Geek Story EP35 : ประวัติ Elon Musk The Real Life Iron Man (ตอนที่ 2)

ต้องบอกว่าจากตอนที่แล้ว ในช่วงเรียนมหาลัยนี่เอง ที่ทำให้ อีลอน มัสก์ เกิดไอเดียที่ยิ่งใหญ่มากมาย ในหัว ทั้งเรื่องเกมส์ เรื่องอินเตอร์เน็ต พลังงานที่ไร้ขีดจำกัด และเรื่องการเดินทางในอวกาศ  ซึ่งล้วนแล้วแต่จะเป็นสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ในอนาคตแทบจะทั้งสิ้น 

จากตอนนี้จะเห็นว่า ชีวิตในมหาลัยของมัสก์ นั้นเปลี่ยนจากช่วงมัธยมอย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มเข้ากับผู้คนได้ และเริ่มมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ที่มันกำลังจะเกิดขึ้นจริง แล้วหลังจากเขาเรียนจบมหาลัย จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ อีลอน มัสก์ เขาจะหาเงินทุนมาสร้างธุรกิจที่เป็นไอเดียบรรเจิดของเขาได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2SNK31I

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/33TMZ34

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/4ppmN611gkw

References : https://www.tharadhol.com/blog-series-elon-musk-the-real-life-iron-man/
https://www.businessinsider.com/paypal-mafia-members-careers-elon-musk-peter-thiel-reid-hoffman-2019-11

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 16 : End of the Begining

ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเราที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าเหล่า Inventor หรือนักคิดนักประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ นั้น มักจะถูกมองหาว่าคิดเรื่องที่เพ้อฝันมาก่อนแทบจะทั้งสิ้น ไม่จะเป็น โธมัส เอดิสัน , นิโคลา เทสลา หรือ แม้กระทั่งตัว อีลอน มัสก์ เองก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขายึดไว้เหมือนกันคือ การอดทนต่อคำวิจารณ์เหล่านี้ แล้วแสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขาทำได้ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโลกเราให้ดีขึ้นแทบจะทั้งสิ้น

พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้คิดแค่เพียงเรื่องของเงินทองเท่านั้น มันเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่ง เพื่อขับเคลื่อนพวกเขาให้ก้าวนอกกรอบความคิดเดิม ๆ ที่เคยมามีให้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญอย่างนึง ที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนโลกเราได้

สำหรับคำถามที่ว่า มัสก์กำลังนำพาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไปสู่จุดสูงสุดครั้งใหม่ เหมือนที่เกตส์ กับ จ๊อบส์ เคยทำได้หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกัน แม้ ไอเดียต่าง ๆ ของมัสก์ จะเป็น ไอเดียที่เปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นแทบจะทั้งสิ้น

แต่ก็มีบางฝ่าย ที่มองเห็นว่า ทั้ง Tesla , SpaceX หรือ SolarCity นั้น เป็นเพียงการมอบความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แก่อุตสาหกรรม ว่าจะสามารถใช้นวัตกรรมอันยิ่งใหญ่ได้ ส่วนอีกฝ่ายก็มองว่า มัสก์ นั้นคือตัวจริงเสียงจริง เขากำลังจะกลายเป็นดาวดวงใหม่ที่กำลังเปล่งประกายสว่างสไวที่สุดของสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีที่กำลังมาถึง

หากจะทำความเข้าใจว่างานของมัสก์ ที่เขากำลังสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น  ท้ายที่สุดแล้วจะทรงพลังมากแค่ไหนสำหรับเศรษฐกิจอเมริกัน ก็ต้องลองนึกถึงเครื่องจักรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ ซึ่งนั่นก็คือ สมาร์ทโฟน ในยุคก่อน iPhone นั้น สำหรัฐเป็นพวกที่ล้าหลังในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม มือถือและอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้งหลายล้วนอยู่ในทวีปยุโรปและเอเชียเพียงเท่านั้น

แต่เมื่อการมาถึงของ iPhone ที่ สตีฟ จ๊อบส์ ได้เปิดตัวขึ้นในปี 2007 มันก็ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล อุปกรณ์ของ จ๊อบส์ ชิ้นนี้เลียนแบบฟังก์ชันการทำงานหลายอย่างของคอมพิวเตอร์ และเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ เข้ามาด้วย application รวมถึง เซ็นเซอร์ต่าง ๆ

การเปิดตัว iPhone ของสตีฟ จ๊อบส์ในปี 2007 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมมือถือในอเมริกา
การเปิดตัว iPhone ของสตีฟ จ๊อบส์ในปี 2007 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมมือถือในอเมริกา

ซึ่งตามมาด้วยการที่ google บุกด้วยตลาดทางด้านซอฟต์แวร์แอนดรอยด์ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี สหรัฐก็กลับมาผงาดขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอุปกรณ์พกพา และสร้างการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการผู้ใช้งานที่มีอยู่ทั่วโลกในเวลาเดียวกัน

มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาก ๆ ของซิลิกอน วัลเลย์ ที่ทำให้อเมริกา กลับมาเชิดหน้าชูตาในอุตสาหกรรมนี้ได้อีกครั้ง ซึ่งมันนำไปสู่ความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ ผลักดัน apple ให้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกได้สำเร็จ ซึ่งสามารถส่งขายอุปกรณ์อันชาญฉลาดไปยังทั่วโลก กว่าหลายพันล้านชิ้น

และตอนนี้ งานของอีลอน มัสก์ กำลังอยู่ในจุดที่สูงสุดของกระแสใหม่ ที่เป็นการรวมกันระหว่างซอฟต์แวร์อัจฉริยะ กับ ฮาร์ดแวร์ การที่ทั้ง Tesla และ SpaceX นั้นใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึง ซอฟต์แวร์เข้ามาจัดการภายใน นั่นถือว่าเป็นการผนวกศาสตร์ทางด้านอุตสาหกรรมของโลกยุคเก่า เข้ากับ เทคโนโลยีของผู้บริโภคในราคาถูก ของโลกยุคใหม่ มันเป็นการหล่อหลอมรวม แล้วสร้างมันให้กลายเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศอเมริกาเลยก็ว่าได้

