ประวัติ Google ตอนที่ 9 : Going Public

หลักชัยที่สำคัญของทุกธุรกิจ ในการก้าวเข้าสู่อีกระดับนั่นคือการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นบริษัทมหาชน แต่บริน และ เพจ พยายามที่จะยื้อโครงการที่จะไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

เหตุผลสำคัญอย่างนึงที่คู่หูผู้ก่อตั้งไม่อยากที่จะนำ Google เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเร็ววันนั้น ปัจจัยหนึ่งคือการที่จะทำให้ เหล่าคู่แข่งสำคัญที่กำลังมองตาเป็นมันอย่าง Microsoft และ Yahoo จะรู้ว่า Google สามารถทำกำไรมหาศาลได้อย่างไร

ซึ่งทันทีที่ข้อมูลต่าง ๆ ถูกเปิดเผยออกสู่สาธารณะตามกฏของตลาดหลักทรัพย์แล้วนั้น แน่นอนว่าการแข่งขันที่ Google ผูกขาดมาเป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้วนั้นจะเจอการแข่งขันที่รุนแรงทันที

แม้มันจะส่งผลให้เหล่าพนักงานรุ่นก่อตั้งที่ได้รับหุ้นไป รวยกลายเป็นเศรษฐีทันที แต่ ผลเสียมันก็อาจจะก่อตัวขึ้น เนื่องจาก ทุกอย่างมันจะกลายเป็นเรื่องสาธารณะทันที แม้กระทั่งชีวิตของผู้ก่อตั้ง ก็ดูจะมีแววว่าจะวุ่นวายพอควร เมื่อทุกคนจะโฟกัสมาที่พวกเขา เมื่อรู้ว่าพวกเขาจกำลังจะกลายเป็นมหาเศรษฐี

และสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างคือ ทั้งคู่ไม่ได้ต้องการเงินหลายพันล้านที่จะเข้ากระเป๋ามาเมื่อบริษัทเข้าตลาดหุ้น เพราะทั้งสองนั้นชอบใช้ชีวิต ปลีกวิเวก แบบสมถะ เรียบง่าย ไม่ได้สนใจเรื่องการที่จะกลายเป็นมหาเศรษฐีเลยแต่อย่างใด พวกเขาแค่ต้องการเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นเพียงเท่านั้น และทำสำเร็จแล้วด้วย Google

สองผู้ก่อตั้งมีเป้าหมายต้องการเปลียนโลกให้ดีขึ้น
สองผู้ก่อตั้งมีเป้าหมายต้องการเปลียนโลกให้ดีขึ้น

และพวกเขาก็ยังต้องการเปลี่ยนแปลงในการเสนอขายต่อตลาดหุ้นด้วยการปฏิเสธธรรมเนียมแบบเดิม ๆ ของ วอลล์สตรีท ที่มักมีบริษัทลงทุนเป็นคนจัดการแล้วกระจายให้ผู้มีสิทธิพิเศษก่อน โดยจะกดราคาหุ้น IPO ให้ต่ำไว้ก่อน แล้วหันมาทำการกระจายหุ้นด้วยความเสมอภาค ผ่านคอมพิวเตอร์ Algorithm ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง คล้าย ๆ กับการประมูลโฆษณาของ Google

และมันก้ได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นในวงการตลาดหุ้น เมื่อผู้ใช้ Google นับล้าน ๆ คน รายเล็กรายน้อย ต่างมีโอกาสที่จะได้เข้าถึงหุ้น Google ในวัน IPO  มันเป็นวิธีการที่ บริน และเพจ ทำให้หุ้น Google เข้าถึงคนธรรมดาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

บริน และ เพจ ต้องการแหกธรรมเนียมวอลล์สตรีท เพื่อแจกจ่ายหุ้นให้คนทั่วไปมากที่สุด
บริน และ เพจ ต้องการแหกธรรมเนียมวอลล์สตรีท เพื่อแจกจ่ายหุ้นให้คนทั่วไปมากที่สุด

และที่สำคัญ ทั้งสองผู้ก่อตั้งยังต้อการแก้เผ็ดวอลล์สตรีทด้วยการ จ่ายค่าตอบแทบให้ต่ำกว่าครึ่ง ของอัตราที่จ่ายกันปรกติ และไม่สนใจ โบรกเกอร์ใดที่ไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของการแจกจ่ายหุ้นที่สร้างข่าวอื้อฉาวมานานในวอลล์สตรีท

เนื่องจาก Google นั้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีล้วน ๆ ที่ต่างจากคู่แข่งอย่าง Yahoo ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมของบริษัทสื่อแบบเก่า ผู้บริหารได้แบ่งหุ้นออกเป็นสองประเภท ได้แก่ หุ้นประเภท ก. เป็นหุ้นที่ขายให้นักลงทุนทั่วไปและมีสิทธิ์หุ้นละหนึ่งเสียง และประเภท ข. หุ้นที่เป็นทุนของพวกเขาเอง มีสิทธิ์หุ้นละสิบเสียง และให้อำนาจในการควบคุมบริษัทโดยตรงแก่พวกเขา

ซึ่งการสร้างโครงสร้างสองระดับเช่นนี้ จะถูกคุกคามจากควบรวมกิจการได้ยาก หากไม่ได้รับการยินยอมโดยเหล่าผู้ก่อตั้ง เป็นการควบคุมอำนาจในบริษัทแบบเบ็ดเสร็จ จะไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก ทั้งสองผู้ก่อตั้งยังคงควบคุม Google ได้แบบเบ็ดเสร็จ โดยที่สามารถทำเงินเป็นพันล้านเหรียญได้จากการเข้าตลาดหุ้น และ เป็นเป็นแบบอย่างให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยุคหลัง ทำตามกันมา

ดังคำขวัญประจำใจของ Google ที่ทั้งสองผู้ก่อตั้งกำหนดไว้คือ “Don’t be Evil” ซึ่งมันเป้นคำประกาศที่เป็นการ ยิงตรงเข้าใส่คู่แข่งศัตรูในขณะนั้นอย่าง Microsoft และ Yahoo เป็นการกล่าวหา Yahoo คู่แข่งอันดับสองในตลาดเดียวกันว่า “ชั่วร้าย” ที่ยอมรับเงินจากเว๊บไซต์ต่าง ๆ เพื่อจะได้มีโอกาสมากขึ้นในการไปปรากฏบนหน้รายงานผลการค้นหา ทั้งบริน และ เพจ มองว่าผลการค้นหาของ Google นั้นเป็นผลการค้นหาที่เท่าเทียมและบริสุทธิใจ แต่ของ Yahoo เต็มไปด้วยมลทิน

Don't Be Evil คำขวัญประจำใจของ Google
Don’t Be Evil คำขวัญประจำใจของ Google

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมองเหมือนกับสองเหล่าผู้ก่อตั้ง ผู้คนจำนวนมากก็ตั้งคำถามกับ Google เช่นเดียวกัน ความดีความชั่วที่ Google พูดถึงนั้นดูเหมือนจะเป็นการกล่าวยกยอตัวเองแทบจะทั้งสิ้น เพราะหาเงินจากโฆษณาเหมือนกัน

และเมื่อรายงานทางการเงินของ Google ได้ถูกเปิดเผยเมื่อเข้าสู่กระบวนการทำ IPO แล้วนั้น ทำให้เหล่าคู่แข่ง รวมถึงนักวิเคราะห์ต่างตกตะลึง กับกำไรที่เกิดขึ้น เพียงแค่ครึ่งปีแรกของปี 2004 บริษัทมีรายได้กว่า 1.4 พันล้านเหรียญ มีกำไรถึง 143 ล้านเหรียญ มันเป็นการเติบโตที่รวดเร็วมาก และไม่มีวี่แววว่าจะหยุดการเติบโตเลยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ 

บรินและเพจ มีแนวคิดที่จะหนีออกจากเรื่องการเงินเดิม ๆ พวกเขาไม่ได้ต้องการเงินมากมาย ในคำบรรยายเกี่ยวกับเป้าหมายของ Google นั้น สองผู้ประกอบการกล่าวว่า

“ตนหวังว่าความมั่งคั่งและความเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมันจะสามารถถูกนำไปใช้แก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกได้ เรามุ่งมั่นปราถนาที่จะทำให้ Google กลายเป็นบริษัทที่สร้างโลกที่น่าอยู่มากขึ้น เราอยู่ในกระบวนการก่อตั้งมูลนิธิ Google และตั้งใจอุทิศทรัพยากรก้อนใหญ่ให้แก่มูลนิธิรวทั้งเวลาของพนักงานและหุ้นกับกำไร 1% เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สักวันหนึ่ง สถานบันแห่งนี้จะบดบัง Google เองในแง่ของการส่งผลกระทบต่อโลกโดยรวย”

ถือได้ว่าการเข้าสู่ตลาดหุ้นของ Google นั้น มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องเงิน แต่ในรายงานผลประกอบการนั้นก็สวนทางเพราะรายได้มีแต่เติบโตขึ้น และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว เหล่าคู่แข่ง อย่าง Microsoft และ Yahoo ต่างมองตาปริบ  ๆกับผลประกอบการของ Google แล้วเหล่าคู่แข่งจะจัดการอย่างไร จะแย่งส่วนแบ่งเค้กมโหฬารก้อนนี้มาได้หรือไม่ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 10 : Space Race 

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Google ตอนที่ 8 : April Fools

ราว ๆ ฤดูใบผลิปี 2004 ธุรกิจของ Google ได้เติบโตอย่างบ้าคลั่ง แทบจะไม่เคยมีบริษัทไหนเคยเติบโตได้รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกาเสียด้วยซ้ำ และมันถึงเวลาที่ Google จะต้องออกนวัตกรรมใหม่ ที่จะทำให้เหล่าสาวกต้องหลงรักอีกครั้ง

บริน และ เพจ เตรียมการที่จะทำให้ผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตต้องเซอร์ไพรซ์อีกครั้ง ด้วยระบบ email ใหม่ที่แตกต่างจากที่มีอยู่เดิมในท้องตลาดในขณะนั้น ซึ่งพวกเขาได้เรียกบริการใหม่นี้ว่า Gmail  ซึ่งเหล่าผู้บริหารของ Google นั้นได้เก็บเรื่องการพัฒนา Gmail ไว้เป็นความลับที่สุดยอดภายในบริษัท ที่สื่อแทบจะไม่เคยทราบมาก่อนการเปิดตัว

ระบบ email ในตลาดในขณะนั้น เต็มไปด้วยปัญหามากมาย ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องยากที่จะค้นหรือกู้ mail เก่า ๆ ขึ้นมา เมื่อยามที่ต้องการใช้งาน ตัวอย่าง บริการ email ของ AOL นั้นจะทำการลบ email โดยอัตโนมัติในทุก  ๆ 30 วันเพื่อลดค่าใช้จ่ายในระบบ ตอนนั้นโปรแกรม email client ส่วนใหญ่เมื่อมีการเก็บ email จำนวนมาก ๆ ก็จะทำให้ PC ทำงานช้าลงทันที ซึ่งมันเป็นปัญหาโลกแตกของผู้ใช้ email ในขณะนั้น

บริการของ AOL ทำการลบอัตโนมัติทุก ๆ 30 วัน
บริการของ AOL ทำการลบอัตโนมัติทุก ๆ 30 วัน

บรินและเพจ เสนอ ความตื่นเต้นครั้งใหญ่ให้กับผู้ใช้งาน email ด้วยการให้พื้นที่การเก็บถึง 1 กิกาไบต์ ให้สำหรับผู้ที่เปิดบัญชี Gmail ใหม่ทุกรายทันที ซึ่งแน่นอนว่ามันมากกว่าพื้นที่ของ hotmail ของ microsoft กว่า 500 เท่า รวมถึง Yahoo mail ถึง 250 เท่า ซึ่ง ปริมาณ 1 กิกาไบต์ในขณะนั้นเป็นพื้นที่มหาศาล ที่ผู้ใช้งานแทบจะไม่ต้องมีการลบ email ทิ้งเลยด้วยซ้ำ

และความสุดยอดอีกอย่างของ email ที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดอย่างชัดเจนคือ ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลใน email ได้ทันที โดยแทบจะไม่จำเป็นต้องทำการแยกแยะแบ่งเป็น folder เหมือนที่ต้องทำกับบริการอื่น ๆ 

เพราะ Gmail ใช้พลังการค้นหาในรูปแบบเดียวกับที่ Google ทำ มันได้ทำให้การค้น Gmail นั้นทำได้เร็ว แม่นยำ และง่าย พอ ๆ กับการค้นหาด้วย Google นั่นเอง ก่อนการเปิดตัวต่อสาธารณชน บรินและเพจ ทดลองให้พนักงานใน GooglePlex ทดลองใช้งานและได้กลายเป็นบริการยอดนิยมทันที เหล่าพนักงานต่างตื่นเต้นอย่างมากต่อการเปิดตัวต่อสาธารณะ

Gmail ที่มาพร้อมพื้นที่เก็บข้อมูล 1 กิกาไบต์
Gmail ที่มาพร้อมพื้นที่เก็บข้อมูล 1 กิกาไบต์

จากนั้นบริษัทได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยเปิดให้ทดลองใช้เพียง 1,000 รายเท่านั้น และสามารถ invite กับครอบครัวได้ในจำนวนจำกัด ทำให้มีคนอยากเข้ามาใช้งานมากขึ้น ซึ่งการจำกัดจำนวนในช่วงแรกเหมือนเป็นการทดลองระบบ และทำให้เหล่าวิศวกรสามารถกำจัด Bug สำคัญ ๆ ออกไปได้ก่อนเปิดให้ใช้งานจริง ๆ 

และเพื่อความสนุกที่เพิ่มมากขึ้น บริน และ เพจนั้น เลือกที่จะประกาศบริการใหม่นี้ในวันที่ 1 เมษายน ปี 2004 ซึ่งการที่ Gmail เปิดตัวในวัน April Fool ที่เป็นวันโกหกนั้น ทำให้หลาย ๆ สื่อต่างเล่นข่าวกันยกใหญ่ในเรื่องการแจกพื้นที่ฟรี 1 กิกาไบต์ ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่มหาศาลในขณะนั้น

และมันก็ได้ผล เพราะการประโคมเรื่องนี้ของสื่อ มันได้ทำให้เกิดการพูดถึงแบบปากต่อปากทันที ทำให้บริษัท แทบจะไม่ต้องเสียค่าโฆษณาหรือทำการตลาดใด ๆ เลยด้วยซ้ำ

บรินและเพจเลือกเปิดตัว Gmail ในวัน April Fools Day
บรินและเพจเลือกเปิดตัว Gmail ในวัน April Fools Day

และแน่นอน Gmail นั้นถูกออกแบบมาเพื่อทำเงิน Google ต้องการที่จะเพิ่มปริมาณพื้นที่ในการลงโฆษณา การทำกำไรจาก Gmail นั้น บริน และ เพจ ได้วางโฆษณาขนาดเล็กไว้ด้านขวาของ Gmail ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่อยู่ด้านขวาของหน้ารายงานผลการค้นหาข้อมูลของ Google

แต่อย่างไรก็ดี หลังจากมีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับแผนของ Google ที่จะลงโฆษณาใน Gmail นั้น ทำให้หลาย ๆ ฝ่ายต่างออกมาโจมตี Google ทันทีในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ามันเป็นการลุกล้ำความเป็นส่วนตัวที่น่ารังเกียจ ความคิดของ Google ที่จะลงโฆษณาใน Gmail โดยอ้างอิงจากเนื้อหาของ mail นั้น มันดูเหมือนเป็นการล้ำเส้นอย่างชัดเจน

แต่มันก็ดูเหมือนจะฉุดความร้อนแรงของ Gmail ไว้ไม่อยู่ ถึงขนาดที่ว่า มีการประมูลบัญชี Gmail ที่ Google แจกฟรีให้ทดลองในช่วงแรก มีการปั่นราคากันไปสูงถึงกว่า 100 เหรียญเลยทีเดียว

แม้จะมีกระแสในแง่ลบในเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่บรินและเพจ นั้นก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของนวัตกรรมใหม่ ที่มันต้องใช้เวลาในการให้คนปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง บริน และ เพจเริ่มสื่อสารอย่างชัดเจนออกมาว่า โฆษณาจะเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาที่ผู้ใช้อ่าน และจะไม่มีข้อมูลใด ๆ ถูกส่งออกไป Google นั้นมีการปกป้องความเป็นส่วนตัวรวมถึง mail ของลูกค้าทุกคนเต็มที่อยู่แล้ว

บรินและเพจ ได้เข้าปรึกษากับ แบรด เท็มเพิลตัน ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องมุมมองทางการเมือง และ เรื่องของความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เท็มเพิลตัน นั้นเป็นหนึ่งในคนดังในวงการเพราะเป็นคนที่คิดค้น เรื่องการใส่จุดลงใน .com ตอนเริ่มต้นการสร้าง URL เพื่อระบุ Address ที่อยู่ของเว๊บไซต์

บรินและเพจ ได้เข้าปรึกษากับ แบรด เท็มเพิลตัน ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ
บรินและเพจ ได้เข้าปรึกษากับ แบรด เท็มเพิลตัน ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ

เท็มเพิลตัน นั้น ได้กล่าวเปรียบเทียบเรื่องของ หน่วยงานการให้เครดิตของระบบธนาคาร บันทึกทางการแพทย์ ซึ่งสุดท้ายข้อมูลเหล่านี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกนำขึ้นออนไลน์ ซึ่งมันไม่สามารถที่จะได้รับการคุ้มครองได้อย่างสมบูรณ์เหมือนกับ เนื้อหาของ mail ที่ Gmail กำลังทำอยู่

สุดท้ายแล้วนั้นผู้ใช้งานก็จะปรับตัวเอง ซึ่งหลังจากนั้นกลุ่มต่าง ๆ ที่เรียกร้องความเป็นส่วนตัวก็ได้เริ่มหันมาใช้ Gmail กันอย่างมาก พวกเขาก็เริ่มที่จะชื่นชมมัน และเมื่อคนจำนวนมากขึ้นได้ใช้ Gmail สุดท้ายเรื่องของนวัตกรรมและประสิทธิภาพของมันก็จะชนะใจผู้ใช้ และความห่วงใยเรื่องความเป็นส่วนตัวก็จะลดลงไปจนจางหายไปในที่สุด ซึ่งแน่นอน สิ่งที่ บริน และ เพจสามารถทำสำเร็จได้อีกครั้ง เพราะสิ่ง ๆ นี้คือนวัตกรรมที่ออกมาจาก Google เพื่อสร้างบริการที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งานนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 9 : Going Public

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Google ตอนที่ 7 : Global Goooogling

เข้าสู่ปึ 2003 แต่ละวันจะมีค้นหาข้อมูลด้วยภาษาของตนเองนับสิบ ๆ ล้านครั้งต่อวัน โดย Google สามารถรองรับการใช้งานได้กว่า 100 ภาษา เหล่าผู้คนทั่วโลกต่างใช้ Google ในชีวิตประจำวัน ใช้งานค้นหาทุกอย่างใน Google ตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน อย่างการทำอาหาร เรื่องที่อยู่อาศัย ไปจนถึง การค้นหาค้นคว้าเรื่องการศึกษา ความบันเทิง รวมถึงเรื่องเพศ ก็ตาม

นักธุรกิจ นักลงทุนทั่วโลก รวมถึงเหล่าทนายความของพวกเขา ต่างใช้ Google ในการหาข้อมูลของคู่ค้าก่อนเจรจาการค้าครั้งสำคัญอยู่เสมอ เหล่านักเขียนหนังสือ ต่างค้นหาข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงข้อเท็จจริงโดยใช้ Google

แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐบาล ก็ยังใช้ Google ในการค้นหาเอกสารต่าง ๆ ด้วยตัวเองแทนใช้ผู้ช่วยเหมือนในอดีต วัยรุ่นผู้อยากรู้เนื้อเพลงยอดนิยม ก็แค่ค้นหา จากเนื้อเพลงบางส่วนได้จาก Google แม้กระทั่งสายลับ CIA ยังถึงกับใช้ Google ในการแกะรอยผู้ก่อการร้าย

การพัฒนาซอฟต์แวร์ก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว วิศวกรไม่ต้องไปนั่งหาข้อมูลในห้องสมุดเหมือนในอดีตอีกต่อไป ปัญหาทางคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง Bug ต่าง ๆ สามารถค้นหาต้นตอได้ผ่าน Google 

คนป่วยใช้ Google ค้นหาโรคจากอาการของตน เหล่านักกีฬาค้นหาอุปกรณ์กีฬา หรือแม้กระทั่งตารางการแข่งขันก็สามารถหาได้จาก Google 

การท่องเที่ยวก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เดิมที่ต้องใช้หนังสือท่องเที่ยวเล่มหนาเต๊อะ แต่ตอนนี้สามารถวางแผนการท่องเที่ยวได้ผ่านการค้นหาข้อมูลสถานที่ต่างๆ  ผ่าน Google การท่องไปในโลกกว้างนั้นไม่ได้เป็นเรื่องยากอีกต่อไป แม้จะเข้าถึงยากเพียงใด ก็สามารถค้นหาข้อมูลได้ด้วย Google

ใช้ Google หาข้อมูลท่องเที่ยว
ใช้ Google หาข้อมูลท่องเที่ยว

และ ตอนนี้ Google กำลังเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนเกือบครึ่งค่อนโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่เคยมีผลิตภัณฑ์แบรนด์ใดได้รับการยอมรับเร็วไปกว่า Google ชื่อบริษัทไม่เพียงแต่กลายเป็นคำศัพท์คำหนึ่งที่เก็บลงในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ แต่ยังถูกเก็บในพจนานุกรมภาษาอื่นๆ  อีกหลายภาษา

สิ่งที่การเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตได้เริ่มทำไว้ในทศวรรษ 1960 และสิ่งที่โทรศัพท์ระหว่างประเทศราคาถูกกับ email สั่งสมขึ้นในระยะเวลาหลายปีมานี้ได้ถูกผลักเข้าสู่อาณาจักรใหม่โดย Google 

มันได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปัจจัยในเรื่องถิ่นฐานที่อยู่ที่เคยเป็นอุปสรรคในอดีตต่อทั้งการสื่อสารและค้าขายสินค้าได้หมดไป ผู้คนสามารถติดต่อกับคนแปลกหน้าที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งจากบ้านหรือสำนักงานตัวเอง สามารถที่จะทำความรู้จักพวกเขาได้ผ่าน Google รวมถึงสามารถที่จะดูหน้าตารายละเอียดผ่านรูปภาพได้ผ่านเครื่องมือการค้นหาด้วยภาพ 

แต่มันไม่ได้มีเฉพาะด้านดีเพียงเท่านั้น การค้นหาด้วย Google นั้นทำให้เกิดคำถามมากมายต่อเรื่องของความเป็นส่วนตัว แม้ Google จะนำเอาเทคโนโลยีใหม่ในการสื่อสารมาให้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันได้กลายเป็นการบังคับกลาย ๆ ให้คนยอมรับในพฤติกรรมใหม่ ๆ 

