Nas Daily บัณฑิตฮาร์วาร์ดลาออกจากงานที่มั่นคง สู่ครีเอเตอร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบน Facebook

Nuseir Yassin เติบโตในอาราบา เมืองเกษตรกรรมขนาดเล็กทางตอนเหนือของอิสราเอล Yassin เป็นชาวอิสราเอล-ปาเลสไตน์ มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง เขาเป็นลูกคนกลางของพี่น้องสี่คน แม่ของเขาเป็นครู และพ่อของเขาเป็นนักจิตวิทยา โดยทั้งพ่อและแม่ของเขานั้นให้ความสำคัญกับการศึกษาและการทำงานหนัก 

ความคิดแรกเกี่ยวกับอนาคตของเขาในฐานะพลเมืองโลกเกิดขึ้นเมื่ออายุ 19 ปี ที่ถูกจำกัดโดยโอกาสของเขาในประเทศอิสราเอล เขาตั้งเป้าไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Ivy League ในสหรัฐอเมริกา 

เขาสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในสาขาวิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศซึ่งได้รับทุนแบบเต็มจำนวน ในปี 2014 เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเศรษฐศาสตร์และย้ายไปนิวยอร์กซิตี้เพื่อทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี 

เขาเริ่มเขียนโค้ดสำหรับแอปโอนเงิน Venmo ที่ PayPal เป็นเจ้าของ โดยเขากล่าวว่าในตอนนั้นเงินเดือนของเขาสูงกว่า 100,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงมาก ๆ ในยุคนั้น

ซึ่งเรียกได้ว่าชีวิตของเขานั้นเริ่มจะลงตัว ทั้งหน้าที่การงาน รวมถึงรายได้ที่มั่นคง แต่เขาเบื่อกับกิจวัตรประจำวัน และรู้สึกว่ากำลังเสียเวลากับงานที่สบายๆ ของเขาอยู่  เขาต้องการออกไปท่องเที่ยวรอบโลก

ดังนั้น Yassin จึงใช้เวลาหนึ่งปีครึ่งในการเก็บเงิน 60,000 ดอลลาร์  หลังจากนั้นในปี 2016 เขาก็ได้ลาออกจากงาน  ซื้อกล้อง ตั๋วเครื่องบิน และ มุ่งมั่นที่จะท่องเที่ยวไปรอบโลกแบบเต็มตัว

ออกเดินทางตามความฝัน

Yassin นำชื่อเล่นว่า “Nas” ซึ่งเป็นภาษาอาหรับสำหรับ “ผู้คน” มาใช้ และตั้งค่าหน้า Facebook ชื่อ Nas Daily ซึ่งเขามุ่งมั่นที่จะบันทึกทุกวันของการเดินทางของเขา เขาให้คำมั่นว่าจะทำวิดีโอวันละเรื่องเป็นเวลา 1,000 วัน 

Nas ตั้งใจจะทำวิดีโอวันละเรื่องเป็นเวลา 1,000 วัน (CR:scroll.in) 
Nas ตั้งใจจะทำวิดีโอวันละเรื่องเป็นเวลา 1,000 วัน (CR:scroll.in) 

ปลายทางแรกของเขาที่เคนยา มันพิสูจน์ว่าได้ผล บริษัทสื่อของรัสเซียที่ดำเนินงานในไนโรบีเห็นหนึ่งในวิดีโอแรกๆ ของเขา และเสนอจ่ายเงินให้เขาเพื่อสร้างเนื้อหาสำหรับเพจ Facebook ของพวกเขา 

บริษัทจ่ายเงินให้เขา 3,000 เหรียญต่อเดือนสำหรับบริการของเขา ซึ่ง Nas บอกว่าบริษัทดังกล่าวอนุญาตให้เขาเดินทางต่อไปได้ และทำให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์ที่เขาต้องการเพื่อสร้างฐานผู้ชมผ่านเพจ Facebook ของเขา

“ผมสร้างวิดีโอเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้คนในแบบที่เข้าถึงง่าย” Nas กล่าวถึงสไตล์การถ่ายทำของเขา เขาตัดสินใจบันทึกวันเวลาของเขาผ่านคลิปวิดีโอความยาวหนึ่งนาที 