ในตอนนี้ เท่าที่ ซิลิกอนวัลเลย์ พยายามหาผู้สืบทอดบทบาทของจ๊อบส์เพื่อที่จะเป็นแรงชี้นำอันทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมา ดูเหมือว่า มัสก์ เป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุด แน่นอนว่าเขาเป็นชายสายเทคโนโลยีมาตั้งแต่แรกในการสร้าง Zip2

มัสก์ ผู้ที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะสืบทอด สตีฟ จ๊อบส์
มัสก์ ผู้ที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะสืบทอด สตีฟ จ๊อบส์

มัสก์ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์โชกโชน และเหล่าบุคคลผู้เป็นตำนาน ต่างยกให้เขาเป็นคนที่น่าเลื่อมใสที่สุด ยิ่งเมื่อ Tesla กำลังกระโจนเข้าสู่กระแสหลักมากขึ้นเท่าไหร่ ชื่อเสียงของมัสก์ก็ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น

การที่รถยนต์ Tesla อย่าง Model 3 นั้นสามารถทำยอดขายได้ถล่มทลาย มันจึงเป็นเป็นการโชว์ผลงานให้ประจักษ์ว่ามัสก์คือบุคคลหายากที่สามารถคิดใหม่ทำใหม่ในอุตสาหกรรม เขามีทักษะที่อ่านผู้บริโภคออก แบบเดียวกับที่จ๊อบส์ทำได้ การบริหารก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม และไอเดียของเขา ก็เริ่มหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาเรื่อย ๆที่พร้อมจะเปลี่ยนโลกเราให้ดีขึ้น

ทศวรรษต่อไปของบริษัทในเครือของมัสก์ น่าจะมีอะไรที่พิเศษ และสร้างความตื่นเต้นให้ชาวโลกได้พอสมควร ตัวมัสก์เองก็ได้เปิดทางให้ตัวเองกลายเป็นหนึ่งในนักนวัติกรรมและนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

มัสก์ พิสูจน์ ให้เห็นถึงความสำเร็จของเขา ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
มัสก์ พิสูจน์ ให้เห็นถึงความสำเร็จของเขา ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

คาดการณ์กันว่า ภายในปี 2025 นั้น เป็นไปได้ว่า Tesla จะผลิตรถยนต์ให้กลายเป็นกระแสหลักของตลาดได้สำเร็จ และเป็นกำลังหลักในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเฟื่องฟู รวมถึงการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของ SolarCity จึงมีโอกาสที่บริษัทจะผงาดขึ้นเป็นบริษัทสาธารณูปโภคขนาดยักษ์ และเป็นผู้นำในตลาดพลังงานแสงอาทิตย์

แล้ว SpaceX ล่ะ มันเป็นความตื่นเต้นของมนุษยชาติมากที่สุดเลยก็ว่าได้ SpaceX น่าจะจัดเที่ยวบินขนส่งมนุษย์และสัมภาระขึ้นสู่อวกาศได้ทุกสัปดาห์ และการเดินทางไปยังดาวอังคารคงไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอีกต่อไปในอนาคต

ซึ่งถ้าทุกสิ่งเกิดขึ้นตามนี้ มัสก์ ซึ่งตอนนั้นจะอยู่ในวัยห้าสิบกลางๆ ก็จะกลายเป็นชายผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และอยู่ในหมู่คนที่มีอิทธิพลมากที่สุดทันที เขาจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทมหาชนสามแห่ง

ซึ่งจริงอยู่ที่ว่า อนาคต นั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บริษัททั้งสามก็กำลังผจญกับปัญหาแตกต่างกันไป แต่มัสก์ ก็ได้เดิมพันครั้งยิ่งใหญ่กับการประดิษฐ์คิดค้นของมนุษย์และความสามารถของพลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ รวมถึงเทคโนโลยีการบินและอวกาศ มันเป็นความเสี่ยงที่มัสก์นั้นพร้อมที่จะรับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเป้าหมายของเขามันยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่ใครจะคาดถึงนั่งเอง

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Elon Musk จาก Blog Series ชุดนี้

ก่อนหน้านี้ผมได้เขียน Blog Series มามากมาย ที่เกี่ยวกับเหล่านักธุรกิจ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ แต่เมื่อได้เรียนรู้จากทุกคนนั้นจะพบว่า มัสก์ เป็นคนที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง

มัสก์มองปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกเราเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงานทดแทน หรือ การเดินทางในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการสร้างฝันของเขาให้สำเร็จขึ้นมาได้

ทั้ง SpaceX , Tesla หรือ SolarCity นั้น เป็นบริษัทที่ล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมที่มี Impact ต่อโลกเราอย่างมหาศาล ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นมีหลายคนเคยปรามาสว่าเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน และไม่มีทางเป็นไปได้ แต่มัสก์ ก็ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าแม้จะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ หรือ ยากเย็นเพียงใด เขาก็สามารถทำมันให้เห็นผลเป็นประจักษ์ได้สำเร็จ

เขาจับอุตสาหกรรมอย่างยานอวกาศ และ รถยนต์ ที่อเมริกาเหมือนจะถอดใจไปแล้ว และพลิกโฉมจนมันกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้สำเร็จ ซึ่งหัวใจหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้คือทักษะของมัสก์ในฐานะผู้สร้างซอฟต์แวร์และความสามารถในการประยุกต์มันเข้ากับเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ตอนนี้ มัสก์ ยังไม่มีสินค้ายอดฮิตในหมู่ผู้บริโภคเหมือนอย่าง iPhone หรือเข้าถึงคนมากกว่าพันล้านคนเหมือนอย่าง facebook ทำได้ แต่สิ่งที่เขาทำล้วนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่น้อยคนนักจะกล้าเข้ามาเสี่ยงทำเหมือนที่เขากำลังทำอยู่

