Bernard Madoff กับตำนานแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เรื่องอื้อฉาวในการลงทุนของแมดอฟฟ์ ได้กลายเป็นตำนานเรื่องการฉ้อโกงการลงทุน และหลักทรัพย์ครั้งใหญ่ที่สุดและมีความสูญเสียมากที่สุด เมื่อปลายปี 2008 ซึ่งในเดือนธันวาคมปีนั้น เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ อดีตประธานแนสแด็กและ ผู้ก่อตั้ง บริษัท หลักทรัพย์ลงทุนเบอร์นาร์ด แอล. แมดอฟฟ์ จำกัด (Bernard L. Madoff Investment Securities LLC) ได้ออกมายอมรับว่าธุรกิจของเขาเป็นการฉ้อฉลแบบพอนซี (รูปแบบเดียวกับแชร์ลูกโซ่ที่เราเห็นได้ในข่าวดังในบ้านเราขณะนี้)

เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินคดีประเมินขนาดการฉ้อโกงครั้งนี้มีความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 64,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้ตัวเลขประเมินที่อยู่ในบัญชีของลูกค้ากว่า 4,800 ราย โดยอดีตประธานองค์กรตรวจสอบและควบคุมของรัฐบาลกลางผู้หนึ่งประเมินว่า การฉ้อโกงจริง ๆ นั้นมูลค่าที่แท้จริงอยู่ที่ระหว่าง 10,000-17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยไม่รวมเอารายได้ที่ไม่มีจริง ๆ ที่บันทึกใส่บัญชีของลูกค้า ซึ่งทำให้ธุรกิจของแมดอฟฟ์เป็นการฉ้อโกงแบบพอนซี่ (แชร์ลูกโซ่) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์  และเป็นการฉ้อโกงต่อนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุด ที่ทำโดยบุคคลคนเดียวอีกด้วย

แมดอฟฟ์จัดตั้งบริษัทในปี 1960 โดยเริ่มต้นด้วยการเป็นบริษัทขายหุ้นราคาถูก (penny stock) มีเงินทุนตั้งต้นเพียงแค่ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ได้มาจากการทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ที่คอยช่วยชีวิตคนตกน้ำ และคนติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำ ให้กับรัฐ 

บริษัทของเขาเริ่มเติบโตด้วยความช่วยเหลือจากพ่อตาของเขา นักบัญชีชื่อดังอย่าง ซาอูล อัลเพิร์น ซึ่งแนะนำเพื่อนและญาติให้ทำธุรกิจกับแมดอฟฟ์  โดยจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือ บริษัทเขาเริ่มใช้เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ที่ก้าวหน้าในการแจ้งราคาให้กับลูกค้า ซึ่งการใช้เทคโนโลยีนี่เองเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บริษัทช่วยพัฒนาได้กลายเป็นตลาดแนสแด็ก อย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน ซึ่ง ณ จุดหนึ่ง Madoff Securities นั้นเป็น ผู้ซื้อและขายที่ใหญ่สุดที่ในตลาดแนสแด็ก

Bernard Madoff ที่กิจการกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
Bernard Madoff ที่กิจการกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

สำหรับวิธีการขายของแมดอฟฟ์ก็คือการอ้างกลยุทธ์การลงทุนที่อาศัยการซื้อหุ้นบลูชิป และซื้อสัญญาการค้าขายอนาคต ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า split-strike conversion ดังที่เขาได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร ฟอบส์ ในปี 2009 

นอกจากนั้นแล้ว เขายังได้ให้สัมภาษณ์กับ เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ว่า ในช่วงปี 1970 เขาได้กำไรจากการซื้อและขายในต่างตลาด ณ เวลาเดียวกัน ซึ่งส่วนมากเป็นหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ (large-cap) โดยหวังผลกำไรได้ในระหว่าง 18%-20% 

และเขาได้เริ่มใช้สัญญาเพื่อซื้อขายในอนาคตตามดัชนีหุ้น และได้ซื้อสัญญาเพื่อจะขายหุ้นในราคาที่แน่นอน (put option) ในช่วงเหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทตกต่ำในปี 1997 

แต่ว่า นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งที่ตรวจสอบวิธีการของแมดอฟฟ์ ไม่สามารถที่จะเลียนแบบแล้วได้ผลตามที่แมดอฟฟ์กล่าวอ้าง โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังของราคาหุ้นและราคาสัญญาซื้อขายในอนาคตของดัชนีหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าวมาเปรียบเทียบ

