TikTok กับภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดของเจ้าพ่อ Social Network อย่าง Mark Zuckerberg

ในธุรกิจของแพล็ตฟอร์ม Social Network นั้น มีบริการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย บางรายอยู่รอด บางรายก็ล้มหายตายจาก แต่พี่ใหญ่ที่ดูจะทรงพลัง และ ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก Social Network คงหนีจากใครไปไม่ได้นอกจาก Facebook ของ Mark Zuckerberg นั่นเอง

ต้องบอกว่า Mark Zuckerberg นั้นนำพา Facebook มาไกลเกินกว่าที่จะมีใครจะมาหยุดความร้อนแรงของพวกเขาได้ พวกเขาได้เจอศึกหนักมาหลายๆ ครั้งในการจัดการบริการน้องใหม่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อมาท้าทายโลกแห่ง Social Network ธุรกิจหลักของพวกเขา

บางรายต้องล้มหายตาย จาก แม้กระทั่งขาใหญ่ยุคเริ่มต้นอย่าง myspace ก็ล้มไม่เป็นท่า แทบจะไม่มีจุดยืนในธุรกิจอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน

แน่นอนว่า มีหลากหลายกลยุทธ์ที่ Mark ใช้จัดการกับภัยคุกคามเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการไปเสียเลยอย่างเช่น Instragram ที่พวกเขาได้มาในราคาถูกมาก ๆ เพียงแค่ 1 พันล้านเหรียญเท่านั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นบริการที่ยอดนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

หรือการเข้ามาของยักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่ได้ส่งบริการ Google plus เข้ามาร่วมแจม ซึ่งในช่วงแรกมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะล้ม Facebook ให้ได้ เพราะกำลังเข้ามากัดกินส่วนแบ่งเค้กเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์จำนวนมหาศาลที่ Google เคยถือครองอยู่เพียงผู้เดียว

ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็ยังพ่ายแพ้หมดรูปในตลาด Social Network
ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็ยังพ่ายแพ้หมดรูปในตลาด Social Network

แต่สุดท้าย Google Plus ก็พบจุดจบเดียวกับบริการอื่น ๆ ที่ไม่สามารถต่อกรกับ Facebook ได้ เพราะดูเหมือน Mark Zuckerberg เองจะเข้าใจความเป็น Social แพล็ตฟอร์มมากกว่าคนอื่นใดในโลกนี้

หรือการเข้ามาคุกคามจาก Snapchat เองก็ตาม ที่ดูเหมือนช่วงแรก ๆ จะถือเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัว แต่ก็เจอกลยุทธ์เด็ด ในการ copy cat ทำบริการเลียนแบบไปเสียเลยในผลิตภัณฑ์อย่าง instragram ก็ทำให้สถานการณ์ของ Snapchat ดูโซซัดโซเซ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

เรียกได้ว่า ใครหน้าไหนเข้ามารุกรานในธุรกิจหลักของ Mark Zuckerberg อย่างธุรกิจ Social Network นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียมากกว่า แต่ตอนนี้ ศัตรูตัวฉกาจคนสำคัญกำลังเกิดขึ้น นั่นก็คือ TikTok

ต้องบอกว่ามันคือภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด ตั้งแต่การเกิดขึ้นของแพล็ตฟอร์ม Facebook เลยก็ว่าได้ เพราะมันได้กระจายไปอย่างรวดเร็ว รุนแรง และกลายเป็นประแสไปทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ที่หันมาใช้งาน TikTok กันอย่างบ้าคลั่ง

ยิ่งโดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์ COVID-19 นั้นดูเหมือน จะทำให้ TikTok แพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น กลายเป็นกระแส Mass ขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่วัยรุ่นอีกต่อไป มันได้กลายเป็นแพล็ตฟอร์มที่ คนทุกวัยนั้นหันมาสนใจเป็นอย่างมาก

TikTok จากจีน ที่กลายมาเป็นภัยคุกคามครั้งสำคัญของ Facebook
TikTok จากจีน ที่กลายมาเป็นภัยคุกคามครั้งสำคัญของ Facebook