อีลอน มัสก์ เป็นตัวอย่างของผู้ประกอบการในซิลิกอน วัลเลย์ ที่ทำให้เห็นถึงอุตสาหกรรมใหม่ของเทคโนโลยี ทั้งของประเทศอเมริกาเอง รวมถึง ของโลกเราในอนาคต เขาไม่ใช่พวกที่แค่มัวไล่ตามหุ้นไอพีโอ เหมือนคนอื่นๆ  เพราะสิ่งเหล่านั้นมันไมใช่เรื่องยากเลยสำหรับเขา เมื่อพิจารณาถึงความอัจฉริยะของเขา แต่เขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก

การหลอมรวมกันอย่างกลมกลืนของซอฟต์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุล้ำสมัย และประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ มันคือพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของมัสก์ ที่ยากจะหาใครเทียบได้ในยุคปัจจุบัน 

เขาคือนักประดิษฐ์ นักธุรกิจ และนักอุตสาหกรรมที่มีไอเดียยิ่งใหญ่ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสินค้าที่ยิ่งใหญ่ได้ เขาเป็นนักคิดที่แหวกแนว  นักอุตสาหกรรมที่ก้าวล้ำที่สุดของอเมริกา หรืออาจจะเป็นก้าวล้ำที่สุดของโลกเราแล้วก็ว่าได้ในตอนนี้

มัสก์ เป็นนักประดิษฐ์ ที่เทียบเคียงได้กับผู้ยิ่งใหญ่อย่าง โทมัส เอดิสัน
มัสก์ เป็นนักประดิษฐ์ ที่เทียบเคียงได้กับผู้ยิ่งใหญ่อย่าง โทมัส เอดิสัน

และโดยส่วนตัวผมก็มั่นใจว่า เขาจะกลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุด ที่โลกของเราต้องจารึกไว้ ในฐานะนักนวัตกรรม ไม่ต่างจากที่เราเคยเทิดทูน โทมัส เอดิสัน , นิโคลา เทสลา หรือ เฮนรี่ ฟอร์ด และที่สำคัญ มัสก์ ถือเป็นแรงบันดาลใจให้เหล่าผู้คน หันมาสรรค์สร้างสิ่งใหม่ ๆ และช่วยกันแก้ปัญหาของโลกเราใน Scale ที่ใหญ่ขึ้นเหมือนสิ่งที่มัสก์กำลังทำ ซึ่งเขาทำสิ่งที่ต้องการ และเขาจะไม่รามือกับมัน เพราะนั่นแหละคือโลกของชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์  
และคงจะไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่าเขาคือ The Real Iron Man ผู้ซึ่งเป็น โทนี่ สตาร์กในโลกแห่งความจริงนั่นเอง

–> อ่านตอนพิเศษ : Difficult and Painful

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 7 : Joining the Mafia

หลังจากขาย Zip2 ให้กับ คอมแพค ได้สำเร็จ มัสก์ ก็กลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ ทันที มันเป็นความสำเร็จในการทำธุรกิจครั้งแรก มันมาด้วยช่วงจังหวะ และโอกาสที่เหมาะสม สำหรับเขาเป็นอย่างมากสำหรับธุรกิจแรกอย่าง Zip2 แต่ตอนนี้เขากำลังมองหาธุรกิจใหม่ ที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีเงินมหาศาล ซึ่งธุรกิจนั้นก็คือ ธนาคาร ซึ่งมัสก์มองว่า เหล่าพวกนายธนาคารทังหลายนั้น รวย แต่ โง่ !!!

แล้วแนวคิดเรื่องการตั้งธนาคารบนอินเตอร์เน็ต มันมาจากไหน? ก็ต้องบอกว่า มัสก์นั้นเคยฝึกงานที่ ธนาคารโนวาสโกเทีย ซึ่งในตอนนั้น เขาได้สะดุดถึงโอกาสทางธุรกิจ แต่เขาก็พยายามบอกเรื่องดังกล่าวกับเหล่าผู้บริหารแต่ไม่มีใครสนใจความคิดเขา 

แต่มันเริ่มตกผลึกจริง ๆ จัง ๆ ก็ตอนที่มัสก์ นั้นไปฝึกงานที่สถานบันวิจัย Pinnacle Research ในปี 1995 ที่ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ ระดับ อัจฉริยะอยู่เต็มไปหมด มัสก์ พยายามที่จะนำเสนอ ไอเดียการชำระเงินในระบบออนไลน์ผ่าน internet 

Pinnacle Research ที่เต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ
Pinnacle Research ที่เต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ

แต่ตอนนั้น แทบจะไม่มีใครมาสนับสนุนแนวความคิดนี้ ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ใครจะบ้ามาจ่ายเงินผ่าน internet เงินดิจิตอล มันเป็นความเพ้อฝัน ซึ่งในตอนนั้น amazon.com ก็เริ่มที่จะให้ชำระเงินได้ผ่านออนไลน์ แต่ การแจ้งบัตรเครดิตนั้นก็ยังผ่านระบบโทรศัพท์อยู่ดี ยังไม่มีใครกล้าที่จะให้ข้อมูลบัตรเครดิตไปยังโลกออนไลน์

แต่ความคิดของมัสก์ นั้นไปไกลมาก เขาถึงขั้นที่จะสร้างสถาบันการเงินแบบออนไลน์เลยด้วยซ้ำ มีบริการทุกอย่างครอบคลุมเหมือนกับธนาคารสาขาปรกตินั่นเอง แต่ปัญหาใหญ่ของแนวคิดมัสก์ คือ กฏระเบียบต่าง ๆ ที่คอยควบคุมวงการการเงินและธนาคารของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่โบราณคร่ำครึ

แต่มันไม่ได้ทำให้มัสก์ ย่อท้อแต่อย่างใด ในช่วงเดียวกับที่ขาย Zip2 นั้นเขาก็ได้เตรียมเปิดบริษัททางด้านการเงินใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว และชักชวนเพื่อนร่วมงานที่ Zip2 รวมถึงเพื่อนสมัยฝึกงานในธนาคารโนวาสโกเทีย มาร่วมกันสร้างบริษัท X.com 

แถมยังได้บุคคลที่มีประสบการณ์ด้านการเงินอย่าง แฮร์ริส ฟริคเคอร์ และ คริสโตเฟอร์ เพย์น ที่นำความรู้เรื่องกลไกในโลกธนาคารมาให้กับ X.com ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่มองเห็นอย่างเดียวกันคือ การต้องปฏิวัติอุตสาหกรรมธนาคาร ที่มีมากว่าหลายร้อยปี โดยใช้ อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ให้จงได้

X.com บริการที่จะมาปฏิวัติวงการการเงิน
X.com บริการที่จะมาปฏิวัติวงการการเงิน

แต่การเริ่มต้นก็ไม่ได้หอมหวนอย่างที่คิด เพราะเพียงแค่ 5 เดือนแรก มัสก์ กับ ฟริคเคอร์ ก็เริ่มมีปัญหากัน ฟริคเคอร์ต้องการยึดอำนาจใน X.com และต้องการเป็น CEO และคนอย่างมัสก์ ก็ไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว ทำให้ทั้งสองแตกหักกันอย่างรวดเร็ว ฟริคเคอร์ คนที่สำคัญมีความรู้ด้านโลกการเงินต้องเดินจากไป

ปัญหาใหญ่ของ X.com มันอยู่ที่ข้อกฏหมาย ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ X.com ได้เกิด แต่มัสก์ ก็ได้ว่าจ้างทีมงานมืออาชีพ เพิ่มขึ้น รวมถึงเร่งเหล่าทีมวิศวกรให้พัฒนาซอฟท์แวร์ให้เส็ดเร็วที่สุด

และในไม่กี่สัปดาห์ X.com เวอร์ชั่นแรก ก็พร้อมปล่อยออกไปให้โลกได้ยลโฉมเสียที รวมถึงข้อกฏหมายต่าง  ๆ มัสก์ก็ได้ว่าจ้างเหล่านักกฏหมายมืออาชีพ มาจัดการได้อย่างเรียบร้อย และมันก็พร้อมออนไลน์ครั้งแรกในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าในปี 1999

และเพื่อให้ลูกค้าเข้ามาใช้งานมากที่สุด มัสก์ นั้นได้จัดโปรโมชั่น เต็มที่เพื่อ โปรโมต X.com ให้ติดตลาดเร็วที่สุด เขาแจกเงิน 20 เหรียญ เพียงแค่คนสมัครมาใช้บริการ รวมถึงแจกอีก 10 เหรียญเพียงแค่แนะนำต่อให้คนรู้จักได้ใช้

เรียกได้ว่า บริการ X.com มันเป็นการปฏิวัติวงการการเงินของอเมริกาเลยก็ว่าได้ เขากำจัดค่าธรรมเนียม ที่เดิมต้องจ่ายให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ ออกไปทั้งสิ้น เพื่อดึงดูดใจคนให้มาใช้งานให้มากที่สุด 

นวัตกรรมที่เด่นที่สุดของ X.com คือ การจ่ายเงินแบบบุคคลต่อบุคคล ซึ่งทำได้เพียงง่ายได้เพีงแค่ใส่ email ของผู้ที่ต้องการส่งเงินไปในเว๊บไซต์ และสามารถทำได้โดยการคลิกเมาส์เพียงไม่กี่ครั้ง เงินก็ไปถึงคนที่คุณรักได้แล้ว

แต่แค่เพียงไม่นาน ก็เกิดคู่แข่งที่สำคัญ สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ที่ชื่อ Confinity ที่นำโดย ปีเตอร์ ธีล ที่ได้เปิดบริการอย่าง paypal เข้ามาแข่งกับ X.com โดยตรง มันเป็นสงครามที่ดุเดือด ใครที่เป็นฝ่ายชนะ จะได้เขียนประวัติศาสตร์การปฏวัติอุตสาหกรรมทางด้านการเงินแต่เพียงผู้เดียว

ปีเตอร์ ธีล ที่สร้าง paypal มาเป็นคู่แข่ง x.com ของมัสก์โดยตรง
ปีเตอร์ ธีล ที่สร้าง paypal มาเป็นคู่แข่ง x.com ของมัสก์โดยตรง

ความได้เปรียบของ paypal ของปีเตอร์ ธีล คือ paypal นั้นได้ติดตั้งในเว๊บไวต์ประมูลชื่อดังอย่าง ebay ได้แล้วในขณะนั้น แต่มัสก์ที่ชอบการแข่งขันอยู่แล้วก็ ดำเนินกลยุทธ์ทุกวิธีเพื่อไม่ยอมแพ้ เขาแทบจะทำงาน 24 ชม.ต่อวันในช่วงเวลาดังกล่าว

แต่พวกเขาก็แข่งกันได้เพียงไม่นาน เพราะขืนแข่งต่อไปดูเหมือน จะตายกันไปข้างหนึ่งก่อน ในปี 2000 พวกเขาหันมารวมพลังกัน ตอนนั้น paypal ของปีเตอร์ ธีล ดูเหมือนเงินใกล้จะหมดแล้วด้วยซ้ำ ส่วนมัสก์นั้นยังมีเงินให้ผลาญอีกมากมาย 

