Exoskeleton กับการช่วยชายอัมพาตให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง

ชายชาวฝรั่งเศษที่เป็นอัมพาตได้ฟื้นความสามารถในการเดิน ด้วยความช่วยเหลือของหุ่นยนต์ ที่ควบคุมด้วยจิตใจของเขา ซึ่งเทคโนโลยีใหม่นี้ แตกต่างจากเทคโนโลยีอื่น ๆ

โดยหุ่นยนต์ควบคุมจิตใจที่สุดล้ำตัวนี้ ใช้ขั้วไฟฟ้าที่ปลูกฝังเหนือเยื่อหุ้มชั้นนอกของสมองโดยไม่ได้ทำการผ่านตัดเข้าไปอยู่ในสมองของผู้ป่วยแต่อย่างใด นั่นสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและอุปสรรคอื่น ๆ ที่เป็นตัวขัดขวางความสำเร็จของหุ่นยนต์ที่ควบคุมจิตใจ

ในการศึกษาของมหาวิทยาลัย Grenoble Alpes ในประเทศฝรั่งเศส ผู้ป่วยที่มีชื่อว่า Thibault ที่มีอาการอัมพาตไม่สามารถเดินได้นั้น ถูกใช้แผ่นดิสก์ขนาดห้าเซ็นติเมตร ฝังในเนื้อเยี่อหัวของกะโหลกศีรษะของเขา โดยจะถูกแทนที่ด้วยเซ็นเซอร์สมองแต่ละอันที่มีขั้วไฟฟ้าจำนวน 64 เส้น 

นักวิจัยทำแผนที่สมองของ Thibault เพื่อกำหนดว่าบริเวณใดที่จะใช้งานได้ เมื่อเขาเริ่มใช้ความคิดเกี่ยวกับการเดินหรือการขยับแขนหรือขา และใช้แผนที่เหล่านั้นเพื่อฝึกระบบให้สามารถทำตามได้ 

โดยการฝึกฝนครั้งแรกของ Thibault เขาทำการจินตนาการถึงการเดินและการเคลื่อนไหวผ่านอวาตาร์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ จากนั้นเขาถูกมัดไว้กับชุด Suit ที่ถูกเรียกว่า Exoskeleton ที่มีน้ำหนัก 65 กิโลกรัมและใช้มันช่วยเหลือในการเดินได้สำเร็จ

แม้ตอนนี้ระบบจะยังไม่สมบูรณ์แบบ  แต่เนื่องจากตัวขั้วไฟฟ้านั้นไม่ได้ถูกฝังในสมองโดยตรง พวกเขาจึงมีความเสี่ยงลดลงจากการติดเชื้อในสมอง การทดลองก่อนหน้าซึ่งวางขั้วไฟฟ้าในสมองจะหยุดทำงานเมื่อเซลล์ที่สร้างขึ้นรอบขั้วไฟฟ้าเกิดปัญหา 

นักวิจัยยังไม่คาดหวังว่าจะนำไปใช้งานจริง ๆ ในเร็ว ๆ นี้ และการทดสอบของ Thibault ยังคงต้องทำต่อไปอีก 27 เดือน นักวิจัยกล่าวว่าระบบนี้สามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและด้วยเทคโนโลยีที่ลดขนาดลง อย่างที่เราเห็นใน exosuits อื่น ๆ ซึ่งในที่สุดมันอาจจะช่วยเหลือผู้ป่วยอัมพาตเหล่านี้ให้เห็นช่องทางให้พวกเขาสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งนั่นเองในอนาคตอันใกล้นี้

References : https://www.engadget.com

Movie Review: Joker (โจ๊กเกอร์)

Joker (โจ๊กเกอร์) ตอนนี้ได้ถือว่าเป็นหนังที่เป็นกระแสในโลกออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง สำหรับความ ดาร์ค ของหนังที่เรียกได้ว่า แฟนๆ ของหนังเครือ DC ไม่ควรพลาดที่จะชมเป็นอย่างยิ่ง และแน่นอนว่า โดยส่วนตัวระหว่างหนัง Marvel กับ DC นั้น ผมก็ชอบหนังของ DC มากกว่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

Joker นั้นได้กลายเป็นตำนานของการแสดงที่ดาราชื่อดังอย่าง Heath Ledger ที่ได้ฝากผลงานสุดคลาสสิกไว้ในหนังที่ผมชอบที่สุดเรื่องนึงอย่าง Batman The Dark Knight ที่เข้าถึงบทบาทของตัวร้ายโรคจิตอย่าง Joker ที่เราไม่สามารถหาได้จากตัวร้ายอื่น ๆ ใน Hollywood

