Geek Story EP9 : How iPod Builds an Apple Empire (ตอนที่ 2)

การกลับมากุมบังเหียน Apple ในครั้งที่สองของสตีฟ จ๊อบส์ นั้น กำลังเปลี่ยน apple ไปอย่างสิ้นเชิง เขามาพร้อมกับไฟที่เต็มเปี่ยม ทั้งประสบการณ์จากความพลาดพลั้งที่ผ่านมา มันเป็นบทเรียนให้จ๊อบส์ จะไม่ทำพลาดอีกในคำรบที่สอง ครั้งนี้ จ๊อบ ได้รวบรวม ทีมงานที่มีคุณภาพในทุกด้าน

ทุกคนเป็นคนที่จ๊อบส์ คัดเลือกมากับมือ ที่พร้อมจะพา apple ทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวใครอีกต่อไปแล้ว จ๊อบส์ กำลังจะเปลี่ยนโลกอีกครั้ง และครั้งนี้ มันจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมอย่างแน่นอน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/38krgS3

ฟังผ่าน Apple Podcast :   https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast :  http://bit.ly/357zlI8

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/343EaAC

ฟังผ่าน Youtube : https://youtu.be/cn9AKRv-WoE

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง ipod ตอนที่ 9 : Let’s Build It

MP3 เป็นผลงานการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันกลุ่มหนึ่งในปี 1987 คล้าย  ๆ กับการตัดไฟล์วีดีโอเพื่อให้เล่นได้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการตัดเอา data ที่ไม่จำเป็นออกมาให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ มันเป็นการนำ data ออกไปโดยที่ผู้ฟังไม่ทันสังเกตเห็น 

มันทำให้ไฟล์ที่ได้รับการตัดแต่งแล้วนั้น เป็นไฟล์ที่บรรจุข้อมูลน้อยที่สุด แต่ให้ผลแสดงออกมาที่เยี่ยมสมบูรณ์แบบเมื่อมนุษย์ ได้ยิน และ ได้ฟัง เป็นไฟล์ที่มีขนาดลดลงเหลือเพียง หนึ่งในสิบสองของไฟล์ต้นฉบับ ทำให้ลดจำนวนการเก็บข้อมูลได้มากโขเลยทีเดียว และมันกำลังรอคอยให้ จ๊อบส์ มาเพิ่มพูนคุณประโยชน์ให้กับมัน

ฟาเดลล์ พบจ๊อบส์ ครั้งแรกที่งานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านของ แอนดี้ เฮิร์ตซเฟลด์ เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น และเคยได้ยินกิตติศัพท์ของจ๊อบส์มามาก ซึ่งหลายเรื่องนั้นฟังแล้วน่าขนลุก แต่เพราะเขายังไม่รู้จักจ๊อบส์ดีพอ เขาจึงรู้สึกหวั่นใจพอสมควร เมื่อต้องมาประจันหน้ากับจ๊อบส์ จริง ๆ ในการประชุมงานเรื่อง iPod

เดือน เมษายน 2001 มีการประชุมนัดสำคัญ วันนั้นจ๊อบส์ ต้องตัดสินใจเลือกองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับเครื่อง iPod ซึ่ง ฟาเดลล์ เป็นคนนำเสนอ โดย มี รูบินสไตน์ ,ชิลเลอร์ , เจฟฟ์ ร็อบบิน และ สแตน อึง ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดของ apple เข้าร่วมฟังด้วย

ฟาเดลล์ เป็นผู้นำทีมสร้าง iPod
ฟาเดลล์ เป็นผู้นำทีมสร้าง iPod

การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอเรื่องของศักยภาพของตลาด และเนื้อหาทางการตลาดอื่น ๆ ที่เหล่านักการตลาดมักจะทำกัน แต่จ๊อบส์ เป็นคนที่มีความอดทนต่ำ สไลด์ชุดไหน ที่มีความยาวเกินหนึ่งนาที เขาจะไม่สนใจทันที และเมื่อถึงฟาเดลล์ ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องคู่แข่งในตลาด ที่ขณะนั้น มีทั้ง Sony  , Creative หรือ Rio  ที่่อยู่ในตลาดเครื่องเล่น MP3 เหมือนกัน