ซึ่ง แทนที่จะให้ผลกำไรสูงสำหรับผู้เข้าร่วมลงทุนทุกคน แมดอฟฟ์ให้ผลกำไร พอสมควรแต่มีความสม่ำเสมอต่อลูกค้าที่เขาเลือกสรรมาอย่างดีแล้ว โดยอ้างว่า วิธีการลงทุน “ซับซ้อนเกินกว่าที่คนนอกจะเข้าใจได้” เขาเก็บความลับเกี่ยวกับทั้งวิธีการลงทุน และงบการเงินของบริษัทไว้แต่เพียงผู้เดียว

เมดอฟฟ์เป็นคนเก่งมากในการวางแผนการตลาดของโปรแกรมการลงทุนของเขา โดยที่กองทุนของเขาถือว่าจำกัดเฉพาะแก่ลูกค้าบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่าต้องการจริง ๆ 

ซึ่งโดยทั่วไปมักจะปฏิเสธที่จะพบกับผู้ลงทุนโดยตรง ทำให้ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจที่จะลงทุนกับเขา นักลงทุนบางท่านไม่กล้าที่จะถอนเงินออกจากกองทุน เพราะกลัวว่าจะกลับเข้าไปเหมือนเก่าไม่ได้ในภายหลัง

อัตราผลตอบแทนของแมดอฟฟ์นั้นมีความสม่ำเสมออย่างไม่น่าเชื่อ โดยอยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การฉ้อโกงดังกล่าวสามารถอยู่ต่อไปได้ เพราะธุรกิจพอนซี (แชร์ลูกโซ่) โดยมากให้ผลกำไรถึง 20% หรือมากกว่านั้น จึงทำให้ล้มเร็ว อย่างที่เราได้เห็นในกรณีของแชร์แม่มณี ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 93% ต่อเดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ ที่คนหลงเชื่อเข้าไปลงทุนได้มากมายขนาดนี้

ธุรกิจพอนซี หรือ แชร์ลูกโซ่ที่บ้านเรารู้จักกันดีนั่นเอง
ธุรกิจพอนซี หรือ แชร์ลูกโซ่ที่บ้านเรารู้จักกันดีนั่นเอง

ธุรกิจเริ่มประสบปัญหาในเดือนธันวาคมปี 2008 เมื่อตลาดหลักทรัพย์ตกลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อตลาดตกลงเรื่อย ๆ ผู้ลงทุนได้พยามยามถอนเงิน 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัท และเพื่อที่จะจ่ายให้ลูกค้าเหล่านั้น แมดอฟฟ์ก็จะต้องหาเงินเพิ่มจากนักลงทุนอื่น ๆ และแม้ว่าจะยังมีนักลงทุนเป็นจำนวนมากที่เชื่อว่าแมดอฟฟ์ยังดำเนินการได้ดีอยู่ แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับการถอนเงินจำนวนมากพร้อม ๆ กันมากมายขนาดนี้

ในวันที่ 10 ธันวาคม 2008 แมดอฟฟ์ได้ทำการพยายามส่งเงินก้อนสุดท้ายผ่านลูกชาย มาร์กและแอนดรู ให้จ่ายเงินโบนัส 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,024 ล้านบาท) แก่พนักงานกลุ่มสุดท้ายของเขา ซึ่งตอนนั้นบริษัทเหลือเงินสด 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7,087 ล้านบาท) ที่เหลืออยู่เป็นก้อนสุดท้าย 

โดยทั้ง มาร์กและแอนดรู ลูกชายของแมดอฟฟ์ ซึ่งยังไม่รู้ถึงการล้มละลายของบริษัทที่กำลังใกล้เข้ามาเต็มที ได้คุยเรื่องนี้กับบิดาของตน โดยได้ถามว่าเขาจะจ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างได้อย่างไรถ้าไม่สามารถจ่ายผู้ลงทุนได้ แมดอฟฟ์จึงยอมรับในที่สุดว่า เขาได้ดำเนินการถึงที่สุดแล้ว และแผนบริหารหลักทรัพย์ของบริษัทความจริงก็คือธุรกิจพอนซี่ (แชร์ลูกโซ่) ดังที่เขาได้กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่เขาคิดเพียงคนเดียวเท่านั้น” มาร์กและแอนดรู จึงได้รายงานการพูดคุยนี้ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นการปิดฉาก การลงทุนแบบพอนซี่ (แชร์ลูกโซ่) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

References :
http://www.wsj.com/
http://www.nytimes.com/ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%8C
https://www.incimages.com/uploaded_files/image/970×450/bernie-madoff-police-1940x900_35532.jpg


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube