ประวัติ Google ตอนที่ 4 : Divide and Conquer

เมื่อ บริน และ เพจ ออกจากสแตนฟอร์ด อย่างเป็นทางการใน ฤดูใบไม้ร่วงปี 1998 พวกเขาก็ได้ก่อตั้ง Google Inc. อย่างเป็นทางการในวันที่ 7 กันยายน ปี 1998 และ ใช้โรงรถในบ้านเช่าหลังหนึ่งที่พวกเขาเช่าใช้เป็นทีทำการบริษัท เฉกเช่นที่บริษัทใหม่ ๆ ในซิลิกอนวัลเลย์ทำเป็นส่วนใหญ่

โปรแกรมค้นหาของพวกเขานั้นเป็นที่รู้จักอยู่แล้วในสแตนฟอร์ด มีการค้นหาผ่าน google ในแต่ละวันราว ๆ 100,000 รายการ ผู้คนต่างหลงรัก google ตั้งแต่แรกพบ ด้วยความเรียบง่าย สะอาด และ ทำงานได้อย่างรวดเร็วของมัน มันเป็นการเติบโตแบบปากต่อปากแทบจะทั้งสิ้น โดยที่พวกเขาแทบจะไม่ต้องเสียเงินโปรโมตอะไรเลยด้วยซ้ำ

เพียงไม่นานก็มีการค้นหากว่า 100,000 ครั้งต่อวัน
เพียงไม่นานก็มีการค้นหากว่า 100,000 ครั้งต่อวัน

บรินและเพจ เริ่มพยายามสร้างวัฒนธรรมการทำงานแบบใหม่ เพื่อดึงดูดคนหนุ่มสาวเข้ามาเปลี่ยนโลกกับเขา ด้วยทุนทรัพย์ที่จำกัดทำให้ไม่สามารถจ่ายค่าจ้างแพง ๆ ได้ แต่พวกเขาได้ สร้างวัฒนธรรมอย่าง การให้หุ้น อาหารและเครื่องดื่มที่ฟรี และ เป้าหมายที่ใหญ่มากของพวกเขาที่จะให้คนทั่วโลกนับล้านได้ใช้งาน google มันก็เป็นแรงดึงดูดสำคัญให้เหล่าคนรุ่นใหม่สนใจจะมาทำงานกับ google มากยิ่งขึ้น

ซึ่งเพจและบริน นั้นคิดอยู่เพียงอย่างเดียวที่จะพัฒนาบริการของเขาให้ดีที่สุด เรื่องการหาเงินนั้นพวกเขายังไม่สนใจใด  ๆด้วยซ้ำในช่วงแรกของการก่อตั้ง Google พวกเขาต้องการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด ซึ่งทำให้มีผู้ใช้งานใหม่ ๆ เข้ามามาก และเพื่อให้มั่นใจในความแม่นยำ ความเร็วในการตอบสนอง ทั้งสองก็ได้ลงทุนสร้างฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เพิ่มด้วยเงินที่่หามาได้แทบจะทั้งหมด

แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Google นั้นมันทำให้เงินจากนักลงทุนหมดลงไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน แม้พวกเขาใช้ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลราคาถูกและได้สร้างซอฟท์แวร์เลียนแบบการทำงานของซุเปอร์คอมพิวเตอร์ขึ้นมาเองเสียด้วยซ้ำ แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วจนการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 500,000 รายต่อวันนั้น มันทำให้แค่เพียงสิ้นปี 1998 เงินลงทุนกว่า 1 ล้านเหรียญทีได้จาก เบ็คโตลส์ไฮม์ รวมถึงเงินส่วนตัวของทั้งสองก็หมดลงไปในที่สุด

และการที่จะได้เงินทุนมหาศาลมาหล่อเลี้ยงธุรกิจตั้งไข่ของพวกเขา ที่ยังไม่มีโมเดลทำเงินที่ชัดเจนนั้น ก็ต้องกระโจนเข้าหาบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Kleiner Perkins Caufield & Byers (KPCB) ของ จอห์น โดเออร์ รวมถึง sequoia capital ของ ไมเคิล โมริตซ์ ซึ่งทั้งสองเป็นนักลงทุนระดับตำนานของ ซิลิกอน วัลเลย์

KPCB ของ จอห์น โดเออร์
KPCB ของ จอห์น โดเออร์

แม้ทั้งสองบริษัทลงทุน ยักษ์ใหญ่ จะมีเหล่าบริษัทสตาร์ทอัพมากมาย มาเสนอให้ลงทุน แต่ดูเหมือนว่า Google จะแตกต่างออกไปจากบริษัทอื่น ๆ บรินและเพจ เดินเข้าไปหาพร้อมเทคโนโลยีการค้นหาที่เหนือกว่าโปรแกรมอื่นที่ทั้ง โดเออร์ และ โมริตซ์ เคยพบเจอมาก่อน