แต่จ๊อบส์ นั้น โบกมืออย่างไม่แยแส จ๊อบส์ไม่เคยสนใจคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ โปรเจค iPod ยังเป็นความลับอยู่ เหล่าคู่แข่งยังไม่รู้ว่า apple กำลังทำอะไรด้วยซ้ำ

จ๊อบส์ นั้นชอบให้เอาสิ่งที่จับต้องได้มาโชว์ เพื่อเขาจะได้ สัมผัส ลูบคลำ สำรวจ ฟาเดลล์ จึงได้นำโมเดล 3 แบบเข้ามาในห้องประชุมด้วย รูบินสไตน์ นั้นสอนเทคนิคให้จ๊อบส์ดูเรียงตามลำดับ เพื่อให้ชิ้นที่เขาชอบที่สุดเป็นชิ้นที่เด่นที่สุด ทีมงานจึงซ่อนโมเดล ที่ชอบไว้ใต้โต๊ะประชุม

จากนั้น ฟาเดลล์ เริ่มเอาโมเดลออกมาโชว์ ซึ่งโมเดลเหล่านี้ทำจากโฟมแบบเดียวกับที่ใช้ทำกล่องอาหาร ยัดไส้ตะกั่วเพื่อให้ได้น้ำหนักที่เหมาะสม ตัวอย่างแรกมีช่องใส่เมมโมรี่การ์ดสำหรับบันทึกเพลงแบบถอดได้ จ๊อบส์ตัดตัวอย่างนี้ออกทันทีมันดูซับซ้อนไป

โมเดล iPod จากโฟม เพื่อให้ จ๊อบส์ ได้ตัดสินใจ
โมเดล iPod จากโฟม เพื่อให้ จ๊อบส์ ได้ตัดสินใจ

ตัวอย่างที่สองนั้นใช้เมมโมรี่แบบ dynamic RAM ซึ่งราคาถูกกว่า แต่เพลงทั้งหมดจะถูก delete ทิ้งทันที หากแบตเตอรี่หมด ซึ่งแน่นอนว่าจ๊อบส์ไม่ปลื้มอย่างแน่นอน

จากนั้น แบบที่สามคือ ฟาเดลล์ ได้ทำการจับชิ้นส่วนต่อกันเหมือนเลโก้ เพื่อให้ดูว่าเครื่องเล่นบรรจุฮาร์ดไดร์ฟขนาด 1.8 นิ้วจะมีหน้าตาอย่างไร ซึ่ง โมเดลนี้ จ๊อบส์ดูสนใจมาก ๆ  ซึ่งสุดท้าย จ๊อบส์ ก็เลือกแบบดังกล่าว ซึ่ง ทำให้ฟาเดลล์ ถึงกับทึ่งมาก เพราะปรกติการประชุมแบบนี้ที่บริษัทอื่น จะต้องตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก แต่ กับ apple จ๊อบส์ ถือเป็นสิทธิ์ เด็ดขาด สามารถฟันธงได้ทันที ทำให้ทุกอย่างสามารถทำได้รวดเร็ว

 ต่อจากนั้นเป็นคิวของ ฟิล ชิลเลอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท มันเป็น idea ที่สำคัญที่สุดของ iPod ที่ทำให้แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 อื่น ๆ ในตลาด ชิลเลอร์ นั้นเสนอ ล้อกลม ๆ สำหรับใช้เลือกเพลง ( trackwheel ) แค่ใช้นิ้วโป้งหมุนวงล้อ ผู้ใช้จะสามารถเลือกเพลงใน Playlist ได้ ยิ่งหมุนนาน ก็ยิ่งไล่เพลงได้เร็วขึ้น ถึงจะมีเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลง ก็สามารถไล่ดูได้ง่าย ซึ่งไอเดียนี้ จ๊อบส์ร้องอุทาน “นั่นแหละใช่เลย!!!” แล้วสั่งให้ฟาเดลล์ กับทีมวิศวกร ลงมือทำทันที