ดังนั้น มัสก์ จึงเป็นฝ่าย ถือไพ่เหนือกว่าในดีล นี้ เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ ขอคง x.com ไว้ตามเดิม และยังได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนเพิ่มอีกกว่า 100 ล้านเหรียญ จากกลุ่มลงทุนด้านการเงิน

รวมกันเป็นหนึ่งเหลือเพียง x.com ในช่วงแรกของการควบรวม
รวมกันเป็นหนึ่งเหลือเพียง x.com ในช่วงแรกของการควบรวม

แต่ปัญหาใหญ่ในการรวมบริษัท ก็คือ วัฒนธรรมที่แตกต่าง แม้กระทั่ง เทคโนโลยีที่แทบจะต่างกันคนละขั้ว confinity นั้นใช้ open source อย่างลินุกซ์ ส่วน x.com ของมัสก์ ขับเคลื่อนโดย Windows Server ซึ่งความแตกหักนี้ทำให้ ปีเตอร์ ธีล ขอลาออก และ ทิ้งให้มัสก์ บริหารบริษัท ในซากปรักหักพังนี้ต่อ

ปัญหาใหญ๋อีกอย่างก็คือ เมื่อผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือน X.com จะไม่สามารถรองรับการเติบโตดังกล่าวได้ ทำให้ไซต์ ล่มอยู่บ่อย ๆ ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องดีเลยสำหรับบริการทางด้านการเงินที่ลูกค้าตั้งความหวังไว้สูง

และมันได้เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจครั้งประวัติศาสตร์ของซิลิกอน วัลเลย์ ขึ้น เมื่อเหล่าพนักงาน X.com กลุ่มหนึ่งได้รวมกลุ่มกันเพื่อคิดหาวิธีที่จะให้มัสก์ออกไป และตัดสินใจลงมือลับหลัง ในตอนที่มัสก์ กำลังเดินทางไปฮันนีมูน ซึ่งเมื่อมัสก์ รู้ก็ได้รีบขึ้นเครื่องกลับมาทันที

แม้จะพยายามตอบโต้กลับในช่วงแรก ๆ ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเหล่ากรรมการได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนมัสก์ก็จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดแต่โดยดี และพร้อมที่จะยอมถอยเพื่อให้บริษัทก้าวไปข้างหน้า ได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

และมันทำให้อิทธิพลของมัสก์ต่อ X.com นั้นลดลงไปอย่างรวดเร็ว ในเดือน มิถุนายน ปี 2001 X.com ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น paypal.com แทน และ ปีเตอร์ ธีล กลับมาเป็น CEO ของบริษัทอีกครั้ง

สุดท้าย ปีเตอร์ ธีล กลับมาเป็น CEO อีกครั้งและดัน Paypal กลับมา
สุดท้าย ปีเตอร์ ธีล กลับมาเป็น CEO อีกครั้งและดัน Paypal กลับมา

แต่มัสก์ นั้นโตขึ้นอีกขั้นแล้ว เขาอดทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดี เขายอมรับบทบามที่จะเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทและลงทุนต่อในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ paypal และที่สำคัญเขาสนับสนุน ปีเตอร์ ธีล เต็มที่ในการขึ้นเป็น CEO ของบริษัท

และในที่สุด ผลตอบแทนของความพยายามครั้งที่ 2 ในการปฏิวัติวงการการเงินสหรัฐอเมริกาก็สัมฤทธิ์ผล ใน เดือนกรกฏาคม ปี 2002 ebay ได้เสนอซื้อ paypal ที่ 1,500 ล้านเหรียญ มัสก์ และคณะกรรมการจึงตกลงรับข้อเสนอ

สุดท้ายยักษ์ใหญ่อย่าง ebay ยื่นข้อเสนอซื้อ paypal ในที่สุด
สุดท้ายยักษ์ใหญ่อย่าง ebay ยื่นข้อเสนอซื้อ paypal ในที่สุด

ซึ่งดีลนี้ทำให้มัสก์กลายเป็นมหาเศรษฐีเต็มตัวเสียที เขาได้ส่วนแบ่งไปกว่า 250 ล้านเหรีญ และเงินจำนวนนี้ มันถึงเวลาที่เขาต้องล่าฝันต่อไป ฝันที่เค้าจะเปลี่ยนโลกอีกครั้ง แต่คราวนี้มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เขาเคยทำมา ฝันต่อไปของมัสก์ คืออะไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : I don’t Need These Russians

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 6 : The Outsider

แม้ว่าในตอนแรกนั้น มัสก์ ยังไม่มั่นใจนักว่าจะได้ทำงานในเรื่องที่สนใจ อย่าง อินเตอร์เน็ต , พลังงานที่ยั่งยืน หรือ เรื่องการสำรวจอวกาศ ซึ่งล้วนจะมีอิทธิพลอย่างสูงต่ออนาคตของมนุษยชาติ ซึ่งตัวเขาเชื่อว่าทั้งสามสิ่งเหล่านี้ จะทำให้โลกมีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น หากเขาได้ทำงาน หรือ สร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทั้งสามเรื่องดังกล่าว

ในช่วงที่เขากำลังศึกษาในระดับ มหาลัยนั้น มัสก์ เริ่มที่จะสนใจ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยไฟฟ้า ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาพลังงานที่กำลังจะหมดโลกอย่างน้ำมัน ความสนใจของเขามุ่งไปที่การที่จะสร้างแบตเตอรี่ เพื่อใช้ขับเคลื่อนยานพาหนะเหล่านี้

ซึ่งในปี 1995 ได้ทุนการศึกษาเข้าเรียนระดับ PhD ในสาขา materials science & applied physics ที่ Stanford University งานธีสิส ของเขานั้นเป็นไอเดียเกี่ยวกับการสร้างแหล่งพลังงานแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ให้กับเหล่ายานพาหนะที่ถูกขับเคลื่อนโดยไฟฟ้านั่นเอง