ซึ่งมันคล้ายกับการเกิดขึ้นของ Facebook ที่เริ่มเดิมที ฮิตเฉพาะหมู่วัยรุ่นมหาลัย ก่อนที่จะโอบล้อมไปยังกลุ่มคนวัยอื่น ๆ จนกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างที่เราได้เห็นในที่สุด

และดูเหมือนกระสุนเม็ดแรกที่ Mark ยิงเข้าไปเพื่อทำลาย TikTok นั้นมันจะไม่ได้ผล เพราะบริการอย่าง Lasso ที่ตั้งใจทำมาเลียนแบบ TikTok โดยตรง ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้ผล และเตรียมปิดบริการในเร็ว ๆ นี้

ส่วนกระสุนเม็ดที่สอง ที่ Mark กำลังใช้โดยย้อนรอยวิธีการเดิม ๆ ในการกำจัด Snapchat นั่นก็คือ ทำการฝัง Features ไว้ในแพล็ตฟอร์มหลักของตัวเองอย่าง Instragram Reels ซึ่งเราก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่า กลยุทธ์นี้จะได้ผลอีกครั้งหรือไม่

แต่แน่นอนว่า ตอนนี้ ศึก Social Wars รอบใหม่ได้บังเกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะสนุกกว่าครั้งเก่า ๆ ที่ผ่านมา ที่ได้คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่าง TikTok ซึ่งไม่ใช่เป็นของอเมริกา แต่เป็นของประเทศจีน แผ่นดินใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่า มันส่งผลต่อเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายทั้งการเมือง สังคม และเรื่องของ Data

ซึ่งหากเหล่าผู้คนไหลเทมาใช้งาน TikTok มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ พลังในการกุม Data ที่มีอิทธิพลของ Facebook ก็เริ่มจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ซึ่งเราก็ต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่า ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะ ด้วยเดิมพันที่มหาศาล แน่นอนว่า ไม่มีใครที่อยากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอนครับ ในศึกครั้งนี้

Digital ‘dress’ เมื่อ Blockchain บุกวงการแฟชั่น

สำหรับคนที่เคยซื้อเสื้อผ้าเป็นหลักเพื่อสร้างความประทับใจให้เพื่อนออนไลน์ของคุณโดยการถ่ายรูปอวดผ่าน Social ? ตอนนี้คุณอาจได้รับโอกาสพิเศษในการซื้อเสื้อผ้าเพียงชิ้นเดียวที่มีอยู่ในโลกออนไลน์

Startup ชาวดัตช์ The Fabricant, Dapper Labs และ Johanna Jaskowska ได้ออกวางจำหน่ายชุด Iridescence ในราคา 9,500 เหรียญสหรัฐใน Blockchain  โดยมันจะไม่เหมือนกับการซื้อเครื่องแต่งกายในวิดีโอเกม

แต่ผู้สร้างจะ ‘ปรับแต่ง’ ส่วนต่าง ๆ ให้คุณโดยอิงจากรูปถ่ายของคุณ ซึ่งในฐานะที่เป็นมันเป็นสินทรัพย์รูปแบบเดียวกับ Blockchain  และสร้างเอกลักษณ์แบบใหม่ให้มูลค่าแบบเดียวกับตระกูลเงินดิจิตอล cryptocurrency 

โดยมีการขึ้น Model ในรูปแบบ 2D แบบที่ใช้สำหรับเสื้อผ้าธรรมดาดัง นั้นคุณสามารถเห็นมันเปรียบเสมือนเสื้อผ้าในชีวิตจริง

แม้มันจะฟังดูน่าหัวเราะ แต่อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าดูเหมือนเป็นจริงหรือภาพลวงตา ก็แยกออกจากกันได้ เมื่อมีคนสงสัยว่าพวกเขาสามารถเห็นได้ด้วยตนเองหรือไม่ และเมื่อในราคาที่จ่ายได้เท่ากับเครื่องแต่งกายแบรนด์หรูหรา

มันอาจะทำให้คุณอาจตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้เงินจำนวนมากไปกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้เหมือน Digital ‘dress’ ชุดนี้