สำหรับภาคใหม่ที่ให้ Joker เป็นตัวนำ ผลงานซึ่งได้เป็นเรื่องราวจุดเริ่มต้นของ “Joker” จากผู้กำกับฯ ทอดด์ ฟิลลิปส์ ที่จะพาไปรู้จักกับโลกของอาร์เธอร์ เฟลค โดยมีการถ่ายทอดการแสดงไว้อย่างน่าประทับใจโดยวาคิน ฟีนิกซ์

อาร์เธอร์เป็นชายคนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายทารุณและสังคมที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม เขาต้องเผชิญกับความอ้างว้างจนเปลี่ยนเขาจากที่เป็นคนอ่อนแอกลายเป็นคนโหดเหี้ยม เขารับจ้างแต่งชุดตัวตลกรายวัน

จนกระทั่งคืนหนึ่งที่เขาพยายามจะแสดงตลกเดี่ยว แต่กลับพบว่าตัวเองต่างหากที่เป็นเรื่องตลก เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาที่มีผู้คนอยู่รายล้อม ซึ่งเห็นได้จากเสียงหัวเราะที่ควบคุมไม่ได้และดูไม่เหมาะสม ยิ่งเขาพยายามควบคุมเท่าไหร่มันก็ยิ่งแสดงออกมามากขึ้น จนทำให้เขาแสดงความเยาะเย้ยและความรุนแรงออกมา

อาร์เธอร์ทุ่มเทเวลาไปกับการดูแลแม่ที่ไม่ค่อยแข็งแรง และไขว่คว้าตามหาคนที่เหมาะจะเป็นพ่อซึ่งเขาไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่นักธุรกิจมหาเศรษฐี โธมัส เวย์น ไปจนถึงพิธีกรรายการทีวีเมอร์เรย์ แฟรงค์ลิน เขาพบว่าตัวเองอยู่ปลายทางระหว่างโลกแห่งความจริงกับความบ้าคลั่ง การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวกลายเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้น

และสิ่งที่เราจะได้เห็นตลอดในหนังเรื่องนี้คือการหัวเราะของ Joker ที่เขาไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ ซึ่งเสียงหัวเราะที่ไม่สามารถควบคุมได้ของอาเธอร์เกิดขึ้นอาการทางการแพทย์

ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการล่วงละเมิดในวัยเด็ก รวมถึงความแปลกแยกของเขายังเกิดขึ้นจากความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม, การทุจริตทางการเมือง, โทรทัศน์, ระบบราชการของรัฐบาลและสาเหตุอื่น ๆ คนร่ำรวยก็รวยเหลือเกิน คนที่น่าสงสารแย่มาก มันทำให้สุดท้ายการทำให้เกิดความยอมรับความชั่วร้ายของ Joker และได้ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ในที่สุดนั่นเอง

และแน่นอนว่าด้วยความดาร์ค ของหนังนั้น มันทำให้เราหลอนไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ Joker เรื่องนี้เป็นหนังเฉพาะกลุ่มจริง ๆ เพราะคุณจะตกไปกับพวังในโลกที่ Joker สร้างมา มันดูเลวร้าย มันดูสะท้อนสังคมหลาย ๆ แห่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกมนุษย์เรา แต่มันก็มีแต่มุมมองด้านลบเพียงเท่านั้น

แม้ภาพยนตร์จะสร้างความสนใจของคุณด้วยฉาก และ การถ่ายทอดเมือง Gotham ยุคเสื่อมทราม เต็มไปด้วยความวุ่ยวาย และดูหดหู่ ที่ดูมีความสมจริง ตัว Joker เองที่เรียกว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านทุนนิยม รวมไปถึงการต่อต้านที่เต็มไปด้วยผู้ประท้วงแต่งตัวเป็นตัวตลก การเกิดขึ้นของอาชญากรที่มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง และความโหดในการเป็นฆาตกรต่อเนื่องของ Joker ที่ถ่ายทอดความโรคจิตของเขาออกมาได้อย่างดี

แต่โดยส่วนตัวแล้วนั้น ถ้าเทียบกับหนังขึ้นหิ้งอย่าง The Dark Night แล้วนั้น ผมก็ยังมองว่า ผลงาน Joker ของ Heath Ledger นั้นยังแสดงได้ดีกว่า วาคิน ฟีนิกซ์ อยู่ เพราะหลังดูจบเรื่องนี้ ผมก็ได้กลับมาดู The Dark Night ทันที เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจน

ซึ่งเอาจริง ๆ บางซีน Joker มันก็ดูล้น over acting เกินไป ที่ความโรคจิตมันดูล้น ๆ ยังไงชอบกล ซึ่งบางฉากมันทำให้ดูไม่สมจริงเอามาก ๆ มันดูไม่ make sense ซักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับผลงานแสดงของ Heath Ledger ที่ทำไว้ได้อย่าง Perfect เป็นอย่างมากใน The Dark Night

ผมมองว่า วาคิน ฟีนิกซ์ รู้ว่าตัวเองจะต้องถูกเอาไปเปรียบเทียบกับ Heath Ledger จึงต้องการที่จะแสดงให้มันมีพลังมากกว่า แต่กลายเป็นว่าพลังที่เขาแสดงออกมานั้น มันดูล้นเกินจริง ที่ทำให้ Joker ลดมนสเน่ห์ลงไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตามผมก็คิดว่าสุดท้ายเขาก็ยังจะได้รางวัลติดมือกับผลงานการแสดงในครั้งนี้ แต่ถ้าถามว่าเป็นผลงาน Joker ที่ดีที่สุดหรือไม่นั้น โดยส่วนตัวผมคิดว่า ยังไงผมก็ยังชอบผลงานของ Hath Ledger มากกว่าอยู่ดีนั่นเองครับ (ความเห็นส่วนตัวนะครับ)

สรุป 

แม้จะไม่ใช่เป็น Joker ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นหนังที่ทำออกมาได้ดีที่สุดในปีนี้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามต้องใช้วิจารณญานในการชมหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ให้มองมันเป็นแค่ภาพยนตร์แล้วเรามีความสุขกับมันก็เพียงพอครับ มันจึงเป็นหนังในที่ดีที่สุดในรอบปีนี้ ไม่ควรที่จะพลาดชมเป็นอย่างยิ่งครับผม

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

หุ่นยนต์ใหม่ของ Toyota กับการเป็นผู้ช่วยดูแลบ้านของคุณ

หุ่นยนต์ในบ้านสามารถทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือพวกมันยังสามารถให้ผู้สูงอายุมีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่การฝึกอบรมหุ่นยนต์เพื่อใช้งานในบ้านเป็นเรื่องยากเพราะบ้านแต่ละหลังนั้นมีเอกลักษณ์และเต็มไปด้วยวัตถุมากมายในรูปแบบและการผสมผสานที่แตกต่างกัน 

สถาบันวิจัยโตโยต้า ( TRI ) อาจมีวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้ : โดยการใช้เทคโนโลยี Virtual Reality เพื่อเปลี่ยนวิธีการฝึกอบรมหุ่นยนต์เหล่านี้

ระบบการฝึกอบรม VR ช่วยให้ครูมนุษย์เห็นสิ่งที่หุ่นยนต์เห็นในรูปแบบ 3 มิติจากเซ็นเซอร์ ครูสามารถสั่งการหุ่นยนต์ และใส่คำอธิบายประกอบในรูปแบบฉาก 3 มิติ เช่นการเพิ่มโน้ตเกี่ยวกับวิธีการจับที่จับ 

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผู้ฝึกสอนมนุษย์สามารถสอนหุ่นยนต์ให้ทำงานด้วยความหลากหลายของวัตถุแทนที่จะเป็นงานเฉพาะอย่างที่พวกเขาเคยทำในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้มากกว่า

ระบบ TRI ช่วยให้หุ่นยนต์ที่จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น พวกเขาไม่ต้องการแผนที่บ้านทั้งหมด แต่พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่กำลังทำอยู่ และต้องขอบคุณการเรียนรู้อย่างรวดเร็วของมัน เมื่อหุ่นยนต์ตัวหนึ่งได้รับการฝึกฝนในงานแต่ละงานที่มนุษย์สอน

แม้ระบบยังไม่สมบูรณ์แบบนัก ในวิดีโอของ บริษัท TRI เตือนผู้ชมว่าหุ่นยนต์ดังกล่าวเป็นการสร้างต้นแบบการวิจัยไม่ใช่แนวคิดผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตามระบบที่ใช้ VR สามารถเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของหุ่นยนต์และวิธีการที่เราสามารถใช้พวกมันในการตั้งค่าที่แตกต่างกันได้นั่นเอง

References : https://www.engadget.com