคืนเงินจาก FTX นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยความซับซ้อนทางด้านกฎหมายและเรื่องผลประโยชน์ทางด้านการเมือง และจะเป็นมหากาพย์เรื่องราวการล่มสลายครั้งใหญ่ที่สุดของวงการธุรกิจไปอีกนานเลยทีเดียวนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/01/10/the-hunt-for-ftxs-missing-riches
https://www.latimes.com/business/story/2022-11-21/column-how-sam-bankman-fried-exploited-the-fad-of-effective-altruism-to-get-rich-and-con-the-world

Generation Moonshot ทำไมนักลงทุนรุ่นใหม่ไม่ได้ยอมแพ้กับความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัล

ด้วยเงินออม 1,000 ดอลลาร์ และเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้รับสองครั้ง Chris Zettler เริ่มลงทุนในปี 2020 เขาได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทที่เขารู้จัก แต่พอผ่านไปซักระยะเขารู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ราคาไม่มีความหวือหวา เขาเปลี่ยนไปซื้อหุ้นบริษัทที่มีราคาหุ้นผันผวน ท่ามกลางความผันผวนของราคา ด้วยหุ้นจำนวน 100 หุ้นของ AMC ที่ราคา 30 ดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม และขายที่ราคาประมาณ 65 ดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน

Zettler ชายอายุ 35 ปี เรียนวิชาการเงินที่มหาวิทยาลัยอลาบามา มีบัญชี TD Ameritrade ที่อนุญาตให้เขาซื้อขายด้วยมาร์จิ้น (ยืมเงินจากนายหน้าเพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้น) และสามารถวางเดิมพันได้เกือบ 8,000 ดอลลาร์ จากเงินต้นเพียงแค่ 4,000 ดอลลาร์ เขาเปลี่ยนเงิน 4,000 ดอลลาร์นั้นให้กลายเป็น 18,000 ดอลลาร์

Zettler เห็นว่ายอดเงินในบัญชีของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ดอลลาร์ก่อนที่จะตกลงมาอยู่ที่ 35,000 ดอลลาร์ เมื่อตลาดเริ่มเข้าสู่ไซด์เวย์ เขาขายหุ้น 20,000 ดอลลาร์และนำไปจ่ายค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัย

Zettler เป็นส่วนหนึ่งของนักลงทุนรุ่นที่อายุมากขึ้นในช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 และผลที่ตามมาหลังจากดิ้นรนเพื่อสะสมความมั่งคั่งด้วยวิธีการดั้งเดิมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลายคนเริ่มหันไปเก็งกำไรในตลาดการเงินที่มีความเสี่ยงกว่า

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับสินทรัพย์เก็งกำไร เช่น สกุลเงินดิจิทัล, NFT และ “หุ้นมีม” (ซึ่งมูลค่าพุ่งสูงขึ้นในช่วงต้นปี 2021 โดยได้รับแรงหนุนจากการโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย)

ค่าแรงที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด ราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้น และตอนนี้ภาวะเงินเฟ้อที่กัดกร่อนจิตวิญญาณของชาวอเมริกัน ได้บั่นทอนความคิดที่ว่าผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีสามารถเลียนแบบที่คนรุ่นพ่อแม่ของพวกเขาสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เหล่านักลงทุนที่อายุน้อยมองว่าหากเล่นตามกฎเก่า ๆ มันก็เป็นแค่กลยุทธ์ที่มีแต่ความพ่ายแพ้

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ทำให้ตลาดคริปโตสั่นสะเทือน ราคาเหรียญที่ตกต่ำและการล้มละลายที่เกิดขึ้นของผู้ให้กู้ crypto และกองทุนป้องกันความเสี่ยงได้เปิดเผยเส้นทางอันตรายในพื้นที่เสี่ยงที่สุดของตลาด คำถามคือตอนนี้นักลงทุนอายุน้อยเหล่านี้ พร้อมที่จะเสี่ยงกับมันอีกหรือไม่?

ประสบการณ์ของ Zettler ไม่แนะนำ เขาได้เฝ้าดูเพื่อนร่วมงานของเขาไล่ล่าเดิมพันอย่างสิ้นหวังในสกุลเงินดิจิทัลและหุ้นที่ผันผวนโดยหวังที่จะก้าวไปสู่ความร่ำรวย เขากล่าว “ผมคิดว่าพวกเขาหมดหวังกันแล้ว”

To the moon

ในช่วงความบ้าคลั่งของหุ้น Meme ในช่วงต้นปี 2021 เรื่องราวของผลตอบแทนมหาศาลได้กระตุ้นให้เกิดการแห่เข้ามาลงทุนกันอย่างบ้าคลั่ง บางคนเหมือนถูกหวยได้รับรางวัลใหญ่

นักลงทุนที่ซื้อหุ้น GameStop เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2019 สามารถเปลี่ยนเงินทุน 10,000 ปอนด์เป็น 168,744 ปอนด์ภายในเดือนเดียวเมื่อหุ้นมีมแตะจุดสูงสุดในวันที่ 29 มกราคม 2020 ซึ่งราคาหุ้นถีบตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 1,600 เปอร์เซ็นต์

แต่ก็มีโอกาสในการขาดทุนมหาศาลเช่นกัน นักลงทุนที่ซื้อที่จุดสูงสุดแล้วขายในปลายเดือนกุมภาพันธ์ ทุนของพวกเขาจะลดลงจาก 10,000 ปอนด์เหลือเพียงแค่ 3,129 ปอนด์ในหนึ่งเดือนหลังจากร่วงลง 69 เปอร์เซ็นต์ตามการวิเคราะห์ของ Boring Money