ฐานผู้ชมของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว วิดีโอของเขาเน้นถ่ายทอดชีวิตจริง ๆ และสะท้อนให้กับผู้ชมหลายล้านคนทั่วโลกได้เห็น ซึ่งทำให้เขามีผู้ติดตาม Facebook มากกว่า 20 ล้านคน Youtube อีกกว่า 5 ล้านคน และจำนวนผู้ชมก็กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ 

“ความสำเร็จของผมมาจากการที่ผมไม่ใช่บล็อกเกอร์ทั่วๆ ไป” เขากล่าว โดยอธิบายว่ารูปแบบวิดีโอที่ใช้เวลาเพียง 1 นาที ทำให้เขาแตกต่างจาก vloggers คนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จใน YouTube

เขาเสริมว่าเขาตั้งใจไปในสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีคนนิยมไปกัน เช่น รวันดา แทนซาเนีย และมอลตา เพื่อให้ผู้ชมของเขามีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น

“มีหลาย ๆ ส่วนของโลกที่ยังไม่ถูกค้นพบ ผมไปในที่ที่บล็อกเกอร์ส่วนใหญ่ไม่ไป” เขากล่าว 

Nas ได้สร้างธุรกิจขึ้นมาต่อยอด เขาขายเสื้อยืดตามธีมที่บ่งบอกว่าชีวิตของคุณผ่านไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ รวมถึงการให้คำปรึกษาสำหรับธุรกิจและผู้ที่ต้องการผลิตเนื้อหามัลติมีเดีย เขาได้รับรายได้จากโฆษณา Facebook ที่ฝังอยู่ในวิดีโอของเขา 

Nas วางแผนที่จะจ้างกลุ่มผู้ผลิตเนื้อจากบุคคลภายนอกเพื่อกำหนดเป้าหมายผู้ชมเฉพาะกลุ่มที่เขาต้องการ และหวังว่าจะถ่ายทอดความเชี่ยวชาญของเขาและถือหุ้นบางส่วนในการผลิตเนื้อหาเหล่านี้

ก่อตั้ง Nas Academy

นอกเหนือจากการสร้างวิดีโอแล้ว Yassin ยังได้ลองสร้างพอดแคสต์และสอนการสร้างเนื้อหาผ่าน Nas Academy แพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลของเขา 

ภารกิจของ Nas Academy ที่เปิดตัวในปี 2020 คือการ “เพิ่มขีดความสามารถให้กับครีเอเตอร์ผ่านเทคโนโลยี โดยเริ่มต้นจากการศึกษา”

โดยแพลตฟอร์มนี้เหมาะสำหรับครีเอเตอร์ และธุรกิจหรือองค์กรต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาต้องการเรียนรู้

 Nas Academy แพลตฟอร์มการเรียนรู้สำหรับครีเอเตอร์หน้าใหม่ (CR:Whatsalife)
Nas Academy แพลตฟอร์มการเรียนรู้สำหรับครีเอเตอร์หน้าใหม่ (CR:Whatsalife)

“ที่ Nas Academy เราวางแผนที่จะเติมเต็มช่องว่างที่มีอยู่ในโลก ณ เวลานี้ ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนทักษะเหล่านี้ เพราะมันเป็นเรื่องใหม่มาก และวิดีโอที่มีการสอนออนไลน์ไม่ได้บอกคุณเพียงพอเกี่ยวกับเรื่องนี้  เราหวังว่าจะจับมือพวกเขาลงมือทำและแนะนำพวกเขาเกี่ยวกับวิธีการสำรวจโลกของโซเชียลมีเดียและการเล่าเรื่องในรูปแบบดิจิทัลนี้” 

เขากล่าวเสริมว่า “เรามองว่าสิ่งนี้เป็นมากกว่าการทำวิดีโอ เราเน้นการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง… เราหวังว่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนด้วยวิดีโอเหล่านี้ และกระตุ้นให้พวกเขาสร้างการเปลี่ยนแปลงที่โลกต้องการอย่างมาก” 