และเอกลักษณ์ที่แตกต่าง ความฉลาดสุด ๆ ของทั้งสอง การมีสายเลือดของสแตนฟอร์ดที่เข้มข้น มีไฟอยู่เต็มเปี่ยม โมริตซ์ เคยรู้จักทั้งคู่ผ่านการลงทุนที่ Yahoo ในช่วงก่อนหน้า ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ต่อยอดเพื่อเสริมบริการของ Yahoo ได้อย่างดีเยี่ยม

ไมเคิล โมริตซ์ แห่ง sequoia capital ต้องการ google มาเสริมธุรกิจที่เคยลงทุนไป
ไมเคิล โมริตซ์ แห่ง sequoia capital ต้องการ google มาเสริมธุรกิจที่เคยลงทุนไป

โมริตซ์มองว่า การมีผู้ตั้งสองคนมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าการมีผู้ก่อตั้งเพียงคนเดียว ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ บิลล์ เกตส์ และ พอล อัลเลน แห่ง Microsoft , สตีฟ จ๊อบส์ และ สตีฟ วอซเนี๊ยก แห่ง apple

ส่วนฟากของจอห์น โดเออร์ นั้นชอบอยู่แล้วในเรื่องการเปลี่ยนแปลงระยะยาวของอินเทอร์เน็ต เขาไม่ซีเรียสในเรื่องการที่ยังไม่มี โมเดลธุรกิจที่จะทำเงินชัดเจนจาก gooogle จากผู้ก่อตั้งทั้งสอง และเขามีความสัมพันธ์ที่ดีผ่าน เจฟ เบซอส ที่ได้เป็นผู้ลงทุนระยะแรก ๆ ของ google ด้วย

ทั้งสองบริษัทนั้นพร้อมที่จะลงทุนกับ google เป็นอย่างยิ่ง แต่ปัญหาคือ นักลงทุนทั้งสองไม่ยอมลงทุนร่วมกันใน google ซึ่งมันเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความยากลำบากในกาตัดสินใจของ ทั้งบริน และ เพจ และทั้งสองบริษัทก็ไม่มีใครยอมใครโดยเด็ดขาด

ด้วยความเป็นต่อของทั้งบริน และ เพจ ที่ธุรกิจของพวกเขากำลังเตะตาไปทั่วซิลิกอนวัลเลย์ รวมถึงความต้องการเงินลงทุนโดยเร็วที่สุด ทำให้ทั้งสองตัดสินใจบอกทั้ง โมริตซ์ และ โดเออร์ว่า หากทั้งสองไม่ทำงานร่วมกัน google ก็จะใช้ทางเลือกอื่นโดยจะไปหานักลงทุนกลุ่มอื่นๆ  แทน

สุดท้าย ทั้งสองบริษัทก็ต้องยอมให้กับ Google โดยเสนอลงทุนฝ่ายละ 12.5 ล้านเหรียญ และยอมรับข้อเรียกร้องของ บริน และ เพจ ว่าต้องการรับผิดชอบการจัดการเรื่องภายในบริษัทเอง และสามารถควบคุมการออกเสียงได้ และมีการเสนอจากโดเออร์ และ โมริตซ์ ให้มีการว่าจ้างผู้บริหารที่มีประสบการณ์มาช่วยพวกเขาเปลี่ยนโปรแกรมการค้นหาของตนให้เป็นธุรกิจที่เป็นกำไร และมันเป็น Deal ที่สมเหตุสมผล จนไปสู่การตกลงกับ Deal ดังกล่าวในที่สุด

ในที่สุดทั้งบรินและเพจก็สามารถจบ Deal ยักษ์นี้ได้สำเร็จและพร้อมพา google ไปในระดับโลก
ในที่สุดทั้งบรินและเพจก็สามารถจบ Deal ยักษ์นี้ได้สำเร็จและพร้อมพา google ไปในระดับโลก

ทั้งบรินและเพจ พร้อมแล้วทั้งเงินทุน และทีมงานที่ปรึกษาระดับพระกาฬ ที่พร้อมจะช่วยพวกเขาสร้างโปรแกรมค้นหาที่สมบูรณ์แบบ และ เป้าหมายของพวกเขานั้นก้าวข้ามอเมริกาไปเป็นระดับโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การแถลงการณ์เรื่องการร่วมลงทุนของทั้ง โมริตซ์ และ โดเออร์ เป็นที่ฮือฮาไปทั่วทั้งซิลิกอนวัลเลย์ มีการประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการให้ทุนและข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ google ทั้งรายชื่อผู้ลงทุน และการเติบโตในอัตราร้อยละ 50 ต่อเดือน ทำให้ google กำลังถูกจับตามองไปทั่วโลกทันที

มันเป็นช่วงเวลา ที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของ Google เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่ายินดีสำหรับผู้ก่อตั้งทั้งสอง แต่อย่างไรก็ตาม การแถลงการที่เต็มไปด้วยตัวเลขที่สวยหรูมากมาย เกี่ยวกับ Deal ในครั้งนี้นั้น มันไม่ได้ตอบคำถามใหญ่ที่สำคัญข้อนึง ก็คือ Google จะมีแผนการทำเงินด้วยวิธีใด? แล้วสถานการณ์ของ Google หลังจากได้เงินทุนก้อนใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นกับ google ต่อจากนี้ แล้ว ผู้บริหารที่มีประสบการณ์ที่จะมาช่วยพยุง google ในช่วงแรกเริ่มตั้งไข่จะเป็นใคร? โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : Hiring a Pilot

