ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 3 : Ive Mac

ในวันที่จ๊อบส์ เรียกเหล่าผู้บริหารระดับสูงมาชุมนุมปลุกใจ หลังเข้ารับตำแหน่ง CEO รักษาการ ในเดือนกันยายน 1997 นั้น หนึ่งในผู้ฟังจำนวนนั้น เป็นชายหนุ่มชาวอังกฤษ วัย 30 ปี ผู้มีอารมณ์ ละเมียดละไม และมีควาทุ่มเทกับงานมาก ถึง มากที่สุด เค้าคือ โจนาธาน ไอฟฟ์ หรือ ที่ทุกคนรู้จักในนาม “จอนนี่”

ในช่วงก่อน จ๊อบ จะเข้ามาในรอบที่สองนั้น สถานการณ์ของบริษัท เรียกได้ว่า ย่ำแย่ ไอฟฟ์ ในขณะนั้น กำลังคิดจะลาออก เพราะเบื่อหน่ายกับบริษัท ที่มุ่งเน้นผลกำไรเพียงอย่างเดียว และไม่มีความสนใจในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เลย

แต่เป็นคำพูดของ จ๊อบส์ ในวันที่ก้าวเข้ามากู้วิกฤติของ apple รอบที่สอง ที่ทำให้ ไอฟฟ์ เปลี่ยนใจที่จะอยู่ต่อ เพราะ จ๊อบส์ นั้นชัดเจนอยู่แล้วว่า เป้าหมายของ apple ไม่ใช่อยู่ที่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่ คือ การสร้าง ผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยม ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนวิสัยทัศน์ จากการบริหารที่ผ่านมาของผู้บริหาร apple คนก่อน ๆ 

Jony Ive ในสมัยเริ่มงานกับ apple ใหม่ ๆ
Jony Ive ในสมัยเริ่มงานกับ apple ใหม่ ๆ

ชีวิตของ ไอฟฟ์ นั้น เข้ามาโคจร เข้าสู่วงการคอมพิวเตอร์ เนื่องมาจาก บริษัท แทงเจอรีน บริษัทเก่าของเขานั้น ได้ถูกว่าจ้างจากบริษัท apple ให้ทำการออกแบบ เครื่อง Powerbook โดยเขาได้แหกกฏพื้นฐานของการออกแบบหมดสิ้น เนื่องมาจากเขาคิดว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์กำลังประสบปัญหากับเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพราะส่วนใหญ่เป็นการสร้างโดยเหล่า วิศวกร ที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องการดีไซน์เลยด้วยซ้ำ

ก่อนหน้าที่ ไอฟฟ์ จะเข้ามาปฏิวัตินั้น คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องที่ดูน่ากลัวสำหรับผู้ใช้งาน มีขนาดใหญ่เทอะทะ และไม่มีความ friendly กับผู้ใช้งานเลยด้วยซ้ำ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ดูไม่น่าใช้งาน และแทบจะดีไซน์ เหมือน ๆ กันหมดในทุก ๆ บริษัทที่ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้นมา

หลังจากผลงานการออกแบบ Powerbook จึงทำให้ ไอฟฟ์ ถูกดึงตัวมาทำงานเต็มตัวที่ apple ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ ซึ่ง apple เดิมจะใช้บริษัทจากข้างนอกมาช่วยออกแบบให้ แต่หลังจากนี้ ไอฟฟ์ จะได้สร้างทีมของตัวเองขึ้นมา เพื่อปฏิวัติการออกแบบคอมพิวเตอร์เสียใหม่ทั้งหมด

และนั่นเป็นเหตุทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันในที่สุด จ๊อบส์ นั้นตระหนักดีว่าเขาจำเป็นต้องมีคนอย่าง ไอฟฟ์ เพื่อปฏิรูป apple ขึ้นมาใหม่อีกครั้งและจึงเริ่มต้นกับโครงการ iMac รุ่นใหม่

ในงานด้านฮาร์ดแวร์นั้น ถูกรับผิดชอบโดย จอน รูบินสไตน์ ผู้ที่ จ๊อบส์ ได้ดึงตัวมาจาก NeXT บริษัทเก่าของเขา โดย iMac นั้นจะทำการดัดแปลงไมโครโพรเซสเซอร์ และอุปกรณ์ภายในของเครื่อง PowerMac G3 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ระดับสูงสำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพของ apple เพื่อมาใช้เป็นไมโครโพรเซสเซอร์หลักสำหรับเครื่อง iMac ตัวใหม่นี้