อย่างไรก็ตามก็มีเหตุผลที่รองรับคุณค่าของมันอยู่ เพราะอย่างแรกคือมันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แล้วทำไมต้องใช้เนื้อผ้ากับเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นล่ะ? และสำหรับบางคนที่ติดโลกออนไลน์มาก ๆ นี่ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาดูดีขึ้นโดยไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าจริง 

ซึ่ง Digital ‘dress’ นั้นมีโมเดลเสมือนจริงที่มีผู้ติดตามหลายคนใน Social Network ชื่อดัง และคงจะทำให้เสื้อผ้าดีไซเนอร์เสมือนเหล่านี้ สามารถจับคู่เขัากับสไตล์ของคุณได้ แม้ว่ามันจะไม่เป็นที่แพร่หลายเหมือนของจริงก็ตาม

References : 
https://www.engadget.com/2019/05/27/fabricant-blockchain-digital-dress/?guccounter=1

แอพเปลี่ยนหน้า พา Snapchat กลับมาพุ่งทะยานอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้หลาย ๆ อย่างมันพิสูจน์ได้ว่า Snapchat หยุดการเติบโตมานานแล้ว โดยเฉพาะเมื่อ Kylie Jenner ประกาศว่า Snapchat มันได้ตายแล้ว และ Rihanna Celeb ชื่อดังอีกคนก็ปฏิเสธที่จะใช้มัน อย่างไรก็ตามเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าทุกคนกำลังดาวน์โหลดใหม่เปิดใหม่หรือลอง Snapchat เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี สาเหตุเกิดจาก Filter Snapchat ใหม่สองตัวซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเพศด้วยการเพิ่มคุณสมบัติความเป็นชายแบบดั้งเดิม (มีเคราและผมสั้น) หรือคุณสมบัติหญิงที่เป็นมาตรฐาน (การแต่งหน้า ผมยาวและผิวที่นุ่มนวล)

ซึ่ง Filter นี้ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วทุกที่นอก Snapchat การ Share ปรากฏขึ้นทั่ว Twitter,  Instagram Story และแม้กระทั่ง Facebook เองก็ตาม เป็นที่ชัดเจนในทันทีว่าการที่จะเข้าร่วมในเทรนด์ออนไลน์ในสุดสัปดาห์นี้หมายถึงการต้องดาวน์โหลด Snapchat และถ่ายภาพเซลฟี่บางส่วนเพื่อแชร์กับเพื่อน ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องแชร์ บน Snapchat

Features อย่าง Instagram Story ได้ดึงผู้คนจำนวนมากออกจาก Snapchat อย่างรวดเร็ว แต่มีบางสิ่งที่ Snapchat ยังคงทำได้ดีอยู่เช่นการนำเสนอ Filter ที่สร้างสรรค์โดยเฉพาะ Snapchat เป็นแพลตฟอร์มการสร้างเนื้อหาที่ดีที่สุดและผู้คนใช้มันอย่างเหมาะสมเป็นเครื่องมือในการสร้างภาพถ่ายที่น่าสนใจที่พวกเขาสามารถแบ่งปันได้ที่อื่น สิ่งเดียวกันนี้เพิ่งเกิดขึ้นกับ Filter Baby Face ของ Snapchatเมื่อผู้คนโพสต์รูปภาพโดยใช้ Filter นี้ทั่วทั้ง Twitter

Filter Baby Face กลับมาเป็นกระแสให้กับ Snapchat อีกครัง
Filter Baby Face กลับมาเป็นกระแสให้กับ Snapchat อีกครัง

Snapchat ได้อันดับเพิ่มขึ้นในการจัดอันดับดาวน์โหลดทุกวันนับตั้งแต่ Filter เปลี่ยนเพศถูกเผยแพร่ออกมา ซึ่งการที่ Celeb ชื่อดังอย่าง  Miley Cyrus และ ซาราห์ ซิลเวอร์ แชร์รูปภาพ Snapchat ของพวกเขาบน  Twitter และ Instagram  และในฐานะของ Content Creater ใน YouTube  Roly West ทวีตว่า“ ฉันชอบ Snapchat ที่ออกมาพร้อมกับ Filterใบหน้า / Filter หน้าทารกใหม่เหล่านี้ และทุกคนเพิ่งดาวน์โหลดอีกครั้งเพื่ออัปโหลดภาพไปยัง Instagram”

ในขณะที่การเติบโตของผู้ใช้หยุดชะงักลง แต่ไม่ได้หมายความว่า Snap นั้นจะตายไปแล้ว Snap อาศัยช่วงเวลาเช่นนี้เพื่อให้ผู้คนใช้แอพแทนคุณสมบัติที่เหมือนกันเกือบทุกที่ใน Facebook คำถามที่ยังคงมีอยู่คือมันจะกลายเป็นแค่กระแสหรือเปล่า ไม่ชัดเจนว่าคนจะกลับมาใช้เวลากับ Snapchat เหมือนเมื่อก่อน พวกเขาอาจจะใช้ Snapchat แค่เป็นทางผ่านไปยัง Platform อื่น ๆ เพียงเท่านั้น

มีเหตุผลมากมายที่ผู้คนอาจต้องการ Share รูปถ่ายของตัวเองใน Instagram แทน Snapchat User Interfaceของผู้ใช้ของแพลตฟอร์ม Facebook นั้นสนุกกว่าในการใช้งานและทำให้การติดตามเพื่อนและคนดังทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าคนที่คุณรู้จักนั้นจะใช้ Instagram บ่อยกว่า Snapchat จำนวนผู้ใช้ที่ใช้งาน Instagram Story มีมากกว่าสามเท่าของฐานผู้ใช้ Snapchat ทั้งเดือนเสียด้วยซ้ำ

Instragram Story ที่มาฆ่า Snapchat โดยตรง
Instragram Story ที่มาฆ่า Snapchat โดยตรง

สาเหตุที่ Snapchat ต้องคอยสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะ Instagram มี Filter ที่สนุกและเหล่าผู้ใช้งานก็หลงรักมัน ซึ่ง Instragram มี Filter จำนวนหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานดูดี และเมื่อเทรนด์ใหม่ ๆ เช่น Filter การแลกเปลี่ยนเพศปรากฏขึ้นและทุกคนต้องการรู้สึกว่าพวกเขากำลังอยู่ใน Trend นี้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าการติดตั้งหรือดาวน์โหลด Snapchat ใหม่อีกครั้งนั้นเป็นสิ่งสำคัญ 

Snapchat ยังคงมีผู้ใช้งานกว่า 186 ล้านคนต่อวันซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น อย่างไรก็ตามมีความชัดเจนมากขึ้นว่า หลาย ๆ คนรู้ว่าวัตถุประสงค์ของแอพนั้นได้เปลี่ยนไป พวกเขาจะยังคงคิดที่จะติดตั้งหรือเข้าสู่ระบบอีกครั้งเมื่อใดก็ตามที่ Filter ใหม่ปรากฏบน Twitter และ Instagram แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องโพสต์หรือมีส่วนร่วมใน Snapchat เพียงอย่างเดียว ซึ่งเราจะรู้ว่ามี Trend ใหม่ ๆ เกิดขึ้นใน Snapchat ก็เพราะเพื่อนของเราได้แจ้งเตือนเรา – ผ่าน Instagram Story และ Twitter นั่นเอง

References : 
https://www.theverge.com/tech/2019/5/15/18625089/snapchat-gender-swap-photos-viral-trend-instagram-stories-twitter-facebook

ประวัติ Jeff Bezos แห่ง Amazon ตอนที่ 9 : Amazon Web Service

แม้ Kindle นั้นจะเป็นหนึ่งในนวัตกรรมสำคัญที่ เจฟฟ์ เบซอส ได้สร้างขึ้นมาและพา amazon ขึ้นสู่บริษัทนวัตกรรม แบบเดียวที่ สตีฟ จ๊อบส์ ทำกับ apple ได้สำเร็จ แต่ความพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ amazon จากบริษัทค้าปลีกให้กลายเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีนั้น มันยังไม่สำเร็จเสียทีเดียว โครงการใหม่ ๆ เช่น Search Engine อย่าง A9.com  ล้มเหลวและถูกปิดตัวลงไปหลังจากออนไลน์ได้ไม่นาน โครงการ BlockView โดน StreetView ของ google แซงหน้าไป บริการค้นหาในเล่ม (Search Inside Book) น่าสนใจแต่ไม่สามารถช่วยให้ amazon ผงาดขึ้นมาได้