ถึงกระนั้น นักลงทุนรุ่นเยาว์จำนวนมากก็มั่นใจกับการซื้อขายของพวกเขา พวกเขากล่าวว่าอัตราต่อรองนั้นคุ้มค่ากับการเสี่ยง

เหล่านักลงทุนจำนวนมากจำการฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมกันจากวิกฤตปี 2008 เมื่อรัฐบาลให้เงินช่วยเหลือ ตามมาด้วยภาวะกระทิงในตลาดที่ยืดเยื้อมานานนับทศวรรษ ทิ้งให้ผู้ที่ไม่ได้ลงทุนอยู่เบื้องหลัง

เมื่อตลาดร่วงลงเนื่องจากโควิด-19 ในเดือนมีนาคม 2020 พวกเขาไม่อยากพลาดเป็นครั้งที่สอง มันถึงเวลาที่พวกเขาต้องเดิมพันครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

การซื้อขายหุ้นแบบไม่มีค่าคอมมิชชันในช่วงก่อนเกิดโรคระบาดได้เพิ่มแรงกระตุ้นให้กับพฤติกรรมการลงทุนที่คล้ายกับการซื้อลอตเตอรี

ในปี 2015 Robinhood แพลตฟอร์มนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่นได้เปิดตัวขึ้นโดยสัญญาว่าจะ “ทำให้ทุุกอย่างเป็นประชาธิปไตย” ในตลาดการเงิน

Robinhood แพลตฟอร์มนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่นได้เปิดตัวขึ้น (CR:CNBC)
Robinhood แพลตฟอร์มนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่นได้เปิดตัวขึ้น (CR:CNBC)

สี่ปีต่อมา โบรกเกอร์เกือบทุกแห่งในสหรัฐฯ ได้ยกเลิกค่าคอมมิชชั่นสำหรับการซื้อขายหุ้น แอปที่เหมือนเกมของ Robinhood ช่วยให้ลูกค้าสามารถลงทะเบียนและเริ่มซื้อขายหุ้นบนโทรศัพท์ได้ภายในไม่กี่นาที

แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน cryptocurrency เช่น Coinbase ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อจำนวนเหรียญดิจิทัลในตลาดเพิ่มขึ้น ความคลั่งไคล้ “เหรียญมีม” ที่ขับเคลื่อนโดยผู้ทรงอิทธิพลอย่าง Elon Musk ได้นำเสนอสิ่งใหม่ๆ มากมาย ตั้งแต่การตั้งชื่อตามคนดัง (Coinye West) ไปจนถึง “เหรียญสุนัข” Shiba Inu และ dogecoin ในเดือนเมษายน 2013 มีเพียงเจ็ด cryptocurrencies สำหรับการขุดและซื้อขาย แต่ในทุกวันนี้มีเป็นหมื่นเหรียญให้เลือกสรรค์

การมีส่วนร่วมเป็นเรื่องง่าย “เว็บไซต์มีแค่ห้าปุ่ม”  Luke Hawley หนุ่มวัย 21 ปีกำลังจะเข้าสู่ปีสุดท้ายที่วิทยาลัย Endicott ในแมสซาชูเซตส์ซึ่งกำลังศึกษาด้านการเงินกล่าว “การซื้อ Shiba Inu บน Coinbase ง่ายกว่าการซื้อหุ้น”

Hawley กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติในมหาวิทยาลัยของเขาที่จะพูดคุยเกี่ยวกับการพนันและการเก็งกำไร “ผู้คนคิดว่า ‘โอเค ฉันมีเงินสองพันในธนาคารบนโลกแห่งความเป็นจริงที่กำลังพังทลาย’” เขากล่าว “มี Fomo มากมาย” เขากล่าวเสริมเกี่ยวกับแนวคิดที่จะเปลี่ยนเงินเดิมพันเล็กน้อยให้เป็นเงินก้อนโต เพราะมันคือการพนันดี ๆ นี่เอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายหนุ่มได้รับความสนใจจากการลงทุนแบบ moonshot แบบนี้ นักลงทุน cryptocurrency ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และมากกว่า 90% ของการซื้อขายใน Gamestop และ AMC ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ชายในช่วงที่ความคลั่งไคล้หุ้นมีมพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด

ตามที่นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของสหราชอาณาจักร Interactive Investor กล่าว ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเหตุผลหนึ่งที่การลงทุนเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติเหมือนการพนันทั่วไปก็เพราะว่าแอปนายหน้าให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแพลตฟอร์มการพนัน เพียงแต่มันไม่มีกำแพงด้านกฎระเบียบเลย

“แพลตฟอร์มที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เส้นแบ่งระหว่างการเล่นเกม การพนัน และการลงทุน แคบลงไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพลตฟอร์มที่เปิดใช้งานการใช้สกุลเงินดิจิทัล” Jack Symons หัวหน้าผู้บริหารของแอป Gamban ในสหราชอาณาจักรกล่าว

แอป Gamban อนุญาติให้ผู้ใช้บล็อกแอปการพนันบนโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ของพวกเขา Gamban เริ่มบล็อกนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และแพลตฟอร์ม crypto เมื่อฤดูร้อนที่แล้ว “บางคนอาจบอกว่านี่เป็นแนวทางที่ตรงไปตรงมา แต่การพนันดูไม่เหมือนที่เคยเป็น มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับในคาสิโนหรือบนผ้าสักหลาดสีเขียว” Symons กล่าวในเดือนตุลาคม

เมื่อปลายปีที่แล้ว สายด่วนการพนันที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาบอกกับ Financial Times ว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในจำนวนการโทรที่มาจากผู้ที่เสพติดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายวัน มากกว่าการพนันแบบดั้งเดิมหรือแม้กระทั่งการพนันกีฬา เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะการลงทุนไม่ได้มีตราบาปทางสังคมเหมือนกับการพนัน

“ถ้าคุณพูดว่า ‘พ่อของฉันใช้เวลาทั้งวันเล่นการพนัน’ [ฉัน] จะพูดว่า ‘โอ้ ฉันเสียใจด้วยสำหรับครอบครัวของคุณ’” เขากล่าว แต่ “ถ้ามีคนพูดว่า ‘พ่อของฉันใช้เวลาทั้งวันในการซื้อขาย FX’ คุณจะคิดว่าเขาคือหมาป่าแห่งวอลล์สตรีท . . ไม่ใช่การพนัน แต่เป็นการลงทุน และการลงทุนเป็นวิธีที่คุณจะรวย”

Diamond hands

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากการล่มสลายของ cryptocurrency บางแห่ง และส่วนที่มีการเก็งกำไรมากที่สุดของตลาดได้รับผลกระทบมากที่สุด

แต่เมื่อราคาร่วงลง ความพยายามของบริษัท crypto บางแห่งในการเกลี้ยกล่อมนักลงทุนให้รักษาศรัทธาและยึดมั่นในสิ่งที่พวกเขามองข้าม ได้แสดงให้เห็นถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของชุมชนออนไลน์

เด็กอายุต่ำกว่า 25 ปีมีแนวโน้มที่จะหันไปหาคำแนะนำทางการเงินจากโซเชียลมีเดียเป็นสองเท่ามากกว่ากลุ่มอายุอื่น ๆ และมีแนวโน้มที่จะทำเช่นนั้นมากกว่าการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญถึงสามเท่าตามการสำรวจโดย OpenMoney ที่ปรึกษาของสหราชอาณาจักร

หัวข้อเกี่ยวกับ Robinhood เพิ่มขึ้นเมื่อชุมชนออนไลน์บน Twitter และ Reddit เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในการลงทุน ฟอรัมย่อยของ Reddit เช่น r/WallStreetBets ให้ข้อมูลผู้เชี่ยวชาญสำหรับนักลงทุนที่อยากจะเป็น อำนวยความสะดวกในการสนทนาและดึงความสนใจจากพวกเขา

ฟอรัมย่อยของ Reddit เช่น r/WallStreetBets ที่กลุ่มรุ่นใหม่คลั่งไคล้ (CR:Business Insider)
ฟอรัมย่อยของ Reddit เช่น r/WallStreetBets ที่กลุ่มรุ่นใหม่คลั่งไคล้ (CR:Business Insider)

การสูญเสียครั้งใหญ่อาจถูกหัวเราะเยาะจากเพื่อน ๆ “diamond hands” กลายเป็นอีโมจิสำหรับการยืนหยัดสู้แม้ทุกอย่างจะพังทลายลงก็ตาม

ผลการศึกษาของนักวิชาการที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์เมื่อปีที่แล้วพบว่าผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 24 ปีมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจเสี่ยงมากขึ้นเมื่อพวกเขาคิดว่าเพื่อนของพวกเขากำลังดูอยู่

Agnieszka Tymuła หัวหน้านักวิจัยในการศึกษากล่าวว่าชุมชนออนไลน์ของนักลงทุนได้ขยายพฤติกรรมแบบเดียวกันนี้ให้มากขึ้น: “ผู้คนต้องการเสี่ยง เพื่อคว้าชัยชนะครั้งใหญ่และโพสต์โชว์เกี่ยวกับเรื่องนี้”

การพูดคุยถึงกลยุทธ์ “moonshot” ฟอรัมบนเว็บจะสนับสนุนให้สมาชิกรู้สึกว่าโอกาสในการชนะนั้นมากกว่าที่เป็นจริงอย่างมาก กฎระเบียบไม่ได้มีการติดตามการแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิด ๆ เหล่านี้แต่อย่างใด คนส่วนใหญ่มักจะโชว์แต่พอร์ตที่ตัวเองทำกำไร

นักศึกษาวิทยาลัยบางคนกล่าวว่าพวกเขาคุ้นเคยกับอันตรายของสิ่งที่เรียกว่า “rug-pulls ” ของคริปโตเคอเรนซีมากขึ้น เมื่อนักพัฒนาเปิดตัวสินทรัพย์ดิจิทัล ผลักดันราคาให้สูงขึ้นผ่านผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดีย แล้วหายไปพร้อมกับผลกำไรของพวกเขา

Harrison Turner จูเนียร์วัย 19 ปีจากวิทยาลัย Montgomery รัฐแอละแบมากล่าวว่า “มันเป็นเรื่องแย่แน่นอนหากลุกช้าแล้วโดนจ่ายรอบวง” อย่างไรก็ตาม เขาพูดว่าเขาเข้าใจแรงจูงใจของผู้มีอิทธิพล: “เขาเห็นโอกาสแล้วเขาก็คว้ามันไว้”

ไม่เสี่ยง = รวยช้า

แม้จะมีสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ไม่เป็นมิตรมากขึ้น แต่การเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงสูงมันแทบไม่ลดลงไปเลย “มันใช้งานได้ดีอย่างน่าทึ่งสำหรับบางคน และนิสัยเก่าๆ ก็แก้ยาก มันเสพติดไม่ต่างจากการพนัน”

Steve Sosnick หัวหน้านักยุทธศาสตร์ของโบรกเกอร์อินเทอร์แอคทีฟแพลตฟอร์มการซื้อขายของสหรัฐฯ กล่าว “พวกเขายังคงใช้มาร์จิ้นในการเก็งกำไร แม้ว่าอัตราจะสูงขึ้นก็ตาม”

ในเดือนพฤษภาคม จำนวนเงินที่ยืมเพื่อซื้อขายด้วยมาร์จิ้นอยู่ที่ 25% เหนือระดับก่อนเกิดโรคระบาด

ผู้จัดการความมั่งคั่งแบบดั้งเดิมไม่สบายใจเกี่ยวกับโอกาสที่สินทรัพย์ดิจิทัลจะเข้าสู่กระแสหลัก เกือบครึ่งหนึ่งของผู้เลือกกองทุนกล่าวว่าพวกเขารู้สึกกดดันที่จะเสนอ cryptocurrencies เพื่อดึงดูดนักลงทุนรุ่นเยาว์ตามการวิจัยของ Natixis ถึงกระนั้น 70% กล่าวว่าพวกเขาคิดว่าคนทั่วไปไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนเช่นนี้

“Cryptocurrency ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบสำหรับความไม่เท่าเทียมกันของรายได้” Georgia Lee Hussey ผู้จัดการความมั่งคั่งและผู้ก่อตั้ง Modernist Financial กล่าว “หากกลยุทธ์การลงทุนของคุณเซ็กซี่ แสดงว่าคุณกำลังทำผิดอย่างมหันต์”

นายหน้ายังกังวลว่านักลงทุนที่ขาดทุนมหาศาลอาจถอยห่างจากตลาดโดยสิ้นเชิง โดยเสริมในมุมมองของพวกเขาว่า เกมการเงินเหล่านี้เป็นสิ่งหลอกลวง

บนแพลตฟอร์มโซเชียล Fidelity ได้นำเอาสินทรัพย์ดิจิทัลและการเข้าถึงโซเชียลมีเดียมาใช้ในความพยายามที่จะเชื่อมต่อกับนักลงทุนรุ่นใหม่และโน้มน้าวให้พวกเขาเข้ามาลงทุนกับบริษัทเพิ่มมากขึ้น

“นักลงทุนรุ่นเยาว์มักกล่าวว่าความกังวลอันดับต้น ๆ ของพวกเขาคือความมั่นคงทางการเงิน ทำอย่างไรถึงจะมีเงินเพียงพอให้ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย พวกเขาจึงจะ ‘โอเค’”

Kelly Lannan หัวหน้าฝ่ายลูกค้าใหม่แห่ง Fidelity กล่าว “มันเป็นพื้นฐานมาก . . เราได้ยินสิ่งนั้นมากขึ้นกับกลุ่มคนรุ่นนี้”

ในขณะที่ Zettler กล่าวว่าเขา รู้สึกเบื่อมากขึ้นกับการลงทุนของเขา แต่คนอื่น ๆ เช่น Turner ยังคงสบายใจที่จะเสี่ยงทุกอย่าง เขาสูญเสียเงินแทบหมดตัวไปแล้วครั้งหนึ่งโดยคิดผิดกับการเดิมพันแบบมีม แต่บอกว่าเขาสามารถหาเงินได้มากพอที่จะใส่เงินสองสามพันดอลลาร์ในบัญชีนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มเข้าไปอีก “เงินจะมาและออกไป” เขากล่าว เขารู้ว่าเขาอาจจะสูญเสียมันไปทั้งหมด เขาไม่แคร์

และอีกครั้งที่เขาพูดว่าเขาอาจจะโชคดีถูกหวยอีกครั้งก็เป็นได้ (To The Moon)

References :
https://www.ft.com/content/4fa06516-119b-4722-946b-944e38b02f45
https://gizmodo.com/people-are-shelling-out-six-figures-for-nft-rocks-1847508926
https://www.ft.com/content/081c4208-8599-4509-bf1b-5a0abc0b19ed
https://www.independent.co.uk/space/diamond-hands-meaning-elon-musk-b1850265.html
https://www.ft.com/content/bce2ef2a-77d8-485e-ba69-92579f8fceb6

Bitcoin มีแนวโน้มที่จะแตะ 10,000 ดอลลาร์มากกว่า 30,000 ดอลลาร์จากการสำรวจ MLIV Survey

Bitcoin มีแนวโน้มที่จะร่วงลงสู่ 10,000 ดอลลาร์ โดยลดมูลค่าลงประมาณครึ่งหนึ่ง มากกว่าที่จะกลับมาที่ 30,000 ดอลลาร์ ตามผลสำรวจ 60% ของนักลงทุน 950 คนที่ตอบแบบสำรวจ MLIV Pulse ล่าสุด  ส่วนอีก 40% เห็นว่ามันไปในทิศทางอื่น

ต้องบอกว่าอุตสาหกรรม crypto ได้รับผลกระทบจาก สกุลเงินบางตัวที่ล่มสลาย และจุดจบของนโยบายการเงินในช่วงการระบาดครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดความคลั่งไคล้ในการเก็งกำไรในตลาดการเงิน

สินทรัพย์มูลค่าถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ได้อันตรธานหายไปจากตลาดของ cryptocurrencies ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย CoinGecko

นักลงทุนรายย่อยมีความวิตกเกี่ยวกับ cryptocurrencies มากกว่านักลงทุนสถาบัน โดยเกือบหนึ่งในสี่มองว่าว่าสินทรัพย์เหล่านี้เป็นขยะ ในขณะที่นักลงทุนมืออาชีพเปิดใจกว้างต่อสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น