ฟิล ชิลเลอร์ ผู้คิดค้น idea trackwheel ของ iPod
ฟิล ชิลเลอร์ ผู้คิดค้น idea trackwheel ของ iPod

โดยหลังจากเริ่มโครงการอย่างเป็นทางการ จ๊อบส์ ก็เข้ามาคลุกคลีด้วยทุกวัน จ๊อบส์ให้ concept หลักของ iPod คือ “ทำให้ง่ายเข้าไว้!” ทุกฟังก์ชัน ต้องทำได้ภายใน 3 click ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะบางครั้งทีมงาน ต้องพยายามแก้ไขปัญหาในส่วนของ User Interface แบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน

แต่จ๊อบส์ก็พยายามหาจุดอ่อน ไปเรื่อย ๆ และให้ทีมงานไปคิดหาวิธีแก้มา ซึ่งบางครั้งทีมงานก็คิดไม่ออกว่าจะไปถึงสิ่งที่จ๊อบส์ต้องการได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ ในหลายเรื่องที่ทีมงานต้องมานั่งแก้ไขเพื่อให้จ๊อบส์นั้นพอใจ จนตอนนั้น มันทำให้ปัญหาเล็ก ๆ ต่าง ๆ แทบมลายหายไปเลยทีเดียว เพราะจ๊อบส์ จะเห็นรายละเอียดในทุก ๆ จุด และสั่งให้แก้ไขมันทันที

แนวคิดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จ๊อบส์ได้กำหนดไว้ คือ ควรให้ ซอฟท์แวร์ iTunes ในคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือจัดการกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้มากที่สุด แทนที่จะทำในเครื่อง iPod

ให้ iTunes ช่วยจัดการ iPod ให้มากที่สุด
ให้ iTunes ช่วยจัดการ iPod ให้มากที่สุด

และมีคำสั่งอย่างนึงจากจ๊อบส์ ที่ทำให้ทีมงานต่างอึ้งกันไปเลยทีเดียว กับ ความเรียบง่ายตามความต้องการของจ๊อบส์  จ๊อบส์นั้นไม่ต้องการให้ iPod มีปุ่ม เปิด-ปิด และเราจะสังเกตได้ว่า อุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน คือ ไม่มี ปุ่ม สวิตช์ เปิด-ปิด โดยจะเข้าสู่โหมดพักทันที เมื่อไม่ได้ใช้งาน และ จะ ตื่น เมื่อแตะแป้นใด  ๆ ก็ได้

แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เริ่มเข้าทางอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ชิปที่เก็บเพลงได้เป็นพันเพลง ส่วนของ User Interface และวงล้อที่ช่วยนำทางไปหาเพลงต่าง ๆ นั้น การเชื่อมต่อผ่าน FireWire ที่ช่วยให้ดาวน์โหลดเพลง ทั้ง 1,000 เพลง ได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที และแบตเตอรี่ ก็สามารถใช้งานได้ถึง 1,000 เพลงเช่นกัน

ตอนนี้ จ๊อบส์ เริ่มรู้แล้วว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ มันเจ๋ง แค่ไหน ด้วยคอนเซ็ปต์ของเครื่องที่เรียบง่าย และงดงาม มันคือ “หนึ่งพันเพลงในกระเป๋าคุณ” 

iPod ต้องเรียบง่ายที่สุด และ เข้ากับ concept 1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ
iPod ต้องเรียบง่ายที่สุด และ เข้ากับ concept 1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ

แต่ปัญหาคือ 1,000 เพลงนั้นจะมาจากไหน จ๊อบส์นั้นรู้ดีว่าเพลงบางส่วนนั้นจะถูก คัดลอกมากจาก CD ที่ซื้อมาอย่างถูกกฏหมาย ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่อีกหลายเพลงนั้น อาจจะมาจากการดาวน์โหลดที่ผิดกฏหมาย