แต่ปัญหาคือ อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างความเป็นส่วนตัวกับสิทธิเสรีภาพในการค้นหาข้อมูล และปัญหาของการที่ข้อมูลที่ค้นหามาได้นั้นเป็นข้อมูลที่ล้าสมัยไปแล้ว บางครั้งก็เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง การเกิดขึ้นของข่าวลือที่ไม่น่าเชื่อถือ Google ก็ถือเป็นส่วนนึงที่ทำให้ข่าวเหล่านี้ถูกส่งต่อแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วใน อินเทอร์เน็ต

ส่งที่ไม่ชอบธรรมในสายตาของคนคือ รูปภาพเก่าที่ไม่น่าดูก็ไปปรากฏอยู่ในโปรแกรมค้นภาพของ Google ด้วย แถมมันยังลบออกยากเสียด้วย คนมีชื่อเสียงหลายคนหากมีมีการทำผิดพลาดในอดีตจึงเลือกที่จะเปลี่ยนชื่อไปเลย เพื่อไม่ให้ไปปรากฏในผลการค้นหาเมื่อค้นด้วยชื่อใหม่

เหล่านักเรียนนักศึกษาทุกวัย กลายเป็นผู้ใช้ Google กันอย่างหนัก แม้เหล่าอาจารย์ทั้งหลายจะพยายามห้ามไม่ให้ใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลในขณะเรียนอยู่ แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์เรานับแต่ Google ได้ถือกำเนิดขึ้น

สถานบันต่าง ๆ นั้นแม้จะส่งเสริมการใช้ห้องสมุด หรือการพบปะพูดคุยกันแบบซึ่ง ๆ หน้าเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเสียมากกว่า ซึ่งมันเป็นวิธีการหาข้อมูลแบบดั้งเดิมที่ผ่านการทดสอบของเวลามาเนิ่นนานแล้ว

Google ได้เปลี่ยนวิถีการเรียนรู้ของมนษย์เราไปอย่างสิ้นเชิง
Google ได้เปลี่ยนวิถีการเรียนรู้ของมนษย์เราไปอย่างสิ้นเชิง

เหล่านักศึกษาก็มีความเห็นที่ต่างกันในเรื่องของคุณประโยชน์ของ Google ส่วนนึงมองว่ามันได้ทำให้เกิดความเกียจคร้านขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการขโมยคัดลอก ไอเดียของผู้อื่น ขัดขวางกระบวนการเรียนรู้แบบดั้งเดิม 

แต่อีกส่วนหนึ่งก็ชื่นชมมัน มันทำให้กระตุ้นให้เกิดการสำรวจเอกสารเบื้องต้นและบทวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา และช่วยลดช่องว่างความแตกต่างระหว่างนักศึกษา ส่งเสริมสิทธิความเท่าเทียมในเรื่องการค้นหาข้อมูล ไม่ว่ามหาวิทยาลัย จะใหญ่หรือจะเล็ก จะรวยหรือจะจน เพราะ Google มันได้สร้างประชาธิปไตยของการเข้าถึงข้อมูลให้เกิดขึ้นมากับโลกเรานั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 8 : April Fools

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Google ตอนที่ 6 : The Google Economy

ในราว ๆ ปี 2002 ในที่สุด Google ก็ได้เริ่มพิสูจน์ตัวเองในฐานะธุรกิจที่สามารถทำเงินได้จริง ๆ จัง ๆ เสียที เหล่านักลงทุนเริ่มได้มองเห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจของ Google ที่กำลังจะมีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อโลกอินเทอร์เน็ต

โปรแกรมค้นหาของ Google ถูกนำไปติดตั้งเป็นโปรแกรมค้นหาหลักของเว๊บไซต์ชื่อดังมากมาย ซึ่งหนึ่งในเว๊บไซต์ที่มีอิทธิพลสูงต่อชาวอเมริกันในขณะนั้น ก็คือ AOL หรือ American Online ซึ่งมีฐานผู้ใช้งานกว่า 34 ล้านคน

ซึ่งความใหญ่โตของ AOL นี่เองที่มันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของก้าวใหม่ของ Google มันได้ช่วยให้การเข้าถึง Google นั้นขยายตัวอย่างมหาศาลมากกว่า partner รายอื่นๆ  ก่อนหน้าที่ Google เคยสร้างพันธมิตรไว้

และความคิดในการนำ Google เข้าไปเป็นโปรแกรมค้นหาหลักของ AOL สืบเนื่องมาจากตัว สตีฟ เคส ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง AOL เองที่ประทับใจในการใช้งาน Google เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่ บริน และ เพจ ให้ความสำคัญกับผู้ใช้เป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและได้ผลที่น่าเชื่อถือนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ไปเตะตาเข้ากับผู้ร่วมก่อตั้ง AOL อย่าง สตีฟ เคส

AOL ที่เป็นเว๊บไซต์ยักษ์ใหญ่ในขณะนั้น
AOL ที่เป็นเว๊บไซต์ยักษ์ใหญ่ในขณะนั้น

ต้องเรียกได้ว่าเป็น Deal ที่ Win-Win ทั้งคู่ทั้งฝั่ง AOL เองที่ได้โปรแกรมค้นหาระดับคุณภาพมาเป็นโปรแกรมค้นหาหลักในเว๊บไซต์ของตัวเอง ส่วน Google นั้นแน่นอนว่าจะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้อีกในปริมาณมหาศาล

ซึ่งทำให้ Google สามารถที่จะทำโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาบนเว๊บไซต์ AOL มีการแบ่งส่วนแบ่งรายได้จากการทำโฆษณา