แต่โดยรวมแล้ว ก็ยังมีการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนในมุมมองที่แตกต่างกันแบบสิ้นเชิง ในขณะที่ 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามโดยรวมแสดงความมั่นใจอย่างยิ่งว่า cryptocurrencies เป็นอนาคตของการเงิน และอีก 20% กล่าวว่ามันแทบเป็นสิ่งไร้ค่า

Bitcoin ได้สูญเสียมูลค่าไปแล้วมากกว่าสองในสามนับตั้งแต่แตะระดับเกือบ 69,000 ดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

Jared Madfes หุ้นส่วนของ Tribe Capital ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกล่าวว่า “มันง่ายมากที่จะกลัวในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ในคริปโตเท่านั้น แต่แทบจะทุกการลงทุนในขณะนี้ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน” เขากล่าวว่าความคาดหวังสำหรับ Bitcoin ที่ลดลงอีกสะท้อนให้เห็นถึง “ความกลัวโดยธรรมชาติของผู้คนในตลาด”

ความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกของ crypto มีแนวโน้มที่จะกดดันรัฐบาลให้เพิ่มกฎระเบียบที่มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มองไปในทิศทางเชิงบวกในเรื่องการกำกับดูแล เนื่องจากจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและนำไปสู่การยอมรับในวงกว้างทั้งกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย

การเข้ามาแทรกแซงของรัฐบาลอาจจะได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้บริโภคที่เสียหายจากการล่มสลายของ Stablecoin อย่าง TerraUSD รวมถึงกลุ่มแพลตฟอร์มตัวกลางที่มีปัญหา เช่น Celsius Network และ Voyager Digital Ltd

กลุ่มผู้บริโภคที่เสียหายจากการล่มสลายของ Stablecoin อย่าง TerraUSD (CR:CoinQuora)
กลุ่มผู้บริโภคที่เสียหายจากการล่มสลายของ Stablecoin อย่าง TerraUSD (CR:CoinQuora)

ในขณะเดียวกันธนาคารกลางทั่วโลกกำลังพิจารณาที่จะพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตนเองเพื่อใช้ในการชำระเงินทางดิจิทัลมากขึ้น

ซึ่งความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากธนาคารกลางนั้น คงไม่ได้ทำให้อุตสาหกรรมนี้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นการเข้ามาลดทอนอิทธิพลของโทเคนที่มีผลกระทบต่อตลาดสูงทั้ง Bitcoin และ Ether

ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าหนึ่งในสองสกุลเงินดังกล่าวจะยังคงเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้กับตลาดในอีกห้าปี แม้ว่าจะมีสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางที่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นก็ตามที

“Bitcoin ยังคงขับเคลื่อนส่วนใหญ่ของโลก crypto ในขณะที่ Ethereum กำลังสูญเสียความเป็นผู้นำ” Ed Moya นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ Oanda Corp นายหน้าซื้อขายเงินตราต่างประเทศกล่าว

มีความเห็นที่ค่อนข้างเป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับมุมหนึ่งของตลาด: NFT ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในด้านการประเมินมูลค่า ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 มีการซื้อขายมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สำหรับรูปภาพลิง (Bored Ape)

มีการซื้อขายมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สำหรับรูปภาพลิง (Bored Ape)  (CR: MARCA)
มีการซื้อขายมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สำหรับรูปภาพลิง (Bored Ape) (CR: MARCA)

แต่ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่มองว่า NFT เป็นเพียงแค่โครงการศิลปะหรือสัญลักษณ์เพื่อแสดงสถานะเท่านั้น โดยมีเพียง 9% เท่านั้นที่มองว่ามันเป็นโอกาสในการลงทุน

ยิ่งไปกว่านั้น การไล่ล่าเพื่อมองหาฟองสบู่ราคาสินทรัพย์ครั้งต่อไปอาจต้องมองหาที่อื่น เนื่องจากการเก็งกำไรมักไม่ค่อยเกิดขึ้นกับสินทรัพย์ประเภทเดียวกันถึงสองครั้ง

ในท้ายที่สุด ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่คาดว่าการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ครั้งใหญ่ครั้งต่อไปจะไม่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrencies โดย NFT หรือ อินเทอร์เน็ตรุ่นต่อไปที่รู้จักกันในชื่อ web3 และการพัฒนาบล็อคเชนอื่น ๆ ถูกมองว่ามีโอกาสน้อยที่จะทำให้สินทรัพย์เหล่านี้กลับมาพุ่งทะยานได้อีกครั้ง

References :
https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-10/bitcoin-faces-another-50-drop-wall-street-says-mliv-pulse
https://finance.yahoo.com/news/bitcoin-more-likely-hit-10-233000830.html
https://nypost.com/2022/01/21/bitcoin-drops-to-six-month-low-as-selloff-continues/

ขาลง NFT สู่เทรนด์ใหม่ในการผสานรวมเข้าสู่โลกของ Phygital มากยิ่งขึ้น

ต้องบอกว่าสถานการณ์ในตอนนี้วงการ crypto กำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก เนื่องจากราคา bitcoin ที่พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 70,000 ดอลลาร์ในปีที่แล้ว แต่ตอนนี้มูลค่ามันกำลังหายไปถึง 70% ทำให้สูญเสียมูลค่าตลาดไปหลายล้านล้านดอลลาร์

ตลาดสำหรับโทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ (NFT) เช่น งานศิลปะของลิงเบื่อและนกเพนกวินตัวเล็กๆ นั้นกำลังเสื่อมถอย หลังจากยอดขายลดลงอย่างรวดเร็ว และราคาของ NFT ที่ได้รับความนิยมลดลงในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา 