สำหรับดีกรี PhD ที่จะได้มาหลังเรียนจบนั้นมัสก์ไม่ได้สนใจมันนัก แต่เขาสนใจผลจากงานวิจัยชิ้นนี้มากกว่า เป้าหมายของเขาต้องการที่จะทดแทนแบตเตอรี่รูปแบบเดิมๆ  ด้วยแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ที่เขาได้วิจัยขึ้น ซึ่งจะทำให้มันสามารถที่จะชาร์จได้อย่างรวดเร็วที่สุดแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

มัสก์ ได้ทุนเรียนต่อ PhD ที่ Stanford University
มัสก์ ได้ทุนเรียนต่อ PhD ที่ Stanford University

และมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ อินเตอร์เน็ต กำลังเติบโตแบบสุดขีด มันทำให้มัสก์ ต้องเลือกทางเดินของชีวิตอีกครั้ง ว่าจะอยู่เรียนระดับ PhD เพื่อทำงานวิจัยให้สำเร็จ และเฝ้ามอง อินเตอร์เน็ตที่กำลังจะเปลี่ยนโลกใบนี้อยู่เฉย ๆ หรือ ออกมาทำความฝันอีกอย่างหนึ่งของเขาในโลกอินเตอร์เน็ตแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อที่ Stanford

และเมื่อเขาได้วิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วนั้น เขาก็เลือก อินเตอร์เน็ตก่อน เขาลาออกจากการเรียน PhD ที่ Stanford เพราะดูแล้วว่าการทำความฝันทางด้านอินเตอร์เน็ตนั้นน่าจะบรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่าต้องเรียน PhD ที่อีกหลายปีกว่าจะเรียนจบ

ซึ่งตอนนั้นหลาย ๆ คนมองว่าความคิดของเขาเป็นความคิดที่บ้าน่าดู เพราะเขาได้รับทุนที่ stanford และมีเส้นทางที่สดใสสำหรับการเรียนที่ stanford ที่ทุกคนต่างอิจฉา 

เขาต้องเริ่มหางานที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตทันที แต่ปัญหาใหญ่ คือ เขาแทบจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ที่เป็นรูปธรรมมาก่อนเลย แม้เขาจะเป็นอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์คนหนึ่ง ที่เคยสร้างเกมส์ที่ประสบความสำเร็จมามากมายแล้วก็ตามที

ในขณะนั้น Web Browser ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่คือ NetScape ซึ่งครองส่วนแบ่งได้ถึง 90% แต่เพียงแค่ปีให้หลัง ก็ถูก Microsoft แย่งชิงตลาดไปจนเกือบหมด ด้วยกลยุทธ์ขายพ่วง Windows และแจก Internet Explorer ให้ใช้กันฟรี ๆ 

มัสก์นั้นเคยสมัครไปทำงานกับ NetScape แต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาต้องการทำงานกับบริษัทที่สร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก และ เมื่อเขาไม่สามารถเข้าไปทำงานกับบริษัทอินเตอร์เน็ตเหล่านี้ได้ อีกทางเลือกหนึ่งคือเขาต้องสร้างบริษัทขึ้นมาเอง

มัสก์ ถูกปฏิเสธ การทำงานกับ NetScape จนต้องคิดมาสร้างบริษัทตัวเอง
มัสก์ ถูกปฏิเสธ การทำงานกับ NetScape จนต้องคิดมาสร้างบริษัทตัวเอง

มัสก์ นั้นฉุกคิดถึงเรื่องธุรกิจอินเตอร์เน็ตได้จาก ในวันหนึ่งเขาได้พบกับพนักงานขายของเยลโลว์เพจเจส ซึ่งพนักงานขายคนนั้นได้นำเสนอเรื่องการทำบัญชีรายชื่อออนไลน์เพื่อพัฒนารายชื่อแบบดั้งเดิม ที่ปรกติก็คือสมุดหน้าเหลือเหล่าหนาเต๊อะ ให้มาอยู่ในอินเตอร์เน็ต

และ ไอเดียนี้ นี่เองที่ทำให้มัสก์นั้นได้ไปคุยกับ คิมบัล น้องชายของเขา และได้พูดถึงไอเดียแนวคิดที่จะช่วยธุรกิจต่าง ๆ ให้สามารถก้าวสู่โลกออนไลน์ได้เป็นครั้งแรก ซึ่งในปี 1995 สองพี่น้องก็ได้เริ่มก่อตั้ง Global Link Information Network บริษัทสตาร์ทอัพ ที่สุดท้ายได้กลายร่างมาเป็นบริษัท Zip2 

สองพี่น้องมาร่วมกันตั้ง Zip2
สองพี่น้องมาร่วมกันตั้ง Zip2

ในตอนนั้น มีธุรกิจขนาดเล็กเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่เข้าใจอิทธิพลของอินเตอร์เน็ตที่มีต่อธุรกิจพวกเขาเหล่านี้ ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตได้อย่างไร มัสก์ กับน้องชาย นั้นมีแนวคิดที่จะโน้มน้าว ร้านอาหาร ร้ายขายเสื้อผ้า ร้านทำผม และร้านที่เป็นธุรกิจขนาดย่อมอื่น ๆ และพาพวกเขาเหล่านี้ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ต

สองพี่น้องมัสก์ และ คิมบัล ได้ให้กำเนิด Zip2 ขึ้นใน พาโล แอลโต พวกเขาได้เช่าสำนักงานขนาดเล็กเท่าอพาร์ตเมนต์แบบสตูดิโอ ขนาด กว้าง 20 ฟุต คูณ 30 ฟุต มันเป็น ออฟฟิสขนาดเล็ก ๆ เพื่อให้พวกเขาได้เริ่มธุรกิจกันได้เท่านั้น