แม้สองผู้ก่อตั้งอย่างบริน และ เพจ ต้องการจะให้ Google เติบโตอย่างรวดเร็ว และพร้อมจะจ่ายเงินเต็มที่เพื่อให้ได้ร่วมธุรกิจกับ AOL ก็ตาม แต่ เอริก ชมิดต์ นั้น ค่อนข้างเป็นคนที่รอบคอบกว่า เพราะตอนนั้นสถานการณ์ทางด้านการเงินของ Google มีเงินสดอยู่เพียงแค่ 9 ล้านเหรียญในบัญชีเท่านั้น การทุ่มเงินจำนวนมากอาจจะทำให้ Google เดือดร้อนในภายหลังได้ แต่ สุดท้าย บริน และ เพจก็พร้อมที่จะเสี่ยง และผลก็คือสองผู้ก่อตั้งคิดถูกอย่างยิ่งกับ Deal ของ AOL ครั้งนี้

ซึ่งไม่เพียงแค่ AOL เท่านั้น Google ยังเดินหน้าทำสัญญาให้บริการค้นข้อมูลแก่ EarthLink รวมถึง อีก Deal ที่สำคัญกับ ask jeeves ที่เป็นโปรแกรมค้นหาคู่แข่ง ในการจัดหาโฆษณาที่เป็นข้อความให้ รวมถึง Ask Jeeves ยังคงเสนอผลการค้นหาของตนบนฐานของเทคโนโลยีที่ตนเป็นเจ้าของ ซึ่งการเป็นหุ้นส่วนกับคู่แข่งที่สำคัญนี่เอง มันคือสัญญาณบอกว่า Google กำลังโตขึ้นอีกระดับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

google ดึงคู่แข่งอย่าง Ask Jeeves มาเป็นพันธมิตร
google ดึงคู่แข่งอย่าง Ask Jeeves มาเป็นพันธมิตร

ถึงตอนนี้ โปรแกรมค้นหาของ Google นั้นทำตลาดแทบจะตลอด 24 ชั่วโมงในทุก ๆ วัน มันมีคำหรือ วลีนับล้านคำ ที่ผู้คนกำลังค้นหา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าและบริการแทบจะทั้งสิ้น ตัวอย่างชื่อสินค้าประจำวันเช่น “Pet food” อาจจะมีราคาประมํูลที่ถูก กว่า คำอย่าง “Investment Advice” ซึ่งเป็นกลไกของตลาดในเรื่องราคาที่ผู้ลงโฆษณายินดีที่จะจ่ายเพื่อให้โฆษณาของตนได้ปรากฏเมื่อมีคนค้นหาคำ ๆ นั้นบน Google

มันทำให้ Google ได้เงินทุกครั้งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์คลิกบนโฆษณา ที่มันแสดงขึ้นบนผลการค้นหา และมันถูกทำงานแบบอัตโนมัติ โดยระบบการประมูลออนไลน์ ซึ่งมันทำให้ Google มั่นใจได้ว่า จะได้รับราคาที่ดีที่สุดอยู่เสมอ และสร้างกระแสเงินสดปริมาณมหาศาลให้ Google มากขึ้นเรื่อย ๆ 

มันได้ทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกมากมาย ทั้งระบบทำงานแบบอัตโนมัติ หรือ การเกิดขึ้นของเหล่านักการตลาดมืออาชีพ ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญการทำการตลาดผ่าน Google หรือ เหล่านักสร้าง Content ให้ติดอันดับการค้นหาใน Google ในผลการค้นหาแรก ๆ 

บริษัททั้งขนาดใหญ่ และ ขนาดเล็กนั้น ได้เข้ามาร่วมการประมูลคำหลัก ๆ เหล่านี้ และทำการส่งเงินมาให้ Google ทุก ๆ วันกว่าหลายล้านเหรียญ การที่สามารถเข้าไปใช้งานด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาสื่อเก่า ๆ อย่าง ทีวี หรือ วิทยุ ทำให้ เหล่าธุรกิจขนาดย่อมสามารถที่จะร่วมในการแข่งประมูลคำเหล่านี้ได้

ระบบประมูลคำค้นหา เป็นเครื่องจักรผลิตเงินให้ Google ตลอด 24 ชม.
ระบบประมูลคำค้นหา เป็นเครื่องจักรผลิตเงินให้ Google ตลอด 24 ชม.

แต่อย่างไรก็ดีนั้น การประมูลราคาที่สูงสุด ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะทำให้โฆษณาขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของผลการค้นหา Google นั้นจะพิจารณา เรื่องความน่าสนใจของโฆษณาเป็นอีกปัจจัยด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ราคาประมูลที่สูงที่สุดเท่านั้น มันทำให้เหล่านักโฆษณาต้องมีการปรับปรุงโฆษณาให้ดึงดูดผู้ใช้งานให้มาคลิกให้มากที่สุด

การได้ทั้ง Yahoo , AOL , EarthLink และ Ask Jeeves มาเป็นหุ้นส่วนนั้น ทำให้อิทธิพลของ Google ต่อโลกอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น และกลายเป็นที่รู้จักมากที่สุด ซึ่งผลจากการกลายเป็นโปรแกรมหลักในเครือข่ายการค้นหาเหล่านี้ สุดท้ายก็ทำให้ผู้คนรู้จัก Google มากยิ่งขึ้น กลายเป็นเครือข่ายผลิตเงินให้ Google ในที่สุด

และมันส่งผลให้ฐานะทางการเงินของ Google เติบโตขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ ในปี 2002 นั้น Google สร้างรายได้ 440 ล้านเหรียญ และสามารถทำกำไรได้ถึงกว่า 100 ล้านเหรียญ ซึ่งกำไรทั้งหมดมันมาจากการที่ผู้ใช้คลิกข้อความโฆษณาที่วางอยู่ทางขวาในหน้ารายงานผลการค้นหาบน Google.com

มันทำให้ บริน เพจ และ เอริก ชมิดต์ สามารถจะผลักดันให้ Google เติบโตได้อย่างเต็มที่ พวกเขาแทบจะปิดปากเงียบสนิท เกี่ยวกับตัวเลขทางการเงินเพื่อไม่ให้คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Microsoft และ Yahoo รู้ว่าการค้นข้อมูลออนไลน์และธุรกิจการโฆษณาของตนนั้นทำกำไรได้มหาศาลขนาดไหน ซึ่งกว่าที่เหล่ายักษ์ใหญ่เหล่านี้จะรู้เท่าทัน Google ก็ได้พัฒนาบริการของตนเองจน ยากที่คู่แข่งจะตามทันเสียแล้ว