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ เจฟฟ์ และ amazon เจอคือ บรรดาวิศวกรที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกกำลังหนีตาย จากวัฒนธรรมองค์กรที่เริ่มล้าหลังของ amazon แห่กันไปหา google รวมถึง startup เปิดใหม่แห่งอื่นใน ซิลิกอน วัลเลย์ ซึ่งหาก เจฟฟ์ เบซอส ต้องการพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าแท้จริงแล้ว amazon เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีอย่างที่เขามักกล่าวอยู่เสมอ เขาต้องอาศัยการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่

ทิม โอไรล์ลี นักเผยแพร่การใช้เว๊บและผู้จัดพิมพ์หนังสือคอมพิวเตอร์ ได้บินมาซีแอตเทิลเพื่อมาพูดคุยกับ เจฟฟ์ เบซอส โดย โอไรล์ลี นั้นได้กล่าวกับ เจฟฟ์ ว่า amazon ทำตัวเหมือนเว๊บปลายทางโดดเดี่ยวและไม่ยอมข้องแวะกับใคร เขาอยากให้ amazon เปิดเผยข้อมูลของ amazon ให้แก่สังคมภายนอก

ทิม โอไรลีย์ ผู้เปิดแนวคิดให้ amazon สร้าง API ให้นักพัฒนาภายนอก
ทิม โอไรลีย์ ผู้เปิดแนวคิดให้ amazon สร้าง API ให้นักพัฒนาภายนอก

โอไรล์ลี ได้สร้างเครื่องมือที่เรียกว่า amarank ซึ่งเป็นเครื่องมืออันซับซ้อนมาให้เจฟฟ์ ได้ดู โดยเครื่องมือดังกล่าวนั้นจะทำการเข้าเยี่ยมชมเว๊บไซต์ amazon ทุก ๆ สองสามชั่วโมง และคัดลอกการจัดอันดับหนังสือของสำนักพิมพ์โอไรล์ลีมีเดีย รวมถึงหนังสือของคู่แข่ง แต่มันเป็นกระบวนการที่ช้าอืดอาดมาก เพราะใช้เทคนิคแบบเก่า และรูปแบบการทำงานคล้าย ๆ hack ข้อมูลจากหน้าจอ amazon.com

โอไรล์ลี แนะนำว่า amazon ควรที่จะพัฒนาชุดเครื่องมือออนไลน์ที่เรียกว่า ส่วนต่อประสานประยุกต์ ( application programming interface) หรือ API เพื่อให้บุคคลภายนอกติดตามข้อมูลเรื่องราคา ผลิตภัณฑ์ และอันดับการขายได้อย่างง่ายดาย

เจฟฟ์ เบซอส เริ่มเห็นโอกาสบางอย่างจากการพบกับ โอไรล์ลี ครั้งนี้  เขาคิดถึงเรื่องของความสำคัญของการเป็นแพลตฟอร์ม และการพัฒนา API เพื่อให้คนภายนอกได้ใช้งานเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

เขาจึงสั่งดำเนินการให้ทีมงานสร้า API ชุดใหม่เพื่อให้นักพัฒนาเชื่อต่อเข้าเว๊บ amazon ได้ ซึ่งมันจะทำให้ เว๊บไซต์อื่นสามารถเผยแพร่รายการสินค้าจากแคตตาล็อกของ amazon ได้ รวมถึงแสดงราคา และ คำอธิบายประกอบสินค้าอย่างละเอียด ทั้งยังอนุญาติให้ใช้ระบบชำระเงินและตะกร้าสินค้าของ amazon ได้อีกด้วย