คำแนะนำจาก Nas

เขาให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการรุ่นเยาว์หรือผู้ที่เบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตแบบ 9 ต่อ 5 (ทำงาน 9 โมงเช้าเลิก 5 โมงเย็น) ว่า “คำตอบที่วิเศษสุดคือ ‘ทำงานให้หนัก อย่าเพิ่งเลิกทำเด็ดขาด’ 

เขาเสริมว่า. “การเดินทางอาจทำให้คุณรู้สึกเหงา และคุณอาจจะไม่มีเพื่อน ซึ่งคุณต้องมีความคิดที่จะเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างแท้จริง”

เขาบอกว่าเขารู้สึกโชคดีที่ได้เริ่มต้นการเดินทางด้วยเงินทุนที่เขาเก็บออมไว้จำนวนหนึ่ง ทำให้เขาเดินทางได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทุนมากนัก

“ผมจะไม่มีวันลาออกจากงานโดยไม่มีความมั่นคงในอนาคตข้างหน้า ซึ่งในตอนที่ผมออกมานั้นผมเชื่อมั่นในตัวเองว่าจะได้งานที่ดีขึ้นภายในหนึ่งปีหรือน้อยกว่านั้น ดังนั้นผมจึงสามารถมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด”

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า การเสี่ยงคือแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

“เมื่อคุณไปถึงประเทศใหม่ และทำวิดีโอทุกวัน คุณจะพบว่าตัวเองมีบทสรุปของวันที่ได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา” Nas กล่าว

“ผมไม่ได้ทำเพื่อเงิน และผมโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ผมชอบและทำเงินจากมัน” 

References : https://en.wikipedia.org/wiki/Nas_Daily
https://www.rappler.com/entertainment/celebrities/things-to-know-nuseir-yassin-man-behind-nas-daily
https://www.businessinsider.com/how-nas-daily-became-one-of-the-most-successful-vloggers-on-facebook-2018-5
http://54.179.62.220/the-best-of-nas-daily/

เป๋าตังค์ & G Wallet กับศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็น Super App อันดับหนึ่งในไทย

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งแอปที่มีความน่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับ แอป เป๋าตังค์ ที่เรียกได้ว่า น่าจะเป็นแอปไทยเพียงไม่กี่แอปที่มีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลกว่า 40 ล้านคน ที่มีฐานลูกค้าพอที่จะสามารถต่อกรกับ แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ที่กำลังบุกรุกจากต่างชาติได้

ไทยเป็นหนึ่งประเทศที่เรียกได้ว่าเสียเอกราชทางด้าน Data แบบเต็มรูปแบบ มองไปทางไหน ก็มีแต่แอปต่างชาติ คอยดูดข้อมูลของคนไทยเราไปสร้างรายได้ให้กับพวกเขาอย่างมหาศาล

ทั้งบริการ Chat โดย Line ที่ครองตลาดได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาอย่างยาวนาน แทบจะไม่มีคู่แข่ง ด้วยพลัง Network Effected ที่คงเป็นเรื่องยากที่คนไทยจะเปลี่ยนไปใช้ บริการ Chat เจ้าอื่นในตอนนี้

ส่วนบริการอย่าง Social Network นั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเพราะ เครือข่ายของ Facebook และ TikTok นั้นกินส่วนแบ่งการตลาดได้แบบเบ็ดเสร็จ ฝั่ง Ecommerce ก็นำโดยทุนจากจีนทั้ง Shopee ที่มีพี่ใหญ่อย่าง Tencent คอย Backup หรือ Lazada ที่ส่งตรงมาจากกองบัญาการใหญ่ของ Alibaba

ในอุตสาหกรรมที่พอจะสู้ได้ ก็คงจะเป็น Delivery Service แพลตฟอร์มที่ไทยเราเองยังพอมีที่ยืนให้กับแอปคนไทย หรือ ที่เกิดจากประเทศไทยบ้าง ทั้ง Lineman หรือ Robinhood