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

 

ประวัติ Google ตอนที่ 3 : The Secret Sauce

ลาร์รี่ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน กำลังเผชิญบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึง จากการหยุดเรียนปริญญาเอก จาก สแตนฟอร์ด แล้วมาทำตามสิ่งที่เขาเชื่อมั่นว่ามันจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนโลกเราให้ดีขึ้นได้ แต่ปัญหาแรกคือ พวกเขาแทบจะไม่มีทุนในการจัดหาเซอร์เวอร์ ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ๆ พร้อมกับ เว๊บไซต์ที่กำลังเกิดขึ้นแบบดอกเห็ด

และเหมือนฟ้ามาโปรดให้กับคู่หูทั้งสอง เมื่อ เดวิด เชอรีตัน หนึ่งในอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาที่ สแตนฟอร์ด ได้แนะนำ 2 คู่หูให้ไปพบกับเพื่อนของเขาอย่าง แอนดี เบ็คโตลส์ไฮม์ นักลงทุนในกิจการใหม่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จจนได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว

ไม่มีใครใน ซิลิกอนวัลเลย์ ที่ไม่รู้จักเขา ผู้ซึ่งเป็น ผู้ร่วมก่อตั้ง Sun Microsystem รวมถึงนักลงทุนต่อเนื่องในอีกหลากหลายกิจการ ที่ล่าสุดเขาเพิ่งปั้นกิจการ startup จนขายให้กับ Cisco ยักษ์ใหญ่ทางด้านเครือข่ายเน็ตเวิร์คส์ ไปกว่า ร้อยล้านเหรียญ

แอนดี เบ็คโตลส์ไฮม์ ผู้ก่อตั้ง sun microsystem
แอนดี เบ็คโตลส์ไฮม์ ผู้ร่วมก่อตั้ง sun microsystem

ซึ่งปัญหาใหญ่ของ บริน และ เพจในตอนนี้ คือเงินทุนในการซื้อคอมพิวเตอร์ เพื่อมาทำเซอร์เวอร์ต่อ แม้พวกเขาจะใช้คอมพิวเตอร์ราคาถูก ๆ มาดีไซต์ใหม่ให้กลายเป็นพลังของเซอร์เวอร์ขนาดยักษ์แล้วก็ตาม แต่การเพิ่มขึ้นของเว๊บไซต์ในอัตราเร่งขนาดนี้ เงินทุนเพียงน้อยนิดของพวกเขาคงจะไม่พออย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่ เบ็คโตลส์ไฮม์ ต้องการรู้คือ google จะทำเงินได้อย่างไร ในเมื่อผู้ร่วมก่อตั้งอย่างบริน และ เพจ นั้นเกลียดการโฆษณามาก พวกเขามองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ Cool หากมีโฆษณาเต็มหน้าจอเหมือนที่ AltaVista หรือ โปรแกรมค้นหารายอื่น ๆ ได้ทำมา

สองคู่หูต้องการโปรแกรมที่เรียบง่าย และใช้งานง่ายที่สุด พวกเขายังไม่คิดถึงการทำเงินใด ๆ แต่ต้องการให้ผู้ใช้งานประทับใจการใช้งานให้มากที่สุด และ สร้างฐานผู้ใช้งานให้มากที่สุดโดยเร็วเท่านั้น

แต่เมื่อมาเรียนรู้ Google อย่างถ่องแท้แล้วนั้น เบ็คโตลส์ไฮม์ ก็ได้เห็นบางอย่างของ Google เขามองว่าโปรแกรมค้นหาคือ ภาพของสารบัญทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมันดูคล้ายสมุนโทรศัพท์หน้าเหลืองที่มีโฆษณาอยู่ในหน้าเดียวกับรายการโทรศัพท์ของช่างไฟ ช่างประปา หรือบริการอื่นใดก็ได้ในระบบอินเตอร์เน็ต และ เบ็คโตลส์ไฮม์ ก็ไม่รีรอที่จะเป็นส่วนนึงของ Google ทันที

เหมือนกับนักลงทุนทางด้านเทคโนโลยีส่วนใหญ่ ที่การลงทุนในสเตจแรกนั้น พวกเขาแทบจะไม่ค่อยหวังด้วยซ้ำว่าจะทำกำไรได้มากมายมหาศาล เหมือนดั่ง Google ในตอนนี้ เบ็คโตลส์ไฮม์ เขียนเช็ค 100,000 เหรียญให้เป็นทุนเปล่าเพื่อประเดิมในการตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการ รวมถึงการนำไปซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อมาทำเซอร์เวอร์เพิ่มเติม

ซึ่งการได้เครดิตจาก เบ็คโตลส์ไฮม์ นั้นก็ทำให้ทั้ง บริน และ เพจสามารถ นำเครดิตไปหาเงินสนับสนุนต่อจากเพื่อนฝูงรวมถึงครอบครัวญาติพี่น้อง จนสามารถหาเงินได้ถึง 1 ล้านเหรียญ ซึ่งเพียงพอที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นให้มากพอที่จะก้าวต่อกับโครงการนี้

การพัฒนา Google ของทั้ง เพจ และ บริน นั้นคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่างมากกว่าโปรแกรมการค้นหาอื่น ๆ ที่มีอยู่ในตลาด มันไม่ใช่แค่เพียงการนับ Link แล้วก็แจ้งผลการค้นหาเพียงเท่านั้น

พวกเขาได้สร้างการเชื่อมข้อมูลเกี่ยวกับ Link และคำกับตัวแปรอื่น ๆ โดยใช้วิธีการแบบใหม่ ซึ่งจะให้ผลการค้นหาที่ตรงคำถามมากกว่า เช่น คำ หรือ วลีบนเว๊บเพจที่ค้นหานั้น อยู่ติดกัน หรือ แยกกัน ขนาดตัวอักษร ตัวอักษรใหญ่หรือ ตัวเล็กเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการค้นหาทั้งสิ้น

และที่สำคัญการที่จะทำให้ผลการค้นหามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น นั้น พวกเขาต้องลงทุนในเรื่องฮาร์ดแวร์ในปริมาณที่สูงมาก ๆ เช่นกัน  มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของซอฟท์แวร์เท่านั้น มันรวมถึงเรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ผลการค้นหาดีขึ้นแทบจะทั้งสิ้น

เซอร์เวอร์ google ในยุคแรก ๆ ประกอบขึ้นจาก PC
เซอร์เวอร์ google ในยุคแรก ๆ ประกอบขึ้นจาก PC

สำหรับส่วนหลักของ Google ที่ใช้เทคนิคของ เพจแรงค์นั้น ซึ่งโดยพื้นฐาน Link ที่ถูกชี้มานั้นมันบ่งบอกได้ถึงความสำคัญของเว๊บไซต์นั้น ๆ และ ยิ่งเว๊บไซต์ที่มีขนาดใหญ่ตัวอย่างเช่น Yahoo มี Link มาที่เว๊บใด ๆ  มันก็บ่งบอกได้ถึงความสำคัญของเว๊บนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน 

สำหรับความท้าทายอย่างหนึ่งที่สำคัญของ Google คือ มีเหล่า hacker พยายามทำให้เว๊บไซต์ของตนอยู่อันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา ซึ่งส่วนนี้ มันได้กลายเป็นสงครามของ Google กับเหล่า hacker เหล่านี้

ซึ่งเพจก็ได้หาทางแก้ไขปัญหาอย่างงี้อยู่แล้ว ซึ่งวิธีการก็คือ การให้ความสำคัญของเว๊บไซต์นั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และมันจะทำให้ยากสำหรับผู้ทำเว๊บไซต์ในการเล่นกับ Google ซึ่ง Google จะทำเรื่องนี้ให้เห็นผลด้วยการมุ่งให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้งานเป็นหลัก

มันมีหลายส่วนผสมที่ลงตัวของ Google ที่ ตั้งใจมาแก้ปัญหาของโปรแกรมการค้นหาที่มีอยู่ในตลาด google กลายเป็น บริษัทหน้าใหม่ เป้นทางเลือกใหม่ของผู้ใช้งานอย่างรวดเร็ว การส่ง spyder เข้าไปคืบคลานตามเว๊บต่าง ๆ กว่าหลายร้อยล้านเว๊บ ทำให้ google เข้าใจถึง content หรือเนื้อหาของเพจ และมาวัดระดับคุณภาพของเว๊บไซต์ได้ ซึ่งให้ผลการค้นหาที่ตรงความต้องการของผู้ใช้มากกว่าบริการอื่น ๆ 

แต่อีกทางหนึ่ง มันก็เหมือนเป็นการบุกรุกไปยังเว๊บไซต์อื่น ๆ ที่เจ้าของอาจจะไม่ได้อนุญาติให้มาเก็บข้อมูลแบบนี้ ซึ่งฟังดูแล้วมันเป็นเรื่องเสี่ยงอยู่เหมือนกันสำหรับ Google ในช่วงแรกที่ยังไม่เป็นที่นิยม มันเหมือนการแอบไปขโมยเนื้อหาจากเว๊บไซต์ต่าง ๆ จากทั่วโลกเพื่อมาจัดอันดับ โดยที่เจ้าบ้านอาจจะยังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

เครือข่าย Spyder ของ google ช่วงแรก ๆ มันก็เหมือนโจรแอบย่องไปขโมยข้อมูลนั่นเอง
เครือข่าย Spyder ของ google ช่วงแรก ๆ มันก็เหมือนโจรแอบย่องไปขโมยข้อมูลนั่นเอง

