PayPal Wars ตอนที่ 5 : The Producers

JUNE—JULY 2000

Elon Musk เริ่มงานแรกของเขาทันที หลังจากเข้ามาดูแลทั้งสองบริษัทในฐานะ CEO แบบเต็มตัว สิ่งที่เขาโฟกัสเป็นอันดับแรกคือ ทีมที่ดูแลด้านผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่ง Musk นั้นได้ให้ David Sacks เข้ามาดูแลในส่วนนี้

ในการประชุมร่วมครั้งแรกในฐานะ CEO ของ Musk เขาได้วางกลยุทธ์ในการจัดตั้งทีมที่ดูแลด้านผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นมาใหม่ และทำการกระจายอำนาจการตัดสินใจให้มากที่สุด ซึ่ง Musk นั้นมองว่า สองสามเดือนที่ผ่านมา ทุกคนต่างพูดคุยเกี่ยวการที่จะทำสิ่งต่าง ๆ แต่ไม่มีอะไรที่ทำจริง ๆ ขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ

David Sacks ต้องการสร้างพลังใหม่ให้เกิดขึ้นกับทีมที่ดูแลด้านผลิตภัณฑ์นี้ ความวุ่นวานหลังจากการควบรวมกิจการ ทำให้การทำงานของสองบริษัทกลายเป็นอัมพาต การกำหนดเป้าหมายร่วมกันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และผู้บริหารพร้อมที่จะสนับสนุนทุกอย่างแบบเต็มที่

ในส่วนของการหารายได้นั้น Musk และ Sacks มุ่งเน้นไปที่การลดอัตราการเผาเงิน ซึ่งตอนนั้นติดลบสูงถึงไตรมาสละ 10 ล้านเหรียญ โดยการหาวิธีสร้างรายได้จากการทำธุรกรรมของ PayPal เปลี่ยนโมเดลจากเดิมที่ Harris วางให้บริการทั้งสองนั้นมุ่งเน้นที่การเติบโต และทำกำไรให้น้อยที่สุด ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ครั้งสำคัญของ Musk

วิธีการแรกคือการลดอัตราการชำระด้วยบัตรเครดิตของลูกค้าลง เพราะต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมให้กับสมาคมบัตรเครดิตจำนวนมหาศาล โดยการโน้นน้าวใจให้ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เลือกที่จะฝากเงินในบัญชีของตนเองแทน ซึ่งจะลดค่าธรรมเนียมที่ X.com ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมประมาณ 2% ให้กับ Visa หรือ MasterCard ทุกครั้งที่มีการใช้งานบน PayPal

สำหรับแหล่งทดแทนแหล่งแรก ก็คือ การหักบัญชีแบบอัตโนมัติ (ACH) ซึ่งมีค่าธรรมเนียมต่อรายการเพียงไม่กี่เซ็นต์ แต่ปัญหาคือ ACH อาจจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะเคลียร์เงินได้และเสี่ยงจะถูกตีกลับ

แต่แนวคิดของ Musk คือการขยายเครดิตใหักับลูกค้าที่เลือกใช้งาน ACH แทนการชำระผ่านบัตรเครดิต ซึ่ง X.com จะรับความเสี่ยงไว้เองหากผู้ใช้มีเงินไม่เพียงพอในบัญชีธนาคารของพวกเขา แต่แลกกับความรวดเร็วที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง และสั่งให้ทีมผลิตภัณฑ์ลุยทันที

และอีกปัญหาหนึ่งหลังจากการควบรวมก็คือ ควรจะใช้ Brand ไหนเป็นหลักกันแน่ระหว่าง X.com หรือ PayPal ซึ่งแน่นอนว่า Musk ที่สร้าง X.com มากับมือย่อมอยากให้ X.com นั้นเป็นแบรนด์หลักของผลิตภัณฑ์ หลังจากการควบรวม

