มาดู Concept หุ่นยนต์สายลับนักฆ่า ในอนาคตกันเถอะ

ในเดือนมิถุนายน Corridor Digital จากสตูดิโอที่ผลิตในลอสแองเจลิสได้เปิดตัววิดีโอล้อเลียน Boston Dynamics ซึ่งหุ่นยนต์ได้แสดงถึงความพยายามในการแก้แค้นทีมงาน หลังจากที่พวกมันได้รับการฝึกฝนความทนทานที่สุดแข็งแกร่ง

ในวิดีโอใหม่ทีม“ Bosstown Dynamics” มุ่งหน้าไปยังสนามยิงปืนในทะเลทรายสำหรับการฝึกซ้อมอย่างเข้มข้นด้วยหุ่นยนต์ทางการทหาร

คลิปดังกล่าว หุ่นยนต์จะยิงเป้าทุกครั้งโดยใช้อาวุธปืนหลายครั้งแม้ว่าผู้ฝึกจะพยายามทดสอบความแข็งแกร่งมันเท่าไหร่ก็ตามที

พวกเขาทุบก้อนอิฐเหนือศีรษะของหุ่นยนต์ และทุบอกด้วยไม้ฮอกกี้ เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของหุ่นยนต์ที่ด้านหลัง แต่ถึงแม้จะดูเหมือนหุ่นยนต์ถูกทารุณกรรม แต่ทั้งหมด นั้นอยู่ในหลักสูตรการฝึกอบรม

ที่สุดแม้ว่าทีมจะพบว่าหุ่นยนต์ของพวกเขามีขีดจำกัด ซึ่งหุ่นยนต์ดังกล่าวนั้นได้แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายสุนัขสีเหลืองที่มีความคล้ายคลึงกับหุ่นยนต์ที่แข็งแกร่งของบริษัทผลิตหุ่นยนต์ชื่อดังอย่าง boston Dynamics’ อย่าง SpotMini

แม้ในวิดีโอนั้นชัดเจนว่าเป็นเรื่องตลก แต่หุ่นยนต์ทหารที่มีความเป็นไปได้สูงมากสำหรับอนาคตถ้าเทียบกับเทคโนโลยีทางด้านหุ่นยนต์ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้กำลังวิจัยและพัฒนาในหลาย ๆ แล็ปทั่วโลก รวมถึง DARPA ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ

ตอนนี้ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก กำลังตื่นตัวกับการสร้างเทคโนโลยีที่พร้อมสำหรับการปฏิบัติการทางทหารจาก AI ไปจนถึงการขับเคลื่อนรถถังและเรือที่เป็นการขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ

มันไม่ยากเลยที่จะจินตนาการถึงก้าวกระโดดที่สำคัญของหุ่นยนต์ทางการทหาร และคงไม่กล่าวเกินจริงว่า อีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นหุ่นยนต์เหมือนที่ปรากฎในวิดีโอไปใช้งานจริง ๆ ในสนามรบนั่นเอง

References : https://futurism.com/the-byte/cgi-video-military-robot-flipping-table-guns https://i.ytimg.com/vi/y3RIHnK0_NE/maxresdefault.jpg

Geek Monday EP25 : วิธีที่ Dubai International Airport ใช้งาน AI

ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบเป็นหนึ่งในสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดในโลก (ติดอันดับ 3 ในปี 2018 จากรายงานการจราจรทั่วโลกของสภาสนามบินนานาชาติ)

นอกจากนี้ยังอยู่ในระดับแนวหน้าของปัญญาประดิษฐ์เช่นเดียวกับภาคอื่น ๆ ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อาจเป็นเพราะรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับ AI ในการขับเคลื่อนประเทศของเขา

โดย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีทั้งกลยุทธ์ AI และกระทรวงปัญญาประดิษฐ์ที่มีอำนาจในการลงทุนในเครื่องมือ AI ใหม่ ๆ และหนึ่งในนั้นที่พวกเขาลงทุนใช้ AI ในการปรับปรุงสิทธิภาพก็คือ ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ นั่นเอง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/32Ua0jt