สำหรับ บริน และ เพจ ความท้าทายเหล่านี้ทั้งเรื่องเงินทุนที่จำกัด รวมถึงเทคโนโลยีทางด้านฮาร์ดแวร์ที่ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร พวกเขามีความมุ่งมั่น ที่จะแก้ปัญหาที่คนอื่นเห็นเป็นความยุ่งยากเหล่านี้ มันได้ท้าทายและสร้างแรงจูงใจให้กับสองคู่หู ว่าจะเดินตามรอยเท้ารุ่นพี่ที่เข้า ๆ ออก ๆ สแตนฟอร์ด ไปก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Sun Microsystem , Yahoo , Logitech ได้หรือไม่

และการได้เงินทุนกว่า 1 ล้านเหรียญในการเริ่มต้นนั้น ตอนนี้พวกเขาพร้อมแล้ว ที่จะทำให้ google กลายเป็นโปรแกรมค้นหาอันดับหนึ่งของโลกให้จงได้ เป้าหมายของพวกเขาที่ดูยิ่งใหญ่มาก ๆ ในเวลานั้น ทั้งสองคู่หู บริน และ เพจ จะพา google ที่ตอนนี้กลายเป็นบริษัทน้องใหม่ในซิลิกอน วัลเลย์ ฝ่าขวากหนามที่ขวางพวกเขาไว้ได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 4 : Divide and Conquer

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Google ตอนที่ 2 : Learning to Count

เริ่มต้นเดือนมกราคม เข้าสู่ปีใหม่ของปี 1996 ลาร์รี่ และ เซอร์เกย์ รวมถึงเหล่านักศึกษาและคณาจารย์ทั้งหมดของภาควิชาคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั้นก็คือที่มั่นใหม่เขาเหล่านักวิจัยอัจฉริยะเหล่านี้ โดย มันคืออาคารสี่ชั้นหลังงาม ซึ่งถูกเรียกตามผู้บริจาคให้สร้างซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาก็คือ บิลล์ เกตส์ มหาเศรษฐีดอทคอมยุคแรก ๆ ที่ตอนนั้นกำลังก้าวขึ้นไปเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แน่นอนว่าเหล่านักศึกษาเหล่านี้ รู้ดีว่า เกตส์ นั้นทำอะไรไว้ให้กับวงการเทคโนโลยีของอเมริกาบ้าง และพวกเขาซึ่งรวมถึง ลาร์รี่ และ เซอร์เกย์ ก็คิดเหมือนกันว่าอยากที่จะสร้าง ไอเดียอะไรที่เปลี่ยนโลกเหมือนที่เกตส์เคยทำได้บ้าง

ต้องเรียกได้ว่าหลังจากการ IPO ของ NetScape ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มันทำให้เรื่องราวในด้านวิชาการของสแตนฟอร์ดเริ่มถูกท้าทาย จากเงินทุนที่กำลังไหลมาเทมา เพื่อหาบริษัทอินเตอร์เน็ตหน้าใหม่ที่จะเปลี่ยนโลกได้แบบที่ NetScape ทำได้สำเร็จ

เหล่านักเรียนคอมพิวเตอร์ในสแตนฟอร์ด นั้น ได้รับการเสนองานให้มากมาย ซึ่งเป็นเงินที่ดึงดูดพวกเขาเหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น มันเป็นทางเลือกเดินของใครหลาย ๆ คนว่าจะอยู่เรียนต่อ หรือจะก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจทันที ในเมื่อโอกาสมันมามอบให้ถึงหน้าประตูบ้านเช่นนี้แล้ว

แต่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือน คู่หู ลาร์รี่ และ เซอร์เกย์ ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจจะเข้าสู่โลกของธุรกิจนัก พวกเขาต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็จริง แต่อยากทำในด้านวิชาการมากกว่า ทั้งสองก็ยังถกเถียงกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คอมพิวเตอร์ ปรัชญา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เพิ่งคิดได้ พวกเขาจะเถียงกันเอาเป็นเอาตาย แต่ใช้เหตุผลมาสู้กัน เพราะพวกเขานั้นถือเป็นยอดอัจฉริยะทั้งคู่ที่ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใครได้เลย

ถึงขนาดที่ว่า อาจารย์ที่ปรึกษาของเซอร์เกย์อย่าง ราจีฟ ม็อตวานี่ ที่เป็นอาจารย์หลักที่ให้คำปรึกษาตั้งแต่ที่เซอร์เกย์เข้าเรียนที่สแตนฟอร์ด ตั้งแต่ปี 1993 ซึ่งได้เฝ้ามองคู่หู เซอร์เกย์ และ ลาร์รี่ มาโดยตลอด และคิดว่าทั้งคู่เป็นคนที่เก่งที่สุดเท่าที่เขาได้เคยเจอมาเลยด้วยซ้ำ

ราจีฟ ม็อตวานี่ ผู้เป็นที่ปรึกษาให้สองคู่หู
ราจีฟ ม็อตวานี่ ผู้เป็นที่ปรึกษาให้สองคู่หู