แต่ดูเหมือนสถานการณ์ในขณะนั้น ความคุ้นเคยของผู้บริโภคนั้นมีต่อแบรนด์ PayPal มากกว่าอย่าเห็นได้ชัด สิ้นเดือนมิถุนายน มีบัญชี PayPal ในระบบถึง 2.1 ล้านบัญชี และที่สำคัญที่สุด PayPal ได้กลายเป็นคำสามัญในการประมูลใน ebay เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แม้ Musk พยายามที่จะเปลี่ยน logo ใหม่ของ PayPal โดยเปลี่ยนจาก “PayPal ของ X.com” ไปเป็น X คำเดียวเท่านั้น แต่ดูเหมือนเหล่าพนักงานทีมผลิตภัณฑ์จะพยายามคัดค้านการกระทำของ Musk เพราะตอนนี้ PayPal มันได้กลายเป็นแบรนด์ติดตลาดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การจะเปลี่ยนกลับมาเป็น X จะมีแต่สูญเสียต่อบริษัทในระยะยาว

Elon Musk ดูเหมือนจะปลื้ม X.com มากกว่า
Elon Musk ดูเหมือนจะปลื้ม X.com มากกว่า

ฟากฝั่ง ebay นั้นก็พยายามเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง Meg Whitman ประกาศเข้าซื้อกิจการ Half.com เว๊บไซต์ที่อนุญาติให้ผู้ขายรายบุคคลนั้นสามารถที่จะแสดงรายการสินค้าที่ผลิตจำนวนมากเช่น หนังสือ วีซีดี หรือ วีดีโอ ในราคาคงที่ได้อย่างง่ายดายซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากใน ebay

และ ที่ half.com นั้นก็ไม่อนุญาติให้ PayPal เข้ามาสร้างบริการชำระเงินในบริการของพวกเขา เพราะ ebay ควบคุมแพลตฟอร์มทั้งหมด half.com รับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตโดยตรงจากผู้ซื้อและแจ้งผู้ขายให้จัดส่งสินค้า ซึ่งผู้ขายจะได้รับเช็คจาก half.com แทน ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ PayPal เข้ามาเจาะตลาดในส่วนนี้ได้อีก

ส่วน billpoint นั้นดูเหมือนจะไม่สามารถสร้างการเติบโตได้ใน ebay เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่เลือกใช้งาน PayPal มากกว่าอย่างชัดเจน ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ billpoint เปิดตัวนั้น มีส่วนแบ่งในการชำระเงินเพียงแค่ 8-9% เท่านั้น ในขณะที่ PayPal กำลังยึดครองส่วนแบ่งทางการตลาดต่อเนื่องและพุ่งขึ้นไปสูงถึง 40% แล้วในขณะนั้น

ebay ซื้อ half.com มาเสริมทัพ
ebay ซื้อ half.com มาเสริมทัพ

ทีมผลิตภัณฑ์ ของ X.com ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่คือ “X.com Verified” เป็นรูปแบบพิเศษสำหรับผู้ขาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ ลูกค้าเริ่มใช้ PayPal เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการส่งชำระเงิน PayPal เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในกระบวนการทางธุรกิจของผู้ขาย มันทำให้ความสัมพันธ์มีความแนบแน่นขึ้นระหว่าง PayPal และผู้ใช้งานทุก ๆ ส่วน เพราะพวกเขาไว้ใจที่จะใช้ PayPal มากขึ้นนั่นเอง

ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน ทีมผลิตภัณฑ์ได้ปลดปล่อยฟีเจอร์ใหม่ ๆ ในเรื่องค่าธรรมเนียมและการทำธุรกิจให้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้นต่อลูกค้า รวมถึงลดต้นทุนของค่าใช้จ่ายทางด้านการเงินลงไปได้เป็นจำนวนมหาศาล

ความคิดเห็นของลูกค้าก็ส่งมาในทางบวกมากยิ่งขึ้น หลังจากปัญหาต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย มันได้ทำให้ X.com และ PayPal นั้นกลายเป็นผู้นำที่ชัดเจนมายิ่งขึ้นในบริการชำระเงินออนไลน์ และที่สำคัญมันส่งผลต่อขวัญกำลังใจและความเชื่อมั่นของพนักงานมากยิ่งขึ้น

นั่นแสดงให้เห็นถึง การเปลี่ยนแปลง CEO จาก Bill Harris มาเป็น Elon Musk นั้นทำให้สถานการณ์ของบริษัทดีขึ้นอย่างชัดเจนภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้ง Musk และทีมงานของพวกเขาที่จะพาบริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในบริการทางการเงินของอเมริกาอีกต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับเหล่ายอดอัจฉริยะที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกทางการเงินกลุ่มนี้ โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