สองทีมงานคุณภาพ ไอฟฟ์ และ รูบินสไตน์ ผู้ที่จะมีบทบาทสำคัญใน apple ยุคใหม่ของจ๊อบส์
สองทีมงานคุณภาพ ไอฟฟ์ และ รูบินสไตน์ ผู้ที่จะมีบทบาทสำคัญใน apple ยุคใหม่ของจ๊อบส์

ตัวฝาครอบพลาสติกของ iMac ที่ไอฟฟ์ ออกแบบมาเป็นสีฟ้าอมเขียว และมีความโปร่งแสง ซึ่งเป็นตัวเชื่อม ระหว่างการทำงานภายในเครื่องกับงานดีไซน์ภายนอก iMac มีความละเอียดในการดีไซน์ จนถึงระดับชิป จ๊อบส์นั้นยืนกรานเสมอว่าการติดตั้งชิปบนแผงวงจรต้องทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แม้จะไม่มีใครเห็นมันก็ตาม

ตัวฝาครอบโปร่งแสงทำให้เห็นความใส่ใจที่ทีมงานมีต่อการสร้าง การประกอบ และการจัดวางชิ้นส่วนทุกชิ้นที่อยู่ภายใน ดีไซน์ ที่ดูขี้เล่นถ่ายทอดความเรียบง่าย แต่ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นความลึกล้ำที่มาพร้อมกับความเรียบง่ายอย่างแท้จริง 

iMac ผลงานการ Design ชิ้นโบว์แดงชิ้นแรก ของ ไอฟฟ์ ที่ได้ร่วมงานกับ จ๊อบส์
iMac ผลงานการ Design ชิ้นโบว์แดงชิ้นแรก ของ ไอฟฟ์ ที่ได้ร่วมงานกับ จ๊อบส์

และ iMac นี่เองกลายเป็นชัยชนะด้านการออกแบบยิ่งใหญ่ ครั้งแรกที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง จ๊อบส์ กับ ไอฟฟ์  ที่ออกสู่ตลาดในปี 1998 และใช้เพียงวันหยุดสุดสัปดาห์แรกเท่านั้น สามารถทำยอดจำหน่ายได้สูงเกิน 150,000 เครื่อง ด้วยโครงสร้างตัวเครื่องที่โค้งลงตัว ไม่เพียงแค่ iMac จะตีรูปแบบคอมพิวเตอร์แบบเดิมให้แตกกระเจิงเท่านั้น

มันยังได้สร้าง คาแร็กเตอร์ของตนเองขึ้นมา และเป็น คาแร็กเตอร์ที่คูลที่สุด เพราะ iMac ไม่ใช่เครื่องพีซี ไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ถูกผลิตโดย microsoft  คำว่า “Think Different” สำหรับ apple มันกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง

หลังจากวางจำหน่าย iMac ไปจนถึงสิ้นปี 1998 ยอดขายพุ่งขึ้นไปถึง 800,000 เครื่อง ทำสถิติคอมพิวเตอร์ที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ apple หลังจากนั้นไม่นาน ไอฟฟ์ ก็ได้คิดสีใหม่สำหรับเครื่อง iMac อีก 4 สี ซึ่งแต่ละสีสดใสเตะตาไม่แพ้สีฟ้าบอนได ในรุ่นแรกที่วางจำหน่าย

ขายดีจนต้องออกสีใหม่เพิ่มมาเป็น 5 สีที่สดใส
ขายดีจนต้องออกสีใหม่เพิ่มมาเป็น 5 สีที่สดใส

แต่มันยังเหลือรายละเอียดอีกอย่างหนึ่งที่จ๊อบส์ อยากที่จะปรับปรุงตัว iMac มันคือ ถาดใส่แผ่นซีดี ที่เขาแสนเกลียดรูปร่างมันเป็นอย่างยิ่ง และอยากให้กำจัดทิ้งเสีย เขาอยากเปลี่ยนเป็นไปใช้ไดร์ฟสำหรับโหลดซีดีในชุดสเตอริโอรุ่นแพงของ sony ที่ดูดีกว่า

จ๊อบส์ รู้สึกขัดใจกับช่องใส่ CD ของ iMac
จ๊อบส์ รู้สึกขัดใจกับช่องใส่ CD ของ iMac

แต่ รูบินสไตน์ นั้นได้ทักท้วงไม่ให้เปลี่ยน เพราะในตอนนั้น กำลังจะมีไดร์ฟ แบบใหม่ออกมา ที่สามารถ burn เพลงลงซีดีได้ด้วย ไม่ใช่แค่เล่นเพลงเพียงอย่างเดียวอย่างที่มีในตลาดในขณะนั้น ซึ่งจะทำให้ iMac ตามหลังเทคโนโลยี หากใส่ไดร์ฟ รูปแบบเก่าลงไป

แต่ด้วยความดื้อด้านส่วนตัวของจ๊อบส์ เขาไม่แคร์ และไม่สนใจว่าเทคโนโลยีใหม่จะเป็นอย่างไร จน รูบินสไตน์ต้องยอม และสุดท้ายหลังจากนั้น เป็น รูบินสไตน์ที่คาดการณ์ได้ถูกต้อง เพราะ อีกไม่นาน Panasonic ได้ผลิตไดร์ฟ ตัวใหม่ออกมา ที่สามารถ อ่าน เขียน และบันทึกเพลงได้

ซึ่งจุดสำคัญนี้นี่เอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพรหมลิขิต หรือ เหตุบังเอิญ หรือโชคชะตาลิขิตมาให้จ๊อบส์ต้องกระโจนเข้าสู่ตลาดเพลง เพราะจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ Apple ก้าวช้ากว่าคู่แข่งในตลาดการผลิตคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการคัดลอก (rip) และบันทึก (burn) 
เพลงเอง ซึ่งกำลังเริ่มเป็นที่นิยมในขณะนั้น (iMac นั้นไม่สามารถ rip,burn เพลงได้ เพราะมีไดร์ฟรุ่นเก่า)  สถานการณ์ในตอนนั้น ทำให้ Apple ต้องกระโจนเข้าสู่ตลาดเพลงเพื่อหาทางกระโดดข้ามคู่แข่งให้ได้ โดยเร็วที่สุด

มาถึงตอนนี้ อยู่ดี ๆ apple ต้องตกกระไดพลอยโจร ที่สถานการณ์บังคับให้ apple ต้องเข้าสู่ตลาดเพลงแล้ว มันเพราะความดื้อด้านของจ๊อบส์ หรือ ฟ้าชะตาลิขิต ที่ทำให้ apple ได้ก้าวข้ามจากบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ ไปสู่ สินค้า consumer ที่มีขนาดตลาดใหญ่กว่าอย่างเครื่องเล่น mp3 จะเกิดอะไรขึ้น กับ apple ต่อจากนี้ ตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่มหาศาลอย่างตลาดเพลงนั้น จะนำพา apple เริ่มพลิกฟื้นกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้อย่างไร  โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 4 : Crazy Jobs

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

เมื่อ Apple ไม่ใช่ผู้นำด้าน Innovation อีกต่อไป

จบไปแล้วสำหรับงาน Apple Event ที่มีการถ่ายทอดสดผ่าน Streaming เมื่อคืนนี้ ให้สาวกชาว apple ได้นอนดึกกันอีกครั้ง ซึ่งสำหรับปีนี้นั้น ยังไม่มี Main Product ที่ทำให้ร้อง wow เหมือนตอนที่ Steve Jobs ยังอยู่อีกเช่นเคย ซึ่งเป็นสิ่งที่เคยเป็นสเน่ห์ของ apple ในอดีต รวมถึงข่าว leak ต่างที่หลุดออกมาจนไม่มีอะไรเซอร์ไพรซ์กันเหมือนในอดีตซึ่งช่วงหลังมานี้ไม่สามารถควบคุมข่าวความลับของบริษัทได้เหมือนในอดีตซึ่งทำให้ส่วนนี้ขาดเสน่ห์ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไปเป็นอย่างมากหลังจากสิ้นสุดยุค Steve Job สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่ที่น่าสนใจจากเมื่อคืน