แต่จ๊อบส์ นั้น เชื่ออย่างนึงในเรื่องของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และเชื่อว่า ศิลปิน ควรได้รับเงินจากสิ่งที่ตนเองผลิตขึ้นมา ดังนั้น ในช่วงท้าย ๆ ของการพัฒนา iPod เขาจึงออกคำสั่งให้เครื่องสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ได้เพียงทิศทางเดียวเท่านั้น 

ผู้ใช้สามารถที่จะย้ายเพลงจากคอมพิวเตอร์ลงมาเครื่อง iPod ได้ แต่ไม่สามารถย้ายเพลงจาก iPod ไปใส่คอมพิวเตอร์ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนใส่เพลงลงเครื่อง iPod แล้วปล่อยให้เพื่อน ๆ อีกนับสิบถ่ายเพลงจากเครื่องไป นอกจากนี้เขายังตัดสินใจว่า พลาสติกใสที่หุ้มเครื่อง iPod ควรพิมพ์ข้อความเข้าใจง่ายว่า “อย่าขโมยเพลง”  ( “Don’t Steal Music”)

–> อา่นตอนที่ 10 : The Whiteness of the Whale

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 8 : The PodFather

ถ้าโลกนี้ไม่มีคนที่ชื่อ โทนี่ ฟาเดลล์ มันก็ไม่อาจจะทำให้ สตีฟ จ๊อบส์ สามารถพลิกฟื้น apple กลับมาได้สำเร็จ โปรแกรมเมอร์หนุ่ม มาดกร่าง หน้าตา และการแต่งตัวออกไปทางแนว ไซเบอร์พังค์ เป็นคนมีสเหน่ห์ที่รอยยิ้ม และมีหัวคิดแบบเจ้าของกิจการ และมีความเชี่ยวชาญทางด้าน ฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการฟังเพลง

และเป็น รูบินสไตน์ ที่เป็นไปค้นพบ โทนี่ ฟาเดลล์ เข้า ฟาเดลล์ นั้น เคยตั้งบริษัท ถึง 3 แห่งสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย มิชิแกน พอเรียนจบก็ได้เข้าไปทำงานที่ General Magic ผู้ผลิตอุปกรณ์อเล็กทรอนิกส์แบบพกพา แล้วย้ายข้ามห้วยไปยัง Philips บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้าน อิเล็กทรอนิค ระดับโลก

ฟาเดลล์ นั้นมีไอเดียอย่างแรงกล้า ที่จะทำเครื่องเล่นเพลงที่ดีกว่าเครื่องที่มีขายอยู่ในท้องตลาด เขาเคยไปนำเสนอ idea ที่ RealNetwork , Sony และ Philips แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  และในวันหนึ่งที่ฟาเดลล์ กำลังเล่นสกี อยู่ กับลุง ที่เมือง เวล รัฐโคโลราโด ระหว่างที่นั่งลิฟต์ขึ้นเขา เพื่อไปเล่นสกี เหมือนอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ

ฟาเดลล์ หนึ่งใน keyman คนสำคัญในการสร้าง iPod
ฟาเดลล์ หนึ่งใน keyman คนสำคัญในการสร้าง iPod

เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายคือ รูบินสไตน์ ที่เป็น ผู้อำนวยด้านด้านฮาร์ดแวร์ ของ apple ซึ่งได้แจ้งเขาว่า กำลังหาคนที่จะมาช่วยทำ “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก” ซึ่งคนระดับฟาเดลล์ นั้น มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว เขาทำอุปกรณ์พวกนี้เก่งในระดับที่หาตัวจับยาก รูบินสไตน์ จึงได้เชิญ ฟาเดลล์ เขาไปพบ ที่ office ของ apple ใน คูเปอร์ติโน่