-> อ่านตอนที่ 6 : Revolution – PayPal 2.0

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : The New Recruit *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Xerox พลาดอย่างไรในยุค Digital Revolution

หลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อของ Bell Labs และวิธีการที่ Bell Labs ปฏิวัติโลก โดย Bell Labs เป็นสถานที่ที่คนฉลาด ๆ บางคนรวมตัวกันและคิดค้นสิ่งต่าง ๆ เช่น ทรานซิสเตอร์เลเซอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ภาษาซี รวมถึงสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายที่เปลี่ยนแปลงโลก

ด้วยผลงานการันตีคุณภาพด้วย รางวัลโนเบล 8 รางวัล มอบให้แก่ผู้ที่ทำงานที่นี่ Bell Labs จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 แต่มันไม่ได้เป็นเพียงสถานที่เดียวที่มีการวิจัยเทคโนโลยีที่สำคัญ  เมื่อซิลิคอน แวลลีย์ได้เริ่มถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษ 1960

Xerox ได้ตัดสินใจสร้างศูนย์วิจัยในพื้นที่ซิลิกอน วัลเลย์ และมุ่งเน้นการวิจัยด้านคอมพิวเตอร์ พวกเขามีกลุ่มคนฉลาดยอดอัจฉริยะเต็มไปหมด และพวกเขาก็คิดค้นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ทันสมัยอย่างที่เราได้รู้กัน 

พวกเขาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีหน้าจอ คีย์บอร์ด เมาส์ และ GUI ที่เรียกว่า Xerox Alto ซึ่งในปี 1973 ในช่วงเวลาที่ผู้คนยังคงคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเมนเฟรมขนาดใหญ่ในห้องคอมพิวเตอร์ Xerox ได้สร้างเครื่องจักรที่ปฏิวัติวงการอย่างบ้าคลั่งในยุคนั้น และมันทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เปลี่ยนแปลงโลกเราอย่างที่ไม่เคยเป็นมากก่อน

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่พวกเขาทำ พวกเขายังประดิษฐ์วิดีโอเกมแบบ Multi Player เป็นคนแรก โดยใช้เครือข่ายเน็ตเวิร์ก รวมถึงซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ (Word Processing) เทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยเลเซอร์  

GUI หรือ Graphic User Interface ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ผลงานจาก Xerox
GUI หรือ Graphic User Interface ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ผลงานจาก Xerox

ที่สำคัญพวกเขายังคิดค้นการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุผ่านภาษา Smalltalk สิ่งนี้ทำให้โปรแกรมเมอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเขียนโปรแกรมที่สามารถขยายได้อย่างง่ายดายและจำลองโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งภาษาทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ที่ใช้ในปัจจุบันยังคงใช้พื้นฐานหลักของโปรแกรมเชิงวัตถุที่ Xerox ได้ทำการสร้างไว้มาจวบจนถึงปัจจุบัน

พวกเขายังมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งอินเทอร์เน็ต พวกเขาคิดค้นเครือข่ายอีเธอร์เน็ต ซึ่งถูกใช้อย่างกว้างขวางโดย Workstation ของ DARPA ซึ่งแน่นอนว่า Xerox มีส่วนร่วมในการช่วยคิดค้นอินเทอร์เน็ต และในปัจจุบันเรายังคงใช้สายเคเบิลอีเธอร์เน็ตในวันนี้เพื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่นั่นเอง

แล้วเกิดอะไรขึ้น? ทำไม Xerox จึงไม่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อสร้างรายได้และครอบครองอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ปัญหาใหญ่ก็คือเหล่า ผู้บริหารระดับสูง ในนิวยอร์กไม่สนใจเรื่องคอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ 

ตอนนั้นพวกเขามุ่งเน้นไปที่เครื่องถ่ายเอกสารซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ Xerox ในเวลานั้น สิ่งนี้เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางความพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่พัฒนาโดย PARC ของ Xerox เอง  ซึ่ง Xerox ได้ใช้ความพยายามอย่างเดียวในการหารายได้จากงานวิจัยเหล่านี้ โดยในปี 1981 กับเครื่อง Xerox Star แต่มันก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด

Xerox Star ที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด
Xerox Star ที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ พวกเขาปล่อยให้สตีฟ จ็อบส์และบิล เกตส์ เข้าไปในสถาบันวิจัยของพวกเขาเพื่อดูสิ่งที่เป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมทั้งหมดที่พวกเขามี 

คงไม่กล่าวเกินเลยไปนักที่จะบอกว่า Xerox ได้มอบเทคโนโลยีทั้งหมดให้กับ Bill Gates และ Steve Jobs ซึ่งทั้งสองต่างประหลาดใจกับความอัจฉริยะของเหล่านักวิจัยของ Xerox ที่คิดค้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา

จ๊อบส์ ชอบ GUI และ เม้าส์จริงๆ ส่วน เกตส์ นั้นชอบทุกอย่าง เพราะมันเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ แทบจะทั้งสิ้นที่คิดค้นโดยเหล่าอัจฉริยะ จนทำให้ Apple ตัดสินใจสร้าง Macintosh ตามนวัตกรรมที่พวกเขาสังเกตเห็น

ส่วน Microsoft เปิดตัว Microsoft Word ซึ่งได้ใช้ตัวแก้ไขข้อความที่ PARC พัฒนาขึ้น และ Windows ก็ตามมาในปี 1985 ทั้งสอง บริษัท ประสบความสำเร็จอย่างน่าขัน บิลล์เกตส์ และสตีฟ จ็อบส์กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน และนำพาบริษัท Apple และ Microsoft ขึ้นสู่จุดสูงสุดของบริษัททางด้านเทคโนโลยี

ซึ่งแน่นอนว่าความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาทั้งสอง ก็คือ การจดจำเอานวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่พวกเขาเห็นที่ Xerox และมันดูเหมือนการขโมย และไปสร้างขึ้นและนำไปขายในเชิงพาณิชย์ 

แต่เนื่องจากความล้มเหลวของการจัดการของ Xerox เพื่อมาดูแลเหล่านวัตกรรมชั้นยอดที่เป็นผลงานของ PARC ซึ่งถึงตอนนี้นี้ เราได้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน Microsoft และ Apple ที่ได้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ๋ที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ภาพของ Xerox ยังคงเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารอย่างง่าย ๆ อยู่เหมือนเดิม เปรียบดังที่ สตีฟ จ็อบส์ เคยกล่าวไว้ว่า “good artists copy; great artists steal “ นั่นเอง

References : https:// https://www.theodysseyonline.com/xerox-bad-decisions-hurt

Movie Review : Official Secrets รัฐบาลซ่อนเงื่อน

ต้องบอกว่าเป็นหนังที่ผมสนใจมาตั้งแต่ได้มีโอกาสดูตัวอย่างในโรงมาก่อนหน้านี้แล้วสำหรับ Official Secrets รัฐบาลซ่อนเงื่อน ที่ได้นักแสดงมากความสามารถอย่าง เคียร่า ไนต์ลีย์ มารับบทนำ ผู้ที่กำลังท้าทายกับรัฐบาล ด้วยการแฉ เรื่องของความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้นกับการที่จะนำพาประเทศอังกฤษเข้าสู่สงครามอิรัก

ถ้าถามว่าหนังเรื่องนี้สไตล์คล้าย ๆ เรื่องใด ก็ต้องบอกว่ามันดูคล้ายกับหนังรางวัลอย่าง Spotlight ที่เข้าฉายในปี 2015 ซึ่งต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในหนังที่น่าประทับพอสมควร กับหนังสไตล์นี้

สำหรับหนังเรื่องนี้ ได้ถ่ายทอดเรื่องจริงที่เกิดขึ้นของการเปิดโปงความลับรัฐบาลที่ฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเป็นผลงานการกำกับเรื่องใหม่จาก ‘กาวิน ฮู้ด’ แห่ง Eye in the Sky พร้อมทัพนักแสดง ‘เคียร่า ไนท์ลี่ย์, แมทท์ สมิธ, แมทธิว กู้ด และ เรล์ฟ ไฟนส์’