ทั้งสองนั้นมีส่วนผสมที่ลงตัวเป็นอย่างมาก เซอร์เกย์ เป็นนักแก้ปัญหาที่ยอมรับความจริง เขาเป็นวิศวกร มีความแม่นยำเหมือนคณิตศาสตร์ และทำอะไรรวดเร็ว และมักจะเป็นจุดเด่นเมื่อมีการร่วมกลุ่มกันถกเถียงเรื่องใด ๆ อยู่เสมอ แต่ ลาร์รี่ นั้น เป็นคนที่เก็บตัวกว่า แต่มักจะเสนอไอเดียที่ไม่มีใครคาดคิดอยู่เสมอ

เซอร์เกย์ กับ ม็อตวานี่ ทำงานวิจัยร่วมกันในการดึงข้อมูลออกจากกองเอกสารและตัวเลข ซึ่งพวกเขาได้ตั้งชื่อกลุ่มขึ้นมาว่า MIDAS ที่ย่อมาจาก Mining Data at Stanford ซึ่งงานวิจัยเรื่องนี้ สามารถนำไปใช้เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งที่ลูกค้าซื้อ กับ ปริมาณสินค้าในคงคลัง ทำให้เหล่าผู้ประกอบการสามารถบริหารสินค้าคงคลังได้ดีขึ้นได้

และจุดเปลี่ยนสำคัญคือการที่ ทั้งสองได้มาลองทดสอบกับข้อมูลใน อินเตอร์เน็ต ซึ่งขณะนั้น มันยังไร้ระเบียบ ไร้ระบบ ไม่สามารถควบคุมกระแสข้อมูลที่อยู่ใน อินเตอร์เน็ตได้ แม้มีความพยายามสร้างบริการอย่าง Lycos , WebCrawler , InfoSeek หรือ Exite แต่มันยังไม่ดีพอ ส่วนใหญ่แล้วเป็นการค้นหาสิ่งที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ตรงใจความต้องการของผู้ค้นหาซะเป็นส่วนใหญ่

โปรแกรมค้นหาในสมัยนั้นยังได้ผลไม่ตรงใจผู้ใช้
โปรแกรมค้นหาในสมัยนั้นยังได้ผลไม่ตรงใจผู้ใช้

แต่มีอีกฝั่งหนึ่งที่มีแนวคิดในการค้นหาที่แตกต่างออกไป เจอร์รี่ หยาง และ เดวิด ฟิโล นักศึกษาปริญญาเอกแห่ง สแตนฟอร์ด ที่มีแนวคิดไม่พึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการใช้การจ้าง บรรณาธิการ คณะหนึ่งมาทำการคัดเลือกเว๊บไซต์น่าสนใจ และสร้างเป็นรูปแบบของ ไดเรคทอรี่ โดยตั้งชื่อบริการนี้ว่า YAHOO

Yahoo ที่มองตัวเองเป็นเว๊บไดเรคทอรี่ เสียมากกว่า
Yahoo ที่มองตัวเองเป็นเว๊บไดเรคทอรี่ เสียมากกว่า

และนี่เองที่เป็นสาเหตุให้ ม็อตวานี่ และ เซอร์เกย์ บริน จึงได้เริ่มคิดหาแนวทางในการค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่ดีกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ส่วน ลาร์รี่ เพจนั้น สนใจในการทำงานของ AltaVista ซึ่งตอนนั้นถือว่าส่งผลการค้นหาได้รวดเร็วกว่าบริการอื่น ๆ แต่เขาได้สังเกตเห็นบางสิ่งที่น่าสนใจ มันคือ Link ที่คอยเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายระหว่างเว๊บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้ ลาร์รี่ เพจ เริ่มคิดถึงสิ่งที่จะสามารถรวบรวมได้จากการวิเคราะห์ Link

ในขณะนั้น ดูเหมือนเว๊บไซต์ทั้งหมดที่มียังคงไม่มากนัก เพจ ได้เสนอความคิดในการดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดของทั้ง WWW ลงมาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขา เพื่อนำมาวิเคราะห์เรื่อง Link ที่เขากำลังสนใจอยู่

ในปี 1996 เพจ และ บริน ได้ร่วมมือกันในการช่วยกันดาวน์โหลด และ วิเคราะห์ Link ในเว๊บต่าง ๆ ทั่ว WWW โดยส่งโปรแกรมที่เรียกว่า Spyder ให้วิ่งวนเป็นเครือข่ายใยแมงมุงไปตาม Link ต่าง ๆ ทั่วทั้งระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งยุคแรก ๆ นั้นยังมีจำนวนเว๊บไซต์ไม่มากนัก

Web Spyder ที่เป็นเครือข่ายใยแมงมุมคอยเก็บข้อมูล
Web Spyder ที่เป็นเครือข่ายใยแมงมุมคอยเก็บข้อมูล

สำหรับเพจ นั้น เขามีทฤษฏีหนึ่งที่ว่า การนับจำนวน Link ที่โยงไปยังเว๊บไซต์เว๊บหนึ่งนั้น เป็นหนึ่งในการวัดความนิยมที่มีต่อเว๊บไซต์นั้นได้ แต่ปัญหาคือ ความนิยม กับคุณภาพของเว๊บนั้นไม่ได้มาพร้อมกัน ซึ่ง หน้าที่นี้ ต้องส่งต่อให้กับยอดอัจฉริยะอย่าง บริน จัดการนั่นเอง