สินทรัพย์ของ Web3 ทั้งหลายแหล่ ที่อ้างว่าเป็นอนาคตของสุดยอดเทคโนโลยีสุดล้ำ ดำดิ่งสู่หายนะในปัจจุบัน เนื่องจาก NFT งานศิลป์ดิจิทัลราคาแพงที่เหล่าเซเลบต่างก็รัก มีมูลค่าลดต่ำลงอย่างน่าเหลือเชื่อมาก ๆ

ซึ่งในการประชุม The Next Web (TNW) เมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้นำด้านเทคโนโลยี นักพัฒนา และนักลงทุน มีการถกเถียงกันในหัวข้อของ NFT ไว้อย่างน่าสนใจ

แน่นอนว่า NFT นั้นถูกซื้อขายกันด้วยสกุลเงินดิจิตอล เหล่าผู้ศรัทธาส่วนใหญ่ก็ยังคงมีความมั่นใจในเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ อินเทอร์เน็ตยุคถัดไปหรือ Web3 ซึ่งคาดว่าจะขับเคลื่อนโดยพลังของการเชื่อมต่อทางสังคมและมีการกระจายอำนาจมากยิ่งขึ้น

สำหรับ “Phygital” ซึ่งเป็นการผสานคำว่า Physical และ Digital เข้าด้วยกัน ซึ่งมีการใช้คำนี้ครั้งแรกโดย Chris Weil ผู้บริหารบริษัทโฆษณามานานกว่าทศวรรษเพื่ออธิบายสิ่งที่เขามองว่าคือความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่สำหรับแบรนด์ต่าง ๆ ที่จะดึงดูดผู้บริโภคในทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน

ซึ่งแน่นอนว่า NFT ก็กำลังเข้าสู่เทรนด์ดังกล่าวเช่นเดียวกัน เพื่อสร้างอรรถประโยชน์ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่ง Phygital จะช่วยให้ผู้ซื้อเข้าถึงสิ่งที่เป็นจริงควบคู่ไปกับสินทรัพย์ที่เป็นดิจิทัล เช่น เสื้อยืดของนักออกแบบตัวจริงที่อวตารของคุณสามารถสวมใส่ได้ใน metaverse เป็นต้น

ซึ่งประสบการณ์แบบผสมผสานเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ด้วย NFT ซึ่งมีโอกาสและความเป็นไปได้ทางธุรกิจอย่างมหาศาลมาดูสามเหตุผลที่ เทคโนโลยีอย่าง NFT จะเข้าสู่โลกของ Phygital มากยิ่งขึ้น

1. NFT จะปรับปรุงความถูกต้องในโลกแห่งความเป็นจริง

ด้วยเทคโนโลยี blockchain ที่แสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง NFT ซึ่งทำให้สามารถมีบทบาทในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุทางกายภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุที่มีความสำคัญต่อผู้ซื้ออย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่น ไวน์ หากมีการจัดเก็บขัอมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของแหล่งที่มาของไวน์บน blockchain กระบวนการแบบเดิม ๆ ก็ไม่จำเป็นสำหรับการรับรองความถูกต้องของไวน์อีกต่อไป

การเก็บแหล่งที่มาของไวน์บน blockchain (CR:Moonpay)
การเก็บแหล่งที่มาของไวน์บน blockchain (CR:Moonpay)

นั่นทำให้ความเสี่ยงทีจะเกิดการฉ้อโกงลดลง มันจะสร้างหลักฐานที่ดีขึ้นของแหล่งที่มาของไวน์ NFT สามารถที่จะปรับปรุงความรู้สึกของความถูกต้องและเพิ่มมูลค่าที่รับรู้ได้ มันเป็นตัวอย่างที่ดีว่า blockchain สามารถสร้างผลกระทบได้ดีกว่าแค่เป็นเพียง sourcecode เก็บไฟล์ภาพได้อย่างไร ซึ่งส่งผลต่อวิธีที่ผู้คนให้คุณค่ากับสินค้าที่จับต้องได้จริง

2. NFT จะใช้เทคโนโลยี Augmented Reality มากขึ้น

ต้องบอกว่าเทคโนโลยี AR เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งของทางกายภาพและดิจิทัลสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร

หากใครยังจำกันได้ในปี 2016 เหล่าเกมเมอร์จำำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในสวนสาธารณะเพื่อไล่ล่าสัตว์ประหลาดเสมือนจริง ซึ่งนั่นก็คือเกมอย่าง Pokemon Go เกมบนมือถือที่อยู่เบื้องหลังความบ้าคลั่งเหล่านี้ ดึงดูดผู้ใช้ด้วยการวางตำแหน่ง Pokemon ในตำแหน่งบนโลกจริง ๆ

Pokemon Go กับการผสานโลกจริงกับดิจิทัลได้อย่างลงตัว (CR:Genesis Block)
Pokemon Go กับการผสานโลกจริงกับดิจิทัลได้อย่างลงตัว (CR:Genesis Block)

ซึ่งตอนนี้ NFT และ AR สามารถรวมเข้ากับแอปพลิเคชั่นที่น่าสนใจบางอย่างได้ ตัวอย่างเช่น ป้ายโฆษณา AR ในสถานที่ที่มีการสัญจรไปมา พื้นที่โฆษณาเสมือนจริงเหล่านี้สามารถซื้อและขายเป็น NFT ได้