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 2003 ยุคที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษหาทางก่อสงครามอิรัก แคทธารีน กัน (เคียร่า ไนท์ลี่ย์) ที่เธอเป็นเจ้าหน้าที่ใน “สำนักงานใหญ่การสื่อสารของรัฐบาล” Government Communications Headquarters (GCHQ) ด้วยเหตุที่เธอเชี่ยวชาญภาษาจีนกลางจึงได้ทำหน้าที่ถอดเทป แปลภาษาจีน ดักฟังบทสนทนาและอีเมลในภาษาจีน สอดส่องเนื้อความที่อาจเป็นภัยต่อสหราชอาณาจักร

แต่เธอกลับได้รับอีเมลเป็นเอกสารลับที่เผยว่าทางการสหรัฐฯกำลังสอดแนมสมาชิกคณะมนตรีความมั่งคงแห่งสหประชาติเพื่อบีบบังคับสมาชิกให้ยินยอมการทำสงครามอิรัก . แคทธารีนได้ส่งสำเนาเอกสารให้ มาร์ติน ไบรท์ (แมทท์ สมิธ) นักข่าวของ The Observer เพื่อตีพิมพ์ บทความดังกล่าวได้สร้างแรงสะเทือนทั่วเกาะอังกฤษ

และนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่กำลังส่งผลกระทบให้ชีวิตของแคทธารีน ตกอยู่ในอันตรายเมื่อเธอถูกตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายความลับราชการ และ กำลังถูกตามล่าโดยรัฐบาลของเธอนั่นเอง

ต้องบอกว่า เรื่องราวของ แคทธารีน กัน นั้น เป็นเรื่องราวที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักมากนัก ทั้งที่เธอทำในเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก และสู้กับ กลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกในขณะนั้น ซึ่งก็คือ ความเป็นพันธมิตรระหว่าง อเมริกา กับ อังกฤษ ที่ตอนนั้นมุ่งมั่นที่จะบุกอิรักแบบเต็มที่

ซึ่งเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ ซึ่งสุดท้ายเมื่อเรื่องราวต่าง ๆ มันได้ให้ความกระจ่างกับโลกเราแล้ว ในการบุกอิรักครั้งนั้นของอเมริกาและพันธมิตร เพราะสุดท้ายก็แทบจะไม่เจออาวุธ ชีวภาพ ร้ายแรง ต่าง ๆ อย่างที่ ทั้ง โทนี่ แบลร์ และ จอร์จ บุช ที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้นกล่าวอ้างเลยด้วยซ้ำ แถมปัญหาในอิรักยังคาราคาซังมาจวบจนถึงปัจจุบันอย่างที่เราได้เห็นในข่าวต่างประเทศมาตลอด

สำหรับ สิ่งที่ประทับใจที่สุดของหนังเรื่องนี้ น่าจะเป็นการแสดงของ เคียร่า ไนท์ลี่ย์ เธอแสดงได้ยอดเยี่ยม ซึ่งความมุ่งมั่นที่แสดงออกมาบนใบหน้าของเธอนั้น มันสื่อถึงความปวดร้าวในใจของใครบางคนที่สูญเสียศรัทธาในรัฐบาลของเธอ ซึ่งเธอแสดงได้ดีจริง ๆ

และบทของหนังต้องบอกว่า ค่อนข้างทำได้ดีมาก ๆ ในการถ่ายทอดเรื่องราวเรื่องจริงที่เกิดขึ้นให้กลายมาเป็นบทหนังในเกือบ ๆ 2 ชม. นั้นไม่มีช่วงที่น่าเบื่อเลย มันทำให้เราได้ลุ้นติดตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ แคทเธอรีน และร่วมลุ้นไปกับหนังไปจนจบเรื่อง

ก็ต้องบอกว่า หากใครชอบหนังสไตล์นี้ แนว ๆ เดียวกับ Spotlight นั้น ก็ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง และจะประทับใจกับการแสดงของ เคียร่า ไนท์ลี่ย์ ได้อย่างแน่นอนครับ แนะนำให้ไปดูกันไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ สำหรับหนังเรื่องนี้