ตัวเจฟฟ์ เบซอส เองนั้นก็ได้ยอมรับหลักคิดใหม่เกี่ยวกับการเปิดกว้างขึ้นของเว๊บ amazon ได้เริ่มมีการจัดประชุมนักพัฒนาครั้งแรกขึ้น และได้เชิญบุคคลภายนอก ที่เดิมเคยคิดจะเจาะเข้ามาระบบของ amazon ให้มาร่วมพัฒนา API กับ amazon เสียเลย  ซึ่งมันทำให้นักพัฒนากลายมาเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของ amazon ecosystem และเจฟฟ์ นั้นได้ตั้งชื่อโครงการนี้อย่างเป็นทางการว่า บริการ amazon web service (AWS) 

จากแนวคิด API พัฒนาจนกลายมาเป็น Amazon Web Service ( AWS)
จากแนวคิด API พัฒนาจนกลายมาเป็น Amazon Web Service (AWS)

และมันทำให้ในปัจจุบันนั้น บริการ amazon web service หรือ AWS กลายเป็นธุรกิจขายโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคอมพิวเตอร์ เช่น การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล หรือระบบการคำนวณแบบสมรรถนะสูง มันทำให้บริษัทเกิดใหม่อย่าง Pinterest หรือ Instragram สามารถกำเนิดขึ้นมาได้ โดยมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นไม่สูงมากนัก 

หรือแม้กระทั่งบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Netflix ก็ใช้บริการของ amazon เพื่อทำการสตรีมภาพยนต์ส่งให้ลูกค้า และ AWS เองก็จำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำรายได้ในอนาคตของบริษัทเทคโนโลยีเกิดใหม่ ซึ่งมันก็กลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของ amazon ที่ไม่ได้พึ่งพาแค่ อีคอมเมิร์ซอีกต่อไป

ให้บริการตั้งแต่บริษัท startup ขนาดเล็กไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix
ให้บริการตั้งแต่บริษัท startup ขนาดเล็กไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix

ต้องบอกว่าการเกิดขึ้นของ AWS นั้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน บริการเว๊บเซอร์วิส ที่เข้าถึงง่าย และราคาไม่แพงของ amazon ช่วยให้เกิดบริษัทตั้งใหม่ด้าน internet อีกเป็นพัน ๆ แห่ง ซึ่งไม่สามารถที่จะตั้งขึ้นมาได้เลยหากไม่มีบริการดังกล่าว

นอกจากนี้ บริการ AWS ของ amazon ยังส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่เช่า super computer ในระบบ cloud ได้ จนนำไปสู่ยุคใหม่แห่งนวัตกรรมแขนงต่าง ๆ เช่น การเงิน น้ำมันและก๊าซ สุขภาพ และวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงเลยที่จะพูดได้ว่า AWS ช่วยฉุดเทคโนโลยีทั้งหมดขึ้นมาหลังจากป่วยเรื้อรังจากยุคดอทคอม และกำหนดนิยามใหม่ของคลื่นลูกถัดไปในเรื่องการประมวลผลระดับองค์กรธุรกิจขึ้นมาใหม่

และการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจเป็นภาพลักษณ์ของ amazon นั่งเอง AWS นั้นขยายขอบข่ายความเป็นสรรพสินค้าออกไปอีก อีกทั้งยิงมีสินค้าอื่นๆ  ที่ดูจะแตกต่างออกไปด้วย amazon จึงได้ฉีกหนีคู่แข่งไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นวอลมาร์ต และบริษัทค้าปลีกที่เป็นคู่แข่งรายอื่น ๆ amazon ได้สร้างเสน่ห์ใหม่ ๆ ให้บริษัทสามารถดึงดูดเหล่าวิศวกรอัจฉริยะให้เข้ามาทำงานได้อีกครั้ง และที่สำคัญหลังผ่านความล้มเหลวและความขมขื่นภายในมานานนับปี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนนี้ amazon ได้กลายเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีแล้ว อย่างที่เจฟฟ์ เบซอส นึกฝันอยากให้เป็นเสมอมา

–> อ่านตอนที่ 10 : From Zero to No.1 (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : My name is Jeff Bezos *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