ส่วนแอปตระกูลธนาคารทั้งหลายที่เข้ามาแข่งขันในการดึง Data พฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้บริโภค ซึ่งพวกเขาไม่ได้มองตัวเองเป็นธนาคารแบบเดิม ๆ อีกต่อไป จากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เราได้เห็นทั้ง SCB และ Kbank แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็มีฐานผู้ใช้งานที่แย่งกันอยู่ตามฐานลูกค้าธนาคารแต่ละราย ไม่มีใครสามารถกินรวบได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนที่เป๋าตังค์ทำได้

เป๋าตังค์ กับ แอปมาแรงแซงทางโค้ง

สอดรับกับนโยบายที่ออกมามากมาย ทั้งคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกัน ยิ่งใช้ยิ่งได้ ฯลฯ ทำให้ เป๋าตังค์เป็นแอปที่มีความได้เปรียบกว่าแอปอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ในการสร้างฐานสมาชิก ซึ่งมันแทบจะบังคับ ทุกคนที่จะใช้นโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ที่รัฐได้อัดฉีดมาสร้างความคึกครื้นทางด้านเศรษฐกิจ ต้องโหลดแอปมาก่อน ถึงจะใช้บริการเหล่านี้ได้

แอป อื่นอาจจะมีต้นทุนในการหาฐานลูกค้าของตน แต่แอปอย่าง เป๋าตังค์แทบจะไม่มี หรือ อาจจะใช้งบน้อยมาก ๆ เพื่อทำการนำคนเข้ามาสู่แพลตฟอร์ม ซึ่งระยะยาวถือว่าเป็นสิ่งที่ได้เปรียบเป็นอย่างมาก

ตอนนี้ เรียกได้ว่า มีบริการต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้น บนแอปเป๋าตังค์ ทั้งซื้อหุ้นกู้ ซื้อทองคำ สั่งอาหารแบบ Delivery และเป๋าตังค์เองก็แทบจะกลายเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลหลักของใครหลาย ๆ คนไปเสียแล้วด้วยซ้ำในตอนนี้

ศักยภาพของ เป๋าตังค์ ในการก้าวเป็น Super App ของคนไทยจริง ๆ

ตอนนี้เรียกได้ว่าแทบทุกแพลตฟอร์ม มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือ การก้าวขึ้นเป็น Super App ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีการแย่งชิงตลาดกันเองบ้างแล้ว ซึ่งเป้าหมายสูงสุดคงหนีไม่พ้นการให้บริการทางด้านการเงินนั่นเอง สังเกตได้จากตอนนี้ หลาย App ปล่อยกู้กันง่ายมาก ๆ คลิกไม่กี่ครั้งก็ได้เงินกู้กันแบบง่าย ๆ แล้ว โดยอาศัยพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่พวกเขามีอยู่แล้วนั่นเอง

ส่วนเป๋าตังค์ ผมเองมองว่า มีศักยภาพที่สูงมาก ๆ ในการเป็น Super App ของคนไทยจริง ๆ ได้ เพราะสามารถแตกบริการได้อีกหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งไปทาง Ecommerce , Fintech หรือ Delivery Service หรือแม้กระทั่ง Chat ที่ผมว่าประเทศเราควรมีการสร้างบริการใหม่ ๆ มาทดแทนบริการ Line ได้แล้วเสียที ขนาดเวียดนามยังสามารถสร้าง Zalo เอาชนะ Line ได้เลยเพราะ pain point ของ Line นั้นมีเยอะมาก ๆ จนผมเองยังงงว่ากลายเป็นบริการยอดนิยมได้อย่างไร หรือ เพราะ sticker ที่ถูกจริตคนไทย

จะเห็นได้ว่า มันยังมีช่องทางให้ เป๋าตังค์ ขยายบริการอีกมากมาย ซึ่ง ตอนนี้เป๋าตังค์น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ Krungthai แต่ในอนาคตผมมองว่า เป๋าตังค์จะ spinoff กลายเป็นอีกหนึ่งบริการขนาดใหญ่ หรือ ขยับขยายกลายเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือ บริษัทมหาชนขนาดใหญ่ แบบเดียวกับ AOT , การบินไทย , การไฟฟ้า , ไปรษณีย์ไทย , PTT หรืออีกมากมาย ที่จะให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน Data ครบวงจรในรูปแบบ Super App ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในอนาคต และที่สำคัญที่สุดเป็นของคนไทยแท้ ๆ นั่นเองครับผม