ฟังผ่าน Apple Podcast :   https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast :  http://bit.ly/2BPRgFY

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/2pjb1mO

ฟังผ่าน Youtube :   https://youtu.be/daKHSvSOO1U

AI สามารถช่วยให้แพทย์ตรวจจับอาการเลือดออกในสมองได้เร็วขึ้น

เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันนั้น มีความสามารถในการค้นพบเงื่อนไขทางการแพทย์ที่มีความแม่นยำสูงอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามภาวะเลือดออกในสมองนั้นยังมีความท้าทายเป็นพิเศษสำหรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้

ซึ่งอัลกอริธึมที่มีการคำนวนผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการเลือดออกทางสมองนั้น ก็อาจทำให้พวกเขาถึงตายได้ แต่อย่างไรก็ตามงานวิจัยใหม่ด้าน AI จาก UC Berkeley และ University of California San Francisco (UCSF) อาจพร้อมสำหรับใช้งานกับผู้ป่วยที่มีอาการเลือดออกในสมองแล้ว

นักวิจัยจาก UC Berkeley และ UCSF ได้สร้างอัลกอริทึมที่ตรวจจับภาวะเลือดออกในสมองด้วยความแม่นยำ ที่มีประสิทธิภาพกว่านักรังสีวิทยาสองในสี่คนจากการทดสอบครั้งล่าสุด ซึ่งกุญแจสำคัญคือข้อมูล ที่ได้รับการ Training อย่างละเอียดของอัลกอริทึมตัวใหม่นี้

กระบวนการนี้อาศัยเทคโนโลยี Neural Network ที่ทำหน้าที่สแกนภาพถ่าย CT มากกว่า 4,396 ภาพ แม้จะดูเหมือนเป็นจำนวนตัวอย่างที่ค่อนข้างน้อย แต่ความผิดปกติของ case ที่นำมาทำการ training ข้อมูลเหล่านี้นั้นมีรายละเอียด “ในระดับพิกเซล” ตามรายงานที่ UCSF กล่าว

อีกนัยหนึ่งคือพวกเขามีโอกาสน้อยมากที่จะตีความผิดพลาดของอาการที่เกิดจากเลือดออกในสมอง เทคนิคนี้ยังมีการฝึกอบรม AI ในส่วนของภาพ โดยใช้เวลามากกว่าเทคนิคอื่น ๆ ที่มักจะเน้นความเร็วเป็นหลัก ซึ่งมันเป็นการลดโอกาสที่จะทำให้เกิดความผิดพลาดได้เป็นอย่างมาก

เช่นเดียวกับระบบตรวจจับที่ใช้ AI อื่น ๆ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่พวกมันสามารถใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการรายงานผล และสามารถจำแนกประเภทอาการเลือดออกในสมองได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นตัวช่วยคัดกรองสำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้อย่างดีเยี่ยม

สิ่งเหล่านี้ช่วยประหยัดเวลาอันมีค่าของแพทย์ในกรณีที่เกิดเคสฉุกเฉิน และยังสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะพบอาการที่เกี่ยวกับภาวะเลือดออกในสมองที่หายากที่อาจถึงแก่ชีวิตได้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของผู้ป่วยได้

ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงทำการทดสอบอัลกอริธึมเพื่อเปรียบเทียบกับผลการสแกน CT จากหน่วยงานด้านรังสีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีสักวันหนึ่งที่มันจะถูกใช้ในการช่วยคัดกรองผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว และช่วยให้แพทย์มุ่งเน้นไปที่การช่วยชีวิตผู้ป่วยแทนได้นั่นเอง

References : https://www.engadget.com/2019/10/23/ai-detects-brain-hemorrhages-ucsf/ https://cdn.neow.in/news/images/uploaded/2019/10/1571887142_f2.large_story.jpg