  • IPAD PRO

ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงตัวใหม่ที่ apple เปิดตัวมาหลังจากมีข่าวหลุดมาก่อนหน้านี้ซักช่วงหนึ่งแล้ว สำหรับตัว ipad pro นั้นถูกพัฒนามาเพื่อให้ใช้งานสำหรับกลุ่ม enterprise หรือ มืออาชีพ มากกว่า user แบบ consumer ทั่วไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าเปิดตัวมาราคาค่อนข้างแรงมาก start ที่ 799$ ซึ่งเป็นราคาที่ user ทั่วไปคงต้องคิดหนักที่จะซื้อมาใช้งานจริง ๆ จัง ๆ  ด้วยขนาดหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ถึง 12.9 นิ้ว นั้น ถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลยที่จะใช้ในการพกพาทั่วๆ ไปแบบ ipad รุ่นเดิม คิดว่าทำมาเจาะกลุ่มตลาดองค์กร หรือ enterprise user มากกว่า

  • Apple Pencil

ชัดเจนได้เลยว่ามันเป็นการขัดกับแนวทางที่ apple เคยพร่ำบอกมาตลอดว่าใครจะมาใช้ปากกา เมื่อตอน galaxy note ออกใหม่ๆ  จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าช่วงหลัง apple เป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำ ต้องคอยนำแนวทางของคนที่ประสบความสำเร็จแล้วทำตามเสียมากกว่า ทั้ง apple pencil , หรือ keyboard รูปแบบใหม่นั้นจะเห็นได้ว่ามันควรจะมีมาตั้งนานแล้ว ดังตัวอย่างทั้งใน galaxy note และ microsoft surface  แต่ถือเป็นสิ่งที่ดีกับผู้บริโภค ที่ apple เริ่มทำในสิ่งที่ควรทำซะที

  • The new Apple TV

ถือเป็นการเดินหมายที่ถูกต้องอย่างยิ่งสำหรับ apple ที่ได้ทำการซื้อ siri เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ product main หลักเนื่องจากในอนาคต คิดว่า siri จะมีบทบาทสำคัญกับ product ของ apple แทบทุกตัว เมื่อการใช้งานด้วยเสียงนั้นเข้ามามีส่วนสำคัญกับชีวิตประจำวันเรามากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับ apple tv ตัวใหม่ที่เปิดตัวมา ซึ่งถือว่าเป็น product ที่ apple ออกลูกกั๊ก มานาน ไม่ค่อยพัฒนาต่อซักเท่าไหร่ แต่รอบนี้ถือว่าทำการบ้านมาได้ดีระดับหนึ่งกับการเปิดตัว home entertainment center ตัวใหม่ที่มาพร้อม siri รวมถึง remote รูปแบบใหม่ที่ทำให้ user สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้าถึง casual game ต่างๆ  ที่สามารถเล่นร่วมกับ remote ได้อย่างดี ส่วนนี้คิดว่าคงเลียนแบบมากจากความประสบความสำเร็จของ Wii ยุคแรก แต่คงไม่ได้คิดจะไปต่อกรกับศึก console รุ่นใหญ่อย่าง xbox one หรือ ps4 คงเน้นเกมส์ที่เล่นเป็นครอบครัวมากกว่า ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าเป็น highlight ของงานเมื่อคืนเลยก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ดีหากมองในแง่ของ innovation นั้นก็แทบไม่ได้มีอะไรใหม่เหมือนเคย ถ้าคนที่ใช้ android box tv อยู่แล้วนั้นคงจะไม่มีอะไรน่า เซอร์ไพรซ์เลย เพราะทุกอย่างที่ apple tv มีนั้น แทบจะมีอยู่ทั้งหมดอยู่แล้วใน android tv box แต่หากจะหาส่วนที่เป็น key จริง ๆ ที่ทำให้แตกต่างนั้นก็คงเป็นความสามารถของ Siri ที่นำมาใช้ร่วมกับ apple tv ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าทางฝั่ง android