References Image : https://www.thephuketnews.com/finance-ministry-prepares-assistance-for-state-staff-79189.php

Geek Monday EP107 : Tesla vs Apple กับความเหมือนที่แตกต่างในการสร้างเครื่องจักรผลิตเงินที่สร้างกำไรได้อย่างมโหฬาร

จากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 อัตรากำไรขั้นต้นของ Tesla อยู่ที่ 28.8% จากปริมาณการขายที่น้อยกว่าคู่แข่ง (ประมาณ 1 ล้านคันต่อปี) VW และ BMW มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า 20% ในขณะที่ Ford และ GM มีอัตรากำไรประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์เพียงเท่านั้น

หากบริษัทรถยนต์แบบดั้งเดิมต้องการทำการเปลี่ยนเพื่อมุ่งสู่งธุรกิจรถยนต์ EV แบบเต็มตัว พวกเขาต้องหาเงินทุนจำนวนมาก การลดค่าใช้จ่ายและการเพิ่มส่วนต่างเพื่อนำกลับมาลงทุนใหม่ ซึ่งต้องบอกว่าไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ควรตั้งเป้าไว้เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของพวกเขาอีกด้วย

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3vHesBx

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Tt6JtRVf3NY

Credit Image : YT/Tech Space

Geek Story EP125 : House of Mouse กับเรื่องราวการรีมาสเตอร์สู่โลกดิจิทัลของ Disney

ด้วยเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่ตอนนี้เนื้อหากลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโลกธุรกิจบันเทิง โดยเฉพาะบริการสตรีมมิ่งที่กำลังกลายเป็นไอคอนใหม่แห่งวงการธุรกิจสื่อด้านบันเทิงที่กำลังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด

Disney ได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญ เพื่อวางตำแหน่งของตัวเองให้สามารถที่จะจัดจำหน่ายเนื้อหาของพวกเขาโดยตรงไปยังผู้บริโภคที่ได้กลายเป็นหัวใจของธุรกิจสื่อในตอนนี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2Zbgm14

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/xb9fgQqkxoY

จัดโต๊ะคอม & แมวเหมียว เมื่อแมวไม่ใช่เป็นเพียงแค่พร็อพถ่ายรูป แต่มีประโยชน์ในการ WFH มากกว่าที่คุณคิด

วันนี้ขอเขียนเรื่องเบา ๆ เกี่ยวกับ สิ่งที่น่าสนใจอย่างนึงที่ผมได้ไปพบ เมื่อเข้าไปร่วม Facebook Group กลุ่มยอดฮิตในตอนนี้ อย่าง กลุ่ม จัดโต๊ะคอม ที่กลายเป็นว่าหนึ่งใน item ที่สำคัญสำหรับเหล่านักจัดโต๊ะคอมขาดไปไม่ได้นั่นก็คือ แมว

ต้องบอกว่าผมเองก็เป็นคนนึงที่ทำงานสาย IT ที่เรียกได้ว่า ต้อง WFH มาตั้งแต่โควิดบุกตั้งแต่ระลอกแรกช่วงต้นปี 2020

การเปลี่ยนพฤติกรรมจากเดิมที่ทำงานที่ office แล้วมาทำงานแบบ WFH จากที่บ้านอย่างฉับพลัน ก็ต้องมีการปรับตัวกันค่อนข้างมากเลยทีเดียว

แม้ช่วงแรก ๆ ผมเองก็มองเห็นแต่ข้อดีมากมาย ทั้งไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง การได้อยู่กับบ้าน ทำให้มีเวลาในชีวิตเพิ่มมากขึ้น จากการที่ไม่ต้องเสียเวลาในเมืองที่รถติดอย่างบ้าคลั่งแบบกทม.