PayPal Wars ตอนที่ 11 : Sell Out

JULY–OCTOBER 2002

ข่าวลือต่าง ๆ ได้หลุดออกไปอย่างรวดเร็วในเรื่องการควบรวมกิจการระหว่าง ebay และ PayPal มันเป็นการเจรจาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ๆ ระหว่างบริษัททั้งสองที่ไม่คิดจะสู้กันอีกต่อไป การควบรวมกิจการนั้นดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่าย

‘ebay ทุ่มซื้อ PayPal มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญ’ กลายเป็นข่าวใหญ่ของสื่อในช่วงเวลานั้น โดยเนื้อหานั้นกล่าวถึงการที่ ebay จะเปิดบริการ Billpoint ลง และให้ PayPal กลายเป็นบริการหลักของ ebay แทน

และเป็น Thiel ที่แอบไปเจรจา จน Deal นี้สำเร็จเสียที เป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน เป็นการแข่งขันในเกมธุรกิจที่เรียกได้ว่าสนุกที่สุดครั้งในประวัติศาสตร์ของบริษัทในอเมริกา แต่ถึงบัดนี้ ทั้งสองก็ได้จูบปากกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Thiel ได้ทำการนัดพนักงานเข้ามาเพื่อชี้แจ้งเรื่องดังกล่าว โดยกล่าวในรายละเอียดที่เกิดขึ้น ที่ได้สรุปข้อตกลงขายบริษัท PayPal ให้กับ ebay โดยจะเป็นการแลกเปลี่ยนหุ้นทั้งหมด ในสัดส่วน 0.39 หุ้นของ ebay สำหรับ PayPal ในทุก ๆ หุ้น

ซึ่งแน่นอนว่า อาจจะต้องใช้เวลาหกเดือน กว่าที่รายละเอียดของ Deal ทั้งหมดจะเสร็จสิ้น และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทั้งสองบริษัทจะแยกทำงานกัน โดยหลังจากทำการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ PayPal จะยังคงเป็นหน่วยงานอิสระ ภายใน ebay และทีมผู้บริหารปัจจุบันก็จะยังคงอยู่ทำงานต่อไป

เหล่าพนักงาน PayPal ฉลองชัย ที่สงครามสิ้นสุด เสียที
เหล่าพนักงาน PayPal ฉลองชัย ที่สงครามสิ้นสุด เสียที

และคำพูดสุดท้าย ที่ทำให้เหล่าพนักงานต่างส่งเสียงปรบมือกันเกรียวกราว ก็คือ “เมื่อการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ Billpoint จะถูกปิดตัวลง และ PayPal จะถูกรวมเข้ากับเว๊บไซต์ ebay” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการยุติสงครามที่มีความยืดเยื้อมาอย่างยาวนานนั่นเอง

และสิ่งสำคัญในการควบรวมครั้งนี้ก็คือ Thiel ต้องการประกาศให้เหล่าพนักงานของเขาได้รับรู้ว่า PayPal จะกลายเป็นสกุลเงินสำหรับอินเทอร์เน็ต ตามความฝันที่เค้าได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มสร้าง PayPal ใหม่ ๆ และด้วยจำนวนผู้ใช้งานในระบบ ebay ในขณะนั้นกว่า 46 ล้านคน มันกลายเป็นพื้นที่ ที่เหลือเฟือสำหรับการเติบโตในอนาคตของ PayPal

และที่สำคัญการต่อสู้ในครั้งนี้ของ PayPal มันยังได้แสดงให้เห็นอีกอย่างนึงว่า PayPal บริษัท startup เล็ก ๆ ที่แจ้งเกิดได้เพียงไม่เกิน 3 ปีนั้น แต่พวกเขาสามารถเอาชนะยักษ์ใหญ่อย่าง ebay และกลายเป็นผู้ชนะตัวจริงในศึกปฏิวัติวงการชำระเงินออนไลน์ของโลกในครั้งนี้นั่นเองครับ

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ PayPal Wars จาก Blog Series ชุดนี้