ช่วงแรกนั้น มัสก์ ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาจากการเขียนเกมส์มาก่อน เป็นคนเขียนโค้ดหลักทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง เขาได้ซื้อฐานข้อมูลธุรกิจในเขตเบย์แอเรียมาได้ ในราคาไม่แพงนัก ซึ่งจะมีการรวบรวมรายชื่อที่อยู่และธุรกิจต่าง ๆ เพื่อมาเป็นฐานข้อมูลตั้งต้นของ Zip2

ส่วนเรื่องของแผนที่นั้น มัสก์ ได้ไปเจรจากับ บริษัท Navteq บริษัทด้านแผนที่ในอุปกรณ์นำทางแบบจีพีเอสในยุคแรก ๆ มัสก์ได้ใช้เทคนิคเจรจาจนได้เทคโนโลยีมาใช้แบบฟรี ๆ ซึ่งเหล่าวิศวกรของ Zip2 ก็ได้เพิ่มข้อมูลฐานข้อมูลและเชื่อมกับแผนที่ ที่ได้จาก Navteq ให้กลายเป็นระบบพื้นฐานและเปิดใช้งานให้ได้อย่างเร็วที่สุด

Navteq บริการด้านแผนที่ชื่อดังในขณะนั้น
Navteq บริการด้านแผนที่ชื่อดังในขณะนั้น

แม้ Zip2 นั้นจะเป็นกิจการอินเตอร์เน็ตที่น่าจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในยุคบูมสุดขีดของ อินเตอร์เน็ต แต่การที่จะจูงใจให้เหล่าธุรกิจต่าง ๆ มาเข้าร่วมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยทีเดียว มัสก์ ต้องทำการจ้างทีมเซลล์ เพื่อไปเคาะประตูขายไอเดียดังกล่าวให้ธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นลูกค้าเป้าหมายของเขาถึงหน้าบ้าน

มัสก์ ทำงานอย่างหนักจนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ  เขาแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิส นอน กิน ทำงาน ทุกอย่างอยู่ภายในออฟฟิส มันทำให้ Zip2 พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเปลี่ยนจากแค่การพิสูจน์แนวคิด มาเป็นผลิตภัณฑ์จริงๆ  ที่ใช้และสาธิตให้ลูกค้าเห็นภาพได้

และเหล่านักลงทุนนั้นเชื่อในความทุ่มเทถวายชีวิตให้บริษัทของมัสก์ ตอนนี้มัสก์ได้แขวนชีวิตไว้กับการสร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมา เขาจะพลาดไม่ได้ เขาทุ่มสุดตัวกับโปรเจคนี้เป็นอย่างมาก 

หนึ่งในนักลงทุนคนสำคัญ คนแรก ๆ คือ เกรก โครี นักธุรกิจชาวแคนาดา ซึ่งเจอพี่น้องมัสก์ ในเมืองโตรอนโต และร่วมสนับสนุนการระดมความคิดของ Zip2 ยุคแรก ๆ เขาได้ลงทุนกว่า 6,000 เหรียญ จนในปี 1996 เขาย้ายไปยังแคลิฟอร์เนียและร่วมเป็นผู้ก่อตั้ง Zip2

ซึ่งเกรก นี่เองเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ อีลอน มัสก์ นั้นจะฟัง และมีวิธีอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้มัสก์เข้าใจได้ ซึ่งการที่มัสก์ เป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ ทำให้บางทีหลาย ๆ คนไม่เข้าใจว่ามัสก์กำลังคิดอะไรอยู่ และจะสื่อสารกับเขาได้อย่างไร

ในตอนต้นปี 1996 Zip2 ก็ได้รับการลงทุนจาก  Mohr Davidow Ventures โดยได้รับเงินทุนกว่า 3 ล้านเหรียญ และได้เริ่มว่าจ้างวิศวกรเพิ่มมากขึ้น รวมถึง ปรับ โมเดล ธุรกิจใหม่ให้กลายเป็นระบบบอกทางที่ดีที่สุดบนเว๊บไซต์  และได้เริ่มขยายธุรกิจไปทั่วประเทศ

Mohr Davidow Ventures บริษัทด้านการลงทุนแรก ๆ ทีสนใจ Zip2 ของ มัสก์
Mohr Davidow Ventures บริษัทด้านการลงทุนแรก ๆ ทีสนใจ Zip2 ของ มัสก์

แม้ภายหลังมัสก์ นั้นจะถูกบีบให้ขึ้นไปเป็นประธานฝ่ายเทคโนโลยี และ ให้ ริช ซอร์คิน มาเป็น CEO ของบริษัทแทนก็ตาม เพื่อให้บริษัทเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ซึ่งมัสก์ ก็ยอมแต่โดดยดี แม้จะขมขื่นกับการที่ต้องวางมือจากบริษัทที่เขาสร้างมาเองก็ตาม แต่มันก็แลกกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลที่เขาได้รับ

ซึ่งการสร้าง Zip2 ของมัสก์นั้น มันได้เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก เขาควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น และเริ่มรู้ตัวและจัดการกับนิสัยเสีย ๆ บางอย่างของตัวเองเช่น การชอบไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแบบแรง ๆ 

มัสก์นั้นก็ยังเป็นขุมกำลังหลักในบริษัทเหมือนเดิม เขาเป็นผู้นำปลุกใจเหล่าพนักงานของเขาได้อย่างดี ตอนนี้ภาวะผู้นำของเขานั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และ Zip2 ก็เริ่มที่เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ นั้น ได้รับการตอบรับที่ดีจากบริษัทสื่อใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ไนท์รีดเดอร์ หรือ เฮิร์สท์คอร์เปอเรชั่น และสื่อใหญ่ ๆ อื่น ๆ อีกมากมายต่างลงทะเบียนมาใช้บริการ