ด้วยความที่ทังคู่นั้นเป็นนักวิจัยตัวยง ซึ่งงานวิจัยที่ตีพิมพ์ส่วนใหญ่นั้น จะมีส่วนของเอกสารอ้างอิง มันทำให้เพจนึกได้ว่า มันก็เปรียบเสมือน Link ที่ถูกอ้างอิงในเว๊บไซต์อื่นๆ  มันก็มีความหมายเหมือนกับงานวิจัยที่ถูกอ้างอิงเยอะ ๆ แสดงว่าต้องเป็นงานที่สำคัญและมีคุณภาพ และ Link ของเว๊บไซต์ ก็น่าจะมีแนวคิดคล้าย ๆ กัน

และนี่เองเป็นหนทางสำคัญที่ทั้งสองต้องการนั่นคือ การนำไปสู่หัวข้อวิทยานิพันธ์ปริญญาเอก โดยใช้เพจแรงค์ กับ อินเตอร์เน็ต ซึ่งตอนแรกนั้น พวกเขาทั้งสองรวมถึง ม็อตวานี่ ที่ปรึกษาไม่ได้คิดถึงการสร้างโปรแกรมค้นหาเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อทำไประยะหนึ่ง กับพบกับความเป็นจริงที่ว่า สิ่งที่พวกเขาร่วมกันสร้าง มันได้ยิ่งใหญ่เกินกว่างานวิชาการเสียแล้ว

ตอนนี้ทั้งสามได้สร้างระบบการจัดอันดับให้แก่ อินเตอร์เน็ตโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งผ่านกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำให้สามารถแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่อย่างการค้นหาข้อมูลบนเว๊บโดยไม่ได้เจตนาเลยเสียด้วยซ้ำ แต่มันกำลังจะก้าวไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ เกินกว่าที่พวกเขาทั้งสามจะคาดคิด

ระบบ เพจแรงค์ ช่วยให้จัดอันดับได้อย่างตรงตามความต้องการผู้ใช้มากขึ้น
ระบบ เพจแรงค์ ช่วยให้จัดอันดับได้อย่างตรงตามความต้องการผู้ใช้มากขึ้น

พวกเขาไม่ได้มีแนวคิดที่จะสร้างธุรกิจของตัวเองเลยด้วยซ้ำ พวกเขาต่างช่วยกันสร้างโปรแกรมค้นหาที่เป็นต้นแบบเพื่อใช้ในสแตนฟอร์ดเอง เสริมด้วยศักยภาพที่น่าทึ่งของเพจแรงค์ และนี่เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่มีวิธีการค้นอินเตอร์เน็ตแล้วได้คำตอบที่เป็นประโยชน์อย่างรวดเร็วทันใจ เพราะมันไม่เคยมีมาก่อนบนโลกใบนี้

ชื่อแรกของโปรแกรมค้นหาตัวนี้คือ “แบ็ครับ” และเพจ คิดว่ามันต้องมีชื่อใหม่ที่เรียกง่าย ๆ พวกเขาและทีมวิจัย ได้คิดชื่อต่าง ๆ มากมายจนไอเดียสุดท้ายคือ กูเกิลเพล็กส์ ซึ่งคือจำนวนมาก ๆ สุดท้ายได้ตัดมาเหลือแค่ Google ซึ่งเพจ เห็นว่ามันยอมรับได้และได้รีบไปจดทะเบียนชื่อโดเมน google.com ทันที แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาจดทะเบียนนั้น เป็นสิ่งที่สะกดผิด ที่จริงมันควรจะเป็น G-o-o-g-o-l แต่ทุกอย่างมันเสร็จสิ้นไปแล้ว และต้องเลยตามเลยในชื่อนี้ไปในที่สุด

และเนื่องจากช่วงเริ่มต้น ได้ปล่อยให้ใช้ ใน สแตนฟอร์ดก่อน และเพียงไม่นานมันก็กลายเป็นเว๊บไซต์ยอดฮิตทันทีของเหล่า Geek เทคโนโลยีใน สแตนฟอร์ด ซึ่งในช่วงแรกนั้น บรินออกแบบโฮมเพจแบบง่าย ๆ เนื่องจากไม่มีเงินทุนไปจ้างนักออกแบบเก่ง ๆ ได้

และมันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่หน้าตาของ Google เป็นหน้าตาที่เกลี้ยงสะอาด การใช้พื้นสีขาว และ logo แม่สีของมันจึงเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้ใช้งานหันมาใช้ google ในการหาข้อมูลกันอย่างกว้างขวาง

ในตอนนั้น AltaVista กำลังเป็นเจ้าตลาดของการค้นหาอยู่ แต่ เพจ และ บรินก็รู้ดีว่า google ของพวกเขานั้นเจ๋งกว่าเยอะ ทั้งสองมองว่า AltaVista นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ Google นั้นจะเป็นอนาคตของการค้นหาข้อมูลในระดับโลกได้ 