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ การ WFH ไปนาน ๆ ทำให้ส่งผลเสียหลาย ๆ อย่าง ที่ไม่คาดคิด ซึ่งหลายๆ คนน่าจะเจอกัน การไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานจริง ๆ แบบต่อหน้า ซึ่งทำได้เพียงแค่ Conference Metting กันนั้น ทำให้เริ่มส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต

การทำงานอยู่คนเดียวแบบ WFH นาน ๆ นั้นมีผลต่อสุขภาพจิตโดยตรง บางครั้งผมเองถึงขั้นจะคุยกับผนังบ้านตัวเองไปเสียแล้วด้วยซ้ำ

มันเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมแบบฉับพลัน และบังคับให้ทุกคนทำแบบเร่งด่วน ทำให้ต้องมีการปรับตัวอยู่นาน เราจะเห็นได้ว่ามีเทคนิคต่างๆ มากมายที่เผยแพร่บนโลกออนไลน์เกี่ยวกับ การ WFH อย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพที่แท้จริง และ ไม่ไปเบียดเบียนเวลาส่วนตัว

ซึ่งผมคิดว่าหลายคนน่าจะเจอปัญหาที่ว่าเวลางานเริ่มเข้ามาเบียดเบียนเวลาส่วนตัว โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะการ WFH ก็เหมือนเราทำงานอยู่ตลอดเวลา เริ่มมีการสั่งงานนอกเวลางาน ซึ่งอยู่ที่เราจะจัดการบริหารเวลาอย่างไรให้ Work Life Balance ดีที่สุด

เมื่อผมเข้าสู่วงการทาสแมว

หลังจากที่ส่งสัยอยู่นานว่าทำไม กลุ่มจัดโต๊ะคอม ถึงมีแมวเป็น item หลักกันแทบจะทุกคน ไปส่องดูรูปได้ มีแมวเป็นพร็อพหลักกันแทบจะทุกคน

เอาจริง ๆ ตัวผมเองก็ไม่ค่อยชอบเลี้ยงสัตว์เท่าไหร่ เนื่องจากมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่จากการเลี้ยงสุนัขในสมัยเด็ก ๆ

พอดีแฟนของผมเองอยากเลี้ยงมานานแล้ว จึงถือโอกาสช่วง WFH พอดี ซึ่งคิดว่าน่าจะพอดูแลได้ เพราะทำงานที่บ้านมาอย่างยาวนาน จึงได้ลองเลี้ยงตัวแรกเป็นพันธ์ุ สก็อตติชโฟลด์

ซึ่งหลังจากได้มาเลี้ยงจริง ๆ จัง ๆ ก็พบว่าเออ มันช่วยหลายอย่างดีขึ้น โดยเฉพาะเวลา WFH นาน ๆ แมวมันช่วยผ่อนคลายจากความเครียดจากการทำงาน หรือ การประชุมมาราธอนแบบต่อเนื่องยาว ๆ ได้จริง ๆ

พอคิดงานไม่ออกก็แว๊บไปเล่นกับเจ้าแมวเหมียว มันช่วยเรื่องงานได้จริง ๆ อันนี้ผมไม่ได้คิดไปเอง เพราะตอนก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้เลี้ยงแมว รู้สึกสมองมันตื้อไปหมด รวมถึงการที่ร่างกายเราเองได้เปลี่ยนอริยาบทด้วย ไม่นั่งหน้าคอมยาว ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผมว่าประโยชน์หลักของแมว น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราคลายความเครียดได้ดีเลยทีเดียวในช่วงการทำงานแบบ WFH ที่น่าจะกลายเทรนด์การทำงานใหม่ไปแล้วในอนาคต ซึ่งสุดท้าย ผมก็ได้กลายเป็นทาสแมวไปในท้ายที่สุด เรียกได้ว่าตอนนี้พัสดุมาส่งส่วนใหญ่เป็นของแมวแทบทั้งนั้นแล้วครับผม

สุดท้ายฝาก IG ของสองตัวป่วนที่ผมเลี้ยงไว้ด้วยที่ https://www.instagram.com/babeeboong/