ก็ต้องบอกว่าการเกิดขึ้นของ PayPal นั้นเป็นอีกหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุด ของวงการเทคโนโลยีโดยเฉพาะเหล่า Startup ใน อเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะผลผลิตจากกลุ่ม PayPal ที่ถูกกล่าวขานกันว่า PayPal Mafia นั้นได้กลายเป็นกลุ่มบุคคลที่คอยขับเคลื่อน Silicon Valley ในยุคต่อมาอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน

บริการอย่าง Facebook ก็ได้รับเงินทุนตั้งต้นครั้งแรกจาก Peter Thiel ที่เป็นอดีต CEO ผู้พา PayPal เอาชนะ Billpoint ของ ebay ได้สำเร็จนั่นเอง และหลาย ๆ คนของเหล่าพนักงานหัวกะทิของ PayPal ก็ได้กลายมาเป็นนักลงทุนทางด้านเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งการสร้างบริการใหม่ ๆ ขึ้นมาเอง ตัวอย่างเช่น Linkedin ของ Reid Hoffman หรือ Youtube , Yelp หรือ นวัตกรรมสุดล้ำต่าง ๆ ที่ Elon Musk กำลังสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

มันได้ส่งผลทำให้เกิด Startup ในยุคหลัง ๆ ของ Silicon Valley หลาย ๆ บริการที่กลายมาเป็นบริการโด่งดังในปัจจุบัน ซึ่งก็ล้วนแต่ผ่านมือพวกเขาเหล่านี้ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งมาแล้วแทบจะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Uber , Instragram , Youtube , Kiva.org , AirBnb หรืออีกหลายธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

บริษัทชื่อดังมากมายที่ล้วนเป็นผลผลิตมาจากเหล่าพนักงาน PayPal
บริษัทชื่อดังมากมายที่ล้วนเป็นผลผลิตมาจากเหล่าพนักงาน PayPal

ต้องบอกว่า จากเนื้อเรื่องใน Blog Series ชุดนี้ มันคือการหล่อหลอมให้เหล่าพนักงานของ PayPal ยุคบุกเบิกนั้น ได้กลายมาเป็นนักลงทุนทางเทคโนโลยีที่มีวิสัยทัศน์อย่างที่เราเห็น มันเกิดจากการสู้ของพวกเขาแทบจะทั้งสิ้น พวกเขาได้เจอประสบการณ์ต่าง ๆ มากมายในการนำพา บริษัทเล็ก ๆ ที่เพิ่งเกิดใหม่ อย่าง PayPal ให้ต่อกรกับ ebay ที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีในขณะนั้นได้ถือว่าเป็น case study ที่น่าสนใจครั้งนึงในการต่อสู้ทางธุรกิจของประเทศอเมริกา

จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้ได้ให้แนวคิดอย่างนึงก็คือ ด้วยทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำกัด และด้อยกว่าคู่แข่งอย่าง ebay แบบเห็นได้ชัด แต่พวกเขากลุ่มนี้ เหล่าพนักงานหัวกะทิของ PayPal ได้รีดศักยภาพของตัวเองให้ออกมาได้มากที่สุด สร้างไอเดียที่สร้างสรรค์ คิดค้นกลยุทธ์ใหม่ ๆ พวกเขาต้องคอยคิดอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญมันต้องทำงานแข่งกับเวลาที่เงินทุนของพวกเขากำลังร่อยหรอลงเรื่อย ๆ เพื่อที่จะให้สามารถต่อสู้กับ ebay ได้ แม้จะเป็นรองแค่ไหน พวกเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้สำเร็จ และได้กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ในวงการชำระเงินออนไลน์ อย่างที่เราได้เห็นใน Blog Series ชุดนี้นั่นเองครับ

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The New Recruit *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

ชิม ช้อป ใช้ กับการใช้นวัตกรรมของรัฐในการออกแบบนโยบาย

ต้องบอกว่าเป็นอีกนโยบายหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับ นโยบาย การอัดฉีดเงินของรัฐ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระบบอย่างนโยบาย ชิม ช้อป ใช้ ซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ active มากยิ่งขึ้น