แต่มีแนวโน้มว่าเกมจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการผสมผสานของเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ ซึ่งในปัจจุบันเกม NFT บางเกมก็ใช้เทคโนโลยี AR อยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ZED RUN ที่มีแอป AR ที่ผู้ใช้สามารถเรียกม้าแข่งของตนเองมาปรากฎต่อหน้าได้

3. NFT จะปรับปรุงประสบการณ์แบบตัวต่อตัว

ลองจินตานาการถึง ตั๋วที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ เช่น ตั๋วงานอีเวนต์ ต่าง ๆ ซึ่งหากมารวมกับเทคโนโลยี NFT ก็จะขจัดปัญหาเรื่องการฉ้อโกงได้

ที่สำคัญตั๋วรูปแบบใหม่นี้สามารถตั้งโปรแกรมให้สิทธิพิเศษได้ทุกประเภท และสามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนผ่านตลาด NFT ได้ ซึ่งทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและปรับปรุงประสบการณ์ในการเข้าร่วมใช้งานตั๋วรูปแบบดังกล่าวนี้

ตั๋ว Fanclub Meeting ต่าง ๆ กับศิลปินชื่อดัง (CR:kpopmap)
ตั๋ว Fanclub Meeting ต่าง ๆ กับศิลปินชื่อดัง (CR:kpopmap)

ตัวอย่างเช่น ตั๋ว Fanclub Meeting ต่าง ๆ กับศิลปินชื่อดัง ที่ให้สิทธิพิเศษผ่านเทคโนโลยีอย่าง blockchain ซึ่งมันจะสร้างตลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งผลที่ได้คือการประยุกต์ใช้ NFT เพื่อปรับปรุงประสบการณ์แบบตัวต่อตัวให้กับเหล่าผู้คนได้แท้จริง และอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงแค่ ไฟล์ดิจิทัล เหมือนเดิมอีกต่อไป

บทสรุป

เรียกได้ว่าในตอนนี้เป็นตลาดขาลงอย่างชัดเจนสำหรับ NFT ปริมาณการซื้อขายรายเดือนใน OpenSea ซึ่งเป็นตลาด NFT ที่ใหญ่ที่สุดลดลงประมาณ 85% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้

ในขณะเดียวกัน NFT ที่มีมูลค่าสูงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ซึ่งรวมถึงคอลเลกชั่นระดับท็อปของ Bored Ape Yacht Club ราคาลดลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้นในเวลาเพียงแค่ 30 วัน

เทรนด์ใหม่อย่าง Phygital จะขยายขีดความสามารถของ NFT เดิมที่มีอยู่โดยสร้างขึ้นจากผลิตภัณฑ์จริง ๆ ที่ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของได้ และแน่นอนว่ามันเป็นการละลายเส้นแบ่งระหว่างโลกทางการภาพของเรากับโลกดิจิทัลได้อย่างแนบเนียนมากยิ่งขึ้นในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://beincrypto.com/phygital-world-the-metaverse-is-merging-our-real-and-digital-lives/
https://www.ft.com/content/ff14dfda-8442-4473-818e-259415bc2123
https://www.moonpay.com/nft/phygital-nfts
https://realitems.shop/blogs/news/building-the-phygital-future-nfts-for-real-world-assets

NFT x OpenSea กับการโจรกรรม ฉ้อโกง และการฟ้องร้องใน NFT Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Chris Chapman เคยเป็นเจ้าของ NFT ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก Bored Ape Yatch Club ภาพดิจิทัลที่เป็นเอกลักษณ์ของลิงที่มีขนที่แหลมคมกำลังสวมชุดอวกาศ

Chapman ได้ลงทุนมหาศาลเพื่อให้ได้มันมาครอบครองในปีที่แล้ว ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เขาได้ลงประกาศขาย Bored Ape ของเขาใน OpenSea ซึ่งเป็นตลาดซื้อขาย NFT ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยตั้งราคาไว้ที่ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ และเขาก็หวังจะทำกำไรจากสิ่งนี้

แต่สองเดือนต่อ มันก็ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น ในขณะที่เขากำลังพาลูกสาวไปที่สวนสัตว์ App OpensSea ได้มีการแจ้งเตือนถึงเขา ลิงตัวนี้ถูกขายไปในราคาประมาณ 300,000 ดอลลาร์ นั่นทำให้เขาช็อค!!

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ นักต้มตุ๋นคริปโตใช้ประโยชน์จากข้อบกพร่องในระบบของ OpenSea เพื่อซื้อลิงตัวนั้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของมันเป็นอย่างมาก

ทาง OpenSea ได้เสนอความรับผิดชอบให้กับ Chapman เป็นจำนวนเงิน 300,000 ดอลลาร์ ซึ่งเขาปฏิเสธ เพราะมองว่า มันเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงของระบบ

Chapman เป็นหนึ่งในผู้สนใจคริปโตหลายคนที่ได้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับ OpenSea ที่เป็นเว็บไซต์คล้าย ๆ กับ eBay ที่ผู้คนสามารถมาเลือกสรรค์ NFTs นับล้าน ซื้อภาพและขายภาพของตัวเองได้

ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา OpenSea ได้กลายเป็นตลาด NFT ที่มาแรงมาก ๆ เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพด้านคริปโตที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้รับการระดมทุนกว่า 400 ล้านดอลลาร์ มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 13.3 พันล้านดอลลาร์

แต่เมื่อ OpenSea เริ่มเติบโตขึ้น ก็เกิดการฉ้อโกง และโจรกรรมขึ้นมากมาย ตัวอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นกับ Chapman ที่ได้สูญเสีย NFT ของเขาไปนั้น นำไปสู่การฟ้องร้องหลายเดือน ส่งผลให้ OpenSea ต้องจ่ายเงินมากกว่า 6 ล้านดอลลาร์ให้กับเขา