ทั้งคู่พยายามจะขายเทคโนโลยี เพจแรงค์ ให้กับ AltaVista เพื่อเงินเพียง 1 ล้านเหรียญ เพื่อไปพัฒนา AltaVista ให้กลายเป็นเจ้าตลาดการค้นหาให้ได้ เพราะพวกเขาทั้งสองไม่ได้มอง Google เป็นธุรกิจตั้งแต่แรก เขาต้องการสร้างสิ่งที่เปลี่ยนโลกขึ้นมาและส่งต่อให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทำการตลาด แต่ดูเหมือน AltaVista ยังไม่สนใจ แม้ Google จะเป็นสิ่งที่เจ๋งมากในขณะนั้นก็ตาม

ความต้องการแรกคือต้องการขาย อัลกอริทึม ให้ AltaVista เพื่อยกระดับการค้นหาให้ดียิ่งขึ้น แต่ก็โดนปฏิเสธ
ความต้องการแรกคือต้องการขาย อัลกอริทึม ให้ AltaVista เพื่อยกระดับการค้นหาให้ดียิ่งขึ้น แต่ก็โดนปฏิเสธ

ซึ่งต้องยอมรับว่าตอนนั้น ไม่มีใครที่จะมาสนใจ ระบบการค้นหาข้อมูลแบบที่ Google ทำ ทั้งเพจและบริน ได้ไปพบนักลงทุนหลายราย แต่ไม่มีทีท่าว่าใครจะสนใจโปรแกรมค้นหาของทั้งสองคู่หูที่ได้สร้างขึ้น พวกเหล่านักลงทุนสนใจแต่การทำรายได้จากโฆษณาในเว๊บไซต์เท่านั้น ซึ่งดูจะไม่มีวี่แววว่าโปรแกรมการค้นหาจะทำรายได้ให้พวกเขาในเร็ววัน

ส่วน Yahoo ของ เจอร์รี่ หยาง นั้น ดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่น่าจะสนใจ Google เพราะตอนนั้น Yahoo เป็นเพียงเว๊บ ไดเรคทอรี่ ที่จัดโดยบรรณาธิการ ซึ่งเว๊บไซต์กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และในท้ายที่สุด มนุษย์จะไม่สามารถคัดกรองเหล่าเว๊บไซต์หน้าใหม่ที่มีเข้ามาทุกวันได้อีกต่อไป

แต่ดูเหมือนแนวคิดของ Yahoo จะต่าง เพราะพวกเขาอยากให้ผู้ใช้อยู่กับ เว๊บไซต์ Yahoo นาน ๆ แต่การมีส่วนของการค้นหาแบบที่ Google ทำนั้น เป็นการส่งผู้ใช้งานไปยังเว๊บไซต์อื่นๆ  โดยรวดเร็ว ซึ่งดูจะไม่เหมาะกับโมเดลธุรกิจของ Yahoo ในตอนนั้น

หลังจากถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เป็นเวลาหลายเดือน บริน และ เพจ ก็เริ่มท้อแท้ผิดหวัง แต่พวกเขาก็ยังมีความมุ่งมั่น โดยเริ่มมาปรับปรุงหน้าเว๊บ Google ให้ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งานก่อน และยังไม่ตัดสินใจเรื่องอนาคตว่าจะทำอย่างไรต่อกับ Google ดี

หลังจากพัฒนาปรับปรุง Google ให้ดีขึ้นกว่าเดิมอยู่หลายเดือน พวกเขาก็ต้องเริ่มตัดสินใจกับอนาคตของพวกเขา กับ google ซะที โดยมีการส่ง email ไปยังผู้ใช้งานเพื่อรับฟังความคิดเห็น คำวิจารณ์ หรือ ข้อบกพร่องที่ควรได้รับการแก้ไข

และมันก็มี email ส่งมาให้กำลังใจพวกเขาอย่างถล่มทลาย อย่างที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน ผู้ใช้ตกหลุมรักเจ้า google เป็นอย่างมาก ทุกอย่างมันดูดี perfect มาก ๆ และตอนนี้ เพื่อที่จะให้ google เติบโตขึ้นอย่างแท้จริงนั้น มันคงถึงเวลาแล้วทีทั้ง เพจและบริน จะต้องออกจากมหาวิทยาลัย กับการเดินทางครั้งใหม่ของพวกเขา กับ google ที่ทั้งสองเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่ปัญหาคือ พวกเขาต้องใช้ทุนมหาศาลในการซื้อเซอร์เวอร์เพิ่มเติมเมื่อจำนวนเว๊บไซต์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เป็นบททดสอบที่สำคัญของทั้งสองเป็นอย่างมาก ตอนนี้มันยังมองไม่เห็นทางเลยว่าพวกเขาจะไปหาเงินได้จากได้ แต่ตอนนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยงเดิมพันกับการเดินทางครั้งใหม่ในชีวิตของพวกเขาแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ สองคู่หู ที่กล้าแลกการเรียนในระดับปริญญาเอกเพื่อมาสานฝันของพวกเขาต่อในอนาคตที่ดูจะมืดมนเช่นนี้ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 3 : The Secret Sauce

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