แน่นอน ว่าหลาย ๆ คนอาจจะมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับ นโยบาย ดังกล่าว แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบการออกนโยบายทางการเงินของรัฐบาลมาในช่วงหลัง ๆซึ่งต้องบอกว่า สิ่งที่เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนที่สุดเพื่อให้ไทยเข้าสู่ cashless society นั้นก็คือ การเกิดขึ้นของ PromptPay (พร้อมเพย์) นันเอง

ผมว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบต่อหลาย ๆ เรื่องมากสำหรับนโยบายนี้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบ การบีบให้เหล่าธนาคารสุดท้ายต้องยกเลิกค่าธรรมเนียม รวมถึงเงินหมุนเวียนที่เกิดขึ้นผ่าน cashless society ที่เกิดขึ้นหลังจากนโยบายนี้ มันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้าได้อย่างมาก

รวมถึงอีกหลาย ๆ นโยบายที่ผมค่อนข้างเห็นด้วย อย่าง บัตรสวัสดิการประชารัฐ ที่สามารถกรอง กลุ่มบุคคลที่รัฐควรให้การช่วยเหลือได้ดีที่สุด สามารถหว่านเม็ดเงินไปแก้ไขปัญหาแบบถูกจุด แม้โครงการจะมีปัญหาบ้าง ไม่ 100% ก็ตาม แต่อย่างน้อยเป็นการคัดกรอง ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม

ส่วนเรื่องของ ชิม ช้อป ใช้ นั้น แม้ เฟส แรกอาจจะเป็นการแค่การแจกเงินเหมือน นโยบายทั่ว ๆ ไป แต่ที่ผมสนใจมากคือ เฟส 2 ที่รัฐออกนโยบาย การ cashback ซึ่งหลาย ๆ คนน่าจะคุ้นกันเพราะมันใช้ในบริษัทเอกชนมากมายที่ออกนวัตกรรมทางการเงินนี้ให้กับลูกค้า

ที่น่าสนใจคือ มันเป็นการออกโดยภาครัฐ มันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ผมแทบจะไม่เคยเห็นจากรัฐบาลชุดไหนมาก่อน ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก กับการใช้ แคมเปญ แบบ เอกชน มาใช้กับนโยบายรัฐบาล

ถือเป็นการคิดค้นนวัตกรรมทางด้านนโยบายที่น่าสนใจมาก ๆ ของรัฐบาลชุดนี้ และแน่นอนว่า เบื้องหลังของนโยบายเหล่านี้ นั้น ต้องมาจากการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Big Data หรือ แม้กระทั่ง AI ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจระดับมหภาคจริง ๆ

ซึ่งแน่นอนว่า เหล่านักการเงิน รวมถึงวิศวกร ยอดอัจฉริยะ ที่มีอยู่เต็มไปหมดในกระทรวงการคลังนั้น คงทำงานกันอย่างหนัก กว่าจะได้นโยบายอย่างที่เราเห็น ซึ่งน่าจะมีการวิเคราะห์ผลดีผลเสียออกมาดีแล้ว ผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ต้องบอกว่าปัจจุบันคงไม่เป็นเรื่องยาก ที่จะนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปวิเคราะห์เพื่อสร้างนโยบายทางการเงินของประเทศออกมา

หรือแม้กระทั่ง Application อย่าง “เป๋าตัง” นั้นก็เห็นได้ชัดเจนว่า มันเป็นผลพวงจากนโยบายทางการเงินของรัฐบาลแทบจะทั้งสิ้น ในการทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้น ผมว่าเป็นก้าวสำคัญของประเทศ ในการออกแบบนวัตกรรมในการสร้างนโยบาย รูปแบบใหม่ ๆ ผ่านการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ ซึ่งเราก็ต้องรอดูกันว่ามันจะส่งผลให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเราได้มากน้อยขนาดไหน ซึ่งแน่นอนว่าทุก ๆ นโยบายของรัฐ มันมีทั้งข้อดี และข้อเสีย อยู่ที่เราจะมองมันในมุมไหน นั่นเองครับ

–> ลิงค์ลงทะเบียน : https://www.ชิมช้อปใช้.com/