Chris Chapman กล่าวว่าข้อบกพร่องในระบบของ OpenSea ทำให้ผู้ค้าสามารถซื้อ NFT อันมีค่าของเขาได้ในราคาไม่ถึงหนึ่งในสามของราคาจริง (CR: The New York Times)
Chris Chapman กล่าวว่าข้อบกพร่องในระบบของ OpenSea ทำให้ผู้ค้าสามารถซื้อ NFT อันมีค่าของเขาได้ในราคาไม่ถึงหนึ่งในสามของราคาจริง (CR: The New York Times)

ต้องเรียกได้ว่า ปัญหาของ OpenSea นั้นมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องระบบที่ช้าเป็นเต่า แฮ็กเกอร์เข้ามาขโมยผลงาน หรือ งานศิลปะที่ลอกเลียนแบบได้เผยแพร่ไปทั่วแพลตฟอร์ม

ศิลปินต่างโกรธแค้นที่เคยมองว่า NFT คือทางรอดในชีวิตของพวกเขา แต่กลายเป็นว่า ผลงานที่พวกเขาอุตส่าห์สร้างมากลับถูกขโมยไปดื้อ ๆ ซึ่งบริษัทกำลังเผชิญกับคดีฟ้องร้องอย่างน้อยสี่คดี และที่สำคัญที่สุดอดีตผู้บริหารของ OpenSea คนหนึ่งได้ถูกฟ้องร้องในข้อหาเกี่ยวกับการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลวงในที่เกี่ยวข้องกับ NFT

ซึ่งด้วยความคิดของ OpenSea ที่ต้องการให้ศิลปินใช้งานง่าย ได้สร้างเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนสร้าง NFT ได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง โดยแปลงรูปภาพปรกติให้กลายเป็นภาพใน blockchain ได้แบบง่าย ๆ นั่นทำให้เกิดการลอกเลียนแบบได้อย่างง่ายดายมาก ๆ

DeviantArt กลุ่มศิลปินที่เป็นเจ้าของโดยบริษัทพัฒนาเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Wix ใช้งานซอฟต์แวร์ที่สแกน NFT นับล้านทุกวันเพื่อตรวจจับภาพที่ลอกเลียนแบบจากผลงานของศิลปิน ซึ่งสามารถระบุ NFT ที่ถูกลอกเลียนแบบได้มากกว่า 290,000 รายการบน OpenSea และตลาด NFT อื่น ๆ

DeviantArt ที่ใช้การสแกน NFT เพื่อตรวจดูผลงานลอกเลียนแบบ (CR : Line Today)
DeviantArt ที่ใช้การสแกน NFT เพื่อตรวจดูผลงานลอกเลียนแบบ (CR : Line Today)

Aja Trier ศิลปินในเท็กซัสกล่าวว่า “พวกเขา (OpenSea) ทำให้แนวคิดของ NFT พังทลาย”

เอาจริง ๆ OpenSea ก็ถูกควบคุมโดยคนกลาง มันไม่ได้กระจายอำนาจอย่างแท้จริง ดูตัวอย่างข้อมูล insider ที่ผู้บริหารสามารถนำมาทำกำไรกับ NFT ในแพลตฟอร์มของตัวเองได้

มันแทบไม่ต่างจากแพลตฟอร์มเดิม ๆ ที่มีอยู่แล้วตัวอย่างเช่น Shutterstock ที่มีการซื้อขายผลงานศิลปะหรือรูปถ่ายมานานแสนนานแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แค่มีกรอบของคำว่า blockchain เข้ามาทำให้ OpenSea ดูน่าสนใจ

การปะทะกันระหว่างบริษัทกับผู้ใช้งานแสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้น เทคโนโลยีอย่าง Web3 เป็นวิสัยทัศน์ในอุดมคติของอินเทอร์เน็ตที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าถูกควบคุมโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหมือนในยุคเก่า

แต่ถึงวันนี้ OpenSea ได้ชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ กับอุดมการณ์เพ้อฝัน โดยใช้คำหรู ๆ อย่าง blockchain เพื่อดึงดูดเงินจากนักลงทุน ซึ่งแพลตฟอร์มของพวกเขาก็แทบไม่ต่างจากบริการใน Web2.0 เลย เป็นแค่ gateway สร้างตลาดที่มีการควบคุมอย่างหลวม ๆ

ซึ่งนั่นเองที่เราได้เห็นการล่มสลายของหลากหลายแพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นกับเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เกิดกับกลุ่มคนภายในแทบจะทั้งสิ้น ที่เห็นช่องทางในการทำกำไรสร้างรายได้มหาศาล เพราะตราบใดที่แพลตฟอร์มเหล่านี้ยังมีคนกลาง ความโลภของมนุษย์มันก็จะสามารถเอาชนะอุดมการณ์เพ้อฝันได้ทุกสิ่งนั่นเองครับผม

References :
https://www.nytimes.com/2022/06/06/technology/nft-opensea-theft-fraud.html
https://www.forbes.com/sites/johnhyatt/2022/04/05/the-richest-crypto-and-blockchain-billionaires-in-the-world-2022
https://www.nytimes.com/2022/01/04/business/opensea-13-billion-valuation-venture-funding.html
https://www.nytimes.com/interactive/2022/03/18/technology/nft-guide.html
https://indianexpress.com/article/technology/crypto/all-the-times-bored-ape-nfts-were-stolen-7955194/
https://variety.com/vip/bored-ape-yacht-club-theft-underscores-rising-risk-of-nft-ownership-1235286378/