ฟาเดลล์ เข้าใจว่า apple นั้นจะจ้างไปทำเครื่อง PDA แต่เมื่อได้พบตัวจริงกับ รูบินสไตน์ การสนทนา เปลี่ยนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ iTunes ที่ apple เพิ่งได้ทำเสร็จก่อนหน้านั้นไม่นาน ปัญหาในตอนนั้น คือ ทาง apple พยายามที่จะใช้เครื่องเล่น mp3 ที่มีในตลาด เพื่อใช้งานกับ iTunes  ซึ่งพบว่า ไม่มีอุปกรณ์ไหนที่สามารถตอบโจทย์ของ apple ได้เลย ตอนนั้น มีแต่อุปกรณ์เล่น mp3 ที่ห่วย ๆ อยู่เต็มตลาดไปหมด apple อยากที่จะสร้างเวอร์ชั่นของตัวเองขึ้นมา

ตอนแรก ฟาเดลล์ เข้าใจว่าจะให้เขามาสร้าง PDA ใหม่แทน Newton
ตอนแรก ฟาเดลล์ เข้าใจว่าจะให้เขามาสร้าง PDA ใหม่แทน Newton

และมันทำให้ ฟาเดลล์ รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ฟาเดลล์ นั้นเป็นคนที่รักในเสียงดนตรี และเคยพยายามนำ idea ที่เขาคิด ไปเสนอที่ RealNetworks เหมือนกัน ตอนที่ RealNetworks กำลังนำเสนอเครื่องเล่นไฟล์ mp3 ให้กับ บริษัท Palm แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

แต่ฟาเดลล์ นั้นเป็นคนที่รักอิสระ เขาไม่อยากที่จะเป็นพนักงานเต็มตัวของ apple เขาแค่อยากร่วมงานในฐานะที่ปรึกษาเพียงเท่านั้น

แต่ รูบินสไตน์ นั้น บีบบังคับให้ ฟาเดลล์ ทิ้งไพ่ในมือ ด้วยมัดมือชก ด้วยการยืนกรานว่า หากฟาเดลล์ นั้นต้องการที่จะเป็นหัวหน้าทีม ก็ต้องเข้ามาเป็นพนักงานเต็มตัวของ apple เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมีการเรียกทีมงานทั้งหมดที่จะทำโปรเจคนี้กว่า 20 คนเข้ามารวมตัว แล้วยื่นคำขาดกับ ฟาเดลล์ ว่า ต้องให้ฟาเดลล์ นั้นตัดสินใจในโอกาสครั้งนี้เดี่ยวนั้น ซึ่ง มันก็เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ แม้ ตัวฟาเดลล์ จะไม่ค่อยเต็มใจนัก  ก็เสนอตอบรับมาร่วมทีมในที่สุด

รูบินสไตน์ ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ ฟาเดลล์ มาร่วมงานกับ apple
รูบินสไตน์ ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ ฟาเดลล์ มาร่วมงานกับ apple

และสุดท้าย Apple ก็ได้ว่าจ้าง ฟาเดลล์ ในปี 2001 และได้สร้างทีมพัฒนาขนาด 30 คนให้มีทั้ง Designer , Programmers รวมถึง Hardware Engineers เพื่อทำโครงการนี้ 

ช่วงเวลาไม่กี่เดือนหลังจากฟาเดลล์ เข้ามาร่วมทีม ทุกคนต่างยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาทะเลาะ กัน จ๊อบส์นั้นอยากให้ iPod (ชื่อที่เรียกแทนเจ้าอุปกรณ์ตัวใหม่นี้) ออกวางตลาดให้ทันช่วงคริสต์มาส์ ซึ่งมันแปลว่าต้องทำเสร็จพร้อมเปิดตัวในเดือนตุลาคม ซึ่งมันมีระยะเวลาเพียงแค่ 8 เดือน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่บีบคั้นมาก ๆ สำหรับทุก ๆ คนภายในทีม