บางแห่งก็ได้ทำการลงทุนเพิ่มใน Zip2 เลยด้วยซ้ำ บางรายให้สูงถึง 50 ล้านเหรียญ ตอนนั้นบริการอย่าง Craigslist นั้นเพิ่งเริ่มจะก่อตั้งขึ้น ยังไม่ได้เป็นคู่แข่งกับ Zip2 เสียทีเดียว 

Zip2 ก็เป็นที่กล่าวขวัญ ในวงกว้าง เนื่องจากสื่อยักษ์ใหญ่เหล่านี้อยากได้โฆษณาย่อย และรายชื่อสำหรับหน้าอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ และข่าวบันเทิง และมันทำให้เงินไหลเทมาที่ Zip2 อย่างต่อเนื่อง และทำให้เติบโตอย่างรวดเร็ว 

เพียงแค่ 2 ปีหลังจากนั้น Zip2 ได้รับข้อเสนอในการรวมกิจการกับคู่แข่งอย่าง CitySearch ซึ่งข้อตกลงมีมูลค่ากว่า 300 ล้านเหรียญ ทำให้ทั้งสองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านการตลาดจาก CitySearch และเหล่าวิศวกรอัจฉริยะจาก Zip2

แต่การรวมกันของสององค์กรที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งสองมีการทำงานที่ซับซ้อนกันอยู่หลายส่วน ต้องมีการตัดบางส่วนออกไป หรือ ผู้บริหารบางคนของ Zip2 ก็ถูกลดความสำคัญลงไป มัสก์นั้นแม้ตอนแรกจะสนับสนุนการควบรวม ก็ได้เปลี่ยนเป็นมาต่อต้านแทนในที่สุด

การรวมกับ CitySearch ดูจะไม่ค่อย Work สำหรับมัสก์
การรวมกับ CitySearch ดูจะไม่ค่อย Work สำหรับมัสก์

แต่ข้อตกลงต่าง ๆ มันได้คุยกันไปไกลมากแล้ว ตอนนี้ สถานการณ์ของ Zip2 เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก แถม ยังมีคู่แข่งรายใหญ่อย่าง ไมโครซอฟต์ กำลังเข้ามาสู่ตลาดนี้ รวมถึงสตาร์ทอัพรายอื่น ๆ ก็กำลังสนใจตลาดนี้เช่นกัน มันทำให้คู่แข่งเริ่มเข้ามาเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ

แต่แล้ว ในปี 1999 เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ บริษัท คอมแพค ที่ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ของโลกในขณะนั้น ได้เสนอขอซื้อ Zip2 ด้วยเงินสดถึง 307 ล้านเหรียญ มันแทบจะเป็นสวรรค์มาโปรดสำหรับผู้ลงทุนใน Zip2 ที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่ และพวกเขาแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลยในการตกลงรับข้อเสนอดังกล่าว

ข้อเสนอของ คอมแพค นี้มันทำให้ มัสก์ และ คิมบัล สองพี่น้อง กลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ มัสก์ ได้ส่วนแบ่งถึง 22 ล้านเหรียญ ส่วน คิมบัล นั้นได้ไป 15 ล้านเหรียญ มันเป็นเงินมากมายที่พวกเขาแทบไม่เคยได้จับมาก่อน มันเป็นความสำเร็จครั้งแรกของมัสก์เลยก็ว่าได้ในเรื่องของการทำธุรกิจ และที่สำคัญมันเพิ่งจะเป็นธุรกิจแรกของเขาเท่านั้น

Zip2 ธุรกิจแรกของมัสก์ สามารถขายให้ compaq ได้สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ
Zip2 ธุรกิจแรกของมัสก์ สามารถขายให้ compaq ได้สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ

และแน่นอน ว่าเงินจำนวนนี้ ที่มัสก์ได้มานั้น เขาต้องการลงมือในโปรเจคต่อไปทันที มัสก์ยอมรับว่า การสร้างบริษัทแรกอย่าง Zip2 นั้น มันมีข้อผิดพลาดหลายอย่าง ซึ่งเขาแทบจะไม่เคยบริหารบริษัทมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

การดูและลูกน้องก็ทำได้ไม่ดีนัก มัสก์ มักจะไปแก้งานของพวกเขา โดยไม่คุยกันก่อน เขามองว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ ที่พวกลูกน้องต้องทำตามให้ได้ สไตล์การเผชิญหน้ากับลูกน้องของมัสก์ ก็ไม่ใช่แนวทางของผู้บริหารบริษัทที่ดีเลย มักจะมีแต่เสียกับเสียเสมอ เวลามัสก์ต้องเผชิญหน้ากับลูกน้องพร้อมกับปัญหา

มัสก์ ผู้ซึ่งดิ้นรนต่อสู้ในยุคดอทคอม ต้องเรียกได้ว่า มีทั้งความสามารถและมีดวงผสมอยู่ด้วย เขามีไอเดียเหมาะเจาะที่มาทำ Zip2 ได้ถูกที่ถูกเวลา และทำให้มันกลายเป็นบริการได้จริง ๆ แถมสามารถก้าวออกมาพร้อมเงินทุนที่จะไปสร้างธุรกิจใหม่ ตอนนี้ เขามีเงินทุนมากพอที่จะสร้างธุรกิจอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนโลกได้แล้ว แล้วธุรกิจนั้น จะเป็นธุรกิจอะไร และมัสก์จะปรับตัวในการเป็นนักธุรกิจที่ดีได้มากขึ้นแค่ไหน จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับชายที่จะก้าวมาเป็นบุคคลหนึ่งทีทรงอิทธิพลที่สุดของโลกอย่างในปัจจุบัน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 7 : Joining the Mafia

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