MSN ของยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ยังไม่รู้ว่าจะถูกแย่งชิงเค้กจากเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์โดย Google
MSN ของยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ยังไม่รู้ว่าจะถูกแย่งชิงเค้กจากเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์โดย Google

การเป็นผู้ริเริ่มทำเป็นคนแรก และการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอเมริกาของ Google มันได้ย้ายเงินโฆษณาที่เดิมต้องจ่ายให้สื่อเก่า ๆ อย่าง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ และ นิตยสาร มายังอินเทอร์เน็ตแทน และตอนนี้ บริษัทซึ่งตั้งเป้าหมายแรกเพียงแค่ต้องการเป็นผู้สนองการค้นข้อมูลเพียงอย่างเดียวอย่าง Google ได้ก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจของบริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ต ผ่านการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตได้สำเร็จแล้ว 

แล้วเหล่ายักษ์ใหญ่ จะรู้ตัวเมื่อไหร่ ว่าพวกเขากำลังถูกแย่งชิงเค้กเม็ดเงินโฆษณาทางออนไลน์จำนวนมหาศาลที่ Google ดึงมาได้สำเร็จ และจะตอบโต้กับ การเติบโตที่รวดเร็วของ Google ได้อย่างไร Google จะทะยานไปทางไหนต่อ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

-> อ่านตอนที่ 7 : Global Goooogling

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Google ตอนที่ 5 : Hiring a Pilot

เอริก ชมิดต์ ไม่ได้มีความคิดที่จะมาเยี่ยมเยียน Google เลยในขณะที่เขาได้เดินทางมาพบ บริน และ เพจ ในเดือนธันวาคมปี 2000 แต่เนื่องจอห์น โดเออร์ แห่ง ไคลเนอร์ เปอร์กินส์ ที่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับ เอริก ชมิดต์ ซึ่ง โดเออร์นั้นอยากให้ ชมิดต์ ได้เข้าไปมีบทบาทไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ไปมีบทบาทในคณะบริหาร 

ชมิดต์ นั้นไม่เชื่อแต่แรกเริ่มว่าจะมีคนสนใจโปรแกรมค้นหาแบบจริง ๆ จัง  ๆ และจะสามารถทำให้มันเป็นธุรกิจได้ และในขณะนั้น ชมิดต์ ซึ่งกำลังเป็น CEO ของ Novell บริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดัง ก็ยังไม่ได้มีแนวคิดที่จะหางานใหม่แต่อย่างใด แต่สถานการณ์ของ Novell ขณะนั้นกำลังจะถูกขาย มันคือโชคชะตาลิขิตบางอย่างที่ทำให้ชมิดต์ ต้องเข้ามาร่วมหัวจมท้ายกับ เหล่าผู้ก่อตั้ง Google

เอริก ชมิดต์ ที่ขณะนั้นเป็น CEO ของ Novell อยู่
เอริก ชมิดต์ ที่ขณะนั้นเป็น CEO ของ Novell อยู่

และในทางฟากฝั่งของสองคู่หู Google อย่าง บริน และ เพจ ก็คิดเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นทั้งสองยังไม่ได้ต้องการหาคนอื่นมาเพื่อช่วยพวกเขา พวกเขากำลังสนุกกับการปั้นแต่ง Google ให้กลายเป็นโปรแกรมค้นหาระดับโลกให้ได้ และ การไปพบกับ ชมิดต์ ก็เหตุผลอันเดียวกัน เพราะต้องเอาใจโดเออร์ และ โมริตซ์ นักลงทุนรายใหญ่ของพวกเขาเพียงเท่านั้น

ทั้งบรินและเพจ ยังไม่ต้องการให้มีใครมาจุ้นจ้านใน Google โดยเฉพาะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ซึ่งพวกเขามองว่ามันเป็นการทำให้การสร้างสรรค์ของพวกเขาอาจจะต้องหยุดชะงักลง

มันเป็นเวลากว่า 16 เดือนแล้วที่ โดเออร์ พยายามที่จะควานหามือดีมาทำหน้าที่  CEO ให้กับ Google แต่มันยังไม่มีใครหน้าไหนที่ทำให้สองคู่หูผู้ก่อตั้งอย่าง บริน และ เพจ พอใจได้เลย ทั้งสองปฏิเสธคนมานับต่อนับ ในสายต่อของพวกเขานั้น ทุกอย่างที่ Google กำลังไปได้สวยในสายตาของพวกเขา และทั้งคู่พยายามสุดความสามารถในการทำให้คนที่โดเออร์ส่งมานั้นไม่มีใครอยากกลับมาทำงานด้วยเลย

จอห์น โดเออร์ ต้องการ CEO มาช่วยประคับประคองสองคู่หูผู้ก่อตั้ง Google
จอห์น โดเออร์ ต้องการ CEO มาช่วยประคับประคองสองคู่หูผู้ก่อตั้ง Google

การพบกันครั้งแรกของพวกเขาทั้งสามนั้น เต็มไปด้วยการถกเถียง บริน นั้นเริ่มโจมตี ชมิดต์ก่อนเลย เกี่ยวกับ ความอ่อนด้อย ของ ชมิดต์ ในการใช้ยุทธศาสตร์กับบริษัท Novell ที่เขาทำงานอยู่ และชมิดต์ ก็เถียงกับอย่างรุนแรง แต่มันเป็นการเถียงกันด้วยปัญญาล้วน ๆ โต้กันไปโต้กันมา ซึ่งครั้งนี้ มันทำให้ ชมิดต์เริ่มเอนเอียง เพราะ เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้ถกเถียงกับใครสนุกเท่ากับการถกเถียงกับคู่หูผู้ก่อตั้ง Google อย่าง บริน และ เพจ