ตอนนั้นทีมงานต่างมองหาดูว่า มีบริษัทไหนออกแบบเครื่องเล่น MP3 ที่พอจะใช้เป็นพื้นฐานการทำงานของ Apple ได้บ้าง และได้ตัดสินใจเลือกบริษัทเล็ก ๆ ที่ชื่อ PortalPlayer ให้มาทำเป็นเครื่องต้นแบบของ Mp3 Player ของ apple

PortalPlayer นั้นมีเครื่องต้นแบบอยู่ตัวนึงที่มีขนาดเท่าซองบุหรี่ ซึ่งว่ากันว่า มันมีหน้าตาที่ดูน่าเกลียดมาก ๆ ดูเหมือนวิทยุราคาถูก ที่มีปุ่มเยอะ ๆ ซึ่งมันเป็นที่เข้าใจได้เพราะว่า บริษัท PortalPlayer เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ ผลิตภัณฑ์ทุกตัวจึงถูกออกแบบโดย Hardware Engineer

PortalPlayer 5002 ที่ใช้เป็นต้นแบบของ iPod รุ่นแรก
PortalPlayer ที่เป็นแหล่งผลิตเครื่องเล่นให้กับหลาย ๆ บริษัท มาเป็นต้นแบบของ iPod Gen1

แต่ฟาเดลล์ เห็นตรงกันข้าม เมื่อเขาได้เห็นเจ้าเครื่องตัวนี้ เขารู้สึกทึ่งมาก และคิดว่านี่แหละจะเป็นตัวต้นแบบของ iPod ที่ apple จะสร้างขึ้นมา โดยขณะนั้น PortalPlayer นั้นมีลูกค้าอยู่ถึง 12 ราย และหนึ่งในนั้นคือ IBM ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งร่วมวงการกับ apple โดย IBM นั้นกำลังแอบซุ่มทำเครื่องเล่น MP3 ที่ใช้ฮาร์ดดิสก์ ขนาดเล็กของ IBM อยู่

ซึ่งฟาเดลล์ ก็ได้บีบให้ PortalPlayer ทิ้งลูกค้า 12 รายที่เหลือไป และให้มาร่วมงานกับ apple เพียงบริษัทเดียว ด้วยข้อเสนอ ที่ PortalPlayer มิอาจปฏิเสธได้ลง และเพิ่มทีมงานจนกลายเป็นทีมขนาดใหญ่ ด้วยจำนวนคนถึง 200 คนที่อยู่ในอเมริกา และ เหล่า Engineer อีก 80 คนในอินเดีย เพื่อเร่งทำให้มันเสร็จก่อนคริสมาสต์

ตอนนี้ เรียกได้ว่า iPod หรือ อุปกรณ์เครื่องเล่น MP3 ตัวใหม่ของ apple ได้ทีมงานที่เพียบพร้อมแล้ว โดย PortalPlayer นั้นจะดูแลเรื่อง Hardware , จ๊อบส์ และ ไอฟฟ์ นั้นจะมาดูแลเรื่อง “User Experience” โดยมี ฟาเดลล์ เป็นหัวเรือหลักในการคุมโปรเจ็คนี้

แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด มันมีข้อบกพร่องมากมายกับเจ้าเครื่อง PortalPlayer ไม่ว่าจะเป็น User Interface ที่ดูซับซ้อน หรือข้อจำกัดในการทำ Playlist ที่ได้ไม่เกิน 10 เพลงเท่านั้น จ๊อบส์ , ฟาเดลล์ และทีมงาน จะจัดการอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเจ้า iPod โครงการที่ ฟาเดลล์ เคยพูดไว้ว่า “โครงการนี้จะปั้น Apple ขึ้นใหม่ และอีก 10 ปีจากนี้ไป Apple จะกลายเป็นบริษัทเพลง ไม่ใช่บริษัทคอมพิวเตอร์”  จะเกิดอะไรขึ้นกับ apple ต่อจากนี้ โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 9 :Let’s Build It

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