  • iphone 6s

สำหรับ product สุดท้ายอย่าง iphone 6s , 6s plus นั้น จากการที่นำมาเปิดตัวหลังสุดในงานก็พอจะบอกอะไรได้หลายอย่างว่า iphone 6s นั้นก็ไม่ได้มีอะไรปรับปรุงใหม่ที่เห็นอย่างได้ชัดเจน ซึ่งก็ถือว่าเป็นรอบการพัฒนาของ apple อยู่แล้วในช่วงหลัง ๆ มาจะออก main product ปีเว้นปี  ปีที่แล้วหลังจากเปิดตัว iphone 6 อย่างยิ่งใหญ่ปีนี้ก็เป็นเพียงการ minor change บางส่วน เช่น ประสิทธิภาพของกล้อง , วัสดุใหม่ , รวมถึงเพิ่มสีใหม่เข้ามาใน line product และส่วนที่น่าสนใจคือ force touch ซึ่งสามารถรองรับน้ำหนักการ touch ที่หน้าจอที่แตกต่างกันได้ ส่วนนี้ก็คิดว่าทาง application ทั้งหลายก็ต้องมีการ update เพื่อให้ใช้งาน function force touch ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งโดยรวมนั้น ก็ถือว่า ไม่ได้มีอะไรใหม่มากมายในปีนี้สำหรับ iphone 6

สุดท้ายหากเรามองในแง่ของรายได้ของ apple นั้น ตั้งแต่ สิ้นสุดยุค Steve Job นั้นในแง่รายได้ก็ยังเติบโตอยู่เรื่อย ๆ และในปีนี้ก็เช่นกัน คงไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในการปฏิบัติงานในตำแหน่ง CEO ของ Tim Cook เลย ซึ่งคิดว่าผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ของ apple ก็คงพอใจการทำงานของ Tim Cook อยู่ หากแต่ว่าการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นนวัตกรรมจริง ๆ นั้นเริ่มลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าจะให้เปรียบเทียบก็จะคล้าย ๆ ยุคของ Steve Ballmer  ของ microsoft นั้นเองซึ่งในยุคแรก ๆ หลังเปลี่ยนผ่านมาจาก bill gates นั้นก็คงไม่มีใครสงสัยในความสามารถของ Ballmer แต่อย่างใด สามารถทำรายได้ได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดมา แต่ปัญหาจริง ๆ แล้วบริษัท it ส่วนใหญ่นั้นต้องมี innovation ใหม่ ๆ สม่ำเสมอ เพราะ Technology ในยุคนี้เป็นสิ่งที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็วเป็นอย่างมากและการเข้ามาของคู่แข่งใหม่ ๆ นั้นก็ไม่ยากเย็นแต่อย่างใดเหมือนในอดีต ด้วยการเข้าถึง Infrastructure ที่ถูกลง

หากเรามองสถานการณ์ตอนนี้จะเห็นได้ว่า  apple นั้นก็คงยังไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่มันเป็นเป็นปัญหาระยะยาวต่างหากที่ apple มีโอกาสที่จะประสบชะตากรรมเดียวกับ microsoft ในอดีตก็เป็นไปได้  ซึ่งโดยส่วนตัวนั้นคิดว่าตอนนี้ apple เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ ที่ต้องให้คนที่มีประสบการณ์ในการบริหารงานสูงอย่าง Tim Cook ดูแลไปก่อนเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้อยู่ แต่คนที่มีบทบาทในอนาคตจริง ๆ และแทบจะออกหน้าตลอดเวลานั้นคือ Jony Ive ต่างหากจะเห็นได้ใน Video Presentation นั้นจะมี Ive เป็นหลักเสมอมา เหมือนเป็นตัวตายตัวแทน Job ซึ่งคิดว่า CEO คนต่อไปของ apple คงจะหนีไม่พ้น Jony Ive อย่างแน่นอน หลังจาก Tim Cook สร้างความแข็งแกร่งในด้านการบริหาร และ การจัดการต่าง ๆ ที่ค่อนข้างซับซ้อนของ apple เสร็จสิ้น ผมมองว่าเขาคงจะมอบต่อตำแหน่ง CEO ให้กับ  Jony Ive อย่างแน่นอน และเมื่อนั้น apple อาจจะเปลี่ยนเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน Innovation เหมือนยุค Steve Job ก็เป็นได้