และการถกเถียงครั้งนี้ ทำให้สองคู่หูนั้นเริ่มหันมาสนใจ ชมิดต์ หลังจากปฏิเสธตัวเลือกหลายคนก่อนหน้านี้ไปอย่างไม่ใยดี สิ่งที่สองคู่หูชอบชมิดต์ คือ เขาไม่เพียงเป็น CEO มากประสบการณ์เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ รู้ลึก รู้จริง เสียด้วย ซึ่งเป็นที่ถูกใจกับเหล่าผู้ก่อตั้ง Google เป็นอย่างมาก และความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสามมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ซึ่งในที่สุดนั้น ชมิดต์ ก็บรรลุข้อตกลงกับ บริน และ เพจในเดือนมกราคมปี 2001 และสรุปทุกอย่างลงตัวในเรื่องการเงินและกฏหมายในเดือนมีนาคม 2001 โดยที่ ตั้งแต่เดือนมีนาคม จนถึงเดือนกรกฏาคม นั้น ชมิดต์จะควบตำแหน่งประธาน Google และ CEO ของ Novell โดยจะใช้เวลาที่ Google หลังจากทำงานประจำวันที่ Novell เสร็จเรียบร้อยแล้ว

และเมื่อการควบรวมกิจการของ Novell เสร็จสิ้นในเดือนกรกฏาคมปี 2001 เขาจะเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Google อย่างเป็นทางการ และเขายังได้จ่ายเงินส่วนตัวกว่า 1 ล้านเหรียญเพื่อซื้อหุ้นบุริมสิทธิใน Google อีกด้วย

ชมิดต์ นั้นมีภารกิจมากมายที่ต้องทำใน Google เขารู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่เขาต้องชักจูง บรินและเพจ ให้ยอมรับความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจด้วย ยกตัวอย่างเช่น การบันทึกข้อมูลด้านการเงินและระบบเงินเดือนนั้นให้ปรับมาใช้ซอฟต์แวร์มาตรฐานของ Quicken

และงานในสองปีแรกของชมิดต์ นั้น คือ การวางโครงสร้างทางธุรกิจและการจัดการไว้รอบวิสัยทัศน์ และ สิ่งต่าง ๆ ที่ บรินกับเพจ ได้ร่วมสร้างกันมาก่อนหน้าแล้ว  และผลักดันวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งทั้งสองเข้าไปในเส้นทางที่มีโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสร้างรายได้ที่สามารถจับต้องได้ และ มาหล่อเลี้ยงธุรกิจได้จริง ๆ 

ซึ่งกลุ่มสามคนก็สามารถที่จะหล่อรวมกันทำงานเป็นทีมได้ดีขึ้นด้วยความช่วยเหลือของคนนอกคนหนึ่ง คือ บิลล์ แคมพ์เบลล์ CEO ของ Intuit ซึ่งโดเออร์พาเข้ามาช่วยแนะนำพวกเขา มันทำให้ชมิดต์ ได้เรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะต้องสู้ เมื่อไหร่ต้องหาทางอื่น และจะหลอมรวมความไว้ใจต่าง ๆ ให้ทำงานไปอย่างลุล่วง ซึ่งมันได้ส่วนผสมที่ลงตัวของ Google โดย บริน เป็นนักวิ่งเต้นทางธุรกิจที่มีพรสวรรค์ ส่วน เพจ นั้น เป็นนักเทคโนโยลีที่ลึกล้ำที่สุดในกลุ่มสามคน ส่วน ชมิดต์  จะเน้นไปที่รายละเอียดของการดำเนินธุรกิจ

บิลล์ แคมพ์เบลล์ โค้ช CEO ระดับตำนาน มาคอยเป็นที่ปรึกษาให้ทั้งสาม
บิลล์ แคมพ์เบลล์ โค้ช CEO ระดับตำนาน มาคอยเป็นที่ปรึกษาให้ทั้งสาม

และเมื่อ Google ได้เริ่มเติบโตขึ้น มันก็ได้เห็นความจำเป็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ กับสิ่งที่ จอห์น โดเออร์ทำในการกระตุ้นให้ บรินและเพจ จ้าง ชมิดต์เข้ามาเป็น CEO นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และการได้ บิลล์ แคมพ์เบลล์ โค้ช CEO ในตำนานมาช่วยเหลือในฐานะที่ปรึกษานั้น ก็ส่งผลช่วยให้ทั้งสามนั้นร่วมกันทำงานได้อย่างดียิ่งขึ้น พวกเขาได้รับการชี้แนะที่จำเป็น ในการดำเนินธุรกิจที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว ในรูปแบบของมืออาชีพ ในขณะที่การสร้างนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบในบริษัทยุคใหม่นั้น กำลังเดินหน้าอย่างเต็มที่ ในที่สุด พวกเขาทั้งสามก็ได้ยอมรับระบบการบริหารแบบใหม่ ซึ่งมีกลุ่มคนสามคนอยู่ชั้นสูงสุด

แม้ดูเหมือน เอริก ชมิดต์ จะรั้งตำแหน่ง CEO ในกลุ่มสามคนที่ดูเหมือนจะมีอำนาจสูงสุด  แต่ในไม่ใช้ชมิดต์ ก็พบว่า อำนาจที่เขาได้มานั้นมันไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมเหล่าคู่หูผู้ก่อตั้งทั้งสองที่ชอบเล่นนอกกรอบอยู่ตลอดเวลา ถึงตอนนี้ Google ก็ได้มืออาชีพมาคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับคู่หูทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ Google พร้อมที่จะทยานไปข้างหน้าแบบมืออาชีพ และการรังสรรค์นวัตกรรมที่เตรียมที่จะออกมาอย่างต่อเนื่องนับต่อจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับ Google ต่อไป โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 6 : The Google Economy

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